Home Blog Page 156

ออมสิน​ จัดให้​ “เงินฝากเผื่อเรียก Protect Life” ฝากเงินพร้อมได้ประกันอุบัติเหตุ

0

“? ฝากเงินพร้อมได้ประกันอุบัติเหตุ
รับความคุ้มครองทันที ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน…ได้ทั้งออมเงินและได้รับความคุ้มครอง กับเงินฝากเผื่อเรียก Protect Life วงเงินคุ้มครอง 20 เท่า สูงสุด 10,000,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ยรับเต็ม ไม่เสียภาษี อัตราดอกเบี้ย 0.15% ต่อปี


⏏️ เงื่อนไข
▪️ เปิดบัญชีเพียง 100 บาท
▪ จำนวนเงินเอาประกันภัยเท่ากับ 20 เท่าของยอดเงินฝากคงเหลือในบัญชี ณ วันก่อนประสบอุบัติเหตุ 1 วัน สูงสุดไม่เกิน 10,000,000 บาทต่อราย โดยจะพิจารณาค่าสินไหมทดแทนตามข้อตกลงคุ้มครอง (อบ.2)
▪ ธนาคารเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน โดยผู้ฝากเงินเป็นผู้เอาประกัน รับประกันโดยบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

? เปิดบัญชีตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย. – 30 ธ.ค. 66 ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://bit.ly/3NrzVJ7
⚠️ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี มอบทุนอาหารกลางวันปีที่ 39 สู่ 89 โรงเรียนภาคเหนือ

0

มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ภายใต้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด มอบเงินกว่า 12 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนอาหารกลางวันให้กับ 89 โรงเรียนที่ขาดแคลนในจังหวัดเชียงราย, จังหวัดพะเยา และ จังหวัดน่านเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับนักเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลนอาหารกลางวัน ซึ่งได้ทำมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 39 โดยสามารถช่วยเหลือเยาวชนให้ได้รับอาหารกลางวันที่มีคุณภาพและถูกต้องตามหลักโภชนาการ ได้มากกว่า 10,000 คนต่อปี

นายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ สิงห์ปาร์ค เชียงราย กล่าวว่า นอกจากแนวทางในการพัฒนาสิงห์ปาร์ค เชียงรายให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดเชียงราย เพื่อนำรายได้จากการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ให้ความสำคัญคือ การส่งเสริมการศึกษาและดูแลคุณภาพชีวิตของนักเรียนในจังหวัดเชียงรายและอีกหลายจังหวัดในภาคเหนือเช่นกัน อย่างเช่นโครงการมอบทุนอาหารกลางวัน ที่ทำมาต่อเนื่อง 39 ปี ซึ่งในปีนี้ได้มอบทุนอาหารกลางวันจำนวนกว่า 12 ล้านบาทให้กับ 89 โรงเรียน เชื่อว่าจะสามารถเป็นส่วนเพิ่มเติมที่สามารถสร้างอาหารกลางวันที่มีคุณภาพตามหลักโภชนาการและเพียงพอต่อการพัฒนาร่างกายของเด็กๆได้เป็นอย่างดี

ว่าที่ร้อยเอก เสรี เชื้ออ้วน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านวาวี กล่าวว่า “โรงเรียนตั้งอยู่ใจกลางดอยวาวี รองรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 จนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวม 615 คน ซึ่งเด็กๆ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เกือบทั้งหมด ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน โรงเรียนจึงไม่ได้มีหน้าที่แค่บ่มเพาะความรู้ แต่ยังต้องดูแลให้เด็กได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านมื้ออาหารที่มีประโยชน์ แต่ด้วยสถานที่ตั้งของโรงเรียนอยู่บนดอยสูง การจะลงจากดอยไปซื้อในเมืองคราวละมากๆ วัตถุดิบในการทำอาหารก็จึงมีราคาสูงตามไปด้วย ทางโรงเรียนจึงต้องบริหารจัดการงบที่มีอยู่อย่างจำกัด เพราะประสบปัญหาหนักเรื่องต้นทุน แต่เมื่อได้รู้ว่ามูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดีจะมอบทุนอาหารกลางวัน ก็รู้สึกดีใจมากเพราะเด็กๆ จะได้รับประทานอาหารกลางวันอย่างเต็มอิ่ม ได้รับสารอาหารครบถ้วน ซึ่งทางโรงเรียนรู้สึกซาบซึ้งที่ทางมูลนิธิฯ เล็งเห็นความสำคัญของเด็กและเยาวชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพราะเมื่อเด็กๆ ได้รับการดูแล ได้ทานอาหารที่ดี ก็จะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต” โดยการส่งมอบความสุขผ่านมื้ออาหารกลางวันที่มีประโยชน์และมีคุณค่าอาหารตามหลักโภชนาการ จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ให้มีสุขภาพและมีพัฒนาการที่แข็งแรง สามารถเติบโตสู่การเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไปได้ในอนาคต พร้อมทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์ให้ประเทศ ซึ่งถือเป็นต้นทางของการพัฒนาที่ยั่งยืนในมิติอื่นๆ ตามมาได้ในที่สุด

สำหรับโครงการมอบทุนอาหารกลางวันในครั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในภารกิจหลักที่ทาง “มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี” และบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ทำต่อเนื่องมากว่า 39 ปี ตอกย้ำปณิธานของพระยาภิรมย์ภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผู้ที่ให้ความสำคัญในการสร้างความมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้ดำเนินกิจการเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้พันธกิจหลัก 4 ด้าน ได้แก่ การศึกษา การสาธารณสุข การช่วยเหลือสังคม การอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

AIS เปิดตัว​ “ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล Thailand Cyber Wellness Index” มาตรวัดทักษะดิจิทัลฉบับแรกของไทย​

0
เผย! ปัจจุบัน กว่า 44.04% คนไทยยังเสี่ยงภัยไซเบอร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า​ เมื่อวันที่​ 16​ มิ.ย.​ 2566​ บริษัทแอดวานซ์​ อินโฟร์​ ​เซอร์วิส​ จำกัด​ (มหาชน)​ (AIS) เปิดตัว​มาตรวัดทักษะทางดิจิทัลฉบับแรกของไทย “ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล Thailand Cyber Wellness Index (TCWI)” โดยร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และนักวิชาการด้านเทคโนโลยี ด้านสุขภาพ ด้านสื่อสารมวลชน ด้านการศึกษา และด้านการวัดประเมินผล ระดมความคิดในการออกแบบกรอบการศึกษา ขั้นตอนและวิธีการเก็บผล กลุ่มตัวอย่าง รวมถึงการวิเคราะห์และสรุปผลการศึกษา จนออกมาเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย ที่เป็นไปตามมาตรฐาน แม่นยำ และถูกต้องตรงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นมาตรฐานใหม่ในการสร้างพลเมืองดิจิทัลและสังคมการใช้งานดิจิทัลที่ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าผสานกำลังส่งมอบดัชนีนี้ไปยังเครือข่ายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อร่วมกันนำองค์ความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจในการใช้งานดิจิทัลให้แก่คนไทยทุกกลุ่มต่อไป

