Home Blog Page 155

เนื้อไก่ไทย มาตรฐานระดับโลก สู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ

0

สัตวแพทย์ ย้ำ ไก่ไทย ไร้สาร ปราศจากฮอร์โมน ผลิตตามมาตรฐานสากล เป็นหลักประกันคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ต่อยอดสู่นวัตกรรมอาหารมาตรฐานอวกาศ สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทย

ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร วิฑูรย์เสถียร อาจารย์ประจำ ภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี มีโปรตีนสูง หาซื้อรับประทานได้ง่าย ราคาต่อกิโลกรัมถูกกว่าเนื้อสุกรและปลา เป็นอาหารที่เหมาะสำหรับทุกวัย

ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร วิฑูรย์เสถียร

ปัจจุบันประเทศไทยมีการส่งออกสัตว์ปีกไปยังต่างประเทศติดอันดับท็อป 5 ของโลก เป็นเครื่องยืนยันว่าต่างประเทศยอมรับในระบบ มาตรฐาน และความปลอดภัยของการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ปีกของไทย ด้วยมาตรฐานระดับสากล อยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของกรมปศุสัตว์ สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า ผู้บริโภคจึงสามารถมั่นใจได้ในความปลอดภัยด้านอาหาร

ทั้งนี้ บริษัทผู้ผลิตและส่งออกไก่ชั้นนำของประเทศไทย มีการพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบและส่วนผสมคุณภาพดีเพื่อใช้ผลิตอาหารให้ตรงกับความต้องการของสัตว์แต่ละช่วงวัย พร้อมติดตั้งเทคโนโลยีช่วยติดตามและตรวจสอบพฤติกรรมของสัตว์ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นการป้องกันโรคและตรวจเช็คสุขภาพสัตว์ เพื่อให้ได้เนื้อสัตว์คุณภาพดีส่งต่อไปยังกระบวนการผลิตที่ทันสมัย ที่มีการลดสัมผัสจากมนุษย์และลดการสูญเสียมากที่สุด สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยให้กับผู้บริโภคบนภาคพื้นโลก ต่อยอดเป็นนวัตกรรมอาหารสู่อวกาศ

ล่าสุด ผลิตภัณฑ์อาหารจากเนื้อไก่ของไทยบางรายการ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้เป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศที่ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่บนสถานีอวกาศ

สำหรับภาคอุตสาหกรรมสัตว์ปีกของไทยใช้ระบบการเลี้ยงภายใต้หลักปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices: GAP) จัดเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยง ให้มีการเลี้ยงที่ดี ปราศจากโรค ตลอดจนกระบวนการผลิตต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมี และใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้ง ไก่เนื้อ หรือไก่ไข่ หากปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว จะทำให้ไก่มีสุขภาพที่ดีส่งต่อมายังผู้บริโภค ผู้บริโภคก็จะได้รับประทานอาหารและผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ ปลอดภัย ปลอดโรค

“ปัจจุบัน องค์ความรู้ เทคโนโลยี และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการเผยแพร่ข้อมูลและข้อเท็จจริง รวมถึงการเข้าถึงสื่อและแหล่งข้อมูลที่มากขึ้น ทำให้ผู้เลี้ยงมีความรู้และความเข้าใจ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเลี้ยง โดยเฉพาะการปรับปรุงสายพันธุ์และการดูแลสุขภาพของสัตว์ จึงทำให้ปัจจุบันการเลี้ยงไก่ใช้เวลาน้อยลง และมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีขึ้นตามสายพันธุ์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโต ที่สำคัญการใช้ฮอร์โมนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ใช้ควบคุมกำกับดูแลผู้ประกอบการ จึงมั่นใจได้ว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการเลี้ยงไก่ไทยไม่มีการใช้ฮอร์โมนแล้ว” ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร กล่าวย้ำ

ผศ.น.สพ.ดร.เกรียงไกร กล่าวเพิ่มเติมต่อข้อสงสัยที่ว่า บริเวณ คอไก่ ปีกไก่ หัวไก่ มีสารพิษสะสมหรือเชื้อโรคตกค้างที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายนั้น ขอยืนยันว่า ไม่มีโอกาสที่สารพิษจะตกค้างในชิ้นส่วนของสัตว์ปีกในอุตสาหกรรม ด้วยมาตรฐานการผลิตที่สูง ตั้งแต่ต้นทางที่ฟาร์ม ตลอดจนขั้นตอนเข้าสู่โรงเชือด หรือ โรงงานแปรรูป อยู่ภายใต้มาตรฐานของโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งมีการสุ่มเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณ คอ หัว ปีก หรือ ส่วนต่างๆ ของสัตว์ปีก ส่งห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสารพิษ ซึ่งไก่ที่ปราศจากสารพิษเท่านั้น ที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของการชำแหละ การแปรรูป จนมาถึงผู้บริโภค ฉะนั้นในทุกขั้นตอนของสายการผลิต (Food Chain) ของสัตว์ปีก ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จนเสริ์ฟสู่โต๊ะอาหารให้กับผู้บริโภค มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน ทำให้มั่นใจได้ว่าไก่ทุกชิ้นส่วน ปราศจากเชื้อโรค และสารพิษอย่างแน่นอน

เมืองไทยประกันชีวิต จัดพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ “Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022” ยกระดับมาตรฐานบริการรพ.

