Home Blog Page 157

ซีพีเอฟ เดินหน้าขับเคลื่อนเป้าหมายการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า พัฒนาประสิทธิภาพการจัดการการสูญเสียอาหาร โดยยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ขณะเดียวกันเดินหน้าลดปริมาณขยะอาหารและสนับสนุนการนำอาหารส่วนเกินไปใช้ประโยชน์ เน้นความปลอดภัยอาหาร พร้อมสานต่อโครงการ "Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก" ปีที่ 3 เปลี่ยนอาหารส่วนเกินเป็นเมนูมื้ออร่อย ส่งต่อให้กลุ่มเปราะบางไปแล้วมากกว่า 1.3 แสนมื้อ หนุนขับเคลื่อนเป้าหมายการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืนตามแนวทาง SDGs

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ภายใต้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน CPF 2030 Sustainability in Action บริษัท ฯ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าสูงสุด มุ่งมั่นยกระดับการจัดการการสูญเสียอาหารและลดปริมาณขยะอาหารสู่หลุมฝังกลบ โดยได้ประกาศนโยบายการจัดการอาหารสูญเสียและขยะอาหาร (Food Loss & Food Waste Policy) ในกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทาน กำหนดเป้าหมายสำคัญในการลดปริมาณอาหารส่วนเกินและขยะอาหารในกระบวนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯให้เป็นศูนย์ในปี 2030 (พ.ศ.2573) สอดรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals :SDGs)ที่ต้องการลดปริมาณขยะอาหารทั่วโลกลงกว่าครึ่งหนึ่งในระดับค้าปลีกและผู้บริโภค

“ซีพีเอฟ นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อสร้างความยั่งยืนในการผลิตและการบริโภค สนับสนุนเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางอาหาร และบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)”นางกอบบุญ กล่าว

บริษัทฯ ดำเนินโครงการเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการการสูญเสียอาหาร และลดปริมาณขยะอาหาร ตลอดจนการขยายผลความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการระบบลำเลียงไข่อัจฉริยะ ที่มีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ควบคุมการลำเลียงไข่ เพื่อลดความเสียหายจากการลำเลียงไข่จากฟาร์มสู่โรงคัดไข่และจากกระบวนการคัดไข่ ในปี 2565 สามารถลดจำนวนไข่เสียหายได้มากกว่า 1 ล้านฟอง และภายใน ปี 2566 จะมีการติดตั้งระบบอัตโนมัติกับคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟทั้ง 7 แห่ง โครงการนำเครื่องใน ขนสัตว์ปีก และไข่ไก่ที่เสียหายในระหว่างการผลิตแปรรูปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ นำชิ้นส่วนและส่วนประกอบต่างๆ ของสัตว์ เช่น เครื่องในสัตว์ หน้ากากหมู เศษตัดแต่ง ไปจำหน่ายสดหรือแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สู่การบริโภคที่ปลอดภัย

นอกจากนี้ บริษัทฯนำของเสียจากกระบวนการผลิตกลับมาสร้างประโยชน์ต่อ อาทิ เปลี่ยนของเสียเป็นพลังงาน (Waste to Energy) โดยการนำเศษของเสีย เช่น ไขมัน ไปผลิตก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) นำน้ำมันพืชใช้แล้วสู่การผลิตไบโอดีเซล เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ซีพีเอฟเดินหน้าขับเคลื่อนการลดอาหารส่วนเกิน (Surplus Food)โดยสานต่อความร่วมมือกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟ ซัสทีแนนซ์ (มูลนิธิ SOS สาขาประเทศไทย) และ บริษัท เก็บ สะอาด จำกัด (GEPP) เปลี่ยนอาหารส่วนเกิน เป็นเมนูพร้อมรับประทานที่อร่อย สะอาด ปลอดภัย ในโครงการ”Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก” ต้นแบบการจัดการอาหารส่วนเกินและการจัดการบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร ซึ่งเป็นความร่วมมือกันมาตั้งแต่ เดือนมิถุนายน 2563 จนถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 3 ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 – พฤษภาคม 2566 สามารถส่งมอบอาหารให้แก่กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ครอบครัวรายได้น้อย ในชุมชน ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปแล้วมากกว่า 130,000 มื้อ

ทั้งนี้ อาหารที่ซีพีเอฟส่งมอบ เป็นอาหารที่มีโภชนาการที่ดีต่อร่างกาย สารอาหารครบถ้วน และเป็นโปรตีนมากถึง 92.5% ของปริมาณทั้งหมด ให้พลังงานเพื่อสุขภาพที่ดี
กับผู้บริโภค ซึ่งภายใต้การดำเนินโครงการดังกล่าว สามารถลดขยะอาหารได้รวม 31.19 ตัน และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 23.84 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า รวมทั้งมีการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์สู่การจัดการ 7,000 ชิ้น เป็นการเก็บกลับบรรจุภัณฑ์สู่การจัดการแบบ Closed loop เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิล และส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการจัดการที่เหมาะสม

รู้เก็บรู้ออม : ลงทุนรับนโยบายการเงินเปลี่ยนทิศ

0

ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯที่เริ่มคลี่คลายความกังวลว่าสหรัฐฯจะผิดนัดชำระหนี้ลดลง ส่งผลให้นักลงทุนทยอยกลับเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง และคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปีนี้

นโยบายการเงินที่กำลังเปลี่ยนทิศในฝั่งสหรัฐฯ และน่าจะมีผลกับนโยบายการเงินทั่วโลกที่ใกล้จบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า!!