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า​ ที่ผ่านมากว่า 4 ปี  AIS อาสาจุดประกายสังคมเกี่ยวกับประเด็นนี้ ตั้งแต่วันที่ดิจิทัลเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อวิถีการใช้ชีวิต ผ่านโครงการ AIS อุ่นใจ CYBER ทั้งในด้านการสร้างความตระหนักรู้ถึงอันตรายและผลกระทบจากการใช้งาน การพัฒนาโซลูชันและบริการดิจิทัลเพื่อปกป้องและส่งเสริมการใช้งานอย่างปลอดภัย และการสร้างองค์ความรู้เพื่อส่งเสริมความฉลาดและทักษะของพลเมืองดิจิทัล

สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS

“จากการทำงานเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องทำให้เราเห็นแนวทางแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน จึงเป็นที่มาของการพัฒนาดัชนีชี้วัดที่จะบ่งบอกถึงระดับความรู้และทักษะดิจิทัลในด้านต่างๆ ที่ชัดเจนของประชาชนในแต่ละกลุ่ม อันจะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำเครื่องมือ และองค์ความรู้ส่งมอบให้กับคนไทยได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับปัญหาเกิดขึ้น ในชื่อของ “ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล หรือ Thailand Cyber Wellness Index (TCWI)” ที่ถือเป็นฉบับแรกของประเทศไทย โดยมีพันธมิตรรายสำคัญอย่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี พร้อมนักวิชาการหลากหลายแขนง มาร่วมกันทำงานเพื่อยกระดับเรื่องดังกล่าวให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมต่อไป”

รศ.ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีหรือ มจธ. กล่าวว่า “เราทำงานร่วมกับ AIS มาอย่างต่อเนื่องในการสร้างองค์ความรู้จัดทำหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ เพื่อสร้างทักษะดิจิทัลให้แก่คนไทย จนมาวันนี้ เรามีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือวัดผลถึงการใช้งานกับ ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล และเพื่อให้การศึกษาครั้งนี้เป็นไปตามหลักมาตรฐานของการวิจัย มีความถูกต้อง แม่นยำ เชื่อถือได้ จากการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเครือข่ายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ทั้งด้านเทคโนโลยี ด้านสุขภาพ ด้านสื่อสารมวลชน ด้านการศึกษา และการวัดประเมินผล ในการออกแบบระเบียบวิธีวิจัย กรอบแนวคิด จนสามารถพัฒนาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทยออกมาได้ 3 ระดับ ตั้งแต่ระดับ Advanced ระดับ Basic  และระดับ Improvement ที่จะบ่งบอกถึงความสามารถในการใช้งานดิจิทัลของประชาชนไทยแต่ละกลุ่ม ในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ”

ดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล Thailand Cyber Wellness Index ชี้ให้เห็นถึงทักษะดิจิทัล  ที่ครอบคลุมพฤติกรรมการใช้งานดิจิทัลของคนไทย 7 ด้าน ประกอบด้วย ทักษะการใช้ดิจิทัล (Digital Use), ทักษะการรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy), ทักษะ ด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกันบนดิจิทัล (Digital Communication and Collaboration), ทักษะด้านสิทธิทางดิจิทัล (Digital Rights), ทักษะด้านความมั่นคงความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security and Safety), ทักษะด้านการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ (Cyberbullying) และทักษะด้านความสัมพันธ์ทางดิจิทัล (Digital Relationship) ที่มีขั้นตอนวิธีการเก็บผลสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลายทั้งช่วงอายุ และกลุ่มอาชีพจากทุกจังหวัด ทั่วประเทศกว่า 21,862 คน ซึ่งวันนี้จากผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมของคนไทยมีสุขภาวะทางดิจิทัล อยู่ในระดับพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีถึง 44.04% ที่ยังอยู่ในระดับต้องพัฒนา แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ดิจิทัลให้กับประชาชนเพิ่มขึ้น”

นายสมชัย กล่าวว่า “จากผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย ทำให้เราเห็นจุดที่ต้องพัฒนาทักษะเพิ่มความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ใช้งานในอีกหลายประเด็น โดย AIS พร้อมด้วยพันธมิตรจะยังคงเดินหน้าทำงานเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง สุดท้ายต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่เข้ามามีส่วนสำคัญทำให้ดัชนีฉบับนี้เป็นสมบัติของประเทศไทย อันจะเป็นเสมือนหนึ่งเข็มทิศที่ช่วยให้พวกเรามองเห็นเส้นทางในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับคนไทยได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง”

ผู้สนใจสามารถอ่านรายละเอียดผลการศึกษาดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เพิ่มเติมที่ https://sustainability.ais.co.th/storage/update/report/advanc-ebook-thailand-cyber-wellness-th.pdf หรือองค์กรใดสนใจนำดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัล Thailand Cyber Wellness Index เพื่อใช้วัดผลและขับเคลื่อนองค์กร สามารถติดต่อมาได้ที่ [email protected]

ชั้นวางเด่นพลิกชีวิต​ SME Shelf ดันยอดขายสินค้า SME ในเซเว่นฯพุ่ง​ ขนมขบเคี้ยว มูซ่า – กล้วยตากอบน้ำผึ้งลานทอง คว้าโอกาสโต

0

 

ใครว่า “ชั้นวางสินค้า” ไม่สำคัญ ไม่มีผลต่อยอดขาย 2 ผู้ประกอบการ SME  สินค้าขายดีในเซเว่น อีเลฟเว่นอย่าง “ขนมขบเคี้ยวแบรนด์ มูซ่า และ กล้วยตากอบน้ำผึ้งลานทอง” ขอค้านเสียงแข็ง เพราะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้ว ด้วยยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด 

ย้อนกลับไปในช่วงเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ถือเป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบอย่างมากโดยเฉพาะด้านยอดขาย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ในฐานะองค์กรที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการ SME มาอย่างต่อเนื่อง ได้เห็นถึงผลกระทบดังกล่าว จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพลิกฟื้นสถานการณ์ผ่าน “SME Shelf” ชั้นวางสินค้าเอสเอ็มอีโดยเฉพาะในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 เพื่อสร้าง ความสะดวกในการมองเห็น (Easy to see) ให้ผู้บริโภคมองเห็นว่าสินค้าชิ้นไหนเป็นของเอสเอ็มอีได้อย่างชัดเจน ความสะดวกในการเข้าถึง (Easy to reach) ให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าเอสเอ็มอีได้ง่าย ความสะดวกในการไว้วางใจ (Easy to trust) ให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจในคุณภาพสินค้าเอสเอ็มอีที่ผ่านการคัดกรองคุณภาพ นำไปสู่การตัดสินใจสนับสนุน SME ได้ง่ายขึ้น

ผ่านมากว่า 1 ปี จำนวน SME Shelf เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็น 5,500 สาขาในปัจจุบัน เพิ่มรายได้ให้กับผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง ยืนยันโดย บีม-พรรษนันท์ พลสว่าง เจ้าของแบรนด์ขนมขบเคี้ยว “มูซ่า” และ เอ๊ะ-ปาณัสม์ศา เคร่งกำเนิด เจ้าของกล้วยตากอบน้ำผึ้งลานทอง2 ผู้ประกอบการ SME ที่เป็นคู่ค้าเซเว่น อีเลฟเว่น มาร่วม 10 ปี