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ “Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022” โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ เป็นประธานในพิธีขึ้นมอบรางวัลให้แก่โรงพยาบาลคู่สัญญา เพื่อเชิดชูเกียรติและยกย่องในความมีมาตรฐานและความมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพ การทำงานในทุกด้าน นำมาซึ่งการส่งมอบการให้บริการที่เป็นเลิศในทุกมิติ และสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้า โดยงานจัดขึ้น ณ Waldorf Astoria Bangkok

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดโครงการ Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022 ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 7 โดยตลอดทุกปีที่ผ่านมา การจัดงานดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เราได้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างรอบด้าน ของโรงพยาบาลคู่สัญญา ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่ถูกจัดขึ้น เพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างบริษัทและโรงพยาบาลคู่สัญญา 417 แห่งทั่วประเทศ ในการยกระดับการให้บริการด้านการคุ้มครองสุขภาพ เพื่อให้ลูกค้าคนสำคัญได้รับการบริการที่เป็นเลิศ มีมาตรฐาน และเกิดความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต” ที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ ในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ (No.1 Most Trusted Life & Health Partner) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุกๆ คน (Democratizing Insurance)

บริษัทฯ มุ่งดำเนินงานผ่าน 4 แกนสำคัญ ได้แก่ บุคลากร (People) พาร์ทเนอร์ (Preferred Partner) ลูกค้า (Customers) และ นอกเหนือจากลูกค้า (Beyond Our Customers) รวมทั้งมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกัน ระหว่างผู้เอาประกันภัย โรงพยาบาล และบริษัทฯ รวมไปถึงความร่วมมือ ในการพัฒนาบริการและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อรองรับและตอบสนองความต้องการของประชาชนที่หันมาให้ความสำคัญและดูแลใส่ใจ เรื่องของสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การมอบรางวัล Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022 แก่โรงพยาบาลคู่สัญญา ที่มีมาตรฐานการให้บริการที่เป็นเลิศและเป็นที่ยอมรับในระดับการให้บริการ แบ่งออกเป็น

รางวัลเกียรติยศสูงสุด
“The Pink Gold of Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022”
จากคณะกรรมการและผลสำรวจความพึงพอใจที่มีต่อบริการในทุกด้านโดยมีคะแนนรวมสูงสุด
ของรางวัลในแต่ละด้าน

รางวัลด้านความรวดเร็ว มีคุณภาพและเข้าใจความต้องการของลูกค้า
“Customer Centric Award”

มอบให้แก่โรงพยาบาลที่มีวิสัยทัศน์ มุ่งลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า

รางวัลด้านบริหารจัดการทางการแพทย์
“Commitment to Success Award”

มอบให้แก่โรงพยาบาลที่มุ่งมั่นในการให้บริการและการบริหารทรัพยากรทางการแพทย์
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า

รางวัลด้านริเริ่ม เปิดรับ ตอบรับนวัตกรรมใหม่
“Creativity and Innovation Award”

มอบให้แก่โรงพยาบาลที่มีกระบวนการความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง แนวทางใหม่ ๆ ในแบบที่แตกต่าง
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า

รางวัลด้านความร่วมมือระหว่างองค์กร
“Collaboration Award”

มอบให้แก่โรงพยาบาลที่มีการทำงานเป็นกระบวนการร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

รางวัลด้านการดูแลใส่ใจอย่างเป็นเลิศ
“Caring Award”

มอบให้แก่โรงพยาบาลที่มอบการดูแลในการใช้บริการและลดระยะเวลารอรับบริการของลูกค้า
ในการรอออกจากโรงพยาบาล ในวันกลับบ้าน

สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาโรงพยาบาลที่จะได้รับรางวัลดังกล่าว จะประเมินจากข้อมูล 2 ส่วนหลัก คือ ส่วนที่ 1. ความถูกต้อง ครบถ้วนของการให้บริการผ่านโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ และส่วนที่ 2. ความพึงพอใจของลูกค้า ผู้เอาประกันภัยที่ใช้บริการในโรงพยาบาล โดยจะมีบริษัทให้บริการวิจัยการตลาดและการประเมินผลชั้นนำของโลกเป็นผู้สำรวจ ทั้งมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการแพทย์ ด้านการบริการ ด้านสื่อสารมวลชน และด้านสังคมและจริยธรรม ร่วมกันพิจารณาตัดสินรางวัลเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและน่าเชื่อถือ

“การจัดโครงการ Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022 เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องของการสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับลูกค้า ผ่านการทำงานร่วมกันกับโรงพยาบาลคู่สัญญาทุกแห่ง ทั่วประเทศ ในการให้บริการ การดูแลทางด้านการแพทย์ โดยมีเป้าหมายเดียวกันในการตอบโจทย์ความต้องการที่ดีและเป็นเลิศที่สุดให้กับลูกค้าของเราทั้งคู่แบบ Outside-in ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าทุก Journey ได้เป็นอย่างดี โดยผลลัพธ์ได้ถูกสะท้อนจากผลสำรวจ (Survey) ที่มาจากประสบการณ์การใช้จริงของลูกค้า (User Experience) ผมขอแสดงความยินดีกับทุกโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ และขอขอบคุณโรงพยาบาลคู่สัญญาทุกแห่ง ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก ที่ร่วมก้าวไปด้วยกันในการสร้างความพึงพอใจ ความประทับใจ พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน” นายสาระ กล่าว

รายชื่อโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัล

รางวัลเกียรติยศสูงสุด “The Pink Gold of Muang Thai Life Assurance Hospital Awards 2022”
ได้แก่ “โรงพยาบาล พญาไท 1”

