Home Blog Page 150

AIS Fibre ผนึก Netflix ปล่อยแพ็กเกจ “Netflix Lover” มิติใหม่ของวงการเน็ตบ้าน

0

AIS Fibre เดินหน้าตอกย้ำเป้าหมาย Digital Experience for Thais เพื่อให้สอดรับกับการใช้ชีวิตในบ้านของลูกค้าทุกรูปแบบ โดยเฉพาะความบันเทิงแบบดิจิทัลโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ครบวงจร ที่วันนี้ AIS Fibre ได้ผนึกกำลังร่วมกับสุดยอดพันธมิตรด้านสตรีมมิ่งคอนเทนต์ระดับโลกอย่าง Netflix สร้างมิติใหม่ของการให้บริการเน็ตบ้าน พร้อมรับชม Netflix กับแพ็กเกจ “Netflix Lover” เน็ตบ้านที่มาพร้อมกับการรับชมคอนเทนต์ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่หลากหลาย ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ การ์ตูน และแอนิเมชัน ผ่านแพลตฟอร์ม Netflix บนกล่อง AIS PLAYBOX ศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลกมากมาย พิเศษสำหรับลูกค้ารับเน็ตบ้านความเร็วแรง 1Gbps/500 Mbps ราคาแนะนำ 999 บาทต่อเดือนสำหรับ Netflix แพ็กเกจพรีเมียม

นางสาวสุนีย์ โรจนโอฬารรัตน์ หัวหน้าแผนกงานบริการการตลาดธุรกิจฟิกซ์ บรอดแบนด์ AIS กล่าวว่า “นอกเหนือจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพเน็ตบ้านให้มีประสิทธิภาพ ทั้งความเร็วแรง และมุ่งยกระดับการให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า สิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ ก็คือ ความบันเทิงที่หลากหลายภายในบ้านตามแนวคิด Digital Experience for Thais ทำให้วันนี้เรามองหาบริการใหม่ๆ ที่จะมาส่งมอบให้ลูกค้าอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงเป็นที่มาของความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Netflix ในครั้งนี้ ที่เราจัดเต็มความพิเศษที่จะได้รับความคุ้มค่าด้วยดีลที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าเท่านั้น ทั้งเน็ตบ้านและการรับชมคอนเทนต์กับแพลตฟอร์ของ Netflix ผ่านกล่อง AIS PLAYBOX สำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว บนโครงข่ายบรอดแบนด์ที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดจาก AIS Fibre”

นายกอราฟ ปราดฮัน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจประจำตลาดเศรษฐกิจใหม่ในภูมิภาคเอเชีย  Netflix  กล่าวว่า “Netflix ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นำบริการสตรีมมิ่งความบันเทิงระดับโลกด้วยการจับมือกับพันธมิตรชั้นนำเช่น AIS Fibre เพื่อมอบความพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟผ่านแพ็กเกจ Netflix Lover ที่ลูกค้าของเราจะได้รับชมคอนเทนต์ความบันเทิงทั้งออริจินัลซีรีส์คุณภาพ จาก Netflix รวมทั้งคอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งภาพยนตร์และซีรีส์ห้ามพลาดจากทั่วโลก”

Netflix เสิร์ฟคอนเทนต์คุณภาพให้แก่ผู้ชมชาวไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ดีลีท ทริลเลอร์ ซีรีส์สุดเข้มข้นฝีมือคนไทย ภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ คนระห่ำภารกิจเดือด 2  ร่วมด้วย คิง เดอะ แลนด์ ซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ ที่จะทำให้คุณยิ้มไม่หุบ นอกจากนี้ยังมีคอนเทนต์ที่พลาดไม่ได้อีกมากมายให้ได้ติดตามรับชมกัน อย่าง ฮาร์ท ออฟ สโตน กับการเจอกันของสองตัวแม่ แกล แกด็อต และ อาเลีย บาตต์ พร้อมลงจอในวันที่ 11 สิงหาคม  และอีกหนึ่งผลงานล่าสุดของนักแสดงและดาวตลกเลือดอีสานแถวหน้าของเมืองไทย เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา ใน  เมอร์เด้อเหรอ ฆาตกรรมอิหยังวะ ทั้งหมดนี้ที่ Netflix เท่านั้น

 สำหรับแพ็กเกจ Netflix Lover เป็นแพ็กเกจพิเศษที่ลูกค้าจะได้รับเน็ตบ้านพร้อม Netflix โดยเริ่มต้นที่ความเร็วระดับ 500/500 Mbps และความเร็วสูงสุด 1Gbps/500 Mbps สามารถรับชมคอนเทนต์ความบันเทิงจากสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มอย่าง Netflix ได้แบบจัดเต็มพร้อมสัมผัสประสบการณ์รับชมด้วยคุณภาพระดับ 4K และสามารถรับชมพร้อมกันได้สูงสุดถึง 4 อุปกรณ์ บนกล่อง AIS PLAYBOX ที่จะกลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิงระดับโลกที่ครบจบในกล่องเดียวผ่านโครงข่ายบรอดแบนด์ที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดจาก AIS Fibre

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.ais.th/fibre/package_netflixlover.html

เตือนนักลงทุนศึกษาและติดตามข้อมูล NUSA เนื่องจากการซื้อหุ้น WEH เพิ่มเติมเข้าข่ายเป็นรายการ Backdoor Listing

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาและติดตามข้อมูลของ NUSA ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากการซื้อหุ้น WEH เพิ่มเติมเข้าข่ายเป็นรายการ Backdoor Listing ที่ต้องดำเนินการตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้อง

บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) (NUSA) แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่16 กรกฎาคม 2566 อนุมัติซื้อหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จ ากัด (WEH) รวม 11,748 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน NUSA ให้กับบริษัท ธนา พาวเวอร์ วัน จำกัด (TONE) ไม่เกิน 49.98% เป็นการตอบแทน ซึ่งมีขนาดของรายการ 99.90%
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 สำนักงาน ก.ล.ต. ให้ NUSA ชี้แจงและปรับปรุงข้อมูลการคำนวณขนาดรายการดังกล่าวที่ไม่เป็นไปตามความเห็นของสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ครบถ้วน ถูกต้อง โดยให้นับรวมขนาดรายการที่ NUSA ลงทุนหุ้น WEH เมื่อปี 2565 ด้วย ต่อมาวันที่ 18 กรกฎาคม 2566 NUSA ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าจะเร่งประสานกับที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างครบถ้วนทุกด้าน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน ก่อนวันประชุมตามหน้าที่ของบริษัทมหาชนต่อไปโดยเร่งด่วน

เนื่องจากธุรกรรมดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของบริษัท หากรวมการซื้อหุ้น WEH ในปี 2565 ซึ่งมีขนาดรายการ 49% จะทำให้มูลค่ารายการเกิน 100% ซึ่งเข้าข่ายเป็นรายการเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์โดยอ้อม (Backdoor Listing) ซึ่ง NUSA มีหน้าที่ต้องดำเนินการดังนี้

  • (1) ขออนุมัติการเข้าทำรายการต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยยื่นคำขอให้พิจารณารับหลักทรัพย์ใหม่ (Relisting) โดยไม่ชักช้า หากคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์ของบริษัท
  • (2) ขออนุมัติต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเข้าท ารายการดังกล่าวโดยไม่ชักช้า โดยหากมีการจัดประชุมผู้ถือหุ้นก่อนทราบผลการพิจารณาคำขอให้รับหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามข้อ (1) บริษัทจะต้องระบุในหนังสือนัดประชุมผู้ถือหุ้นโดยชัดแจ้งว่าอยู่ระหว่างรอผลการพิจารณา

ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอคำชี้แจงของ NUSA และบริษัทต้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาและติดตามข้อมูลของ NUSA ด้วยความระมัดระวัง

AIS Business ผนึก Microsoft เปิดตัว “Operator Connect for Microsoft Teams” ตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรยุค Working Anywhere

0

AIS Business เดินหน้าส่งมอบบริการและดิจิทัลโซลูชันสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร ด้วยบริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลเทคโนโลยีที่มีความพร้อมในทุกมิติ ผ่านการทำงานร่วมกับ Microsoft ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลที่เป็น Exclusive Strategic Partner รายเดียวในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีจากบริการคลาวด์ระดับโลกและเครือข่ายที่ดีที่สุดของไทย มาสนับสนุนผลักดันให้ภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมสามารถทำทรานสฟอร์เมชันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุดได้ร่วมกันเปิดตัวบริการที่ AIS เป็นผู้ให้บริการรายแรกในไทยกับ “Operator Connect for Microsoft Teams” บริการที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการสื่อสารภายในองค์กรและภายนอกจากระบบโทรศัพท์แบบเดิมให้มาอยู่บนเทคโนโลยีคลาวด์ ผ่าน ไมโครซอฟท์ ทีมส์ ที่รองรับการโทรติดต่อทั้งภายในและภายนอกองค์กร ทำลายข้อจำกัดในการใช้งานแบบเดิม ลดต้นดูแลตู้สาขาอัตโนมัติ และการเดินสายโทรศัพท์ ตอบโจทย์การทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ Hybrid ในยุค Working Anywhere

ธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS อธิบายว่า “จากเทรนด์การทำงานขององค์กรที่เคลื่อนไปสู่รูปแบบของ Hybrid ที่พนักงานสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นกระบวนการทำงานโดยเฉพาะการสื่อสารทั้งภายใน และภายนอก ยังต้องเสริมเครื่องมือด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยให้สามารถทำงานได้แบบ Remote Working ดังนั้นการทำงานร่วมกับของ AIS และ Microsoft ที่มุ่งตอบโจทย์รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป

จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวบริการ Operator Connect for Microsoft Teams ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อสื่อสารด้วยการโทรไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรศัพท์พื้นฐานทั้งภายในและภายนอกองค์กรได้อย่างง่ายดาย ผ่านโปรแกรม ไมโครซอฟท์ ทีมส์ โดยปัจจุบัน องค์กรต่างๆ มีความคุ้นเคยในการใช้งานในฐานะแพลตฟอร์มสื่อสาร ทางธุรกิจที่มีฟังก์ชันมากมาย อาทิ การนัดหมายประชุมออนไลน์ การส่งและแก้ไขเอกสาร ห้องแชทพูดคุยงาน หรือแม้แต่การเชื่อมต่อแอปพลิเคชันอื่นๆ อยู่แล้ว และมีอัตราการเติบโตด้านการใช้งานของไมโครซอฟท์ ทีมส์ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมากกว่า 2 – 3 เท่าในช่วง Covid ที่ผ่านมา

เราเชื่อว่าบริการนี้จะเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบการสื่อสารแบบเดิมที่ต้องเดินสายโทรศัพท์ ติดตั้ง PBX (Private Branch Exchange) หรือระบบชุมสายโทรศัพท์ภายในองค์กรให้มาอยู่บนเทคโนโลยีคลาวด์ ช่วยให้องค์กรภาคธุรกิจทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ สามารถลดต้นทุนที่เกิดขึ้นทั้งค่าดำเนินการเดินสายโทรศัพท์ ค่าอุปกรณ์ หรือแม้แต่ค่าดูแลบำรุงรักษา ทั้งยังสามารถจัดการ การสั่งซื้อจำนวนผู้ใช้งานได้ตามความต้องการได้อีกด้วยและที่สำคัญคือตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid ช่วยให้ทุกการสื่อสารเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา สะดวกรวดเร็วประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยเสริมขีดความสามารถใหม่ๆ ในกระบวนการทำงานด้วยโครงข่าย 5G ที่จะทำให้ลูกค้าองค์กรเติบโตอุ่นใจไปด้วยกัน”

จากการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ระหว่าง AIS และ Microsoft อย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปีนี้ AIS ก็ยังคงเป็นผู้นำในการให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลในประเทศไทย ที่สามารถคว้ารางวัล Microsoft Thailand Partner of the Year Award ได้อีกครั้งต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้ได้มาถึง 4 รางวัล

? รางวัล 2023 Microsoft Thailand Partner of the Year Award

? รางวัล Intelligent Cloud Partner of the Year Award 2022 (Enterprise Commercial Segment)

? รางวัล The Future of Work Transformation Partner of the Year Award 2022 (Public Sector Segment)

? รางวัล Diversity & Inclusion Award 2022

สำหรับองค์กรที่สนใจใช้บริการ Operator Connect for Microsoft Teams สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://business.ais.co.th/solution/operator-connect-for-microsoft-teams.html

สิงห์อาสา จับมือ นศ. 10 สถาบัน ลงพื้นที่ “กำจัด-บด-แปรรูป ผักตบชวา” เปิดทางระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วม

0

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ อำเภอดอนตูม, โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาบางเลน, เครือข่ายสิงห์อาสา 10 สถาบันการศึกษาภาคกลาง พร้อมด้วยชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนคลองบ้านภูมิ ต.สามง่าม อ.ดอนตูมจ.นครปฐม จัดโครงการ “กำจัด-บด-แปรรูป ผักตบชวา” ร่วมกันกำจัดผักตบชวาเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน พร้อมนำผักตบชวาที่ได้มาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งคลองดังกล่าวเป็นคลองที่สำคัญก่อนไหลออกสู่แม่น้ำท่าจีน และเป็นพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง โดยผักตบชวาที่ได้ในครั้งนี้ สิงห์อาสา ได้ร่วมกับ คณะเกษตรกำแพงแสน และคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นำชีวภัณฑ์จากรามาพ่นเพื่อควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของผักตบชวา, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา สอนวิธีการแปรรูปผักตบชวาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในการเกษตรให้แก่ชาวบ้าน และร่วมกับ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์สุพรรณบุรี สร้างเครื่องตัดย่อยผักตบชวาเพื่อแปรรูปผักตบชวาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ

นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา สิงห์อาสา พร้อมด้วยเครือข่ายต่างๆ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาผักตบชวาและขยะซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่กีดขวางทางน้ำ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากการขยายพันธุ์เร็วเกินไปขวางทางไหลของน้ำ อีกทั้งยังทำลายระบบนิเวศและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรครวมไปถึงสัตว์มีพิษ และโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางเป็นพื้นที่ที่ประสบกับปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง เมื่อเข้าฤดูฝน
จะมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง หากการระบายน้ำเป็นไปได้ดีก็จะลดปัญหาเรื่องน้ำท่วมได้ โดยในครั้งนี้ได้ร่วมมือกับเครือข่ายสิงห์อาสาและชาวบ้านในพื้นที่ ช่วยกันเก็บผักตบชวา ซึ่งผักตบชวาที่เก็บได้จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยได้ร่วมมือกับเครือข่ายสิงห์อาสา 3 มหาวิทยาลัยที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญนำนวัตกรรมต่างๆ มาช่วยทำให้กิจกรรมมีประสิทธิภาพและชาวบ้านในพื้นที่ได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นด้วย”

ผศ.ดร.อาร์ม อันอาตม์งาม อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า “โครงการ กำจัด-บด-แปรรูป ผักตบชวา เป็นโครงการที่ทางคณะฯ ได้ร่วมกับสิงห์อาสา เพื่อนำนวัตกรรมชีวภัณฑ์มาควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของผักตบชวาที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดน้ำท่วม ซึ่งชีวพันธุ์ ก็คือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติโดยทำจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเลย ไม่ว่าจะเป็นมาจากพืชจากสัตว์หรือแม้กระทั่งมาจากจุลินทรีย์ ซึ่งสิ่งที่เราใช้ก็คือ ชีวพันธุ์จากราโดยเชื้อราตัวนี้เป็นสาเหตุของโรคใบไม้ไหม้บนผักตบชวา ซึ่งชีวภัณฑ์ของเรามีคุณภาพและปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยได้รับรางวัลการันตีจากหลายประเทศ เช่น รางวัลเหรียญเงิน
สาขานวัตกรรม งาน Invention Geneva ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งประโยชน์ของการพ่นชีวภัณฑ์นี้นอกจากจะช่วยควบคุมการแพร่ขยายพันธุ์ของผักตบชวาแล้ว ยังช่วยลดงบประมาณและแรงงานในการกำจัดผักตบชวาได้ โดยใช้วิธีการคือ นำโดรนขึ้นพ่นผักตบชวาในแหล่งน้ำ รอประมาณ 3 สัปดาห์ ผักตบชวาจะเหี่ยวและค่อยๆ สลายลงในที่สุดโดยไม่ทำให้น้ำเน่าเสีย ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะช่วยกำจัดผักตบชวาที่กีดขวางทางน้ำได้”

นางสาวสิริวรรณ สมิทธิอาภรณ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า “ทางคณะฯ ได้นำองค์ความรู้ในการแปรรูปผักตบชวาเป็นปุ๋ยอินทรีย์มาถ่ายทอดให้กับชาวบ้านในพื้นที่ การได้ลงพื้นที่ร่วมทำปุ๋ยกับชาวบ้านในครั้งนี้ทำให้ได้เห็นถึงความตั้งใจของชาวบ้านที่พร้อมที่จะช่วยกันดูแลชุมชนของตัวเองเพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วม โดยผักตบชวาที่เก็บมาจะถูกนำมาแปรรูปให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน ชาวบ้านสามารถนำไปต่อยอดผลิตปุ๋ยเองได้ รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำเอาความรู้ไปถ่ายทอดให้ชาวบ้านและนำนักศึกษาของเรามาถ่ายทอดตรงนี้เป็นการฝึกทักษะให้กับนักศึกษา ให้นักศึกษาได้เอาความรู้ของตัวเองที่มีมาทำให้เกิดประโยชน์ทำได้จริง”

นายจีรัฐติกุล กล้าหาญ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มทร.สุวรรณภูมิ ศูนย์สุพรรณบุรี กล่าวว่า “ปีนี้ถือเป็นปีที่สองที่ได้ร่วมมือกับสิงห์อาสาในโครงการ กำจัด-บด-แปรรูป ผักตบชวา โดยทางคณะฯ ได้นำองค์ความรู้ในสาขาวิชามาใช้ให้เกิดประโยชน์และให้นักศึกษาร่วมออกแบบและสร้างเครื่องตัดย่อยผักตบชวาที่จะสามารถช่วยตัดย่อยผักตบชวาได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น จากประสบการณ์ ปีที่แล้วที่ได้มาทดลองเครื่องในงานสิงห์อาสาได้พบว่าผักตบชวามีลักษณะหนาและเหนียว จึงได้ไปพัฒนาเครื่องตัดย่อยให้มีใบมีดที่เหมาะสมสามารถตัดเฉือนผักตบชวาได้หลายรูปแบบมากขึ้น ทำให้ได้ผักตบชวาขนาดเล็กลงสามารถไปแปรรูปได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังช่วยแบ่งเบาด้านการใช้แรงงานก่อนนำผักตบชวามาแปรรูปอีกด้วย ถือเป็นต้นแบบเครื่องตัดย่อยผักตบชวาที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับชุมชนต่างๆที่ประสบปัญหาผักตบชวากีดขวางทางน้ำได้เป็นอย่างดี”

โดยเครือข่ายสิงห์อาสา 10 สถาบันการศึกษาภาคกลาง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน , มหาวิทยาลัยมหิดล , มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ , มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา , มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์สุพรรณบุรี , มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ พื้นที่ศาลายา,วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม, วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม และวิทยาลัยการอาชีพบางแก้วฟ้า จ.นครปฐม

โครงการ “กำจัด-บด-แปรรูป ผักตบชวา” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการหลัก “สิงห์อาสาสู้น้ำท่วม” ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 เพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวากีดขวางทางเดินน้ำซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่สร้างผลกระทบให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยตลอด 6 ปีที่ผ่านมาสิงห์อาสา และเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคกลาง ทั้งมหาวิทยาลัยและสถาบันอาชีวศึกษา ร่วมกันผนึกกำลังดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดภาคกลาง เช่น นครปฐม, อยุธยา, สิงห์บุรี และปทุมธานี ที่เกิดน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี

กมธ.ทรัพยากรฯ ยกย่อง 2 โครงการของซีพีเอฟ “ปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ”

0

วุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบ “รางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติการปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ” ร่วมขับเคลื่อนการปลูกต้นไม้เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลจาก 2 โครงการ ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ตำบลเทพนคร อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร และ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ตำบลพัฒนานิคม อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุุรี มุ่งเน้นสร้างความยั่งยืน และการมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ ส่งเสริม เศรษฐกิจชุมชนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

พิธีมอบรางวัลดังกล่าว ได้รับเกียรติจาก พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ประธานคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา เป็นประธานเปิดงานและมอบรางวัลฯ ซึ่งในปี 2566 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 และในปีนี้ โครงการปลูกต้นไม้และปลูกป่าของซีพีเอฟ ที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตร ได้รับรางวัลฯ 2 โครงการ โดยมี นายพิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร เป็นตัวแทนรับรางวัลฯ โครงการสวนป่าชุมชนหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร พร้อมด้วยตัวแทนซีพีเอฟ และ นายถนอมพงษ์ สังข์ธูป ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ ๕ (สระบุรี) กรมป่าไม้ และตัวแทนคณะทำงานยุทธศาสตร์ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เข้ารับรางวัลฯ จัดโดย คณะทำงานโครงการสมัชชาปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ ร่วมกับ มูลนิธิสานพลังเพื่อแผ่นดิน (มสผ.) ร่วมด้วย นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ ประธานคณะทำงานโครงการสมัชชาปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ ณ ห้องประชุม 402 – 403 ชั้น 4 สัปปายะสภาสถาน อาคารรัฐสภา กรุงเทพฯ.

นายพิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร กล่าวว่า ศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร เป็นต้นแบบป่านิเวศในฟาร์มสุกรแห่งแรกของประเทศไทย ที่เกิดจากความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ และเกษตรกรในโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ภาคีเครือข่าย ภาครัฐ และชุมชน ร่วมกันสร้างธุรกิจฟาร์มสุกรรูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พลิกพื้นที่ว่างในฟาร์มสุกรเป็นป่านิเวศในชุมชน ตามนโยบายฟาร์มสีเขียว (Green Farm) ด้วยการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ร่วมบริหารจัดการและดูแลต้นไม้ในพื้นที่ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชุมชน และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน ปลูกต้นไม้รวมไปแล้วมากกว่า 25,000 ต้น บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ มีทั้งไม้ยืนต้นและพันธุ์ไม้หายากมากกว่า 210 ชนิด ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ พร้อมทั้งนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาประยุกต์ใช้ อาทิ นำน้ำที่ผ่านการบำบัดจากระบบก๊าซชีวภาพ หรือน้ำปุ๋ย และปุ๋ยจากมูลสุกรมาใช้ปลูกต้นไม้ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัจจุบัน โครงการฯยังเป็นศูนย์การเรียนรู้ ที่มีการนำคิวอาร์โค้ด (QR Code) มาใช้ เพื่อการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และพัฒนาโปรแกรมการศึกษาดูงาน (Integrated Learning Center) ที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มที่เข้าเยี่ยมชม ทั้งชาวชุมชน สถานศึกษาในท้องถิ่น และผู้ที่สนใจเข้าเยี่ยมชมได้ตลอดทั้งปี

ด้าน นายถนอมพงษ์ สังข์ธูป ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการปลูกป่า สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ ๕ (สระบุรี) กรมป่าไม้ และทำหน้าที่หัวหน้าโครงการฟื้นฟูสภาพป่าไม้ ป่าเขาพระยาเดินธง กล่าวว่า โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เป็นโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำลุ่มน้ำป่าสัก ที่เกิดจากความร่วมมือ 3 ประสาน คือ ภาครัฐโดยกรมป่าไม้ ซีพีเอฟ และชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าเป็นผลสำเร็จไปแล้ว 7,000 ไร่ ถือเป็นต้นแบบของการฟื้นฟูป่าให้กับผืนป่าอื่นๆของประเทศไทย ด้วยการนำรูปแบบของการฟื้นฟูป่า 4 รูปแบบมาใช้ คือ การปลูกป่าแบบพิถีพิถัน การปลูกเสริมป่า การส่งเสริมการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ และปล่อยตามธรรมชาติ ทำให้ผืนป่าแห่งนี้ ฟื้นตัวได้เร็วกว่าปล่อยให้ป่าฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ และเป็นการปลูกป่าที่มีการติดตามผลและดูแลอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ ซีพีเอฟและกรมป่าไม้ สร้างการมีส่่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของทรัพยากรป่าไม้ เพื่อร่วมกันดูแลป่าไม้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนชุมชนทำโครงการปลูกผักปลอดสารวิถีธรรมชาติ และโครงการเพาะพันธุ์และอนุบาลปลาน้ำจืด เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน ส่งเสริมชุมชนพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ รางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติการปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ เป็นการพิจารณาคัดเลือกโดยคณะทำงานโครงการสมัชชาปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ คณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ที่มีเจตนารมณ์ขับเคลื่อนการปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน เพื่อสร้างการรับรู้ และการมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ ขยายเครือข่ายพลังทางสังคมมุ่งมั่นในเจตนารมณ์ร่วมกัน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาสังคม ชุมชน และภาคธุรกิจ โดยในปี 2566 มีการมอบรางวัลเชิดชูเกียรติ “ปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดินตามรอยพ่อ” ทั้งหมด 9 รางวัล ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร และ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” โดยทั้งสองโครงการดำเนินการโดยซีพีเอฟ และยังมีประเภทรางวัลอื่นๆ อาทิ โครงการปลูกต้นไม้สร้างชุมชนท้องถิ่นสีเขียว โครงการ “ป่าในกรุง” ถุงลมคนกรุง โครงการ รักษ์ป่าชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน และเพื่อโลก โครงการสร้างสวนป่า สร้างเมืองน่าอยู่

เมืองไทยประกันชีวิต จัดงาน “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย ครั้งที่ 34” พร้อมทัศนศึกษาเปิดโลกการเรียนรู้ใต้ทะเลที่ซีไลฟ์ แบงคอก

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่การดำเนินกิจกรรม เพื่อคืนกำไร สู่สังคม จัดงาน “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย ครั้งที่ 34” ให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ตลอดจนบุตรหลานเจ้าหน้าที่เขต ในพื้นที่เขตปทุมวัน เขตดินแดง และเขตห้วยขวาง เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อให้เด็กนักเรียนที่มีความสามารถและประสิทธิภาพในการเรียน พร้อมกิจกรรมทัศนศึกษา เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการเรียนรู้ และสร้างแรงบันดาลใจในเรื่องการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล ณ ซีไลฟ์ แบงคอก

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาในการสร้างอนาคตที่ดีให้กับเด็กนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่มีความสามารถแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ที่จำเป็นในการศึกษา เมืองไทยประกันชีวิตจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและเสริมสร้างสังคมที่มีความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา เพื่อการเติบโตและการพัฒนาของเยาวชนไทย พร้อมตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่การดำเนินกิจกรรมเพื่อคืนกำไรสู่สังคม ด้วยการจัดโครงการมอบทุนการศึกษา “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย ครั้งที่ 34” เพื่อมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ตลอดจนบุตรหลานเจ้าหน้าที่เขต ในพื้นที่เขตปทุมวัน เขตดินแดง และเขตห้วยขวาง รวมจำนวน 175 ทุน โดยได้รับเกียรติจากนางสาวยุพดี จรุงกลิ่น หัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร นายชูชาติ พุ่มน้อย ผู้อำนวยการเขตดินแดง นางสาวสุขวิชญาณ์ นสมทรง ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน นางสายทิพย์ สุคนธ์มณี ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง และนางสาวกิตติวรรณ อนุเวชสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด ร่วมในพิธี งานจัดขึ้น ณ ซีไลฟ์ แบงคอก

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้ม เพื่อส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของเยาวชน ด้วยการนำนักเรียนที่เข้ารับทุนร่วมกิจกรรมทัศนศึกษาเปิดโลกการเรียนรู้ใต้ทะเล ชมความมหัศจรรย์และความงามที่ซ่อนอยู่ในมหาสมุทร ณ ซีไลฟ์ แบงคอก แหล่งความรู้ที่จะให้นักเรียนได้มีประสบการณ์การที่น่าตื่นเต้นและได้เรียนรู้เรื่องราวชีวิตใต้ทะเลท่ามกลางสัตว์นานาพันธุ์ รวมถึงเป็น การสร้างแรงบันดาลใจและปลูกฝังจิตสำนึกในการร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติทางทะเลอีกด้วย เพื่อเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรของประเทศไทยในอนาคต โดยในช่วงท้ายของกิจกรรม น้อง ๆ ผู้เข้ารับทุนยังได้รับชุดอาหารและเครื่องดื่มเติมเต็มความสุข ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท แมคไทย จำกัด กลับไปทานอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย

“โครงการทัศนศึกษาที่นำเสนอโดยบริษัทนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพของนักเรียน ทำให้เขาได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและทรงประสิทธิภาพเพื่ออนาคตที่สดใสและเต็มไปด้วยความสำเร็จในทางการศึกษาและชีวิตที่ต้องพบเจอในอนาคต” นายสาระ กล่าวสรุป

AIS PLAY เอาใจแฟนบาสฯ​ ยิงสดครบทุกแมตช์ ศึก​Basketball Thai League2023 ดูฟรีทุกเครือข่าย

0


AIS PLAY ยังคงตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางด้านคอนเทนต์กีฬาชั้นนำทั้งในประเทศและระดับโลก ล่าสุดได้ผสานความร่วมมือกับ สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยเดินหน้าถ่ายทอดสดการแข่งขัน Basketball Thai League2023 หรือบาสเกตบอลไทยลีก บาสเกตบอลอาชีพสูงสุดของไทย ให้แฟนบาสเกตบอลชาวไทยได้รับชมฟรีทุกเครือข่าย แบบจัดเต็มทุกแมตช์ทั้งชมสดและรีรัน ผ่าน AIS PLAY ในทุกช่องทาง ประเดิมการแข่งขันนัดแรก 15 กรกฎาคม เวลา 12.00 น. เป็นต้นไ

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “เรารู้สึกดีใจและเป็นเกียรติที่สมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยให้โอกาส AIS ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งมอบประสบการณ์การรับชมสุดยอดการแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพไทยลีก 2023 ให้ลูกค้า และแฟนๆ บาสเกตบอลชาวไทยรับชมได้ฟรี แบบจัดเต็มครบทุกแมตช์ทั้งการชมสด และรีรัน นับเป็นการตอกย้ำถึงความตั้งใจของ AIS PALY ในการเป็นผู้นำคอนเทนต์ด้านกีฬาทั้งในและต่างประเทศที่มีความหลากหลายมากสุดในฐานะผู้ให้บริการ Streaming Service Provider ชั้นนำของไทย”

สำหรับศึกบาสเกตบอลไทยลีก 2023 จัดโดยสมาคมกีฬาบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของสหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ นับเป็นการแข่งขันบาสเกตบอลอาชีพรายการสูงสุดของประเทศ โดยคัดทีมยักษ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ จำนวน 8 ทีมประกอบไปด้วย BANVAS SLAMMERS มรภ.พระนคร, SNIPERS BASKETBALL CLUB, HI-TECH BASKETBALL CLUB, WARRIORS THAILAND, NAGA HUNTERS NONG KHAI, สโมสรบาสเกตบอล มศว., สโมสรบาสเกตบอลมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ TGE BASKETBALL CLUB โดยจะเปิดสนามระเบิดศึกยัดห่วงพร้อมกัน วันที่ 15 กรกฎาคมนี้

แฟนบาสเกตบอลชาวไทยสามารถรับชมฟรีทุกแมตช์แบบจัดเต็มผ่านทาง AIS PLAY ในทุกช่องทาง ทั้งแอปพลิเคชัน AIS PLAY, เว็บไซต์ ais.th/play, กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TVและ Apple TV  

องคมนตรี และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ มอบรถรับส่งนร. ให้รร.พื้นที่ถิ่นทุรกันดาร จ.ประจวบคีรีขันธ์

0

พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี เป็นประธานในพิธีส่งมอบรถรับส่งนักเรียน ที่ได้รับการสนับสนุนจาก นายอดิเรก ศรีประทักษ์ รองประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ จัดเตรียมรถบรรทุก 6 ล้อ ขนาดกลาง จนเสร็จสมบูรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ที่กำหนดไว้ในงานบริการรับส่งนักเรียน

ในการนี้ นายวีรชัย รัตนบานชื่น รองประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร พร้อมด้วย น.สพ.สิทธิพร ปราณีนิจ ที่ปรึกษาอาวุโส เครือซีพี เป็นผู้แทน มอบให้กับ โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ ต.บึงนคร อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อใช้เป็นพาหนะอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียน โดยมี นายเจริญ เหมือนศรีเพ็ง ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา นางอรเยาว์ อาจหาญ ผู้อำนวยการ โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ พร้อมบุคลากรและนักเรียน ร่วมรับมอบ ณ ทำเนียบองคมนตรี กรุงเทพฯ

“โรงเรียนบ้านห้วยไคร้” เป็นหนึ่งในโครงการกองทุนการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เปิดสอนในระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษาตอนต้น มีนักเรียน 325 คน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ และบางส่วนอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล อีกทั้งสภาพภูมิศาสตร์ของโรงเรียนตั้งอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร ถนนที่ใช้สัญจรบางส่วนเป็นดินลูกรัง ทำให้ยากลำบากต่อการเดินทางมาโรงเรียน จึงมีนักเรียนบางส่วนพักค้างที่โรงเรียน ซึ่งเดินทางมาเรียนในเช้าวันจันทร์ และพักอยู่ในโรงเรียนจนถึงเย็นวันศุกร์จึงกลับไปพักกับผู้ปกครอง ปัจจุบันโรงเรียนมีรถยนต์บรรทุกโดยสารขนาดกลาง (ชนิด 6 ล้อ) เป็นพาหนะในการรับส่งนักเรียน 1 คัน

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ ตระหนักถึงความสำคัญของคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน เดินหน้าช่วยเหลือสังคม ส่งมอบพาหนะอำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน โรงเรียนบ้านห้วยไคร้ เพื่อให้อนาคตของชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเตรียมพร้อมสำหรับการการขยายชั้นเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต่อไป

ซีพีเอฟ – ศูนย์ FLEC สงขลา ก้าวสู่ปีที่ 8 ผนึกพลัง 7 องค์กร ร่วมต่อต้านการค้ามนุษย์ หนุนสร้างห่วงโซ่อาหารทะเลยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับองค์กรพันธมิตร ขับเคลื่อน“ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา” (Fishermen Life Enhancement Center หรือ ศูนย์ FLEC) เข้าสู่ปีที่ 8 มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพชีวิตครอบครัวแรงงานประมงต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลและคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม สร้างเสริมทักษะชีวิต เพื่อร่วมต่อต้านการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างยั่งยืน

นางสาวนาตยา เพชรรัตน์ ผู้จัดการศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา ในฐานะกรรมการศูนย์ FLEC สงขลา กล่าวว่า ศูนย์ FLEC ดำเนินงานตั้งแต่ปี 2559 สำหรับปีนี้ ศูนย์ FLEC มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพเด็กลูกหลานแรงงานข้ามชาติ ให้ได้รับการศึกษา ควบคู่กับการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง สนับสนุนให้เด็กข้ามชาติเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียมและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อร่วมต่อต้านปัญหาการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กอย่างผิดกฎหมายในอุตสาหกรรมอาหารทะเล ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศูนย์ FLEC บูรณาการความเชี่ยวชาญของ 7 องค์กรจากภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ภายใต้ความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติภาคประมงและครอบครัว ให้ได้รับการคุ้มครองและสามารถประกอบอาชีพได้ตามหลักมนุษยธรรม พร้อมยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) และสุขภาพ คุ้มครองและเคารพสิทธิเยาวชน สอดคล้องหลักการชี้แนะเรื่องสิทธิมนุษยชนสำหรับธุรกิจขององค์การสหประชาชาติ (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) และเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้แก่ครอบครัวแรงงานประมง รวมถึงการมีส่วนร่วมปกป้องเรื่องการจัดการขยะทะเลและชายฝั่ง (Ocean Stewardship)

ศูนย์ FLEC ดำเนินการในระยะที่ 2 ( 2564 – 2568) ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อสร้างรากฐานการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) โดย ศูนย์เรียนรู้เพื่อเด็กและครอบครัวแรงงานเพื่อนบ้าน (Learning Quarter for Neighboring Migrant Children and Family) เป็นแกนหลักในการจัดการเรียนตามช่วงวัย ตั้งแต่ความรู้ขั้นพื้นฐาน เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ และกัมพูชา เตรียมความพร้อมเข้าเรียนต่อในโรงเรียนรัฐในจังหวัดสงขลา ควบคู่กับการสร้างเสริมทักษะการใช้ชีวิต สร้างแหล่งอาหารส่งเสริมความมั่นคงทางอาหาร อาทิ การปลูกผักสวนครัวไว้รับประทาน และการแยกขยะนำไปขายอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ พึ่งพาตนเอง ได้ สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน

ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา มีลูกหลานแรงงานประมงในพื้นที่ท่าเรือสงขลา กว่า 268 คนได้เข้าถึงการศึกษาตามระบบการศึกษาของไทย ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนจำนวน 34 คนกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเทศบาล 1 (ถนนนครนอก) อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา

ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในองค์กรพันธมิตรร่วมก่อตั้งและสนับสนุนการดำเนินงานศูนย์ FLEC สงขลาตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน โดยบูรณาการความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ระหว่างซีพีเอฟ กับ 6 องค์กรพันธมิตร ประกอบด้วย องค์การสะพานปลา ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี บริษัท จี.อี.พี.พี. สะอาด (เก็บสะอาด) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (GC) มีเป้าหมายสร้างความเท่าเทียมและพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานประมงข้ามชาติและครอบครัวในทุกมิติ ผ่านการเพิ่มพูนความรู้เรื่องความปลอดภัยและชีวอนามัยในสถานที่ทำงาน การดูแลสุขภาพ การสร้างเสริมทักษะอาชีพ มุ่งลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนผ่านโครงการปลูกผักสวนครัวรับประทาน เป็นต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในการร่วมต่อต้านปัญหาการค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

ศูนย์ FLEC ได้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงยังได้ร่วมมือกับองค์กรพันธมิตร ดำเนิน โครงการ “ขยะดีมีค่า” เพื่อส่งเสริมความรู้การคัดแยกขยะ และนำมาขยะที่สามารถรีไซเคิลได้แลกเป็นของใช้อุปโภค เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้ครองชีพ นอกจากนี้ ศูนย์ FLEC ยังมีส่วนร่วมเก็บขยะทะเลในวันเก็บขยะชายหาดสากล (International Ocean Clean Up Day) ตามแนวทางสากล Ocean Conservancy ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้นกว่า 13,000 กิโลกรัม เพื่อร่วมปลูกฝังจิตสำนึกในการร่วมพิทักษ์ และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล อันเป็นต้นทางความมั่นคงในระบบทางอาหารของโลก

KCC ยกระดับเป็นโฮลดิ้ง​ ปลดล็อกให้ซื้อหนี้จาก Non bank ได้

0

บอร์ด KCC ไฟเขียวปรับโครงสร้าง ตั้ง “ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง” ปูพรมประมูลหนี้ Non bank ทั้งหนี้หุ้นกู้ หนี้ที่อยู่ในการฟื้นฟูกิจการจากนิติบุคคลอื่น ซึ่งจากเดิมซื้อหนี้ได้เฉพาะจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินตามที่ใบอนุญาต AMC กำหนดเท่านั้น แต่จะยังคงเน้นธุรกิจ AMC ที่บริษัทมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จมายาวนานเป็นหลัก พร้อมเปิดสูตรแลกหุ้น 1 หุ้น KCC ต่อ 1 หุ้นโฮลดิ้ง ดันโฮลดิ้งจดทะเบียนใน mai แทน

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566  มีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้น      และการจัดการของบริษัทฯ (แผนปรับโครงสร้างฯ) และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ โดยจัดตั้ง “บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง  จำกัด (มหาชน)” (Knight Club Capital Holding Public Company Limited) (บริษัทโฮลดิ้ง) โดยบริษัทจะต้องขออนุมัติต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่          11 กันยายน 2566

ทั้งนี้ การยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้ง มีวัตถุประสงค์หลัก คือ 1.เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ ลดข้อจำกัดด้านการลงทุน โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทฯ เพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว 2.เพื่อให้สามารถแบ่งแยกขอบเขตการบริหารธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์เดิมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ 3.เพื่อให้สามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้แต่ละธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีให้กับกลุ่มบริษัทในอนาคต และ 4.เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจเนื่องจากแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขอบเขต หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละสายงานได้อย่างชัดเจน

“การยกฐานะขึ้นเป็นโฮลดิ้งจะทำให้มีความคล่องตัว  สามารถลงทุนซื้อหนี้จากบุคคลและนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เฉพาะหนี้จากสถาบันการเงินเท่านั้น ในการปรับโครงสร้างหนี้โดยการฟื้นฟูกิจการ จะมีหนี้อื่นๆ เช่น หุ้นกู้ หนี้การค้า ซึ่งโดยมากจะถือโดยนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ซึ่ง AMC ไม่สามารถเข้าไปซื้อได้ การปรับโครงสร้างเป็นโฮลดิ้งจึงทำให้บริษัทสามารถขยายช่องทางในการซื้อหนี้ได้มากขึ้น เพราะบริษัทมีความชำนาญในเรื่องของการซื้อหนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ดี KCC จะยังคงเน้นธุรกิจ AMC ที่บริษัทมีประสบการณ์และประสบความสำเร็จมายาวนานเป็นหลัก ตามทิศทางการเปิดประมูลหนี้ของสถาบันการเงินยังที่มีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทก็เห็นโอกาสเข้าไปประมูลหนี้ที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายที่เริ่มมีเพิ่มมากขึ้น”  นายทวีระบุ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KCC กล่าวต่อว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทจากผู้ถือหุ้น โดยบริษัทโฮลดิ้งจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในอัตราการแลกหลักทรัพย์เท่ากับ 1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้ง และภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของบริษัทโฮลดิ้งเสร็จสิ้น จะนำหุ้นสามัญของบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) แทนหุ้นสามัญของบริษัทฯ หรือ KCC  ซึ่งจะถูกเพิกถอนออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และKCC จะถือหุ้นเกือบ100% โดยบริษัทโฮลดิ้ง

นอกจากนี้การปรับโครงสร้างครั้งนี้จะไม่กระทบต่อหุ้นกู้ของบริษัท เพราะฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ หรือความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ไม่แตกต่างไปจากเดิมเนื่องจาก บริษัทฯ ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ยังคงมีรายได้มาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์จากการประกอบธุรกิจบริหารสินทรัพย์ได้เหมือนเดิมทุกประการ