“มูซ่า” ชี้ “SME Shelf” ดันยอดขายปี’65 พุ่ง 40 ล้าน 

บีม-พรรษนันท์ พลสว่าง กรรมการ บริษัท ทูบี อินเตอร์ฟู๊ดส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลไม้แปรรูป    แบรนด์ “มูซ่า” ทายาทรุ่น 2 ที่เข้ามาช่วยบริหารงาน เล่าให้ฟังว่า มูซ่า เติบโตมาจากร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ตั้งแต่ปี 2557 ด้วยสินค้าเพียง 1 SKU คือ ขนมปังกรอบขาไก่รสเค็ม และมีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าจัดจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ถึง 20 SKU ครอบคลุมสินค้ากลุ่มทานเล่นและผลไม้แปรรูป อาทิ ขาไก่จัมโบ้ ขาไก่ 3 รส ขนมปังไส้สับปะรด ซึ่งทุก SKU ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ขนมปังกรอบขาไก่รสแซ่บและขนมปังกรอบซุปเปอร์

กระทั่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พบว่า ยอดขายในกลุ่มขาไก่ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้ายอดนิยมของบริษัทปรับลดลง 30% แต่หลังจากที่ เซเว่น อีเลฟเว่น ดำเนินโครงการ “SME Shelf” โดยมีสินค้าของบริษัทจัดวางอยู่บน SME Shelf ด้วย พบว่า ยอดขายปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2564 บริษัทมียอดขายรวม 35 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มียอดขายอยู่ที่ 29 ล้านบาท ล่าสุดในปี 2565 บริษัทมียอดขายรวมอยู่ที่ 40 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“SME Shelf ช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับสินค้า ลูกค้าเห็นสินค้าได้ง่ายขึ้น โฟกัสสินค้าที่ต้องการได้ชัดเจนมากขึ้น ดูได้จากยอดขายของขนมปังกรอบขาไก่รสแซ่บและขนมปังกรอบซุปเปอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี”  

ช่องทางเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 

ด้าน เอ๊ะ-ปาณัสม์ศา เคร่งกำเนิด เจ้าของกล้วยตากอบน้ำผึ้งลานทอง กล่าวว่า การจะนำสินค้าเพื่อวางจำหน่ายบน SME Shelf ได้นั้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาตัวตนเองและสินค้าอยู่เสมอ ที่ผ่านมาทีมผู้เชี่ยวชาญของเซเว่น อีเลฟเว่น ก็เข้ามาช่วยคำแนะนำและเพิ่มองค์ความรู้ด้านต่างๆ อาทิ การให้ความรู้ด้านการบริหารจัดการ การทำบัญชี ความรู้เรื่องมาตรฐานการผลิต SME Shelf  จึงไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้ผู้ประกอบการอีกด้วย

“กล้วยตากอบน้ำผึ้งลานทองเป็นสินค้าเกษตร ที่ต้องอาศัยระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติของสินค้าให้ได้มาตรฐาน โดยเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นผู้มาให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะการจะอยู่ในตลาดได้นาน ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงนั้น ผู้ประกอบการและสินค้าต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ” 

ล่าสุด เซเว่น อีเลฟเว่น ยังคงเดินหน้าโครงการ SME Shelf อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังคงสร้างกิมมิกใหม่ๆ สร้างความโดดเด่นให้สินค้า SME เพิ่มเติม เช่น การติดป้ายแจ็คสัน หวัง โปรโมทชวนซื้อสินค้า SME เพื่อช่วยให้สินค้า SME มีโอกาสเติบโตและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น สอดคล้องกับปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน”

ซีพีเอฟ จับมือ มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิต (LPN) สร้างเสริมสิทธิมนุษยชนต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนระดับสากล สานต่อความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร “มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน” (Labour Protection Network Foundation: LPN) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ดำเนินการศูนย์รับฟังเสียงพนักงาน และจัดอบรมพนักงาน ย้ำความมุ่งมั่นในการปฏิบัติต่อพนักงานอย่างเท่าเทียม ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตสอดคล้องกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สร้างความเชื่อมั่นในองค์กร ต่อต้านการใช้แรงงานผิดกฎหมายทุกรูปแบบ แรงงานเด็ก และแรงงานบังคับตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ กล่าวว่า ความร่วมมือกับมูลนิธิ LPN ตั้งแต่ปี 2560 จากการพัฒนากลไกการรับเรื่องร้องเรียนผ่านการจัดตั้งศูนย์รับฟังเสียงสะท้อนของพนักงาน “Labour Voices Hotline by LPN” และการอบรมพนักงานสร้างความตระหนักรู้ด้านสิทธิมนุษยชน เป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในการดูแลและปฏิบัติต่อพนักงานของซีพีเอฟที่มีความหลากหลายและแตกต่างในประเด็นสัญชาติ ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ เพศสภาพ อายุ สรีระทางกายภาพ เป็นต้น ช่วยสนับสนุนให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายในการปกป้องคุ้มครองพนักงานในทุกระดับ เคารพในความหลากหลาย ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ยอมรับความแตกต่าง ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรการมีส่วนร่วม ช่วยลดความเสี่ยงการล่วงละเมิดหรือการคุกคามในทุกรูปแบบ ตลอดจนป้องกันการใช้แรงงานบังคับ แรงงานผิดกฎหมาย และแรงงานเด็กไม่ให้เกิดขึ้นภายในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน

“มูลนิธิ LPN เป็นพันธมิตรที่มีส่วนสนับสนุนให้ซีพีเอฟเป็นองค์กรที่มีความโดดเด่นในเรื่องการปฏิบัติต่อพนักงานที่มีความหลากหลายอย่างเท่าเทียม สร้างบรรยากาศในการทำงานให้มีความเคารพซึ่งกันและกัน สอดคล้องกับนโยบายการบริหารความหลากหลายและยอมรับความแตกต่าง (Diversity and Inclusion Policy) ช่วยให้พนักงานทุกคนของบริษัท โดยเฉพาะพนักงานต่างชาติสามารถทำงานและดำรงชีวิตในประเทศไทยได้อย่างมีความสุข” นางสาวพิมลรัตน์กล่าว

นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ซีพีเอฟและมูลนิธิ LPN ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงทำงานร่วมกันจัดตั้งศูนย์รับฟังเสียงพนักงาน “Labour Voices Hotline by LPN” เป็นช่องทางรับฟังเสียงสะท้อนและความคิดเห็นของพนักงานซึ่งดำเนินงานโดยองค์กรกลางภายนอก (Neutral organization) ในทุกภาษาที่พนักงานเข้าใจ ทั้งภาษาไทย กัมพูชา และเมียนมา ซึ่งช่วยให้บริษัทได้รับทราบถึงปัญหาหรือข้อเสนอแนะของพนักงานและนำไปปรับปรุงและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว เป็นการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติด้านแรงงานบนพื้นฐานความเท่าเทียม และป้องกันปัญหาการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานขัดหนี้ แรงงานบังคับ แรงงานเด็ก และการค้ามนุษย์ ที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการสรรหาและจ้างแรงงานต่างชาติ ตลอดจนป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกัน มูลนิธิ LPN ยังจัดการอบรมพนักงานในสถานประกอบการของซีพีเอฟทั่วประเทศให้มีความเข้าใจและตระหนักถึงสิทธิของตนเองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและมาตรฐานแรงงานสากล ความปลอดภัยในการทำงาน รวมถึงวัฒนธรรมไทยเพื่อช่วยให้พนักงานต่างชาติสามารถปรับตัวกับชีวิตความเป็นอยู่แบบไทยได้ดี ช่วยให้การทำงานร่วมกันมีความราบรื่น ซึ่งซีพีเอฟยังได้แบ่งปันและถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีต่อแรงงานให้แก่คู่ค้าและเกษตรกรในห่วงโซ่อุปทานอีกด้วย ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมามูลนิธิ LPN ได้จัดอบรมพนักงานในสถานประกอบการทั่วประเทศแล้ว 91 รุ่น