รางวัลด้านความรวดเร็ว มีคุณภาพ และเข้าใจความต้องการของลูกค้า “Customer Centric Award”
โรงพยาบาลขนาดใหญ่
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล สินแพทย์
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล พญาไท 3
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล ธนบุรี
โรงพยาบาลขนาดกลาง
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล กรุงเทพหาดใหญ่
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล สมิติเวชศรีราชา
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล พระรามเก้า
รางวัลด้านบริหารจัดการทางการแพทย์ “Commitment to Success Award”
โรงพยาบาลขนาดใหญ่
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล พญาไท 1
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล ศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล ศิครินทร์
โรงพยาบาลขนาดกลาง
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล ไทยนครินทร์
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล พญาไท ศรีราชา
รางวัลด้านริเริ่ม เปิดรับ ตอบรับนวัตกรรมใหม่ “Creativity and Innovation Award”
โรงพยาบาลขนาดใหญ่
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล กรุงเทพ
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล เมดพาร์ค
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล สมิติเวช สุขุมวิท
โรงพยาบาลขนาดกลาง
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล ราษฎร์ยินดี
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล พิษณุเวช
รางวัลด้านความร่วมมือระหว่างองค์กร “Collaboration Award”
โรงพยาบาลขนาดใหญ่
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล กรุงเทพ
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล พญาไท 2
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล เปาโล พหลโยธิน
โรงพยาบาลขนาดกลาง
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล พญาไท นวมินทร์
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล บางปะกอก 1
รางวัลด้านการดูแลใส่ใจที่เป็นเลิศ “Caring Award”
โรงพยาบาลขนาดใหญ่
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล กรุงเทพภูเก็ต
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล ทีอาร์พีเอช
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล บางปะกอก สมุทรปราการ
โรงพยาบาลขนาดกลาง
อันดับ 1 – Gold Award ได้แก่ โรงพยาบาล เวชธานี
อันดับ 2 – Silver Award ได้แก่ โรงพยาบาล กรุงเทพพัทยา
อันดับ 3 – Bronze Award ได้แก่ โรงพยาบาล เชียงใหม่ราม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนนักลงทุนรอบคอบและระมัดระวัง ก่อนซื้อขายหุ้น TBN

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TBN) เนื่องจากสภาพการซื้อขายภาคเช้าของวันนี้ (20 มิถุนายน 2566) พบว่ามีแรงเก็งกำไรสูงด้วย Turnover ratio ที่ 85% ราคาปิดภาคเช้าที่ 41.5 บาท (เพิ่มขึ้น 144% จากราคา IPO) ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงเป็นอันดับหนึ่ง 3,591 ล้านบาท (เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 2,438 ล้านบาท) และพบการซื้อขายกระจุกตัว (ทั้งด้านซื้อและขาย) ที่ 39% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ปัจจุบันมี P/E และ P/BV 74.85 เท่า และ 7.93 เท่า ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อวานปรากฏรายการขาย Big lot จากผู้ถือหุ้นเดิมที่จำนวน 9.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 20.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งรายละเอียดเป็นไปตามที่ระบุไว้ในสรุปข้อสนเทศ (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากข่าวของ TBN ในวันที่ 16 มิถุนายน 2566 ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขาย นอกจากนี้ ขอให้บริษัทสมาชิกทุกรายกำกับดูแลการซื้อขายและการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ TBN อย่างใกล้ชิดและเคร่งครัด เพื่อป้องกันการส่งคำสั่งซื้อขายที่อาจไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

CPF โชว์เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคต หนุนคู่ค้าและเกษตรกรโตมั่นคง ในงาน CPF The NeXt Tech Show

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รวมนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลด้านเกษตรอุตสาหกรรมในงาน “CPF The NeXt Tech Show” งานมหกรรมเกษตรดิจิทัลที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกและอย่างยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้ยกระดับภาคปศุสัตว์ยุคใหม่เพื่อส่งต่อความสำเร็จ และติดอาวุธทางธุรกิจให้กับลูกค้าและเกษตรกรไทย หนุนการเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ตอบรับยุคดิจิทัล ในระหว่างวันที่ 20 – 21 มิถุนายน 2566 ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค อาคารตะวันตก

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2566 นายประเสริฐ พุ่งกุมาร รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และ นายอดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ ร่วมเป็นประธานเปิดงาน CPF The NeXt Tech Show โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ และ นายสรรเสริญ สมัยสุต กรรมการผู้จัดการ AXONS ร่วมด้วย พร้อมเป็น Executive Talk บรรยายพิเศษ การขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคดิจิทัล และชมเทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคตจากกว่า 30 องค์กรพันธมิตรของบริษัททั้งไทยและต่างประเทศ โดยมีลูกค้าและเกษตรกรจากทั่วประเทศร่วมงานอย่างคับคั่ง

นายเรวัติ กล่าวว่า ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ จัดงาน CPF The NeXt Tech Show ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ที่รวบรวมเทคโนโลยีและโซลูชั่นด้านเกษตรอุตสาหกรรมยุคใหม่จากทั่วโลก ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีแห่งอนาคต…เพื่อการเติบโตด้านปศุสัตว์อย่างยั่งยืน” ในโอกาสครบรอบ 70 ปีของธุรกิจอาหารสัตว์บก ที่ตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่วันแรก ซีพีเอฟมุ่งมั่นเดินเคียงข้างเพื่อสร้างความสำเร็จกับลูกค้าและเกษตรกร ซึ่งเปรียบเสมือน “คู่ชีวิต” โดยยึดมั่นการส่งมอบผลิตภัณฑ์ “คุณภาพ” และสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยประยุกต์เครื่องจักรที่ทันสมัยและมีกระบวนการผลิตได้มาตรฐานสากล ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตก้าวเป็นเบอร์หนึ่งของโลกจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น งาน CPF The NeXt Tech Show ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าและเกษตรกรมีประสบการณ์เทคโนโลยีเกษตรดิจิทัลที่ทันสมัยจากทั่วโลก รวมถึงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและเกษตรดิจิทัลแห่งอนาคต ช่วยติดอาวุธให้กับลูกค้าหรือเกษตรกรสามารถปรับตัวเท่าทันรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างแข็งแกร่ง และเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

“การจัดงานครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของซีพีเอฟที่จะเดินเคียงข้างกับลูกค้าและเกษตรกรสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพในโลกยุคหลังโควิด ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทและจำเป็นอย่างมากในทุกวงการ รวมถึงภาคเกษตรอุตสาหกรรม เพื่อที่จะช่วยให้ลูกค้าของซีพีเอฟสามารถรักษาความเป็นผู้นำได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมความพร้อมให้กับทายาทรุ่นใหม่ของลูกค้าสามารถสานกิจการได้อย่างมั่นคง”

ภายในงานประกอบด้วย Tech Show จัดแสดงนวัตกรรมและเกษตรดิจิทัล 100 เทคโนโลยี จากกว่า 30 องค์กรพันธมิตรของซีพีเอฟทั่วโลก เพื่อจุดประกายและเป็นแนวทางให้องค์กรสามารถปรับตัวให้ทันยุคดิจิทัล พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอนาคต อาทิ วิทยาการหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Internet of Things (IoT) แอปพลิเคชันและแพลตฟอร์มดิจิทัล ส่วนของ Tech Talk เป็นการแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มไอทีระดับโลก และฟังแนวคิดการรับมือกับยุคดิสรัปชันเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน จาก “หนุ่ย-พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์” กูรูไอทีจากแบไต๋ พร้อมรับฟังวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของซีพีเอฟเพื่อร่วมกันพัฒนาภาคเกษตรอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ระดับโลก ต่อยอดความรู้และเพิ่มประสบการณ์ด้านวิทยาการใหม่ๆ ที่จะมาช่วยจุดประกาย และนำไปปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานที่สอดคล้องกับยุคดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทั้งการดำเนินงาน และช่วยสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนให้กับลูกค้าและเกษตรกร รวมไปถึงขับเคลื่อนภาคปศุสัตว์ของไทยก้าวสู่ระดับโลก

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้อนรับ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (BLC) เข้าเทรด 21 มิ.ย. นี้

0

บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค ผู้ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร ยาสำหรับสัตว์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 21 มิ.ย. นี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,300 ล้านบาท โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ ว่า “BLC”

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาด    หลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BLC” ในวันที่ 21 มิถุนายน 2566  

แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

BLC ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยา ภายใต้เครื่องหมายการค้าทั้งหมด 485 ตราสินค้า แบ่งเป็น ประเภทยาแผนปัจจุบัน ประเภทยาสามัญ โดยเป็นยาที่มีตัวยาสำคัญเหมือนยาต้นแบบ หรือยาที่หมดอายุสิทธิบัตรแล้ว ภายใต้เครื่องหมายการค้า เช่น DiabeDerm, Glucosa, GASTRO BISMOL ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร เช่น Capsika, KACHANA, Plaivana ผลิตภัณฑ์ยาสำหรับสัตว์ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดย BLC เริ่มตั้งแต่การออกแบบพัฒนาสูตรตำรับยาตามหลักการเภสัชกรรม  และมีศูนย์วิจัย BLC เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้ รวมทั้งวิจัยและพัฒนาต่อยอดเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์

BLC มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวนรวม 150 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 120 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ Viva Sonata Pte., Ltd. จำนวน 30 ล้านหุ้น โดยเสนอต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนสถาบัน ผู้มีอุปการคุณ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน ของบริษัทและบริษัทย่อย ในระหว่างวันที่ 14 – 16 มิถุนายน 2566 ในราคาหุ้นละ 10.50 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,260 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,300 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ

ภก. สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค เปิดเผยว่า บริษัทมีกลยุทธ์ในการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยบริษัทมีแผนที่จะนำเงินระดมทุนส่วนใหญ่ไปก่อสร้างโรงงานผลิตยาอาคารใหม่ เพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 200% และลงทุนงานวิจัยและพัฒนายาสามัญใหม่ โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มรายได้เป็น 2,000 ล้านบาทภายในปี 2569

BLC มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มผู้ก่อตั้ง ได้แก่ ภก. สุวิทย์ งามภูพันธ์ และภรรยา น.ส. สุณิสา มงคลอารีย์พงษ์ ถือหุ้นรวม 37.2% นายสมชัย พิสพหุธาร ถือหุ้น 15% และนายศุภชัย สายบัว ถือหุ้น 3.8% โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ฐานะทางการเงิน แผนการขยายธุรกิจ และความเหมาะสมอื่น ๆ

ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.blcplc.com และที่ www.set.or.th

ออมสิน ตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องบ้านด้วย “สินเชื่อเคหะ”

0

✅️ ตอบโจทย์ครบ ทุกความต้องการเรื่องบ้าน ด้วยสินเชื่อเคหะ กู้ซื้อบ้านง่าย ๆ ผ่อนสบาย ฟรีค่าใช้จ่าย*