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและ ที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ได้เขียนบทความแนะนำแนวทางการลงทุน เดือน มิ.ย.66 เผยแพร่ลงใน www.setinvestnow.com โดยแนะให้กระจายการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งแบ่งสัดส่วนการลงทุนไปตราสารหนี้ และถือเงินสดรอจับจังหวะลงทุนหากตลาดหุ้นผันผวนและย่อตัวลง “คุณนายพารวย” อ่านแล้วน่าสนใจ จึงนำมาสรุปสั้นๆ เพื่อให้นักลงทุนจับทิศทางการลงทุนได้ถูกทาง โดย “ดร.อมรเทพ” ได้ให้คำแนะนำไว้ดังนี้

1.กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเลือกกองทุนที่ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ด้วย หากกองทุนถือพันธบัตรระยะสั้น เพื่อช่วยลดความผันผวนจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ในกรณีที่ยังมีแรงกดดันต่อในเดือน มิ.ย.ที่ยังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ยอย่างที่คาด

2.เงินสด หากภาพ Sell in May ลากยาวต่อมาถึงเดือน มิ.ย.ทั้งจากปัญหาการเมืองในสหรัฐฯ หรือแรงกดดันต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่มากขึ้น โดยหาจังหวะเข้าสะสมกองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็ว ทั้งนี้ อาจเข้าพักเงินในกองทุนรวมที่มีสภาพคล่องสูง อายุเฉลี่ยตราสารหนี้ของกองทุนสั้นและอันดับความน่าเชื่อถือดี

3.กองทุนรวมหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางในสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตสูงโดดเด่นในระยะยาวและมีความแข็งแกร่งในรูปแบบธุรกิจที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของวงจรเศรษฐกิจได้ดี ให้น้ำหนักกลุ่มเทคโนโลยี (IT) และกลุ่มสุขภาพ (Healthcare) โดยคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่เผชิญกับภาวะถดถอยครั้งใหญ่ แต่เป็นการชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจอีกครั้ง

4.กองทุนรวมหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่กระจายการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความผันผวนต่ำกว่าตลาด เน้นธุรกิจที่โดดเด่น มีประวัติที่มีความสามารถในการทำกำไร การสร้างกระแสเงินสด และการเติบโตดีสม่ำเสมอ รวมทั้งบริษัทที่มี ESG ซึ่งจากการวิจัยพบว่ามักให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดและผันผวนน้อยกว่าตลาด

5.กองทุนรวมหุ้นจีน ช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนย่อตัวลง ทำให้ค่า P/E ของตลาดหุ้น A-Shares ปรับลงถึงจุดที่น่าสนใจ และคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) จะเติบโตสูง ซึ่งถือเป็น 1 ในตลาดหุ้นที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตดีในปีนี้เลือกกองทุนรวมที่มีแนวทางการลงทุนแบบเชิงรุก (Active) เน้นหุ้นใหญ่หรือหุ้นที่มีแนวโน้มได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจในระยะยาว และได้ประโยชน์จากการกลับมาเปิดเศรษฐกิจของจีน

6.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs ในไทยและสิงคโปร์ เริ่มน่าสนใจ หลังเริ่มประกาศจ่ายเงินปันผลได้ และน่าจะได้เงินปันผลมากขึ้นกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ส่วนกอง REITs ประเภท Leasehold ให้เลือกกองที่เหลือสัญญาเช่าอีกหลายสิบปี ซึ่งจะช่วยให้กองทุนมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลได้ระยะยาว!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS จับมือ Dutch Mill เปิดเวทีประลองอีสปอร์ตระดับมัธยม​ ยิ่งใหญ่ที่สุดในไทย

0

AIS เดินหน้าผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งภาครัฐและเอกชน​ ผ่านกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้เกมเมอร์หรือนักกีฬาอีสปอร์ตได้ฝึกฝนและแสดงความสามารถ อย่างเวที AIS 5G eSports S-Series Thailand Championship 2023 by Dutch Mill โดย​ AIS ร่วมกับนมเปรี้ยวดัชมิลล์ ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก จัดขึ้นต่อเนื่องปีที่ 3 ติดต่อกัน นับเป็นเวทีการแข่งขันอีสปอร์ตระดับมัธยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ และจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมามีน้องมัธยมเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 800 ทีม จาก 126 โรงเรียน

ทำให้ในปีนี้โครงการได้ผนึกกำลังร่วมกับภาครัฐ อย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.) ได้แก่ ภูเก็ต, เชียงราย, ลำปาง, อุดรธานี, ขอนแก่น, นครราชสีมา และชลบุรี รวมถึงยังทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ไปยังน้องๆ ระดับมัธยมทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ที่มีความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันได้แสดงความสามารถ เพื่อพัฒนาตัวเองสู่การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพต่อไป ทั้งนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้สนับสนุนร่วม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ แบรนด์จินเซนโนไซด์โปร ผลิตภัณฑ์แจ็กซ์ มันฝรั่งแท่งทอดกรอบ ทรอส (TROS) ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเองสำหรับผู้ชาย และผลิตภัณฑ์ ทาโร ปลาเส้นแซ่บ อร่อยแซ่บเข้าเส้น ที่ให้การสนับสนุนให้ครั้งนี้​

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS อธิบาย “เราเห็นการเติบโตของอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในช่วงหลายปีที่ผ่านทั้งจากจำนวนเกมเมอร์ที่เพิ่มขึ้น เวทีการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่จัดขึ้นมากมาย ทำให้เกิดนักกีฬาอีสปอร์ตหน้าใหม่ๆ เข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เรายังเห็นกลุ่มอาชีพที่เติบโตขึ้นพร้อมๆ กัน อย่างกลุ่ม แคสเตอร์ สตรีมเมอร์ โดยการเติบโตดังกล่าวนำมาซึ่งโอกาสและการขับเคลื่อนของ Digital Economy”

ดังนั้น AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลที่พร้อมนำศักยภาพโครงข่ายอัจฉริยะเข้าสนับสนุนการเติบโตของวงการเกมและอีสปอร์ตไทยผ่านการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่หลากหลายทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการจัดการแข่งขัน AIS 5G eSports S-Series Thailand Championship 2023 by Dutch Mill ในครั้งนี้ ที่นอกเหนือจากนมเปรี้ยวดัชมิลล์ ร่วมเป็นผู้สนับสนุนหลักแล้ว เพื่อเป็นการตอกย้ำเวทีอีสปอร์ตระดับมัธยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ ในปีนี้เรายังได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐอย่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.) นับเป็นการขยายโอกาสไปยังกลุ่มเกมเมอร์หน้าใหม่ๆ ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

“เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการมีเวทีให้น้องๆ ได้แสดงความสามารถจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสนับสนุนเยาวชนที่รักและหลงไหลในโลกของเกมให้มีพื้นที่สร้างสรรค์ ฝึกฝนทักษะและแสดงความสามารถให้พัฒนาสู่การเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตมืออาชีพได้ในอนาคต”

คุณวารินทร์ ก้องวิทยาคม ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวดัชมิลล์ บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด กล่าวว่า “กลุ่ม บริษัท ดัชมิลล์ ในฐานะองค์กรผู้นำด้านผลิตภัณฑ์นมอันดับ 1 ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจควบคู่กับการสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนในมิติต่างๆ ซึ่งครั้งนี้บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนในการเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนความฝันของเด็กไทยที่มีใจรักการเล่นเกม และมุ่งอยากเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต โดยเป็นอีกครั้งที่เราได้ร่วมมือกับทาง AIS eSports ในการร่วมกันจัดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ตระดับมัธยม เพื่อส่งเสริมวงการอีสปอร์ตไทยให้ก้าวทันสู่เวทีระดับนานาชาติ”

สำหรับการแข่งขัน AIS 5G eSport S-Series Thailand Championship 2023 ยังคงได้รับความร่วมมือจาก Garena ในการนำ ROV เกม MOBA ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มวัยรุ่น เยาวชน นักเรียน นักศึกษา มาใช้ในการแข่งขัน โดยจะเปิดรับสมัคร ลงพื้นที่ Road Show เพื่อรับสมัครและให้ความรู้เรื่องอีสปอร์ตกับโรงเรียนที่เข้าร่วมตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป หลังจากนั้นจะเข้าสู่การแข่งขันรอบคัดเลือกตัวแทนจังหวัดในช่วงเดือนกรกฎาคม ก่อนที่จะมีการจัดแข่งขันในระดับประเทศเพื่อชิงเงินรางวัลรวม 200,000 บาท

สำหรับโรงเรียนที่สนใจต้องการเข้าร่วมศึกการแข่งขันในปีนี้ สามารถสมัครการแข่งขัน หรือ ติดตามเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ https://www.ais.th/game/sseries/ หรือช่องทาง Facebook AIS eSports Tournament

ก.เกษตรฯ –กรมปศุสัตว์ – ซีพีเอฟ ร่วมปล่อย “เป็ดปรุงสุก” ตู้ปฐมฤกษ์สู่ ออสเตรเลีย ตอกย้ำความมั่นใจมาตรฐานสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก

0

กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ปล่อยคอนเทนเนอร์ “ผลิตภัณฑ์เนื้อเป็ดปรุงสุก” จากไทยไปออสเตรเลีย เป็นตู้แรกในประวัติศาสตร์ เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของสินค้าปศุสัตว์ไทยมาตรฐานเป็นที่ยอมรับผู้บริโภค บริษัทฯ ตั้งเป้าจะส่งออกผลิตภัณฑ์ “เป็ดปรุงสุก” ไปออสเตรเลียปีละ 500-600 ตัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2566 นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น.สพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ร่วมปล่อย “ตู้ปฐมฤกษ์เป็ดปรุงสุก” ออกจากโรงงานของซีพีเอฟ นับเป็นสินค้าเป็ดปรุงสุกที่ส่งออกไปออสเตรเลียล็อตแรกในประวัติศาสตร์ของไทยและของโลก โดยมีผู้บริหารของกรมปศุสัตว์ และซีพีเอฟร่วมด้วย อาทิ น.สพ.โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายเอกปิยะ เอื้อวุฒิเกริก ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS ณ โรงงานแปรรูปไก่เนื้อ มีนบุรี 2
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขอชื่นชมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนการส่งออก “เป็ดปรุงสุก” ไปออสเตรเลียได้สำเร็จ จากนโยบายของท่านรัฐมนตรีว่าการก.เกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนที่ให้ความสำคัญส่งเสริมและสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปยังตลาดทั่วโลก โดยกระทรวงฯ มีการส่งเสริมผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าสินค้าเกษตร โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในขั้นตอนการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า การเปิดตลาดเป็ดปรุงสุกในออสเตรเลียเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของไทย นับเป็นประเทศแรกของโลกที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งออกสินค้าเป็ดพร้อมทานไปออสเตรเลีย ซึ่งมีความเข้มงวดในการรับรองความปลอดภัยสินค้าเกษตรสูงมาก จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์เป็ดปรุงสุกจากไทยตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการเจรจาระหว่างรัฐบาลสองประเทศมาอย่างต่อเนื่องร่วม 8 ปีตั้งแต่ปี 2559 การเปิดตลาดออสเตรเลียถือเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพเป็ดปรุงสุกของไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และพร้อมแข่งขันในเวทีตลาดโลก ปัจจุบันเราส่งออกสินค้าเป็ดปรุงสุกไปหลายประเทศทั่วโลก อาทิ อียู ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เป็นต้น คาดว่า การส่งออกเป็ดปรุงสุกไปออสเตรเลียในช่วงปีแรก ประมาณ 1,200 ตัน จะช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศได้ประมาณ 400 ล้านบาท (11.86 ล้านเหรียญสหรัฐ)