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ LPN ยังจัดกิจกรรมเข้าเยี่ยมและพูดคุยอย่างเป็นกันเองถึงหอพักของพนักงานต่างชาติ (Focus Group) เพื่อรับฟังเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ ข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นต่างๆ เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน และเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการจัดจ้างแรงงานต่างชาติตั้งแต่ประเทศต้นทางมีความถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ตามหลักการจ้างงานอย่างมีจริยธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรบนพื้นฐานบรรษัทภิบาลที่ดี สร้างมาตรฐานองค์กรที่สนับสนุนการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเคารพซึ่งกันและกัน

AWC จับมือ Nobu Hospitality พัฒนา Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์คเชื่อมสองมหานคร กรุงเทพฯ และนิวยอร์ก

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต โดยเข้าลงทุนหุ้นธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก และได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality เพื่อร่วมสร้างโรงแรมระดับไอคอนิก 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee เชื่อม 2 มหานครคือ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก และโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก โดยผนึกความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมทั้งสองแห่งซึ่งจะพัฒนาจากอาคารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีความสวยงาม และอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดของเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของโลก

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า “การลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก ซึ่งเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีชื่อเสียงยาวนาน ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของนิวยอร์ก ได้ให้การต้อนรับบุคคลสำคัญระดับโลกจากนานาประเทศ อีกทั้งยังได้รับรางวัลต่างๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สิน Freehold ที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสุดพิเศษของเมือง ทำให้การลงทุนครั้งนี้เป็นโอกาสก้าวสำคัญของ AWC ในการนำศักยภาพด้านการพัฒนาโครงการระดับโลกของบริษัทไปสู่ตลาดที่มีความมั่นคงสูง เพื่อเสริมการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

“นอกจากนี้ AWC มีความยินดีที่ได้ยกระดับความร่วมมือในระยะยาวกับพันธมิตรอย่าง Nobu Hospitality ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับรางวัลแบรนด์ที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง และยังมีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ที่จะร่วมสร้างคุณค่าให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับแฟลกชิปของ AWC ในกรุงเทพฯ และนครนิวยอร์กภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ซึ่งจะรวมเอาความพิเศษของแบรนด์ Plaza Athenee ที่มีความหรูหราแบบตะวันตกอย่างเป็นเอกลักษณ์ มาผสานกับการมอบประสบการณ์แบบโมเดิร์นลักซ์ชูรี่วัฒนธรรมมินิมอลตะวันออกของแบรนด์ไลฟ์สไตล์อย่าง Nobu ได้อย่างลงตัว โดยโครงการอันทรงคุณค่าทั้งสองโครงการจะพัฒนาให้สะท้อนถึงเสน่ห์แห่งกาลเวลากว่าศตวรรษ ควบคู่การออกแบบไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ ซึ่งถือเป็นโครงการแฟลกซิฟของความร่วมมือระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality ในทั้งสองมหานครของโลก ทั้งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการบริการระดับลักซ์ชูรี่ โดยโรงแรมทั้งสองแห่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2569”

การลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก มูลค่า 7,789 ล้านบาทครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการของบริษัท และอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการลงทุนในโครงการแฟลกชิปครั้งนี้จะส่งเสริมการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน พร้อมขยายกลยุทธ์การดำเนินงานการสร้างผลประกอบการ และฐานลูกค้าของทางบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

มร.เทรเวอร์ ฮอร์เวลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nobu Hospitality กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจาก AWC เข้าร่วมพัฒนาโรงแรมในสองโครงการสำคัญของ AWC ที่มีประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ และนครนิวยอร์ก และยังรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมทำงานใกล้ชิดกับทีมงานของ AWC ซึ่งนำโดยซีอีโออย่างคุณวัลลภา ไตรโสรัส ที่มีวิสัยทัศน์พร้อมสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการโรงแรมและบริการ โดยทั้งโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปาแบงคอก และโรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก จะนำเสนอความลักซ์ชูรี่ที่พิเศษ ตอบโจทย์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการเริ่มการเดินทางเพื่อร่วมสร้างสรรค์มิติใหม่ไปด้วยกัน”

โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก ได้รับการพัฒนามาจากโรงแรม ‘Plaza Athenee’ ซึ่งเป็นอาคารอันทรงคุณค่าประวัติศาสตร์ที่มีอายุเกือบร้อยปี ตั้งอยู่ในย่าน Upper East Side บนถนน 64 ระหว่างถนนปาร์ค อเวนิว และถนนเมดิสัน อเวนิว ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ ใกล้สวนสาธารณะ Central Park พิพิธภัณฑ์ สถานกงสุล และแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ โดยมีดีไซน์ที่เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมความหรูหราของตะวันตกจากแบรนด์ Plaza Athenee เข้ากับสไตล์โมเดิร์นลักซ์ชูรี่ที่รวมความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นอย่างลงตัว นอกจากนี้โรงแรมยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมถึงงานศิลปะจากเหล่าศิลปินที่มีชื่อเสียง ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 145 ห้อง พร้อมด้วยห้องอาหารสไตล์โอมากาเสะ และ Nobu Bar and Lounge ที่ออกแบบขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ที่มีชื่อเสียง คนในพื้นที่ และแขกผู้มาเยือน รวมถึงมีรู๊ฟท็อปสำหรับจัดงานปาร์ตี้แบบส่วนตัวที่สามารถชมวิวแบบพาโนรามาของนิวยอร์กซิตี้ พร้อมทั้งออนเซ็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สปา และศูนย์สุขภาพ นอกจากนี้ยังมีห้องสวีทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเฉลียงกระจกทั้งในส่วนพื้นที่ร่มและกลางแจ้ง รวมไปถึงเรสซิเดนท์ที่มีเอกลักษณ์พร้อมด้วยการบริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพิเศษให้มหานครนิวยอร์ก เพื่อต้อนรับนักเดินทางระดับชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก

ในขณะที่โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก จะถูกพัฒนาจากอาคารที่สวยงาม มีเสน่ห์อายุกว่าศตวรรษของบริษัทอีสต์เอเชียติก (EAC) ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อตั้งขึ้นปี 2427 โดยกัปตัน Hans Niels Andersen นักเดินเรือชาวเดนมาร์ก โดยโรงแรมจะยังคงอนุรักษ์โครงสร้างและศิลปะดั้งเดิมของอาคาร เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและภาคภูมิใจในพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ พร้อมทั้งสร้างคุณค่าในระยะยาวและยั่งยืนให้ชุมชนโดยรอบ โดยโรงแรมแห่งนี้จะมีความคลาสสิกสไตล์ลักซ์ชูรี่ริมสายน้ำ นำเสนอความเชี่ยวชาญด้านอาหารและเครื่องดื่มและการบริการอันเป็นเลิศ พร้อมสร้างปรากกฎการณ์ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนผ่านการเชื่อมต่อประสบการณ์รูปแบบใหม่ของประวัติศาสตร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวของเมืองและอาคารอันทรงคุณค่า สู่ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมมีสายน้ำเจ้าพระยาเชื่อมต่อโครงการริมน้ำต่างๆ ของ AWC ที่มอบความประทับใจให้แก่ผู้เข้าพัก ภายใต้แนวคิด “The River Journey” ควบคู่การเชื่อมต่อวัฒนธรรมอันทรงคู่ค่าของตะวันตกและตะวันออก สร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงยังช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก

“การพัฒนาโรงแรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในสองมหานครของโลกร่วมกับ Nobu Hospitality ครั้งนี้ เป็นการผนึกความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมทั้งสองแห่ง พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ Plaza Athenee ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน และมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก และเมื่อผสานกับแบรนด์ Nobu ที่มีสไตล์หรูหราแบบโมเดิร์นแล้ว จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์การบริการที่น่าประทับใจที่สุดของโรงแรมระดับอัลตร้าลักซ์ชูรี่ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และ AWC มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือกับ Nobu Hospitality ในครั้งนี้จะสามารถสร้างมิติใหม่ และคุณค่าให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมได้อย่างยั่งยืน” นางวัลลภา กล่าวเสริม

การลงนามสานต่อความร่วมมือเปิดตัวโรงแรมครั้งนี้ เป็นไปตามการลงนามแบบเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2565 ที่ผ่านมาระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality เพื่อพัฒนาโครงการในประเทศไทย พร้อมเปิดโรงแรมและร้านอาหารภายใต้แบรนด์ Nobu แห่งแรกในไทย ที่จะตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแนวไลฟ์สไตล์แฟล็กชิพของ AWC ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ รพ.บำรุงราษฎร์ จัด “Health Talk” ตอบโจทย์ดูแลสุขภาพครบวงจร สำหรับพี่น้องมุสลิม

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดย เมืองไทยตะกาฟุล ร่วมผนึกกำลังกับพันธมิตรด้านสุขภาพ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จัดกิจกรรม “Health Talk” เพื่อให้ความรู้ คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพและความก้าวหน้าด้านวิทยาการทางการแพทย์ พร้อมการวางแผนด้านประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพ สำหรับพี่น้องมุสลิมอย่างครบวงจร ภายใต้ชื่องาน “Premier Health Care for Muslims” โดยมี นายดาเนียล คาสเนอร์ Chief Transformation Officer โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวต้อนรับ พร้อมตอกย้ำความพร้อมในการรองรับผู้ป่วย ทุกเชื้อชาติทุกศาสนา อีกทั้งสร้างความมั่นใจ ชูศักยภาพความเป็นเลิศด้านการแพทย์ ด้วยการเป็นโรงพยาบาลอันดับ 1 ของไทย และติดอันดับ 250 โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในโลก 3 ปีซ้อน จาก Newsweek

โดยมีอาจารย์อรุณ บุญชม ประธานคณะกรรมการเมืองไทยชารีอะห์และประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน และพูดถึงรายละเอียดและความสำคัญด้านธุรกรรม ตะกาฟุล ภายในงานมีการบรรยายในหัวข้อ “Elite Health สำหรับพี่น้องมุสลิม” โดย นพ.วุฒิวงศ์ สมบุญเรืองศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมการเสวนา “แนะนำนวัตกรรมการรักษาโรคหัวใจ มะเร็ง และการรักษาแบบองค์รวม มาตรฐานบำรุงราษฎร์” โดย นพ.สุรสิทธิ์ อิสสระชัย แพทย์ผู้ชำนาญการอายุรศาสตร์ โลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา รศ.นพ.สุวัจชัย พรรัตนรังสี แพทย์ผู้ชำนาญการอายุรศาสตร์โรคหัวใจ และ นพ.กษิดิษ ศรีสง่า แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์ทั่วไป พร้อมด้วย รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน คณะกรรมการเมืองไทยชารีอะห์ ร่วมในงาน โดยงานจัดขึ้น ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ทางโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยังได้จัดกิจกรรมพาเยี่ยมชมศูนย์ตรวจสุขภาพของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ที่มอบบริการระดับพรีเมียมสำหรับทุกช่วงวัย ด้วยแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกันที่มีประสบการณ์สูง และแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์วัยยุวัฒน์ (anti-aging medicine) ด้วยโปรแกรมตรวจคัดกรองโรคและปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ที่สำคัญ บำรุงราษฎร์มีห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการทดสอบ ผลการทดสอบที่แม่นยำและรวดเร็ว ด้วยบุคลากรที่มีความชำนาญเฉพาะทาง โดยนอกจากนี้ยังเยี่ยมชมจุดลงทะเบียนผู้ป่วยใหม่ และห้องพักผู้ป่วยที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อให้ผู้ป่วยเลือกพักได้ตามความต้องการ พร้อมสร้างความมั่นใจสำหรับ กลุ่มผู้ป่วยพี่น้องมุสลิม ด้วยทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่มุสลิมกว่า 300 คน

โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของเมืองไทยประกันชีวิตที่ให้ความสำคัญกับการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรม ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ครอบคลุม ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งรวมถึงการให้ความสำคัญต่อพี่น้องมุสลิม ในการเข้าถึงแบบประกันชีวิตที่หลากหลายในรูปแบบที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม จึงจัดตั้งโครงการเมืองไทยตะกาฟุลขึ้น โดยมีคณะกรรมการเมืองไทยชารีอะห์ที่มีผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสาขา เพื่อให้พี่น้องมุสลิมได้เกิดความมั่นใจที่จะมาใช้บริการเมืองไทยตะกาฟุลอย่างเต็มภาคภูมิ

ปัจจุบันเมืองไทยตะกาฟุลมีแบบตะกาฟุลหลากหลายที่ครอบคลุมทุกความต้องการและสอดคล้องกับวิถีชีวิตของ พี่น้องมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นการออมทั้งระยะสั้น กลาง ยาว ไม่ว่าจะเป็นออมเพื่อฮัจญ์หรือเพื่ออนาคต แบบตะกาฟุล ออมทรัพย์ จะช่วยวางแผนการออมอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีแบบตะกาฟุล ที่ช่วยวางแผนทางการเงินระยะยาวเพื่อสร้างหลักประกันให้ตนเองและครอบครัว รวมถึงกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ พี่น้องมุสลิมก็สามารถวางใจให้เมืองไทยตะกาฟุลเข้ามาช่วยดูแลเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินที่อาจเกิดกับตนเองและครอบครัวได้

KBank Private Banking ชี้ “ผู้จัดการมรดก” ช่วยจัดการ แต่ไม่ใช่เจ้าของมรดก

0
KBank Private Banking ชี้ “ผู้จัดการมรดก” คีย์แมนคนสำคัญที่ช่วยจัดการ แต่ไม่ใช่เจ้าของมรดก ย้ำบทบาทและหน้าที่ที่ผู้มีส่วนได้เสียต้องรู้ ก่อนเกิดปัญหาน่าปวดหัว

KBank Private Banking ผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารทรัพย์สินครอบครัวที่ครอบคลุมทุกมิติ ชี้ให้เห็นความสำคัญและจำเป็นในการตั้งผู้จัดการมรดก เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว อีกทั้งยังย้ำให้เห็นบทบาท หน้าที่ และความสำคัญของผู้จัดการมรดก ที่ทายาทและผู้รับมรดกต้องรู้ เพื่อให้การเก็บรักษาและส่งต่อทรัพย์สินของครอบครัวเป็นไปอย่างยั่งยืน