? ผ่อนต่ำล้านละ 3,555 บาท/เดือน (นาน 6 เดือนแรก)
? ดอกเบี้ย ปีแรก 3.140% (MRR-3.855%) ต่อปี
? *ฟรี‼ ค่าจัดทำนิติกรรมสัญญา ค่าบริการสินเชื่อ
? ยื่นกู้ได้ตั้งเเต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2566
อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566

คุณสมบัติผู้กู้ :

  1. เป็นผู้ฝากเงินประเภทเผื่อเรียกของธนาคาร
  2. มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี
  3. มีอาชีพและรายได้แน่นอน
  4. การกู้ร่วมกับบุคคลอื่น มีเงื่อนไขดังนี้

4.1 กู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้

4.2 กู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจาก (4.1) ต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

หลักประกัน :

  1. ที่ดินเพื่อเตรียมปลูกสร้างอาคาร หรือที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด ตามวัตถุประสงค์ที่ขอกู้และตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนที่มีความเจริญ มีไฟฟ้า สาธารณูปโภคอื่นๆ ตามความจำเป็น และมีทางสาธารณประโยชน์ ซึ่งรถยนต์ผ่านเข้าออกได้สะดวก
  2. หลักทรัพย์อื่นตามที่ธนาคารประกาศกำหนด

?? สมัครขอสินเชื่อคลิก > https://bit.ly/443QQHh
หรือที่ธนาคารออมสินทุกสาขา

⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

ตามไปดูเกษตรกร ได้ “น้ำปุ๋ย” จากซีพีเอฟ ช่วยก้าวผ่านวิกฤติแล้งตลอด 20 ปี

0

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ของสหประชาชาติ ประมาณการว่ามีโอกาส 60% ที่จะเกิดปรากฏการณ์ ‘เอลนีโญ’ ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม และมีโอกาสถึง 80% ที่จะเกิดในช่วงสิ้นเดือนกันยายน ทำให้ปีนี้ความรุนแรงของวิกฤติแล้งและฝนแล้งอาจเพิ่มขึ้น

‘เอลนีโญ’ เป็นปรากฎการณ์ที่ชี้วัดถึงความแห้งแล้ง เพราะจะทำให้ปริมาณน้ำฝนมีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่าปกติ ขณะเดียวกัน อากาศจะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ พูดง่ายๆคือ “ทั้งแล้งและร้อน” สำหรับประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าฤดูฝนของไทยปีนี้จะมาช้ากว่าปกติ โดยปริมาณฝนรวมของทั้งประเทศในช่วงฤดูฝนปีนี้ จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ประมาณ 5% และน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่รัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปจนถึงเกษตรกร ต้องเร่งวางแผนรับมือโดยเร็วที่สุด

หนึ่งในตัวอย่างของเกษตรกรที่มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผ่านพ้นวิกฤติแล้งมาโดยตลอด คือ ปรีชา เศรษฐโภคิน อายุ 77 ปี เจ้าของ “สวนส้มโอสระแก้ว” ที่ได้เริ่มต้นอาชีพการปลูกส้มโอ บนพื้นที่ 200 ไร่ ที่ ต.บ้านแก้ง อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พร้อมกับเริ่มใช้น้ำปุ๋ยจากฟาร์มสุกรปราจีนบุรี 2 ในโครงการ “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มาตั้งแต่ปี 2548 หรือเมื่อ 18 ปีที่แล้ว นับจากเริ่มปลูกส้มโอต้นแรก เรียกได้ว่าเป็นเกษตรกรต้นแบบที่เข้าร่วมโครงการปันน้ำปุ๋ยฯ เป็นรุ่นแรกๆ

ปรีชา เล่าว่า ส้มโอทองดี เป็นส้มโอไร้เมล็ดที่ได้รับการพัฒนาพันธุ์โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส้มโอก็เหมือนพืชชนิดอื่นๆที่ต้องการน้ำ เพราะน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสง และเป็นตัวละลายให้ธาตุอาหารพืชในดินอยู่ในรูปที่พืชสามารถใช้ประโยชน์ ดังนั้นเกษตรกรต้องให้ความสำคัญในการจัดเตรียมน้ำ ให้เพียงพอกับความต้องการของต้นพืช อย่างเช่นที่สวนนี้ส้มโอสระแก้วใช้แนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยจัดสรรพื้นที่กักเก็บน้ำ 24 ไร่ เก็บน้ำได้ประมาณ 2 แสนตัน สำหรับใช้รวมกับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มหมู ซึ่งเพียงพอกับการให้น้ำ 6 เดือน ช่วงไหนที่เกิดฝนทิ้งช่วงก็สามารถดึงน้ำส่วนนี้มาใช้ได้ เป็นการลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้ง พร้อมทั้งมีการเก็บสถิติตัวเลขน้ำฝนทุกปีเพื่อวางแผนการใช้น้ำที่เหมาะสม

“ฟาร์มหมูคือโรงปุ๋ยของสวนส้มโอ เพราะหมูที่เลี้ยงในฟาร์มกินอาหารเหมือนคน มีทั้งข้าวโพด ปลาป่น กากถั่ว แร่ธาตุ วิตามิน ซึ่งย่อยไม่ได้ทั้ง 100% ส่วนที่เหลือเข้าระบบไบโอแก๊ส หมักได้ก๊าซมีเทน นำมาใช้ปั่นไฟสำหรับฟาร์มหมู แต่ในน้ำหลังการบำบัดก็ยังเหลือแร่ธาตุอยู่อีก 10-20% เราก็นำมาเลี้ยงส้มโอ ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ถึง 30-40% ค่าปุ๋ยลดลงได้มาก และคุณภาพดินก็ดีขึ้น จากแรกเริ่มดินมีสภาพเป็นกรด PH 3.5-4.5 ใช้เวลาปรับสภาพดินให้มี PH 5.5-6.5 ภายในระยะเวลา 4 ปี ต้นพืชก็แข็งแรง โรคในพืชก็น้อยลง นี่คือบทพิสูจน์ว่า พืชกับสัตว์ไปด้วยกันได้” ปรีชา กล่าวและอธิบายว่า