“ขอแสดงความยินดีกับซีพีเอฟในฐานะเป็นผู้ประกอบการรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับอนุมัติให้ส่งออกเป็ดปรุงสุกไปยังตลาดออสเตรเลียได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่การเจรจาส่งออกได้สำเร็จ ความสำเร็จในวันนี้เป็นผลจากความมุ่งมั่นและร่วมมือประสานงานของภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกร ในลักษณะ “3 ประสาน” ออสเตรเลียเป็นตลาดสำคัญที่มีมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสูงมาก ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการผลิตเป็ดปรุงสุกของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในเวทีการค้าโลก และสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานเป็ดของไทยในระยะยาว” อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ เปิดเผยว่า การส่งออกเป็ดปรุงสุกล็อตแรกไปออสเตรเลียครั้งนี้ เป็นการขยายตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อเป็ดปรุงสุกของบริษัทฯ ยังสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการของไทยมีศักยภาพในการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้มาตรฐานในระดับโลก ออสเตรเลียเป็นตลาดที่มีศักยภาพ บริโภคเนื้อเป็ดประมาณ 50,000 ตันต่อปี และมีความต้องการเป็ดปรุงสุกพร้อมทานเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซีพีเอฟเล็งเห็นโอกาสในตลาดดังกล่าว สินค้าเป็ดปรุงสุกตู้แรกวันนี้จะขนส่งทางอากาศไปยังออสเตรเลียเพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้ภายในสัปดาห์นี้ โดยตั้งเป้าประมาณ 500-600 ตันต่อปี สำหรับสินค้าที่ส่งออกได้แก่ เป็ดย่าง เป็ดฉีก เป็ดย่างพร้อมแผ่นแป้ง เป็นต้น ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวออสเตรเลีย

“บริษัทฯ ขอขอบคุณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์ ท่านรองอธิบดี และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้ความร่วมมือประสานงาน จนสามารถผลักดันการเปิดตลาดสินค้าเป็ดปรุงสุกไปออสเตรเลียได้สำเร็จ ไม่เพียงส่งผลดีต่อการค้าระหว่างประเทศ ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของสินค้าปศุสัตว์ไทย และ ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ยังมองหาโอกาสเปิดตลาดเนื้อเป็ดปรุงสุกไปยังตลาดอื่นๆที่มีศักยภาพต่อไป” นายประสิทธิ์กล่าว

ผลิตภัณฑ์เนื้อเป็ด และเป็ดปรุงสุกของซีพีเอฟได้รับการยอมรับจากลูกค้าห้างค้าปลีกชั้นนำในยุโรปและทั่วโลก และเชื่อมั่นตลอดห่วงโซ่การผลิตสินค้าอาหารของบริษัทฯ มีการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยอาหารตั้งแต่ อาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยง การแปรรูปเนื้อเป็ดเป็นผลิตภัณฑ์พร้อมทาน ได้รับรองมาตรฐานระดับโลก อาทิ BRC SEDEX SMETA พร้อมทั้งทุกผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต ในปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟ ส่งออก ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้แก่ เยอรมนี อังกฤษ กลุ่มอียู ญี่ปุ่น สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ เป็นต้น

เมืองไทยประกันชีวิต ฉลองเดือนเกิดลูกค้า มอบสิทธิพิเศษและส่วนลดจากพันธมิตรชั้นนำประจำปี 2566

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้ ถือเป็นปีสำคัญของเมืองไทยประกันชีวิต ในการอยู่เคียงข้างสร้างรอยยิ้มแก่คนไทยครบ 72 ปี และได้ตั้งเป้าหมายเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผ่านกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต พร้อมเป็นคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คน ผ่านกิจกรรมเมืองไทยสไมล์คลับ

เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงมีเป้าหมายในการเดินหน้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจในวันพิเศษ ด้วยการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในเดือนเกิดให้ลูกค้ากับสิทธิพิเศษที่เหนือระดับ ผ่านส่วนลดจากพันธมิตรชั้นนำประจำปี 2566 ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกรับได้ตาม Lifestyle ของตัวเอง โดยสามารถรับสิทธิพิเศษบนแอปพลิเคชัน MTL Click ซึ่งจะมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ภายใน 90 วันนับจากวันเกิดของลูกค้า โดยมีรายละเอียดดังนี้

• JETTS FITNESS : รับสิทธิ์ทดลองเล่นฟรี 7 วัน และรับส่วนลด 500 บาท สำหรับค่าสมัครสมาชิกในรอบบิลแรก เมื่อสมัครภายในวันแรกของการทดลองเล่น หรือเลือกรับสิทธิ์ทดลองเล่น Hypoxi ฟรี 1 ครั้ง
• BLACKMORES : รับส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อสินค้าครบ 1,000 บาท และเมื่อใช้สิทธิ์ รับเพิ่มทันทีส่วนลด 50% สำหรับซื้อแบลคมอร์สแคลเซียม หรือ แบลคมอร์สมัลติ แอคทีฟเท่านั้น (ขนาดใดก็ได้)
• เครือโรงพยาบาลพริ้นซ์ : รับส่วนลดบริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ราคา 590 บาท จากราคาปกติ 1,400 บาท (สำหรับอายุ 15 ปีขึ้นไป)
• โรงพยาบาลกรุงเทพ : รับส่วนลดโปรแกรมตรวจสุขภาพ Muang Thai Birthday ชำระในราคา 5,900 บาท จากราคาปกติ 14,300 บาท
• ร้านอาหารภายใต้โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทาราที่ร่วมรายการ : รับส่วนลดค่าอาหาร 15%
• Reserve Spa Cenvaree, SPA Cenvaree และ Cense by SPA Cenvaree (ภายใต้โรงแรมและ รีสอร์ทในเครือเซ็นทาราที่ร่วมรายการ) : รับสิทธิ์นวดสปาในราคาพิเศษ
• SKECHERS : รับส่วนลดมูลค่า 300 บาท เมื่อมียอดใช้จ่ายขั้นต่ำหลังหักส่วนลดสุทธิ มูลค่า 2,500 บาท
• โฮมโปร โฮมโปรออนไลน์ และเมกาโฮม : รับส่วนลด 100 บาท (เพื่อซื้อสินค้า 1,000 บาทขึ้นไป ต่อใบเสร็จ)

นอกจากนี้ ยังมีความพิเศษสำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ เมื่อซื้อกรมธรรม์ใหม่ (ยกเว้นประกันชีวิตควบการลงทุน Universal Life, Unit-Linked และ PA Stand Alone) โดยมีเบี้ยประกันภัยรวมตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไปและชำระเบี้ยประกันภัยแบบรายปี ภายในระยะเวลา 90 วัน นับจากวันเกิดของสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ รับคะแนนสะสม Smile Point คูณ 2 โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับสามารถกดรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน MTL Click ก่อนการซื้อกรมธรรม์ใหม่