นายพีระพัฒน์ เหรียญประยูร Managing Director, Wealth Planning and Non Capital Market Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อเกิดการสูญเสียสมาชิกในครอบครัว หลังจากที่สมาชิกในครอบครัวต้องแจ้งการเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมงต่อสำนักเขตหรือที่ว่าการอำเภอเพื่อออกใบมรณบัตรแล้ว อีกสิ่งที่จำเป็นต้องทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในครอบครัวที่มีทรัพย์สินมาก คือการตั้ง “ผู้จัดการมรดก” เพื่อดำเนินการ 4 เรื่องสำคัญต่อทรัพย์มรดกของผู้เสียชีวิต ได้แก่
1) รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน: อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางการเงิน เช่น บัญชีเงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ เช่น ทองคำ เครื่องประดับ
2) จัดการทรัพย์มรดก: ดูแล รักษา หรือจัดการทรัพย์มรดกตามที่จำเป็นหรือที่ระบุไว้ในพินัยกรรม
3) จัดแบ่งทรัพย์มรดก: แบ่งสินสมรส (ถ้ามี) และแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท/ผู้รับพินัยกรรม
4) ยื่นภาษีเงินได้: ในปีแรกที่เสียชีวิต ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามผู้ตาย และในปีถัดจากปีที่เสียชีวิต หากยังไม่ดำเนินการแแบ่งทรัพย์สินให้ทายาท ให้ยื่นภาษีเงินได้ในนามกองมรดก (ต้องขอเลขผู้เสียภาษีต่างหาก)

ขั้นตอนในการตั้งผู้จัดการมรดก ให้ทายาท หรือ ผู้ร้อง (อาจเป็นผู้มีส่วนได้เสีย เช่น เจ้าหนี้) ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ดำเนินการตั้งผู้จัดการมรดกโดยแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ

  • กรณีที่ไม่มีพินัยกรรม อาจขอให้ตั้งทายาท/คู่สมรส คนใดคนหนึ่ง หรือร่วมกันเป็นผู้จัดการมรดก หรือตั้งบุคคลอื่นที่ไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย
  • กรณีที่มีพินัยกรรมและมีการระบุผู้จัดการมรดกไว้แล้ว ให้ตั้งบุคคลที่ระบุไว้ในพินัยกรรมเป็นผู้จัดการมรดก

หลังจากศาลได้ประกาศเพื่อให้ทายาทคัดค้าน และไต่สวนคุณสมบัติผู้ร้อง หากไม่มีการคัดค้าน ศาลจะมีคำสั่งให้ตั้งผู้จัดการมรดก ภายในระยะเวลา 2-3 เดือน จากนั้น ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน และต้องเสร็จภายใน 1 เดือน หรือตามระยะเวลาที่ศาลขยายให้ รวมทั้งจะต้องดำเนินการทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกภายใน 1 ปี หรือตามระยะเวลาที่ทายาท/ศาล กำหนดไว้ด้วย

หากผู้จัดการมรดกไม่ทำตามหน้าที่/ทุจริต ทายาท ผู้รับพินัยกรรมหรือผู้มีส่วนได้เสียในมรดก สามารถดำเนินการกับผู้จัดการมรดกได้ เช่น

  • ถอนผู้จัดการมรดก ทายาทที่มีสิทธิได้รับมรดกสามารถยื่นร้องต่อศาลขอให้ถอนผู้จัดการมรดกคนเดิม และตั้งคนใหม่ได้ หากผู้จัดการมรดกไม่ทำหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ไม่เริ่มทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน 15 วัน หรือไม่แบ่งทรัพย์สินให้ทายาทให้เสร็จสิ้น และไม่ทำรายงานบัญชีแบ่งทรัพย์มรดกยื่นต่อศาลภายใน 1 เดือน ตามที่กฎหมายกำหนด
  • ฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดก มักเกิดขึ้นในกรณีที่ทายาทขอให้ผู้จัดการมรดกแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท แต่ผู้จัดการมรดกไม่ยอมแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาท ตามที่กฎหมายกำหนด เช่น อ้างว่าเป็นทรัพย์กงสีห้ามแบ่ง หรือผัดผ่อนการแบ่งไปเรื่อยๆ หรือปฏิเสธไม่แบ่งด้วยเหตุผลอื่น ทายาทสามารถฟ้องให้แบ่งทรัพย์มรดกได้
  • ฟ้องเพิกถอนการโอนมรดก ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกไม่เป็นไปตามราคาท้องตลาด ขายทรัพย์มรดก โดยไม่นำเงินมาแบ่งทายาท โอนทรัพย์มรดกให้บุคคลอื่น โดยไม่มีค่าตอบแทน รับโอนทรัพย์มรดกมาเป็นของตนเองคนเดียว ไม่แบ่งทายาทคนอื่น
  • ดำเนินคดีอาญาความผิดฐานยักยอก ในกรณีที่ผู้จัดการมรดก โอนทรัพย์มรดกให้ตนเองคนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น หรือแสดงเจตนาว่าจะเอาทรัพย์มรดกไว้คนเดียว ไม่แบ่งทายาทอื่น โอนทรัพย์มรดกให้ทายาทคนหนึ่ง แต่ไม่แบ่งให้คนอื่น ทั้งที่มีทายาทหลายคน จงใจขายทรัพย์มรดกในราคาที่ต่ำเกินสมควร ในลักษณะสมรู้ร่วมคิดกับผู้ซื้อ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้ ในกรณีนี้ต้องชัดเจนว่าผู้จัดการมรดกกระทำการโดยไม่สุจริต ยักย้ายถ่ายเทหรือโอนทรัพย์มรดก ทำให้เกิความเสียหายแก่ทายาท ต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องการกระทำความผิด และรู้ตัวผู้กระทำความผิด

นายพีระพัฒน์ กล่าวในตอนท้ายว่า จะเห็นได้ว่าผู้จัดการมรดก มีหน้าที่ในการจัดการมรดกโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การรวบรวมทรัพย์มรดก เพื่อแบ่งให้ทายาท ตลอดจนชำระหนี้สินของเจ้ามรดกแก่เจ้าหนี้ ทำบัญชีทรัพย์มรดกและรายการแสดงบัญชีการจัดการ ซึ่งหากผู้จัดการมรดกไม่ใช่ทายาท หรือผู้รับพินัยกรรมของเจ้าของมรดก ผู้จัดการมรดกก็จะไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก จึงถือว่าไม่ได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก นอกจากนี้ หากผู้จัดการมรดกไม่ดำเนินการตามหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือทำการทุจริตต่อทรัพย์มรดก อาจถูกดำเนินการทางกฎหมายด้วย ผู้จัดการมรดกจึงถือเป็นคีย์แมน หรือ บุคคลสำคัญในการบริหารจัดการและดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับมรดก ทั้งทรัพย์สินที่ต้องส่งต่อแก่ทายาท หรือการจัดการเรื่องหนี้สิน โดยหากเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้ ผู้จัดการมรดกก็สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่หากไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ต้องดำเนินการต่างๆ ตามขั้นตอน ดังนั้น การทำพินัยกรรมกำหนดผู้จัดการมรดกที่มีความเป็นกลางหรือที่ทายาททุกคนยอมรับไว้ตั้งแต่ต้น อาจไม่ใช่บุคคลที่เป็นทายาทก็ได้ อาจช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

“สิงห์ออลสตาร์” จับมือ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏ จัดฟุตบอลนัดพิเศษ สร้าง “คนเก่งนอกห้องเรียน” 4 จังหวัด

0

ทีมฟุตบอลสิงห์ออลสตาร์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี และ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดกิจกรรมแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ 4 แมตช์ นำรายได้ปั้นโครงการ “คนเก่งนอกห้องเรียน” ทำ Learning Space พื้นที่แห่งการเรียนรู้ให้กับโรงเรียนใน 4 จังหวัด โดย ต๊อด – ปิติ ภิรมย์ภักดี แท็กทีมกับ เต๋า สมชาย, ก้อง ห้วยไร่, เบิ้ล ปทุมราช, บัวขาว บัญชาเมฆ, เต๋า เศรษฐพงศ์, จอน บราโว่, สมจิตร จงจอหอ, โจ้ สืบศักดิ์, แอร์ The Mousses พร้อมด้วยศิลปินดาราและนักกีฬาชื่อดังอีกมากมาย ลงฟาดแข้งแมตช์แรกกับทีม VIP มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

นายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้ก่อตั้งทีมฟุตบอลสิงห์ออลสตาร์ กล่าวว่า “ทีมฟุตบอลของเราเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มศิลปินดารา นักร้อง รวมถึงนักกีฬาที่มีชื่อเสียง ร่วมกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมผ่านกีฬาฟุตบอล ที่ผ่านมาได้จัดกิจกรรมต่อเนื่องกันทุกปี ในปีนี้ทีมฟุตบอลสิงห์ออลสตาร์มีภารกิจร่วมกับ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏใน 4 จังหวัด จัดโครงการ “คนเก่งนอกห้องเรียน” พื้นที่การเรียนรู้นอกห้อง การส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้ได้รับการเรียนรู้ ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในห้องเรียนเท่านั้น เราสามารถสร้างเด็กที่เก่งให้ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจอะไรหลายๆ เรื่องนอกห้องเรียนได้โดยไม่จำกัด โดยจะนำรายได้จากการจัดฟุตบอลนัดพิเศษกับทีม VIP ของ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏครั้งนี้ ไปสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนใน 4 จังหวัดเพื่อให้เด็กๆ ได้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

รศ.ดร.ชูสิทธิ์ ประดับเพ็ชร์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่าโครงการ “คนเก่งนอกห้องเรียน” เป็นโครงการที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ 4 แห่งจะไปสร้าง Learning Space ให้กับเด็กๆจากโรงเรียนใน 4 จังหวัด โดยห้องเรียนของเราจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือส่วนวิชาการ เรื่องของคอมพิวเตอร์ สื่อการเรียนการสอนออนไลน์ มุมอ่านหนังสือ นอกจากนี้ก็มีเรื่องของนันทนาการด้วย ที่จะเปลี่ยนการเล่นให้เป็นทักษะ ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดเกม (Board Game) และอุปกรณ์กีฬาต่างๆ เพราะการเรียนรู้ไม่ได้อยู่แต่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะอื่นๆนอกห้องเรียนได้ด้วย เพราะเราอยากให้เด็กๆนั้นเป็นเรียนดีเรียนเก่งและเรียนอย่างมีความสุข

ทั้งนี้ตลอดแมตช์การแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษทั้ง 4 แมตช์ ทีมสิงห์ออลสตาร์ยังมีกิจกรรมคลีนิกฟุตบอลที่ให้เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้ามาฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลเพิ่มเติม ทำให้เด็กๆได้มีประสบการณ์นอกห้องเรียน เสริมสร้างทักษะอื่นๆนอกเหนือจากการเรียนด้านวิชาการอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการประมูลเสื้อพร้อมลายเซ็นจากศิลปินดารา เพื่อนำเงินสมทบทุนโครงการ และ มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินดังอีกด้วย

สำหรับโปรแกรมกิจกรรมฟุตบอล สิงห์ออลสตาร์ที่ร่วมกับ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏในโครงการ “คนเก่งนอกห้องเรียน” อีก 3 สนาม ได้แก่ สนามที่ 2 ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ในเดือนกรกฎาคม 2566 สนามที่ 3 ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ในเดือนกันยายน 2566 และสนามสุดท้าย ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จ.ปทุมธานี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2566

ทั้งนี้ เยาวชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมคลินิกฟุตบอล หรือแฟนๆ และผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลดาราสิงห์ออลสตาร์ x 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏ ในโครงการคนเก่งนอกห้องเรียน สามารถติดตามความเคลื่อนไหว และสอบถามรายละเอียดได้ผ่านทาง Facebook : Singha All Star Team https://www.facebook.com/SinghaAllStarTeam

“เลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” สร้างทักษะอาชีพให้เด็กโรงเรียนบ้านแก้วเพชรพลอย จ.สระแก้ว

0
โรงเรียนบ้านแก้วเพชรพลอย อ.ตาพระยา จ. สระแก้ว วันนี้คึกคักเป็นพิเศษ เพราะชุมนุมอาชีพนำเอาไข่ไก่สดๆจาก “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มาแปรรูปเป็นไข่ม้วน และขนมไข่ทาโกะยากิ แสนอร่อย ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกิจกรรมชุมนุมไก่ไข่ มาบูรณาการเข้ากับรายวิชาเศรษฐกิจพอเพียง เด็กๆจึงตื่นเต้นกันมากที่จะได้รับประทานเมนูไข่ไก่ที่หลากหลาย จากไข่สดที่ได้จากแม่ไก่ที่พวกเขาดูแลมากับมือ

นางอลิสา เพชรมะดัน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแก้วเพชรพลอย เล่าถึงที่มาของโครงการฯ นี้ว่า เมื่อก่อนเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านมะกอก ต.ทับเสด็จ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว และได้เริ่มทำโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ มาก่อน เพราะเห็นว่าโรงเรือนไก่ไข่จะกลายเป็นแหล่งผลิตอาหารโปรตีนที่สำคัญให้กับนักเรียนได้ จากที่ต้องซื้อไข่ไก่ในตลาดเพื่อมาทำอาหารกลางวัน ทั้งเสียเงินมากกว่าและคุณภาพไข่ไก่ก็ควบคุมไม่ได้ จึงตัดสินใจขอเข้าร่วมโครงการกับทาง มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ซึ่งได้รับการพิจารณาให้ร่วมดำเนินโครงการ

เมื่อย้ายมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านแก้วเพชรพลอย โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียน 164 คน เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 – ป.6 จึงนำแนวคิดนั้นมาทำที่นี่ด้วย โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้เป็นแนวทางฝึกอาชีพให้กับนักเรียน ให้มีกิจกรรมที่เป็นพื้นฐานอาชีพได้ในอนาคต และยังเป็นการฝึกความรับผิดชอบ การทำงานเป็นทีม ได้เรียนรู้การจดบันทึกการผลิต ผลผลิต รายรับ-รายจ่าย เป็นการเชื่อมโยงเรียนรู้เรื่องการใช้จ่าย ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน รู้จักการใช้เงินมากขึ้น แต่ก่อนอาจได้เงินมาง่ายๆ เมื่อได้ดูแลไก่จากกระบวนการเลี้ยงจนถึงขาย ทำให้รู้ว่าการได้เงินมานั้นยากลำบาก และยังเป็นการร้อยเรียงกระบวนการทำงาน เด็กๆได้เรียนรู้ตั้งแต่การเลี้ยง การซื้อ-ขาย จนถึงประกอบอาหารกลางวัน ที่สำคัญนักเรียนทุกคนยังได้บริโภคไข่ไก่ที่สดใหม่ สะอาด ปลอดภัย เป็นแหล่งโปรตีนที่ช่วยลดปัญหาภาวะทุพโภชนาการ และยังกลายเป็นคลังอาหารให้กับคณะครู ผู้ปกครอง และชาวชุมชน ได้ซื้อไปบริโภคในราคาถูกกว่าท้องตลาดอีกด้วย

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่มีประโยชน์มากๆต่อนักเรียนของเรา เป็นการพัฒนาให้นักเรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ผ่านกระบวนการทำงาน การวางแผน การรับผิดชอบงาน และยังช่วยพัฒนาสุขภาพ เพราะได้ทานอาหารตามหลักโภชนาการ โรงเรียนได้เป็นคลังอาหารให้ชุมชน ปัจจุบันการเลี้ยงไก่กลายเป็นกิจกรรมที่เป็นรูปร่างที่สุด ที่เด็กๆได้มีโอกาสลงมือทำ มีการแบ่งงานและหน้าที่รับผิดชอบ โดยตอนเริ่มต้นมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ และพี่ๆสัตวบาลของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มาดูแล มีการอบรมให้กับครูและพาไปศึกษาดูงานในโรงเรียนต้นแบบ ทำให้เริ่มต้นโครงการได้ไม่ยาก ที่ผ่านมามีโรงเรือนอื่นที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมโครงการ เมื่อเด็กๆได้รับคำชม ก็มีกำลังใจ ภูมิใจ และเกิดแรงบันดาลใจในการทำโครงการให้ดียิ่งขึ้น” ผอ.อลิสา กล่าว

สำหรับกระบวนการเลี้ยงไก่ไข่ของที่นี่ เริ่มจากช่วงเช้าเด็กๆชั้น ป.4-ป.6 ที่รับผิดชอบในแต่ละวัน 3-5 คน จะเข้ามาเกลี่ยอาหารเก่าในรางอาหารก่อน หลังจาก 15.30 น. นักเรียนจะช่วยกันเกลี่ยอาหารและทำความสะอาดราง เพื่อให้อาหารรอบใหม่ จากนั้นจะเก็บไข่ นำส่งร้านค้าสหกรณ์โรงเรียน เพื่อจำหน่ายเข้าโครงการอาหารเช้าและอาหารกลางวัน สำหรับปรุงเป็นเมนูไข่สัปดาห์ละ 3 วัน เมนูที่เด็กๆชอบคือ ไข่ลูกเขย ไข่พะโล้ และไข่น้ำ ส่วนผลผลิตไข่ที่เหลือจะนำไปจำหน่ายแก่ครู ผู้ปกครอง และคนในชุมชน ผอ.อลิสา บอกว่า สิ่งที่ครูภูมิใจที่สุดคือ การที่พวกเขามีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่และทำงานตามตารางที่กำหนด เวลาที่ได้มาเลี้ยงไก่ไข่สีหน้าของพวกเขามีความสุข ที่ได้ดูแลไก่ ได้เก็บไข่ ที่สำคัญนักเรียนยังมีส่วนร่วมระดมความคิดในการจัดการเลี้ยงด้วย

ด.ญ. สุจิตรา สิมมา หรือ น้องเฟิร์น อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.6 บอกว่า ดีใจมากที่ได้มารับผิดชอบเลี้ยงไก่ไข่ หนูมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาทำหน้าที่ดูแลไก่ และชอบสังเกตพฤติกรรมของน้องไก่ที่เลี้ยง โครงการนี้มีประโยชน์กับหนูมากๆ ทั้งทำให้พวกเราที่มาร่วมโครงการฯ เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ รู้หน้าที่ของตัวเอง เราภูมิใจที่ได้เลี้ยงไก่เพื่อให้เพื่อนๆน้องๆได้รับประทานไข่ไก่ที่เราช่วยกันดูแลอย่างดี เพราะไข่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทำให้ร่างกายแข็งแรง ตอนนี้ไข่ของเรายังถูกนำไปแปรรูปเป็นขนมต่างๆ ด้วย หนูขอขอบคุณมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟ ที่มอบโครงการดีๆให้กับพวกเรา ทำให้นักเรียนทุกคนได้บริโภคไข่ไก่ที่สด สะอาด ปลอดภัย พวกหนูและน้องๆจะทำโครงการนี้ให้ดีที่สุด

เช่นเดียวกับ ด.ช. ทีปกร สายบุตร หรือ น้องเท็น บอกว่า โครงการฯนี้ ทำให้ตนเองสามารถนำความรู้ในการเลี้ยงไก่ไข่ไปเลี้ยงที่บ้านได้ด้วย การได้เรียนรู้เรื่องการทำบัญชีรายรับรายจ่ายก็นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ที่สำคัญนักเรียนทุกคนกยังมีโอกาสได้มาศึกษาวิธีการเลี้ยงไก่ไข่ โรงเรียนเราก็ได้เป็นแหล่งเรียนรู้ของนักเรียนและชุมชน และมีรายได้จากการขายไข่ไก่ผ่านระบบสหกรณ์โรงเรียน นักเรียนก็ได้เงินปันผลจากหุ้นสหกรณ์ฯ

นอกจากนี้ โรงเรียนยังมุ่งเน้นเรื่องกิจกรรมเกษตรให้เป็นแหล่งผลิตอาหารเช้าให้กับนักเรียนทุกคน เนื่องจากที่โรงเรียนจัดโครงการอาหารเช้าเพื่อนักเรียน โดยให้บริการแก่เด็กๆ เพื่อลดภาระแก่พ่อแม่ผู้ปกครอง เนื่องจากครอบครัวนักเรียนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและทำอาชีพรับจ้างทั่วไป นักเรียนที่นี่จึงมาโรงเรียนกันแต่เช้าตั้งแต่ 06.30 น. เพื่อมาฝากท้องไว้กับโรงเรียน เด็กนักเรียนที่นี่เกือบ 100% ได้รับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ เด็กๆมาถึงก็จะรีบลงแปลงผักของตนเองดูแลผักก่อนเสมอ โดยนักเรียนแต่ละระดับชั้นจะรับผิดชอบดูแลพืชผัก 1 ชนิด ทุกคนต้องช่วยกันดูแลให้ได้ผลผลิตเพื่อป้อนโครงการอาหารเช้า

“การที่นักเรียนได้ทำกิจกรรมปลูกผัก ทำให้เขามีทักษะอาชีพ ทั้งการเพาะเห็ดนางฟ้า การปลูกพืชผักสวนครัว คะน้า มะเขือ พริก กะหล่ำ รวมถึงผักสมุนไพร ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะเพรา โหระพา ที่จำเป็นต้องใช้ในการปรุงอาหาร จึงไม่ต้องซื้ออีก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมปลูกดอกดาวเรืองมัดเป็นกำขายในช่วงวันพระวันโกนจำหน่ายที่หน้าโรงเรียน มีกิจกรรมร้อยมาลัย โดยเด็กๆจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การดูแลการปลูก แบ่งกล้า รดน้ำ พรวนดิน เก็บดอกดาวเรือง มัดกำและร้อยมาลัย สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานอาชีพที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต” ผอ.อลิสา กล่าว

โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน และอาชีพเกษตรทั้งหมดที่โรงเรียนปูพื้นฐานให้กับเด็กๆในวันนี้ จะกลายเป็นองค์ความรู้ของเด็กๆที่สามารถใช้ได้ในอนาคตอย่างแน่นอน