ฟาร์มมีบ่อพักน้ำ บริเวณหลังบ่อไบโอแก๊ส น้ำที่ถูกหมักในระบบใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งถึง 2 เดือน จะล้นออกมาทางท่อ ล้นเข้าบ่อพักน้ำ แล้วจึงใช้ปั๊มสูบน้ำปุ๋ยมาเจือจางกับน้ำฝนหรือน้ำผิวดิน ทำให้น้ำปุ๋ยเจือจาง คล้ายกับการทำน้ำแกงให้ส้มโอ โดยใช้น้ำปุ๋ยประมาณ 20% ต่อการรดน้ำช่วง 200 วันต่อปี ใช้น้ำปุ๋ยวันละ 20 ลิตรต่อต้น เท่ากับใช้น้ำปุ๋ยทั้งหมด 4,000 ลิตรต่อต้นต่อปี เมื่อถึงฤดูฝนก็ให้น้ำฝนเลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ได้ทั้งน้ำและปุ๋ยที่เพียงพอ จึงสมบูรณ์และให้ลูกดก ผลผลิตดี ปัจจุบันที่สวนส้มโอให้ผลผลิตประมาณ 250 ลูกต่อต้นต่อปี ถือว่าดีมาก และยังเคยได้ผลผลิตมากถึง 316 ลูกต่อต้นต่อปี

เกษตรกรอีกรายที่บอกว่า ส่วนหนึ่งของความสำเร็จในอาชีพต้องยกให้น้ำปุ๋ยจากซีพีเอฟ คือ วรวิท แก้วสุนทร อายุ 56 ปี เกษตรกรผู้เพาะปลูกอ้อย 150 ไร่ ในอ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว ที่ได้รับการสนับสนุนน้ำปุ๋ย จากโรงชำแหละสุกรสระแก้ว มาตั้งแต่ปี 2561 จากจุดเริ่มต้นเพราะมีปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ จึงปรึกษากับทางซีพีเอฟ เพื่อขอนำน้ำปุ๋ยในบ่อบำบัดสุดท้ายมาใช้ เมื่อก่อนต้องใช้น้ำสระในพื้นที่ โดยใช้เครื่องสูบน้ำดึงน้ำมาใช้ เสียค่าใช้จ่ายซื้อน้ำมันประมาณ 18 ลิตร สำหรับปั่นเครื่องสูบน้ำ 2 วัน เฉลี่ยแล้วใช้เงินประมาณ 600 บาท เมื่อได้เข้าร่วมโครงการปันน้ำปุ๋ยฯ ทางบริษัทฯต่อท่อน้ำออกมาเพื่อให้เกษตรกรสามารถเปิดใช้น้ำได้ทันที จึงหมดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องน้ำเลย ขณะเดียวกัน การน้ำปุ๋ยมาใช้กับไร่อ้อย หลังจากตัดอ้อย และรถไถเกลาร่องเสร็จ ก็ปล่อยน้ำปุ๋ยเข้าไปขังเพื่อเตรียมดินให้ชุ่มชื้น ช่วยให้อ้อยแตกกอดี ลำอ้อยโต เพิ่มผลผลิต จากปกติไร่ละ 10 ตัน เพิ่มเป็นไร่ละ 12 ตัน และยังช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ย จากเดิมต้องใส่ปุ๋ยเคมีถึง 3 กระสอบต่อไร่ ตอนนี้ลดการใช้เคมีเหลือเพียง 1 กระสอบต่อไร่เท่านั

“ปีนี้แล้งมาก แต่เราได้น้ำจากซีพีเอฟมาช่วย ในขณะที่พื้นที่อื่นต้องเจอกับภัยแล้งแต่เราผ่านมาได้ตลอดทุกปี ผลผลิตยังเพิ่มขึ้นด้วย โครงการนี้จึงช่วยเกษตรกรให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก ทั้งต้นทุนค่าน้ำมันและค่าปุ๋ยเคมี เมื่อลงทุนน้อยลงกำไรก็มากขึ้นตามไปด้วย ขอบคุณซีพีเอฟที่จัดโครงการดีๆแบบนี้มาช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ที่ผ่านมามีคนมาขอคำแนะนำมากมาย บอกว่าอยากได้น้ำบ้าง ซึ่งบริษัทฯก็ยินดีปันน้ำปุ๋ยให้ อยากให้ทำโครงการนี้ต่อเนื่องตลอดไป” วรวิท กล่าว

โครงการ “ปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” ช่วยสร้างประโยชน์แก่เกษตรกรรอบฟาร์มและโรงงานของซีพีเอฟ ทั้งในแง่การแก้ปัญหาภัยแล้งมานานกว่า 20 ปี และยังช่วยลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมจากการที่เกษตรกรลดใช้ปุ๋ยเคมี และถือเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการบริหารการจัดการทรัพยากรน้ำในองค์กรของซีพีเอฟ ภายใต้หลักการ 3Rs ด้วยการลดปริมาณการใช้น้ำดิบจากธรรมชาติ (reduce) นำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วกลับมาใช้ซ้ำ (reuse) และนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) สะท้อนกระบวนการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างแท้จริง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้หุ้น STARK เข้าข่ายถูกเพิกถอน เตือนนักลงทุนระมัดระวังก่อนซื้อขายหุ้น

0

ตามที่บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“STARK”) ไม่สามารถนำส่งงบการเงินประจำปี 2565 และงบการเงินไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด จนเป็นเหตุให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARK ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2566

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2566 STARK ได้นำส่งงบการเงินประจำปี 2565 ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ และปรากฏว่าส่วนของผู้ถือหุ้นปี 2564 (ปรับปรุงใหม่) และปี 2565 มีค่าน้อยกว่าศูนย์เป็นจำนวน 2,895 ล้านบาท และ 4,415 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้หลักทรัพย์ STARK มีเหตุเข้าข่ายอาจถูก
เพิกถอนตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยการเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน

เพื่อให้เป็นไปตามความในข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยการเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน และประกาศตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยแนวทางดำเนินการเพื่อแก้ไขเหตุแห่งการเพิกถอนหุ้นสามัญจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการดังนี้

  1. ประกาศให้หลักทรัพย์ STARK มีเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากการที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป พร้อมทั้งขึ้นเครื่องหมาย NC (Non-compliance) อย่างไรก็ดี ในส่วนของการขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARK จากกรณีที่หลักทรัพย์ STARK เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากเหตุส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์นั้น เนื่องจากหลักทรัพย์ STARK ได้รับอนุญาตให้สามารถซื้อขายได้เป็นการชั่วคราวในระหว่างวันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2566 ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP (Suspension) เพื่อสั่งห้ามซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARK อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ไปจนกว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากเหตุส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ และดำเนินการให้บริษัทมีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ
  2. ให้ STARK เปิดเผยแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากการที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ พร้อมทั้งกำหนดเวลาของการดำเนินการดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้ทราบ ภายในวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
  3. ให้ STARK เร่งดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากการที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ ให้หมดไปภายใน 3 ปี นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2566 ซึ่งหากครบกำหนดเวลาแล้ว STARK ยังไม่สามารถแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนดังกล่าวให้หมดไปได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจพิจารณาดำเนินการเพิกถอนหลักทรัพย์ STARK ต่อไป

ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้มีการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARK ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 1 – 30 มิถุนายน 2566) หลังจากที่หลักทรัพย์ STARK ได้ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เป็นระยะเวลาครบ 3 เดือน ด้วยเหตุที่ STARK ไม่นำส่งงบการเงินประจำปี 2565 ภายในระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะไม่เปิดให้มีการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ STARK อีก จากการที่หลักทรัพย์ STARK มีเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนในครั้งนี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ STARK โดยศึกษารายละเอียดงบการเงินฉบับเต็ม รายงานของผู้สอบบัญชีที่ไม่แสดงความเห็นต่องบการเงิน สาเหตุและแนวทางจัดการของบริษัท สรุปผลการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) และข้อมูลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับ STARK

เมืองไทยประกันชีวิต นำทัพตัวแทนคุณภาพรับรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ประจำปี 2566

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต นำทัพสุดยอดตัวแทนที่ได้รับคัดเลือกจากสมาคมประกันชีวิตไทย เข้ารับรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40ประจำปี 2566 (THAILAND NATIONAL QUALITY AWARDS (40th TNQA) จัดโดยสมาคมประกันชีวิตไทย เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติคุณตัวแทนประกันชีวิต ผู้ผลิตผลงานคุณภาพดีและเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ตัวแทนประกันชีวิตทั้งหลาย ผลการปฏิบัติงานดีเด่นเข้าขั้นมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ของสมาคมประกันชีวิตไทย ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพตัวแทนของบริษัทฯ ที่ทุ่มเทความสามารถและให้การบริการที่ดีแก่ผู้เอาประกันภายใต้กฏระเบียบและจรรยาบรรณตัวแทนที่กำหนด โดยพิธีมอบรางวัลตัวแทนคุณภาพดีเด่นแห่งชาติ ครั้งที่ 40 ประจำปี 2566 จัดขึ้น ณ รอยัลจูบิลี่ บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณาของสมาคมประกันชีวิตไทย ประกอบด้วย การขายประกันชีวิตแบบรายบุคคลรายใหม่     เป็นประเภทสามัญหรือประเภทอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่าปีละ 30 ราย จำนวนเงินเอาประกันภัยไม่ต่ำกว่าปีละสี่ล้านห้าแสนบาท 2 ปีต่อเนื่องกัน และจะต้องมีระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันชีวิตมีผลบังคับ 14 เดือนหรือเกินกว่า โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขายได้ในปีที่ 1 นั้นจะต้องมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้ได้ไม่ต่ำกว่า 90% ทั้งด้านจำนวนรายและจำนวนเงินเอาประกันภัย ตลอดจนมีความภักดีต่อองค์กรต้นสังกัด โดยในปีนี้เมืองไทยประกันชีวิตมีตัวแทนคุณภาพที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ทั้งสิ้นจำนวน 167 ราย แบ่งเป็นดังนี้ 

  • รางวัลโล่ตัวแทนคุณภาพดีเด่นกิตติคุณ 20 ปี  พร้อมเกียรติบัตร  จำนวน 1 ท่าน   ได้แก่  คุณสุภานี ฉัตรรุ่ง
  • รางวัลโล่เกียรติคุณ พร้อมเประกาศนียบัตร จำนวน 5 ท่าน   ได้แก่​ คุณสุวรรณ ธาราภูมิคุณสามารถ โชคตระกูล​ คุณเอกชัย เอาวชีวิน​ คุณสุมาณี กิจบุญชัย​ คุณสาคร โสมคง
  • รางวัลประกาศนียบัตร จำนวน 161 ท่าน

โดยการรับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนารอบด้านอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อก้าวเคียงคู่ดูแลทุกช่วงของชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้มแก่ลูกค้าในทุกกลุ่ม ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ รวมไปถึงการพัฒนาและยกระดับคุณภาพตัวแทนสู่การเป็นนักวางแผนด้านการประกันชีวิตที่สามารถออกแบบให้คำปรึกษา และวางแผนทางการเงินที่เหมาะสมแและตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละราย พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าด้วยความเป็นมืออาชีพ สร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า และยึดมั่นในจรรยาบรรณสูงสุด  สอดคล้องกับกลยุทธ์ Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิต” ที่มุ่งเน้นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ    ในฐานะคู่คิดด้านชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ 

สัตวแพทย์เตือน ระวังหมูเถื่อน ผลกระทบต่อสุขภาพคนไทย

0

สัตว์แพทย์ ห่วงสุขภาพผู้บริโภค เตือนเลือกซื้อเนื้อหมูที่มาจากแหล่งมาตรฐานเชื่อถือได้ สังเกตเนื้อหมูให้มีลักษณะที่ดีไม่เสี่ยงหมดอายุ ย้ำบริโภคเนื้อหมูที่สุก เพื่อสุขอนามัยที่ดี

ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ รัตนวนิชย์โรจน์ อดีตรองคณบดีคณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า หมูเถื่อน หรือ หมูลักลอบนำเข้าลักษณะเป็นหมูกล่อง ที่ยังคงเป็นข่าวจับกุมอยู่อย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพหมูเถื่อนทำได้ยาก หากหลุดมาจำหน่ายถึงมือผู้บริโภค จะทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากสารพิษตกค้างและสารปนเปื้อน เพราะอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา บราซิล ยังคงอนุญาตให้ใช้สารเร่งเนื้อแดง โดยเฉพาะชนิดแรคโตพามีน (Ractopamine) หากหมูเถื่อนมาจากประเทศดังกล่าว นอกจากจะส่งผลต่อผู้บริโภคโดยตรง ยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทย

อุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยมีมาตรฐานที่สูงมาก โดยได้ยกเลิกการใช้สารเร่งเนื้อแดงมานานกว่า 20 ปี เป็นไปตามประกาศในกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2545 “ห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงหมูอย่างเด็ดขาด” ผู้ใดลักลอบใช้ถือว่าผิดกฎหมายมีโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในมาตรฐานการผลิตและความปลอดภัยของหมูไทย

มีการศึกษาว่าการใช้สารเร่งเนื้อแดงจะทำให้เกิดอันตรายและผลข้างเคียงต่อผู้บริโภค จากการกินเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับหมูที่มีการสะสมของสารเร่งเนื้อแดงจำนวนมาก ผู้บริโภคที่เป็นโรคหัวใจหากกินเข้าไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงในระบบทางเดินหายใจ

สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านชาบู หมูกระทะ แม้ว่าต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่ราคาสูง จะส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของร้านค้าลดต่ำลง แต่ผู้ประกอบการควรต้องระมัดระวังเนื้อหมูที่มีราคาถูกจนมีความเสี่ยงที่จะเป็นหมูเถื่อน อย่าเห็นเพียงราคาที่ถูกเพื่อใช้ลดต้นทุน นอกจากเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคแล้ว ที่สำคัญเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากมีการตรวจพบมีโทษหนักทั้งจำและปรับ

“ด้านผู้บริโภค ต้องพิจารณาจากสีของเนื้อหมู ไม่เป็นสีเขียว ดำคล้ำ หรือเสี่ยงหมดอายุ ต้องเลือกซื้อจากร้านที่มีการรับรองที่มาของเนื้อสุกรมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ หรือเลือกจากผู้ผลิตและจำหน่ายที่ได้มาตรฐาน มีการรับรับรองจากกรมปศุสัตว์ ที่สำคัญผู้บริโภคต้องบริโภคเนื้อหมูสุก เพื่อสุขอนามัยที่ดี ลดเสี่ยงจากเชื้อโรค” ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ กล่าว

ขณะที่กรมปศุสัตว์ ทำหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพเนื้อสัตว์ สารปนเปื้อน อยู่แล้ว ขอให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการช่วยเป็นหูเป็นตา หากพบแหล่งจำหน่ายที่น่าสงสัย ไม่น่าเชื่อถือ สามารถแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งไม่สนับสนุนเนื้อหมูที่มีราคาถูกจนผิดปกติและต้องสงสัยว่าเป็นหมูเถื่อน

ผศ.น.สพ. ณัฐวุฒิ ย้ำว่า เนื้อหมูคุณภาพดีเป็นความมั่นคงทางอาหารของไทย เพราะไทยเป็นผู้ผลิตอาหาร ทำให้ไทยได้สถานะครัวโลก ซึ่งประเทศไทยมีมาตรฐานการเลี้ยงการผลิตที่ดี มีความปลอดภัยสูง ปลอดจากสารเร่งเนื้อแดง ขณะที่หมูเถื่อนเป็นตัวการทำลายความมั่นคงทางอาหารของไทย รวมทั้งความมั่นใจในความปลอดภัยของหมูไทย