“ทุกประสบการณ์แห่งการดูแล การสร้างสรรค์กิจกรรม สิทธิประโยชน์และแคมเปญต่างๆ ที่ตอบรับกับ Lifestyle ของลูกค้าและสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ในการสร้างความสุขและรอยยิ้ม ที่ทุกท่านสามารถเข้าร่วมได้ตลอดทั้งปี 2566 โดยการรับสิทธิพิเศษฟรี ส่วนลดร้านค้า และการแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกคุ้มค่ามากกว่าแค่คุ้มครอง ผ่านสิทธิประโยชน์ และกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุก Gen ตอบรับทุก Lifestyle ยกระดับการใช้ชีวิตของคุณสู่ Digital Lifestyle โดยลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สามารถดูรายละเอียดสิทธิพิเศษในเดือนเกิดได้ที่ www.muangthai.co.th และกดรับสิทธิพิเศษได้ในวันเกิดของลูกค้า ผ่านแอปพลิเคชัน MTL Click ซึ่งมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ 90 วันนับจากวันเกิด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1766 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้า ทั่วประเทศ”

ออมสิน หนุนผู้ประกอบการสายกรีน รวมพลังรักษ์โลก ลดมลพิษ สู่ชีวิตที่ยั่งยืน ด้วย “สินเชื่อธุรกิจ GSB Green Biz”

0

? ข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการสายกรีน พร้อมรวมพลังรักษ์โลก ลดมลพิษ สู่ชีวิตที่ยั่งยืน กับสินเชื่อธุรกิจ GSB Green Biz
✅ ดอกเบี้ยเริ่มต้น MOR/MLR -2.5% ต่อปี
✅ ผ่อนได้นานสูงสุด 10 ปี
✅ ไม่จำกัดวงเงินกู้

จุดเด่น
  • ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 2 ปี
  • ผ่อนได้นานสูงสุด 10 ปี
  • กู้ได้ทั้งบุคคลและนิติบุคคล (บุคคลธรรมดา วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป)
  • ไม่จำกัดวงเงินกู้สูงสุด
วัตถุประสงค์การกู้
  • เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
  • เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ถาวร
  • Refinance
คุณสมบัติและเอกสารการสมัคร

ผู้ประกอบการที่นำทฤษฎีเศรษฐกิจใหม่ BCG สำหรับธุรกิจในกลุ่ม “G” เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) มาใช้ในการดำเนินธุรกิจในทุกประเภทอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดย  “เน้นการแก้ไขปัญหามลพิษเพื่อลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน”  ผ่านการพัฒนาที่สมดุลทั้ง  3  ด้าน  คือ ด้านเศรษฐกิจ  สังคม  และสิ่งแวดล้อม เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล

ยื่นกู้ อนุมัติ และจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2566
? สมัครขอสินเชื่อได้ที่ https://bit.ly/3J41y8p
หรือติดต่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
⚠️ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ส่องเทรนด์ความหรูหราแห่งอนาคต ผ่านงานเปิดตัวหนังสือ LUXURY BRAND MANAGEMENT IN DIGITAL AND SUSTAINABLE TIMES

0

“นิยามของคำว่า Luxury คืออะไร” คำถามที่ผุดขึ้นมาในความคิดของหลายคน หลังได้ยินชื่อหนังสือ Luxury Brand Management in Digital and Sustainable Times หนังสือขายดีที่ถูกตีพิมพ์ครั้งที่ 4 ในรอบ 13 ปีจากการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2008 โดย MICHEL CHEVALIER และ GÉRALD MAZZALOVO ที่ผู้เขียนตั้งใจเรียบเรียงจากประสบการณ์การเป็นผู้บริหารแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลกมาเกือบทั้งชีวิต ประกอบกับการเป็นที่ปรึกษานักวิชาการ นักวิจัย ที่ค้นคว้าและตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับแบรนด์หรูมาอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดในงานเปิดตัวหนังสือ Luxury Brand Management in Digital and Sustainable Times ฉบับภาษาไทย แปลโดย ดร.ฐิติพร สถาวรมณี ผู้อำนวยการบริหาร Luxellence Center ศูนย์องค์ความรู้ด้านแบรนด์หรู คณะวิทยาการจัดการ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ได้ร่วมเสวนากับ Gerald Mazzalovo, DBA Senior Fellow, Sasin School of Management  ในหัวข้อ “Luxury of Tomorrow (ความหรูหราแห่งอนาคต)” ณ โซโห เฮาส์ แบงค๊อก โดยไฮไลท์จากการเสวนาคือเรื่องราวในหนังสือที่น่าสนใจหลายประเด็นอาทิ

นิยามของคำว่า Luxury ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต และข้อพิจารณาเกี่ยวกับแนวคิดที่เกิดขึ้นใหม่ของ “New Luxury” (ความหรูหราใหม่)

บทที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับ “การสื่อสารในยุคดิจิทัล” ซึ่งคำนึงถึงมิติทางดิจิทัลของเอกลักษณ์

แบรนด์และผลกระทบต่อกิจกรรมการมีส่วนร่วมของลูกค้า และแนวคิดเกี่ยวกับเส้นทางของลูกค้าที่เข้ามาสัมผัสแบรนด์ (Customer Journey) ถูกนำเสนอเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญ

  • คบทที่เขียนใหม่เกี่ยวกับ “ลูกค้าหรูหรา” ที่พิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในการบริโภคสินค้า
  • การผสมผสานของเศรษฐกิจจุลภาคและเศรษฐกิจมหภาค ที่ทำให้มีการอัปเดตข้อมูลและตัวเลขที่สำคัญที่มีอยู่ในหนังสือและเนื้อหาส่วนใหม่ที่อุทิศให้กับอุตสาหกรรมการบริการ
  •  เครื่องมือวิเคราะห์เชิงสัญศาสตร์ (Semiotic) ใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์การจัดการแบรนด์ร่วมสมัยของผู้เขียนทั้งสองท่าน
  • การบริหารจัดการแบรนด์ระดับโลก และความท้าทายที่แบรนด์ไทยจะต้องเผชิญในการไปให้ถึงจุดนั้น

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่น่าสนใจ สามารถร่วมค้นหาคำตอบนิยามของ Luxury ได้ในหนังสือการจัดการแบรนด์หรูฉบับที่ 4 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ในยุคดิจิทัลและความยั่งยืนได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 092-914-1622  อีเมล [email protected]

Pre-order ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31-ก.ค. 2566 จำนวนจำกัดเพียง 500 เล่ม  พิเศษ! เป็นเจ้าของก่อน ลด 79 บาท จากราคาเต็ม 790 เหลือ 711.- ส่งฟรีทุกเล่ม *หนังสือจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป

? สั่งซื้อได้เลยที่ LINE Shop https://shop.line.me/@sette/product/1004510910 

สกพอ. ร่วมมือ ตลท. ก.ล.ต. และ ธปท. ดันโครงการพัฒนาแหล่งระดมทุน EEC ดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก

0

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งระดมทุน EEC (EEC Fundraising Venue) เพื่อเป็นการสร้างระบบนิเวศสำหรับการลงทุนใน EEC ซึ่งจะทำให้บริการการเงินในตลาดเงินและตลาดทุนของไทยโดยรวมมีความหลากหลาย โดยนักลงทุนจะสามารถทำธุรกรรมทางการเงิน ระดมทุน และเข้าถึงบริการการเงินด้วยความคล่องตัวและในต้นทุนที่เหมาะสม โดยมุ่งเป้าหมายที่ กลุ่มบริษัทข้ามชาติ กลุ่มผู้ประกอบการไทยขนาดใหญ่ กลุ่ม SME และกลุ่มผู้ประกอบการ Start-Up ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้เข้ามาลงทุนหรือขยายการลงทุนในเขตพื้นที่ EEC

สกพอ. และ ตลท. โดยความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และ ธปท. จะร่วมกันจัดทำ Feasibility Study เพื่อพัฒนาแหล่งระดมทุน ดังกล่าว โดยพัฒนาระบบรองรับการระดมทุน และการซื้อขายหลักทรัพย์สำหรับกลุ่มผู้ระดมทุนเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี บนโครงสร้างพื้นฐาน (Platform) ของ ตลท. โดยมีแนวคิดพัฒนา 2 ส่วน ได้แก่
1) บนแหล่งระดมทุนเดิม (Traditional Path – SET) พัฒนากระดานระดมทุน EEC ที่ระดมทุนด้วยเงินตราต่างประเทศเป็นหลัก จะเริ่มด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นลำดับแรก ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจที่ต้องการจะระดมทุนและจัดทำงบการเงินหรือใช้เงินต่างประเทศเป็นสกุลเงินหลัก สามารถทำธุรกรรมกู้ยืมระดมทุน และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ได้โดยสะดวก โดย ตลท. จะพิจารณาแนวทางการพัฒนาระบบซื้อขายและแพลตฟอร์มของตลาด และ 2) บนแหล่งระดมทุนรูปแบบใหม่ (Digital Path) ระดมทุนในรูปแบบสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (Thai Digital Assets Exchange – TDX) ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ในการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจที่มีมูลค่าสูง (high value added) ที่ต้องการระดมทุนในรูป Project Finance รวมถึงกลุ่ม Start-Up และกลุ่มธุรกิจที่เป็น Innovation Base

“สกพอ. เชื่อมั่นว่า การพัฒนาแหล่งระดมทุน EEC ใหม่นี้ จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการสนับสนุนบริการการเงินในตลาดทุนและตลาดเงินของประเทศ ตอบสนองความต้องการของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างประเทศ เพิ่มทางเลือกให้กับธุรกิจในการระดมทุนในสกุลเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งเพิ่มทางเลือกในการให้บริการการเงินรูปแบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระดมทุน สามารถดึงดูดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมทั้งในพื้นที่อีอีซี และประเทศไทย” นายจุฬา กล่าว

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า การพัฒนาแหล่งระดมทุน EEC (EEC Fundraising Venue) จะเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ระดมทุนทั้งบริษัทไทยและต่างประเทศที่ใช้เงินตราต่างประเทศเป็น functional currency ให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่บริษัทไทยที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศให้มีทางเลือกในการระดมทุนมากขึ้น และจะเป็นการเพิ่มเครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างให้กับผู้ลงทุนในตลาดได้ และ ตลท. มีความยินดีที่สนับสนุน EEC ในการพัฒนาดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบัน ตลท. ได้มีการพัฒนาเกณฑ์เข้าจดทะเบียนในรูปแบบ New Economy Track ด้วยสกุลบาท ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่สนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษของ EEC สามารถเข้าจดทะเบียนได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการทำกระดาน US dollar น่าจะช่วยดึงดูดนักลงทุนที่ ไม่ได้อยากรับความเสี่ยงด้านเงินตราต่างประเทศแต่สนใจหลักทรัพย์ underlying ของไทยเป็นสำคัญ

นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวสนับสนุนการพัฒนาแหล่งระดมทุน EEC (EEC Fundraising Venue) และเล็งเห็นว่าการพัฒนาโครงการฯ จะอำนวยประโยชน์ให้กับทั้งผู้ออกหลักทรัพย์และนักลงทุน ในการเลือกสกุลเงินที่จะระดมทุนและนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในโดยยังคงยึดถือกฏเกณฑ์ เงื่อนไขการเข้าจดทะเบียน ซึ่งอิงหลักการเดิมของการดูแลคุ้มครองผู้บริโภคและนักลงทุน นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายของ ก.ล.ต. ที่สนับสนุนเรื่องการลงทุนและการระดมทุนของ New Economy เพื่อเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ด้านนายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ยินดีสนับสนุนการพัฒนาแหล่งระดมทุน EEC (EEC Fundraising Venue) การพัฒนาโครงการฯ มีความสอดคล้องกับนโยบายของ ธปท. ที่สนับสนุนให้คนไทยลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับนักลงทุนไทยที่ต้องการถือสินทรัพย์ที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศให้มีทางเลือกในการลงทุนในหลักทรัพย์ที่ออกระดมทุนในประเทศไทยเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ

เมืองไทยประกันชีวิต สนับสนุนงาน “วิ่งล่าสมบัติ สลัดพุง” เอาใจคนรักสุขภาพ มอบรายได้ให้มูลนิธิศุภนิมิตฯ

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมสนับสนุนการจัดการแข่งขัน “วิ่งล่าสมบัติ สลัดพุง” (Treasure Hunt Run) ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้คนไทยออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี โดยงานดังกล่าวเป็นหนึ่งในงานวิ่งที่มีของแจกมากที่สุด กับคอนเซปต์ “ร่วมวิ่งผ่านด่านของมาสคอตต่างๆ แล้วเก็บไอเทมเพื่อแลกของรางวัล”

ทั้งนี้ เพื่อนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ตามนโยบายของบริษัทฯ ด้าน ESG ที่มุ่งมั่น ในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม เพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืนรวมถึงการสนับสนุนกิจกรรม เพื่อสาธารณประโยชน์ และปลูกฝังค่านิยมในการมีจิตสาธารณะผ่านการสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้จากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อตอบแทนสังคมมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานในรูปแบบต่างๆ นับตั้งแต่ มีการก่อตั้งบริษัทฯ รวมถึงการส่งต่อความสุขสู่สังคมอย่างครบถ้วนทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ด้านธรรมาภิบาล และด้านเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความสุขอย่างยั่งยืนกับทั้งบริษัทและสังคมโดยรวมต่อไป

ภายในงานมีนักกีฬาให้ความสนใจเข้าร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,702 คน จากหลากหลายอาชีพ ทั่วประเทศ อาทิ ดารานักแสดง อินฟลูเอนเซอร์สายวิ่ง ซึ่งความโดดเด่นภายในงานดังกล่าวคือ บรรยากาศเต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาน และรอยยิ้มจากผู้เข้าร่วมงานระหว่างทางวิ่งในสวนธรรมชาติที่ไม่ธรรมดา พร้อมการเก็บไอเทมเมื่อวิ่งผ่านแต่ละด่าน เพื่อแลกของรางวัลพิเศษหลังจากวิ่งเข้าเส้นชัยเสร็จแล้ว โดยประเภทการแข่งขันมีทั้งหมด 2 ประเภท ดังนี้ ฟันรันระยะทาง 5 กิโลเมตร และมินิมาราธอนระยะทาง 10 กิโลเมตร
1.ประเภท ฟันรันระยะทาง 5 กิโลเมตร: วิ่ง 2 สวนคือ สวนรถไฟ และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ โดยเริ่มจากจุดปล่อยตัวนักวิ่ง เพื่อไปยังด่านวิหารนักปรุงยา ด่านหอคอยนักเวทย์ ด่านเมืองหลวงพ่อค้า ด่านปราสาทอัศวิน เพื่อวิ่งเข้าเส้นชัย
2.ประเภท มินิมาราธอนระยะทาง 10 กิโลเมตร: วิ่ง 3 สวน คือ สวนรถไฟ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์และสวนจตุจักร โดยเริ่มจากจุดปล่อยตัวนักวิ่ง เพื่อไปยังด่านวิหารนักปรุงยา ด่านหอคอยนักเวทย์ ด่านปราสาทอัศวิน ด่านหมู่บ้านนักตีดาบ ด่านสวนนักปรุงรส ด่านหมืองหลวงพ่อค้า ด่านวิหารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อวิ่งเข้าเส้นชัย

“เมืองไทยประกันชีวิต ส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดี ตอบโจทย์คนรักสุขภาพที่ต้องการออกกำลังกาย ภายใต้ กลยุทธ์ “Happiness Reinvented : เพราะความสุขคือทุกอย่าง… ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต” เน้นเดินหน้าสานต่อความมุ่งมั่นในการสร้างความสุขให้แก่ทุกๆ คน ทั้งลูกค้า พนักงาน พาร์ทเนอร์ และสังคมโดยรวมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ กิจกรรมและการบริการเพื่อส่งมอบความสุขแบบครบวงจรอย่างแท้จริง” นายสาระ กล่าว

ฝึกทักษะน้องๆ “ฟัง พูด อ่าน เขียน” ภาษาอังกฤษ กับโครงการ “Smart Kids” รร. ชุมชนหนองแวงสุวิทย์ จ.นครราชสีมา

0

“ก่อนที่จะมีโครงการ Smart Kids นักเรียนไม่แม่นยำเรื่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ขาดความมั่นใจ ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษยังไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่หลังจากที่โรงเรียนมีโครงการนี้ นักเรียนส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น จาก Level 2 เป็น Level 4 หรือ จากที่พูดภาษาอังกฤษ ค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ ตะกุกตะกัก ไม่สามารถพูดต่อเนื่องได้ สื่อสารตามโครงสร้างประโยคได้น้อย พัฒนาการสู่การพูดด้วยความเป็นธรรมชาติ มีความราบรื่น เข้าใจเป็นประโยคสั้นๆ ง่ายๆได้ และสื่อสารเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้ ถูกต้องตามโครงสร้างประโยค ” น.ส.ประภาพร ผาจันทร์ คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการ Smart Kids โรงเรียนชุมชนหนองแวงสุวิทย์ เล่าถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากที่เด็กนักเรียนได้ฝึกทักษะ การฟัง พูด อ่าน เขียน ในโครงการ Smart Kids

โรงเรียนชุมชนหนองแวงสุวิทย์ อยู่ในพื้นที่ต.หนองหว้า อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา เป็นโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียน 102คน บุคลากรครู 8 คน เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 2 จนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสมัครเข้าร่วมโครงการสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี และในปีการศึกษา 2565 (16 พฤษภาคม 2565 – 31 มีนาคม 2566 ) ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ให้ดำเนินโครงการ Smart Kids

ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารโรงเรียน ภายใต้การบริหารโดยนายสมฤกษ์ แสนศรี ผู้อำนวยการ รร. ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษของนักเรียนทุกระดับชั้น ให้สามารถ ฟัง พูด อ่าน เขียน และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ โรงเรียนฯจึงได้จัดทำโครงการ “Smart Kids เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วย The Communicative Approach”ประกอบกับโรงเรียนฯเข้าร่วมโครงการคอนเน็กซ์ อีดี จึงได้นำเสนอแผนการดำเนินโครงการฯ และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากซีพีเอฟ ในปีการศึกษา 2565

คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ กล่าวว่า โรงเรียนฯ มีเป้าหมายเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน เพิ่มขีดความสามารถ และจำนวนบุคลากรครู ด้านการสอนภาษาอังกฤษ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน จัดหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารครบทุกชั้น จัดทำคู่มือการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของโรงเรียน บูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ สามารถนำไปใช้ในการศึกษาต่อด้านหลักสูตรภาษาอังกฤษที่สูงขึ้น รวมไปถึงการพัฒนาให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางจัดการการสอนภาษาอังกฤษที่ทันสมัยเทียบเท่าโรงเรียนสองภาษา

การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วย The Communicative Approach ตั้งแต่ Step 1-6 ประกอบด้วย Step 1 (Warm Up)กล่าวทักทาย แนะนำตัว Step 2 (Ice Breaking)เล่นกม ร้องเพลง Step 3 (Presentation)ครูสอนคำศัพท์ สอนประโยคคำถามและคำตอบ Step 4 (Practice)นักเรียนฟังและฝึกพูดสื่อสาร Step5 (Wrap Up)ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย และ Step 6 Extra !Extra ! กิจกรรมเสริมทักษะ

โครงการ Smart Kid โดยโรงเรียนชุมชนหนองแวงสุวิทย์ มีกิจกรรมให้เด็กนักเรียนได้ฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ฟัง พูด อ่าน เขียน อาทิ จัดอบรมภาษาอังกฤษให้แก่คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนสำหรับหลักสูตร MEP (English mini program) จัดแข่งขันทักษะภาษาต่างประเทศ กิจกรรม one day one word one sentence ทุกวันหน้าเสาธง จัดเข้าค่ายภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียน เป็นต้น

เด็กชายธนวัฒน์ สีคราม นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดในกิจกรรมการเขียนเรื่องสั้นภาษาอังกฤษประกอบภาพ (Pictorial Writing)ระดับชั้นป. 4- ป.6 ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง รองชนะเลิศอันดับที่ 2 และได้รับเกียรติบัตรที่มอบโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ครั้งที่ 70 ปีการศึกษา 2565 และในงานเดียวกัน เด็กหญิงธัญญาภรณ์ เจิมขุนทด ชั้น ป. 4 เช่นเดียวกันที่เป็นตัวแทนโรงเรียน ร่วมกิจกรรมการแข่งขันเล่านิทาน(Story Telling)ระดับชั้น ป. 4- ป. 6

“ผมชอบเรียนภาษาอังกฤษ คุณครูให้ผมเล่นเกมเขียนต่อคำศัพท์บนกระดานก่อนเรียน ผมชอบแข่งขันกัน สนุกดีครับ โดยเฉพาะเกม Crossword ผมกลับบ้านไปท่องคำศัพท์ก่อนมาเล่นที่โรงเรียนเสมอ พอผมรู้คำศัพท์ทำให้สามารถเขียนเรื่องจากภาพได้ ผมแข่งกับพี่ๆแต่ผมก็ได้รางวัลครับ ผมดีใจ อยากให้มีเข้าค่ายภาษาทุกปีเลยครับ” ด.ช.ธนวัฒน์ กล่าว

ด้าน ดญ.ธัญญาภรณ์ กล่าวว่า หนูชอบการเข้าค่ายภาษาอังกฤษค่ะ ชอบกิจกรรมวันภาษาอังกฤษที่มีแข่งขัน หนูฝึกเล่านิทาน ครูจัดแข่งขันภาษาอังกฤษที่โรงเรียน ในวันคริสมาสต์ สนุกมาก และตอนที่พี่ๆซีพีเอฟ มาเยี่ยม รร.ของเรา หนูก็เป็นคนกล่าวต้อนรับ มีพี่ๆน้องๆที่ช่วยกันแสดงนิทาน ขอขอบคุณพี่ๆซีพีเอฟ ที่สนับสนุนโครงการ Smart Kids ของโรงเรียนเรา พวกหนูจะตั้งใจเรียนค่ะ

ซีพีเอฟ เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์ อีดี มุ่งสร้างเด็กดี มีความสามารถ ตามเป้าหมายของมูลนิธิสานอนาคตการศึกษา ซึ่งในปีการศึกษา 2566 นี้ บริษัทฯ ได้คัดเลือก 9 โครงการ เพื่อเป็นโครงการต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่่นๆ มุ่งเน้น 3 ด้าน คือ ด้านวิชาการ เกษตรอัจฉริยะ และวิชาชีพ โดยโครงการต้นแบบด้านวิชาการ ประกอบด้วย โครงการ Active Learning พัฒนาครูและส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม โครงการนัก Coding น้อย พัฒนาผู้เรียนคิดอย่างเป็นระบบและรู้เท่าทันเทคโนโลยี โครงการ Smart-Kids English เรียนรู้และสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษในทุกด้านได้ ด้านเกษตรอัจฉริยะมี โครงการฟาร์มไก่พันธุ์ไข่ โครงการเกษตรผสมผสาน โครงการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ด้านวิชาชีพ ประกอบด้วย โครงการร้านกาแฟเด็กน้อย โครงการขนมและเบเกอรี่ และโครงการเด็กช่างนักประดิษฐ์ ซึ่งในทุกๆโครงการ บริษัทฯมองถึงผลสัมฤทธิ์ที่นักเรียนจะได้รับทั้งประสบการณ์และทักษะพื้นฐานเพื่อนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป