Home Blog Page 144

AIS ยืนหนึ่ง คว้า 3 รางวัลใหญ่ CEO-CFO-IR ยอดเยี่ยม จากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน

0

นับเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง ที่ AIS สามารถคว้ารางวัลจากสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ในการประกาศผล IAA Awards for Listed Companies 2022 ได้ถึง 3 รางวัลใหญ่ ในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสาร ที่ประกอบไปด้วย รางวัล CEO ยอดเยี่ยม, รางวัล CFO ยอดเยี่ยม และรางวัล IR ยอดเยี่ยม นับเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมไทยเพียงรายเดียวที่คว้าทั้ง 3 รางวัลได้เป็นปีที่ 3 ต่อเนื่องติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นที่ได้รับจากลูกค้าและนักลงทุนไทย ผ่านความสำเร็จในการบริหารจัดการองค์กรในมิติต่างๆ ที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มเพื่อสร้างคุณค่าให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ผ่านไปยังนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และผู้ลงทุนสถาบัน ที่มองเห็นถึงความสามารถในการบริหารงานของทีมผู้บริหารและพนักงานทุกคนที่พร้อมนำพาธุรกิจของ AIS ไปสู่เป้าหมายและสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืน บนกรอบพื้นฐานของการมีบรรษัทภิบาลในการดำเนินธุรกิจ และได้มอบรางวัล IAA Awards ให้กับเราในปีนี้

โดยทั้ง 3 รางวัลที่เราได้รับสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของชาว AIS ทุกคน ภายใต้วิสัยทัศน์ที่เราพร้อมเคลื่อนตัวสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศให้มีความแข็งแรงและสร้างการเติบโตให้กับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติต่อไป”

สำหรับรางวัล IAA Awards for Listed Companies 2022 จัดโดย สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เพื่อเชิดชูเกียรติแด่บุคลากรทั้ง CEO, CFO และ IR ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในปีนี้ AIS สามารถคว้ารางวัลมาได้ทั้งหมด 3 รางวัล ในหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสื่อสาร นับเป็นองค์กรโทรคมนาคมหนึ่งเดียว และเป็นองค์กรไทยรายแรกของไทยในตลาดหลักทรัพย์ฯ  ที่คว้ารางวัลมากที่สุดต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน ดังนี้

รางวัล CEO ยอดเยี่ยม  ด้วยการวางวิสัยทัศน์ที่พร้อมเคลื่อนตัวเองสู่การเป็นองค์กรโทรคมนาคมเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ด้วยจุดหมายที่สำคัญ คือ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน สร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าอย่างสูงสุดเสมอ ทั้งธุรกิจหลักคือการให้บริการโครงข่ายดิจิทัล การเติบโตของธุรกิจเน็ตบ้าน บริการลูกค้าองค์กร และธุรกิจบริการดิจิทัล ที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

รางวัล CFO ยอดเยี่ยม โดยวันนี้ AIS ยังคงความแข็งแกร่งด้านการเงิน ผ่านการวางนโยบายและบริหารจัดการด้านการเงินของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การดำเนินธุรกิจขององค์กรเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถวางแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อลูกค้าและคนไทย

รางวัล IR ยอดเยี่ยม ด้วยเป้าหมายในการทำงานมุ่งสร้างคุณค่าและใส่ใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกกลุ่ม ทำให้ที่ผ่านมาทีมนักลงทุนสัมพันธ์ของ AIS ได้รับการยอมรับว่า สนับสนุนและให้ความสำคัญกับกิจกรรมของนักวิเคราะห์และนักลงทุน ทั้งในเรื่องของการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง มีคุณภาพ มีความครบถ้วน และสม่ำเสมอ

CPF ชูคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ยกระดับความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพที่ดีสู่ผู้บริโภค ด้วยคุณภาพและความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก โดยตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างคน คือ การสร้างความยั่งยืนขององค์กร ขับเคลื่อนโครงการ CPF Food Safety & Quality Culture เป็นการยกระดับความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ ปลูกฝังวัฒนธรรมด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับพนักงานทุกคนในองค์กร มุ่งสู่จุดหมายเดียวกัน

นางวิไลลักษณ์ คลอดเพ็ง รักษาการผู้บริหารสูงสุด สายงานประกันคุณภาพอาหารกลาง ด้านประกันคุณภาพอาหารกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจยึดมั่นในวิสัยทัศน์เป็นครัวของโลก (Kitchen of the World) ที่มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) โดยได้ประกาศนโยบายคุณภาพซีพีเอฟ (Quality Policy) เพื่อกำหนดกลยุทธ์ให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมไปถึงการสร้างความตระหนักด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับพนักงานในองค์กร ผ่านการดำเนินโครงการ CPF Food Safety & Quality Culture ที่นำร่องมาตั้งแต่ ปี 2020 (พ.ศ. 2563) ที่โรงงานแปรรูปเนื้อไก่สระบุรี และปัจจุบันขยายผลประยุกต์ใช้กับกลุ่มธุรกิจเดียวกันที่โรงงานโคราช มีนบุรี บางนา และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ โรงงานแปรรูปสุกร โรงคัดไข่บ้านนา โรงงานแปรรูปไข่บ้านนา โรงงานอาหารสำเร็จรูป โรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ รวม 7 กลุ่มธุรกิจ จำนวน 12 โรงงาน โดยมีเป้าหมายดำเนินงานครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกโรงงาน ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568)

“ในยุคที่เทรนด์โลกตื่นตัวด้านความยั่งยืน กลยุทธ์การดำเนินงานด้านประกันคุณภาพก็ต้องปรับให้สอดคล้องกับความยั่งยืนในทุกมิติด้วย ซึ่งหัวใจสำคัญของความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ หากได้รับความร่วมมือจากพนักงานทุกคน ด้วยการปลูกฝังวัฒนธรรมและทัศนคติด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร เพื่อสร้างคุณค่าผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟ” นางวิไลลักษณ์ กล่าว

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตสินค้าตามข้อกำหนด กฎหมาย ความต้องการของลูกค้า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งในทุกขั้นตอนของการผลิต เราได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยที่เป็นสากล เพื่อเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ทำให้เกิดความปลอดภัยกับผู้บริโภค สร้างความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และความจงรักภักดีต่อสินค้า ซีพีเอฟ มีระบบประกันคุณภาพสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน เริ่มจากการยกระดับคุณภาพวัตถุดิบ เพราะเชื่อมั่นว่า “วัตถุดิบดีย่อมส่งผลให้คุณภาพสินค้าดี” จึงมุ่งพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบผ่าน โครงการ SME Supplier Development ยกระดับคุณภาพในกลุ่มผู้ประกอบการกลุ่มเอสเอ็มอี เริ่มจากการอบรมให้ความรู้ด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารในระดับสากล การเข้าถึงพื้นที่เพื่อเป็นที่ปรึกษาในการปรับปรุงกระบวนการ ตลอดจนการสร้าง QA Expertise เพิ่มความเชี่ยวชาญด้านวัตถุดิบ เป็นต้น

ในกระบวนการผลิต งานด้านประกันคุณภาพได้จัดทำโครงการป้องกันเชิงรุก (QA Proactive) เพื่อป้องกันปัญหาด้านคุณภาพที่ต้นเหตุ คือ เครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อตอบโจทย์แนวโน้มการผลิตที่มุ่งสู่ยุค 4.0 มุ่งเน้นใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงานคน ผ่านการดำเนินโครงการ Quality Maintenance ป้องกันการเกิดของเสียขณะผลิต หรือ Zero Defect ซึ่งเป็นโครงการที่สอดรับกับเป้าหมายความยั่งยืน ในขณะที่ผู้บริโภคยังได้รับสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย เป็นต้น

ในด้านความปลอดภัยของสินค้า ก่อนส่งมอบให้กับผู้บริโภค ซีพีเอฟจัดทำโครงการพัฒนาชุดตรวจสอบสินค้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นการตรวจวิเคราะห์ที่แม่นยำ รวดเร็ว ลดแรงงานคน ของเสีย น้ำเสีย ลดเวลาการจัดเก็บสินค้า สามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและรักษาคุณภาพของสินค้าได้อย่างสม่ำเสมอ

ด้านคุณภาพของสินค้า ซีพีเอฟ สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้บริโภคว่าจะได้รับอาหารที่มีคุณภาพสม่ำเสมอด้านรสชาติ สี เนื้อสัมผัส กลิ่น ความอร่อย โดยสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านการทดสอบประสาทสัมผัสครอบคลุมในทุกธุรกิจ และตั้งศูนย์ทดสอบด้านประสาทสัมผัส (Sensory evaluation center) ที่สามารถสร้างและพัฒนาบุคลากรเพื่อทำหน้าที่ทดสอบคุณภาพสินค้าด้านประสาทสัมผัส ซึ่งภายในปี 2023 ซีพีเอฟ มีจำนวนผู้ผ่านการทดสอบทั้ง 7 กลุุ่มธุรกิจ รวม 630 คน

นางวิไลลักษณ์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคที่เทรนด์โลกตื่นตัวเรื่องความยั่งยืน กลยุทธ์การดำเนินงานต่างๆของ QA ก็ต้องปรับตัวให้สอดรับกับความยั่งยืนในทุกมิติเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้ความสำคัญกับเรื่องของ ESG (Environment Social Governance) ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดและประเมินผลการดำเนินงานของธุรกิจ เน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สังคม มีการบริหารจัดการองค์กรที่ดีบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อส่งเสริมธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งซีพีเอฟ ยึดมั่นในวิสัยทัศน์เป็นครัวของโลก (Kitchen of the World)ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร เป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด

เมืองไทยประชีวิต ต้อนรับเทศกาลวันแม่ ชวนสมาชิกควงคุณแม่ฉลองมื้อสำคัญพร้อมส่วนลดพิเศษร้านอาหารชั้นนำ

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในช่วงเทศกาลวันแม่ เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับพันธมิตรร้านอาหารชั้นนำ มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับใช้คะแนนสะสมพาคุณแม่หรือคนที่คุณรักสัมผัสประสบการณ์ด้านรสชาติเหนือระดับกับร้านอาหารชั้นนำ  ผ่านการแลกคะแนนบนแอปพลิเคชัน      MTL Click โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • Premium Fine Dining รับบริการมื้ออาหารสุดพิเศษ จาก 7 ร้านอาหารชั้นนำที่มีเชฟชื่อดังรังสรรค์เมนูสุดพิเศษ ทำให้แต่ละมื้ออาหารในแต่ละร้านมีสไตล์อาหารและเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบไม่เหมือนใคร โดยสมาชิกฯ ใช้  4,000  Smile Points  แลกรับสิทธิ์สำหรับ  2  ท่าน  สามารถรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2566 และ ใช้สิทธิ์เข้ารับบริการร้านอาหารได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ได้แก่ ร้าน Lahnyai Nusara – Bangkok, ร้าน Maze Dining – Bangkok, ร้าน Wang Hinghoi – Bangkok, ร้าน Celadon Restaurant – Bangkok, ร้าน GranMonte – khaoyai, ร้าน Oxygen Dining Room – Chiang Mai และร้าน Samut – Phuket
  • ร้านอาหารจีนเฮยยิน HEI YIN ร้านอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งขนานแท้ ที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันโดยเชฟใหญ่สัญชาติฮ่องกง ใช้ 350 Smile Points แลกรับ E-Voucher แทนส่วนลดมูลค่า 1,000 บาท พิเศษ! เมื่อสั่งอาหารครบ 5,000 บาท ขึ้นไป รับ Complimentary BBQ รวม 1 ที่ มูลค่า 600++ บาท  (กำหนด 1 สิทธิ์ /     1 โต๊ะ) โดยสมาชิกฯ สามารถรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์เข้ารับบริการร้านอาหารได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
  • ร้านเด็ด สุดฟิน การันตีความอร่อยระดับมิชลิน สิทธิพิเศษที่ไม่ต้องใช้คะแนนสะสม Smile Point เพียงสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ กดรับสิทธิ์บนแอปพลิเคชัน MTL Click ที่ร้านค้า ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2566 สามารถรับส่วนลด 100 บาท/ใบเสร็จ จำกัด 1 ท่าน / 1 สิทธิ์ / เดือน จำกัดจำนวน 1,500 สิทธิ์ ตลอดโครงการจากร้านอาหารชั้นนำ ได้แก่ อรุณีแหนมเนือง อุดรธานี, ครัวคุณนิด อุดรธานี, ชมจันทร์ ภูเก็ต, มีกิน ฟาร์ม ขอนแก่น, หมก อุบลราชธานี, ตำกระเทย, ตำกระเทยสาเกต, ซงฟา, ซึตะ และ Jok โต๊ะเดียว

ทั้งนี้ เมืองไทยสไมล์คลับสนับสนุนและมุ่งเน้นการมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้สมาชิกฯ ได้ฉลองเทศกาลร่วมกับครอบครัวและคนที่คุณรักอย่างต่อเนื่อง โดยสมาชิกฯ  สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรมเพิ่มเติมอื่น ๆ รวมถึงสิทธิพิเศษที่เมืองไทยสไมล์คลับตั้งใจคัดสรรให้ตรงตามไลฟ์สไตล์ ได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th หรือที่แอปพลิเคชัน MTL Click และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ฟรี           ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android  ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1766  เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

AIS ต้อนรับเทศกาลวันแม่ จับมือพาร์ทเนอร์ มอบสิทธิพิเศษให้ลูกค้าตลอดเดือนสิงหาคม

0

AIS ร่วมต้อนรับเดือนแห่งการบอกรักแม่ จับมือพาร์ทเนอร์ มอบสิทธิพิเศษกับของขวัญส่งความสุขที่จะทำให้การบอกรักแม่มีความหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งจาก AIS Serenade และ AIS Points ที่จัดให้ลูกๆ “พาแม่อิ่ม” กับร้านอาหารสุขภาพและร้านอาหารชั้นนำ และสเปเชียลเมนูวันแม่ “โดนัท อุ่นใจ I Love Mom” จากมิสเตอร์ โดนัท และเค้กไอศกรีมวันแม่สุดแสนน่ารัก จากแดรี่ควีน “พาแม่เที่ยว” กับทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่จะช่วยเติมเต็มความสุขในช่วงเวลาพิเศษกับสายการบินชั้นนำพร้อมดีลจากโรงแรมชั้นนำ “พาแม่ช้อป” กับส่วนลดผลิตภัณฑ์สุขภาพ ความงาม พร้อมชวนลูกๆ บอกรักและแสดงความห่วงใยแม่ด้วยสติกเกอร์ไลน์ 5 ลายใหม่ รวมทั้งของพรีเมี่ยมคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด “น้องมะม่วง x อุ่นใจ” Limited Edition ที่ออกแบบโดยคุณตั้ม – วิศุทธิ์ พรนิมิต นักวาดการ์ตูนและออกแบบคาแรคเตอร์ชื่อดังระดับเอเชีย เพื่อเป็นของขวัญแทนใจในวันแม่ปีนี้ตลอดเดือนสิงหาคม

นางสาวใจพร ศรีสกุล รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจบริหารลูกค้าและการบริการ AIS กล่าวว่า “เดือนสิงหาคมเป็นเดือนแห่งการแสดงความรักของลูกๆ ต่อแม่ เอไอเอส จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ช่วงเวลาสำคัญของครอบครัวทั้งลูกๆ และคุณแม่ มีความหมายมากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้เราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่ตั้งใจมอบความพิเศษให้แก่ลูกค้าเช่นเดียวกัน อาทิ เซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป โดย มิสเตอร์ โดนัท ออกแบบโดนัท เวอร์ชั่นพิเศษ อุ่นใจ I Love Mom, เครือไมเนอร์ ฟู้ด โดย แดรี่ควีน กับเค้กไอศกรีมบอกรักแม่แทนใจลูก รวมถึงการทำงานร่วมกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังในการออกแบบ น้องมะม่วง คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด และไลน์สติ๊กเกอร์สุดน่ารักต้อนรับวันพิเศษโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีพาร์ทเนอร์จากร้านอาหารผลิตภัณฑ์สุขภาพ โรงแรม สายการบิน และอีกมากมายที่จะมาร่วมกันทำให้วันแม่ปีนี้มีความหมายมากกว่าเดิม”

  • พาแม่อิ่มอร่อย สร้างช่วงเวลาที่ดีและมีความสุขกับครอบครัว กับส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้า AIS Serenade ทั้งร้านอาหารสุขภาพ อาทิ Jones’ Salad, Siam Namnueng, Organic concept และร้านอาหารชั้นนำไม่ว่าจะเป็น Red Lobster, Tsuta, Honmono Grand OMKASE, Jumbo Seafood และ DAISEN PREMIUM JAPANESE นอกจากนี้ยังสามารถนำเอไอเอส พอยท์ เพียง 30 คะแนน แลกรับสเปเชียลเมนู “อุ่นใจ I Love Mom” ที่ Mister Donut หรือใช้เอไอเอส พอยท์ แลกซื้อเค้กไอศกรีมวันแม่ ที่ Dairy Queen
  • พาแม่เที่ยว พร้อมเติมเต็มความสุขกับคุณแม่ด้วย Serenade Exclusive Travel Package กับ Package Wellness & Retreat ที่สมุย ร่วมกับ Bangkok Airway x BDMS wellness หรือเลือกจุดหมายปลายทางที่คุณต้องการกับสายการบินชั้นนำ นกแอร์, บางกอกแอร์เวย์ หรือ จองดีลที่พักสุดพิเศษกับ โรงแรมชั้นนำในเครือ Minor อย่าง Anantara Koh Yao Yai Resort and Villas, NH Bost Lagoon Phuket Resort และ airasia Super App
  • พาแม่ช้อป ตัดแว่นสายตาให้คุณแม่ ที่ร้าน own day กับส่วนลดสูงสุด 700 บาท, ให้คุณแม่ไม่หยุดสวย กับผลิตภัณฑ์เสริมความงาม NARS, History of Whoo และช้อปสินค้าสุขภาพที่ร้านใบเมี่ยง
  • มอบรอยยิ้มและความสุขสุดประทับใจให้แม่ ด้วย LINE Stickers บอกรักแม่ 5 ลายใหม่ โดยสามารถใช้เอไอเอส พอยท์ 30 คะแนน หรือจะแลกรับความพิเศษด้วยของพรีเมี่ยมคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด “น้องมะม่วง x อุ่นใจ” Limited Edition ที่มีให้เลือกทั้งกระบอกน้ำ, กระเป๋าเก็บอุณหภูมิ, ร่ม, เสื้อยืด และ Griptok ติดหลังโทรศัพท์ ลวดลายน่ารัก ผลงานโดยคุณตั้ม – วิศุทธิ์ พรนิมิต นักวาดการ์ตูนและออกแบบคาแรคเตอร์ชื่อดังระดับเอเชีย โดยใช้ เอไอเอส พอยท์ เริ่มต้น 50 คะแนน มาแลกรับสิทธิ์

“เราตั้งใจคัดสรรความพิเศษที่ดีที่สุดในทุกด้านมาให้ลูกค้าได้เลือกเป็นของขวัญแทนใจลูกที่มอบให้กับคุณแม่ เพื่อให้วันแม่ปีนี้มีความหมายมากกว่าเดิม พร้อมเติมเต็มช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้แก่ทุกครอบครัว สามารถดูรายละเอียดและรับสิทธิ์ได้ที่แอปพลิเคชัน myAIS ได้ตลอดเดือนสิงหาคม” นางสาวใจพร กล่าวทิ้งท้าย

‘U FARM x MICHELIN Guide Thailand’ ชวนเปิดประสบการณ์อร่อยระดับเวิลด์คลาส กับ 4 สุดยอดเชฟมิชลินสตาร์ 2023

0

U FARM ในกลุ่ม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชวนเปิดประสบการณ์ความอร่อยระดับเวิลด์คลาส คูณ 2 กับสุดยอดผู้นำด้านอาหารระดับโลกที่มาร่วมกันรังสรรค์เมนูสุดพิเศษ ระหว่าง 4 สุดยอดเชฟจากร้านมิชลินสตาร์ ประจำปี 2023 และ U FARM ด้วยผลิตภัณฑ์พรีเมียม ไก่เบญจา หมูชีวา และไข่ไก่สดโอชา แบรนด์แรกและแบรนด์เดียวของประเทศไทยที่คว้ารางวัลความอร่อยระดับโลกบนเวทีนานาชาติ ด้วยนวัตกรรมจากธรรมชาติ 100% ปลอดสาร ปลอดภัย เลี้ยงดูอย่างใส่ใจด้วยซูเปอร์ฟู้ด ทั้งข้าวกล้องคัดพิเศษ และ Flax seed จึงทำให้หมูและไก่ มีโอเมก้า 3 มีความหอม… นุ่ม… ฉ่ำ… มากกว่าเนื้อสัตว์ทั่วไปถึง 55% และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก NSF ที่บรรดาเชฟจากร้านมิชลินสตาร์ไว้วางใจนำมารังสรรค์อาหารในแบบฉบับของตนเองอย่างพิถีพิถัน จนกลายเป็นเมนูสุดพิเศษแบบ Limited Creation

เริ่มที่ท่านแรก ‘เชฟเฮงค์ ซาเวลเบิร์ก’ (Henk Savelberg) จากร้าน Savelberg เชฟชาวดัตช์ ที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ปรุงอาหารฝรั่งเศสร่วมสมัยหลากหลายเมนูที่ยังคงเอกลักษณ์ความดั้งเดิมได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนี้ ยังคิดค้นไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดเป็นเมนูระดับไฮเอนด์ให้กับ U FARM เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้ทุกท่านได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหารชั้นเลิศ โดยคอร์สแรก เมนูจานหลักนำเสนอความสดใหม่ของวัตถุดิบ ให้เลือกระหว่างหมูชีวาหรือไก่เบญจา จาก 5 คอร์ส หากเลือกไก่เบญจา ความพิเศษคือทำเป็นโรล (Roulade) ม้วนชิ้นเนื้อเข้ากับสมุนไพรหมักด้วยน้ำเกลือ ทำให้เนื้อนุ่มมากยิ่งขึ้น ส่วนเมนูหมูชีวาสไตล์ยุโรป เนื้อหมูปรุงสุกกำลังดี ราดซอส Ravigote รสชาติเปรี้ยวหวานลงตัว เข้าปากแล้วรู้สึกสดชื่นทันที มีชีวิตชีวาเหมือนกับหมูชีวา

ท่านที่ 2 ‘เชฟต้อย-พิไลพร คำหนัก’ จากร้านเสน่ห์จันทน์ (Saneh Jaan) ผู้หลงใหลและชำนาญทั้งอาหารไทยและอาหารตะวันตก พิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพดีจาก U FARM รังสรรค์ 2 เมนูสุดพิเศษ ได้แก่ ‘แกงหมูโบราณ’ วัตถุดิบหลัก คือ สามชั้นของหมูชีวา ที่มีความนุ่ม เด้ง เพิ่มรสจัดจ้านด้วยซอสพริกแกงไทย อร่อยลงตัวไร้ที่ติ และเมนูที่ 2 ‘แกงไก่มลายู’ นําเสนอวัฒนธรรมผสมผสานระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซีย ชูความนุ่มของเนื้อไก่เบญจาที่มีไขมันน้อย ปรุงเข้ากับเครื่องเทศเฉพาะถิ่น ทําให้อาหารจานนี้มีรสชาติเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ท่านที่ 3 ‘เชฟเทียร์รี ดราโป’ (Thierry Drapeau) เชฟมิชลินสตาร์ จากร้าน Signature Bangkok ที่ขึ้นชื่ออาหารสไตล์ฝรั่งเศสสมัยใหม่ โดยปรัชญาของเชฟ “Cuisine of the Soil” คือการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง สด ใหม่ และดีต่อสุขภาพในการทำอาหาร จึงมั่นใจและเลือกใช้ U FARM สร้างสรรค์เมนูเลิศรสให้ลูกค้าได้สัมผัส 2 เมนูจานหลัก ได้แก่ Suprême De Poulet (ซูพรีม เดอ ปูเลต์) จากไก่เบญจา และ Terre et Mer (แตร์ เอต แมร์) จากหมูชีวา โดยเชฟตั้งใจสร้างความแปลกใหม่ด้วยการนำวัตถุดิบที่แตกต่างให้มาอยู่ในจานเดียวกัน ผสมผสานได้อย่างลงตัว ทำให้ 2 จานนี้พิเศษไม่เหมือนใคร

สุดท้ายกับ เชฟจากร้านมิชลินสตาร์ ดีกรีระดับ 2 ดาว อย่าง ‘เชฟชุมพล แจ้งไพร’ จากร้าน R-Haan ผู้เชี่ยวชาญอาหารไทยแบบ Fine Dining แต่ยังคงภูมิปัญญาไทยแท้ดั้งเดิม ผ่านตำรับอาหารพื้นบ้านและตำรับอาหารชาววังด้วยวัตถุดิบที่ดีที่สุด รังสรรค์เมนู ‘ไข่พะโล้’ สูตรของคุณย่า ด้วยความทรงจําในวัยเด็กที่ผูกพันกับอาหารจานนี้เป็นพิเศษ และอีก 1 เมนูที่ภูมิใจนำเสนอ คือ ซุปไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก อย่าง ‘ต้มข่าไก่ Espuma’ นำเสนอความแตกต่างสไตล์ฝรั่งเศส จัดจานสวยหรูแบบ Fine Dining เชฟชุมพล นําเมนูที่มีความพิเศษทั้งเรื่องราวและเป็นเมนูที่คุ้นเคยโดยเพิ่มเทคนิคใหม่ๆ ให้ทุกคนได้ลิ้มลองและสัมผัสภูมิปัญญาอาหารไทยอันวิจิตร มีประโยชน์และรสชาติอร่อยประทับใจ เสิร์ฟเป็น Complimentary ให้กับลูกค้าทุกท่าน

แคมเปญ ‘U FARM x MICHELIN Guide Thailand’ ครั้งนี้ การันตีวัตถุดิบพรีเมียมระดับโลก ควบคู่กับการรังสรรค์เมนูชั้นเลิศจากเชฟฝีมือระดับโลก จึงกลายเป็นความอร่อยระดับเวิลด์คลาสคูณ 2 ที่พลาดไม่ได้ ซึ่งทั้ง 4 ร้านมิชลินสตาร์ ปี 2023 พร้อมให้บริการและชวนทุกท่านเปิดประสบการณ์ใหม่สุดพิเศษ ตลอดทั้งเดือนสิงหาคม–กันยายน 2566 โดยเริ่มต้นที่ ‘ร้าน SAVELBERG’ วันที่ 1-15 สิงหาคม ต่อด้วย ‘ร้าน SANEH JAAN’ วันที่ 15-31 สิงหาคม ‘ร้าน SIGNATURE’ วันที่ 1-15 กันยายน และ ‘ร้าน R-HAAN’ วันที่ 16-30 กันยายน ติดตามข่าวสารและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ U FARM ได้ที่ www.ufarmthailand.com หรือ Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/ufarmthailand/

AIS โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2/2566 สุดแกร่ง กำไรสุทธิพุ่ง 14% แตะ 7.1 พันล.

0

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เผยผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ประจำปี 2566 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 44,774 ล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อน จากปัจจัยตามฤดูกาลของการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ พร้อมทั้งส่งมอบกำไรสุทธิได้อย่างแข็งแกร่งที่ 7,180 ล้านบาท เติบโต 14% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีก่อน เป็นผลมาจากการการเติบโตของรายได้จากการให้บริการหลักควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนจากการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งเน้นคุณภาพของการให้บริการทุกมิติ โดยในครึ่งปีหลัง AIS ยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อยกระดับคุณภาพบริการและโครงข่ายอัจฉริยะ 5G เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดผู้ใช้งาน เสริมขีดความสามารถของกลุ่มธุรกิจหลัก พร้อมทั้งเดินหน้าขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงในพื้นที่ใหม่ๆ การพัฒนาโครงข่ายและโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจ ด้วยงบประมาณ 27,000-30,000 ล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ตามแผน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวว่า “จากวิสัยทัศน์ที่เราประกาศ พร้อมยกระดับ AIS สู่การเป็น Cognitive Tech-Co หรือผู้ให้บริการเทคโนโลยีอัจฉริยะไปเมื่อช่วงปลายปี 2564 เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงเราสามารถนำแนวทางดังกล่าวเข้ายกระดับการทำงานในองค์รวม ตั้งแต่งานปฏิบัติการโครงข่ายอัจฉริยะเพื่อพัฒนาคุณภาพสัญญาณสื่อสารให้แม่นยำและสามารถแก้ไขปัญหาได้แบบ Realtime ผ่านการใช้ AI ร่วมกับการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบ IT ที่ชาญฉลาดเพื่อความรวดเร็วและความปลอดภัย มาจนถึงกระบวนการนำเสนอการให้บริการที่สามารถส่งมอบบริการให้ลูกค้าได้แบบ Personalization ด้วยการประยุกต์ใช้ Data Analytic ระดับสูง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะมีความกังวลสำหรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่ในขณะเดียวกันเราเริ่มเห็นเศรษฐกิจไทยเริ่มกลับมาเติบโตอีกครั้ง จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญต่อ Ecosystem Economy ของประเทศ”

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2566 AIS มีรายได้รวมอยู่ที่ อยู่ที่ 44,774 ล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีก่อน และลดลง 4.1% จากไตรมาสก่อน ในขณะที่รายได้จากการให้บริการหลักเติบโตขึ้น 1.8% จากไตรมาส 2 ปีก่อนและ 1.1% จากไตรมาสก่อน และจากการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการนำเทคโนโลยี AI เข้าปรับใช้ในกระบวนการดำเนินงาน โดยเฉพาะด้านโครงข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งานของลูกค้า ทำให้ เอไอเอสมีกำไรสุทธิที่ 7,180 ล้านบาท เติบโตขึ้น 14% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีก่อน และเติบโตขึ้น 6.3% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เท่ากับ 23,317 ล้านบาท เติบโต 4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เติบโตขึ้น 1.0% จากไตรมาส 2 ปีก่อน และ 0.8% จากไตรมาสก่อน มีจำนวนผู้ใช้บริการ 5G เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมแล้วกว่า 7.8 ล้านราย เติบโตขึ้นจาก 3.9 ล้านรายในไตรมาส 2 ปีก่อน ในขณะที่ปัจจุบันเอไอเอสมีจำนวนลูกค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่รวม 45.3 ล้านเลขหมาย และคงความเป็นผู้นำด้วยโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการกว่า 99% ในกรุงเทพ และ 87% ของพื้นที่ประชากร ประกอบกับการมีคลื่นความถี่ในการให้บริการมากที่สุดรวม 1460 MHz (นับรวมคลื่นความถี่ที่ร่วมมือกับพันธมิตรรวมถึง NT ซึ่งอยู่ระหว่างการอนุมัติจาก กสทช.) ทำให้ AIS มีความพร้อมในการมอบประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่า

ขณะที่ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการขยายพื้นที่บริการ และการส่งมอบบริการและนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตบ้านที่เหนือกว่ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ทั้งการเชื่อมโยงอุปกรณ์กระจายสัญญาณและสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ Gigabit ทุกห้องภายในบ้านด้วยโครงข่ายไฟเบอร์ หรือ FTTR (Fiber to The Room) ที่พร้อมเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟแบบไร้รอยต่อ(Seamless Roaming) เพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุดทุกพื้นที่ในบ้าน หรือแม้แต่การเปิดให้บริการ WiFi 6E เทคโนโลยีมาตรฐานสัญญาณไร้สายใหม่บนคลื่นความถี่ใหม่ 6GHz เป็นรายแรกของอุตสาหกรรมบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตในเมืองไทย โดย AIS Fibre มีรายได้เติบโตกว่า 15% จากไตรมาส 2 ปีก่อน และเติบโตต่อเนื่อง 5.4% จากไตรมาสก่อน มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 60,500 รายต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนและ มีฐานลูกค้ารวมกว่า 2.33 ล้านราย

ในส่วนของกลุ่มธุรกิจลูกค้าองค์กรทำรายได้เติบโต 2.2% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน และยังคงเดินหน้าทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อส่งมอบโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจตั้งแต่ผู้ประกอบการ SME ไปจนถึง ภาคการผลิต และภาคอุตสาหกรรมในการทำ Digital Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แนวคิด เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

นายสมชัย กล่าวในช่วงท้ายว่า “การเดินทางสู่ Cognitive Tech-Co เป็นภารกิจหลักของชาว AIS ที่เราต้องการยกระดับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยให้ก้าวไปอีกขั้น ให้มีขีดความสามารถและมาตรฐานระดับสากล ที่สำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านโครงข่ายสื่อสารอัจฉริยะ โครงข่ายเน็ตบ้านที่คุณภาพดีที่สุดและครอบคลุมที่สุดในประเทศ รวมถึงสิทธิพิเศษ และงานบริการที่ดีที่สุด เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการมุ่งส่งมอบคุณภาพและประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า”

ซีพีเอฟ – SeaBOS ขับเคลื่อนความยั่งยืนอุตสาหกรรมอาหารทะเล สร้างอาหาร ปลอดสาร ปลอดภัย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกกำลัง SeaBOS (Seafood Business for Ocean Stewardship) ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอาหารทะเลชั้นนำระดับโลก 10 แห่งที่ทำงานร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาห่วงโซ่ผลิตอาหารทะเลด้วยกระบวนการที่ยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ก้าวสู่เป้าหมายในการปกป้องมหาสมุทร ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทางทะเลซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงด้านอาหารของสังคมโลก

น.สพ. สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ผลิตปลาป่นหรือเป็นเจ้าของเรือประมง แต่บริษัทก็มุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลทั้งหมด

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ซีพีเอฟบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ และการผลิตอาหารที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นหลักประกันความมั่นคงทางอาหารสำหรับผู้บริโภคทั่วโลกในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ SeaBOS คือการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงการผลิตอาหารทะเลในระดับโลก และลดผลกระทบของอุตสาหกรรมต่อมหาสมุทร

“เราเชื่อว่าการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีอุดมการณ์เดียวกัน จะช่วยให้เราสามารถพัฒนาและปรับปรุงอุตสาหกรรมอาหารทะเลไปด้วยกัน ดีกว่าการเดินหน้าเพียงลำพัง ความรู้ที่ได้จากคณะทำงานของ SeaBOS มีประโยชน์อย่างมากต่ออุตสาหกรรมอาหารทะเลโดยรวม และเป็นประโยชน์ต่อซีพีเอฟด้วยเช่นกัน เพราะซีพีเอฟสามารถนำความรู้นี้ไปใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เพื่อดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่เป็นรูปธรรม” น.สพ. สุจินต์ กล่าว

ในปี 2564 ซีพีเอฟ ได้เข้าร่วมเป็นภาคีสนับสนุนของคณะทำงานต้านทานจุลินทรีย์ (AMR) ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มทำงานของ SeaBOS คณะทำงานนี้ได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์ของผู้ผลิตอาหารทะเล และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาร่วมกันหาแนวทางในการลดการใช้ยาปฏิชีวนะในอุตสาหกรรมอาหารทะเล เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพในมนุษย์และสัตว์

ซีพีเอฟ ได้แชร์ความสำเร็จจานโยบาย“วิสัยทัศน์ระดับโลกด้านการใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์” ซึ่งบริษัทได้ประกาศตั้งแต่ปี 2560 ให้ทุกกิจการของซีพีเอฟทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกนำไปปฏิบัติ โดยในปัจจุบัน การเลี้ยงสัตว์น้ำของซีพีเอฟไม่มีการใช้ยาต้านจุลชีพ และสารเร่งการเจริญเติบโต (growth promoter) ในการเลี้ยงสัตว์น้ำทุกชนิด อย่างไรก็ตาม เมื่อพบว่าสัตว์ป่วย ซีพีเอฟ จะรักษาสัตว์ป่วยตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ โดยใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และมีระยะเวลาในการหยุดการใช้ยา นอกจากนี้ บริษัทฯ มีโปรแกรมตรวจสุขภาพสัตว์น้ำ และสุ่มตรวจภาวะเชื้อดื้อยาเป็นประจำ รวมถึงทำการสื่อสาร การแบ่งปันความรู้ ความสำเร็จไปยังพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานของซีพีเอฟ

“เราสามารถโน้มน้าวพันธมิตรได้โดยการแบ่งปันหลักฐานเชิงประจักษ์และแนวทางแก้ไขที่อาศัยหลักวิทยาศาสตร์ เช่นเดียวกัน เราสามารถกระตุ้นพวกเขาได้โดยการอธิบายปัญหาและแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการใช้แนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น การแบ่งปันความรู้และถ่ายทอดความรู้ ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อบังคับใช้กฎระเบียบ ตลอดจนแรงขับเคลื่อนอื่น ๆ ทางอ้อม ล้วนสามารถส่งเสริมเครือข่ายซัพพลายเชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรม ส่งเสริมแนวทางปฏิบัติที่รับผิดชอบและยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเล” น.สพ. สุจินต์ กล่าวทิ้งท้าย

รู้เก็บรู้ออม : เช็กเลเวลความรู้เรื่องการเงิน

0

“คุณนายพารวย” เชื่อว่า ต้องมีหลายคนที่คิดอยากเริ่มต้นวางแผนการเงิน อยากเริ่มลงทุน แต่ก็ยังไม่ได้ลงมือทำเสียที เพราะติดตรงที่ “ไม่รู้” ว่าจะเริ่มต้นตรงไหนและอย่างไรดี

คนที่กำลังเจอปัญหาแบบนี้อยู่ อยากชวนให้มาลองค้นหาคำตอบกับ SETFin Quizz ควิซวัดระดับความรู้การเงิน-การลงทุน ของ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”

SETFin Quizz เป็นเว็บไซต์ที่มีระบบสอบและประเมินผลระดับความรู้ทางการเงินของคนไทย เพื่อช่วยเช็กระดับความรู้เรื่องการเงินของผู้ทำแบบทดสอบ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ เริ่มต้นจากระดับเริ่มรู้, เรียนรู้ และรอบรู้

โดยแบ่งแบบทดสอบ เป็น 3 หมวด คือ แบบทดสอบที่หนึ่ง Know your Money เช็กให้รู้ การเงินรอบตัว จะช่วยเช็กความรู้เรื่องการเงินรอบตัว วัดระดับความรู้ในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารรายรับ, การบริหารรายจ่าย, การบริหารหนี้สิน, การบริหารเงินออม, การบริหารการลงทุน และการบริหารความเสี่ยงของชีวิตและทรัพย์สิน

แบบทดสอบที่สอง Ready to Invest เช็กให้พร้อม ก่อนลงทุนจริง สำหรับคนที่กำลังเริ่มต้นศึกษาและมีคำถามที่ต้องการเช็กให้พร้อม ก่อนลงทุนในหุ้น เพื่อช่วยเปิดประตูสู่เรื่อง “การลงทุน” ประกอบด้วยเนื้อหาที่วัดระดับความรู้เรื่องการลงทุนในหลักทรัพย์ ได้แก่ อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยง, การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน, ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักทรัพย์ลงทุน, ประเภทของกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนและการจัดสรรกลุ่มสินทรัพย์ลงทุนที่เหมาะสม และการสร้างประสบการณ์การลงทุน

และแบบทดสอบที่สาม Fit to Invest เช็กให้ดี วิธีเลือกหุ้น ช่วยวัดระดับความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการเลือกหุ้น ได้แก่ หลักเบื้องต้นในการวิเคราะห์หุ้นและเศรษฐกิจ, แนวทางวิเคราะห์อุตสาหกรรม, แนวทางวิเคราะห์บริษัท, การคัดกรองและประเมินมูลค่าหุ้น และหลักเบื้องต้นในการวิเคราะห์ทางเทคนิค

แต่ละบททดสอบใช้เวลาทำไม่นาน ไม่เกิน 15 นาที และหลังทดสอบเสร็จจะมีการให้คำแนะนำความรู้ และแหล่งเรียนรู้ไว้ไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ส่วนผลทดสอบจะถูกนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาความรู้และส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีในด้านการเงินโดยรวมของคนไทยต่อไป

“คุณนายพารวย” ขอชวนให้คุณผู้อ่านเปลี่ยนความ “ไม่รู้” ให้เป็นพลังแห่งการเรียนรู้ โดยสามารถเข้าไปทำแบบทดสอบวัดระดับเพื่อประเมินตัวเองได้ที่ https://finquizz.setgroup.or.th/

อย่าปล่อยให้ความไม่รู้เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตัวเอง ยิ่งรู้เลเวลความรู้การเงินตัวเองเร็วเท่าไรยิ่งดี เพราะเช็กก่อน รู้ไว ไปได้ไกลกว่า!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เกษตรกรเลี้ยงหมูผ่าทางตัน เลี้ยงหมูเล็กส่งร้านหมูย่าง ต่อชีวิต หวัง ก.พาณิชย์ เร่งคลอดมาตรการช่วยเหลือ

0
โดย ศิริกุล สดับสำเนียง นักวิชาการด้านปศุสัตว์

ชะตาชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทยช่วง 2 ปีมานี้ เรียกได้ว่า “พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก” เจอปัญหาไม่รู้จบ เห็นเค้าลางอาจต้องอำลาอาชีพในอนาคต จากปัญหาค้างคาตั้งแต่ปลายปี 2564 วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาแรงกว่า 30% พอปี 2565 ประกาศพบโรค ASF ในประเทศ ผลผลิตหายไป 50% ไม่มีใครนำหมูเข้าเลี้ยงเพราะเสี่ยงขาดทุน เนื้อหมูในประเทศราคาดีมากแต่ไม่มีของขาย เลยโดน “หมูเถื่อน” หยิบชิ้นปลามันไปกินแบบสบายๆ กว่าปราบปรามให้คลี่คลายได้ใช้เวลา 1 ปีเต็ม มาปีนี้ 2566 หมูเถื่อนบรรเทาเหมือนปัญหาจะจบ แต่ราคาหมูดันตกต่ำ เพราะหมูที่ทยอยเลี้ยงตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาออกสู่ตลาดต่อเนื่อง คาดผลผลิตทั้งปีจะอยู่ที่ 18-19 ล้านตัว เกินกว่าความต้องการที่ประมาณ 16.5 ล้านตัว มีหมูเข้าโรงงานแปรรูปวันละ 55,000 ตัว เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19

ทุกข์ที่ 2 ของเกษตรกรในปีนี้เป็นการรับอานิสงส์ต่อเนื่องจากการปะทุของสงครามรัสเซีย-ยูเครน จากปีที่ผ่านมา คือ ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวสูงถึง 30% ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศสูงสุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ 13.75 บาทต่อกิโลกรัม แม้จะปรับลดลงมาช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงประมาณ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม ผู้เลี้ยงยังไม่ทันรับรู้ถึงราคาที่ปรับลดลง ต้องกลับมาเผชิญกับราคาสูงขึ้นทันทีหลังรัสเซียยกเลิกข้อตกลงความปลอดภัยในทะเลดำ ส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลีปรับขึ้นทันที 5-10% โดยไม่ทันตั้งตัว

คนที่แบกภาระหนักสุดขณะนี้ คือ เกษตรกรรายย่อยและรายเล็ก ที่มีเงินทุนหมุนเวียนอยู่ในวงจำกัดแต่ปัจจัยการผลิตมีการปรับราคาขึ้นตลอดทำให้ต้นทุนการเลี้ยงต่อกิโลกรัมสูง สำหรับราคาเฉลี่ยหมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม 62-74 บาทต่อกิโลกรัม เทียบกับต้นทุนผลิตเฉลี่ยที่ 90 บาทต่อกิโลกรัม วิธีการในการตัดขาดทุนสะสมของเกษตร คือ การจับหมูไปทำหมูย่าง แทนการเลี้ยงจนได้น้ำหนักมาตรฐาน (110-120 กิโลกรัม) เพื่อตัดวงจรหมูที่จะออกสู่ตลาดและทำให้สถานการณ์ราคาดีขึ้น โดยเกษตรกรทางภาคใต้บางรายเริ่มใช้วิธีการนี้แล้ว

หนึ่งในตัวอย่างที่ปรับการเลี้ยงเพื่อความอยู่รอด คือ นางยุคล เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูในจังหวัดตรัง หันมาผลิตหมูขนาดเล็กลงน้ำหนัก 70-80 กิโลกรัม ซึ่งขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปและมันไม่เยอะ ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสำหรับส่งร้านหมูย่างในเมืองตรัง ซึ่งมีความต้องการสูง แทนการเลี้ยงจนได้น้ำหนักมาตรฐาน 100 กิโลกรัมขึ้นไป วิธีนี้ช่วยลดขาดทุนจากราคาหมูตกต่ำ สวนทางกับอาหารสัตว์ที่ปรับสูงขึ้นเรื่อย โดยราคาหมูหน้าฟาร์มขณะนี้ลดเหลือประมาณ 70-72 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น

ขณะที่ผู้เลี้ยงหมูต้องหาทางให้กิจการรอดด้วยตัวเอง หน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ทั้งที่เป็นหน่วยงานสำคัญในการกำกับดูแลทั้งราคาอาหารคน ราคาอาหารสัตว์ รวมถึงราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จากโครงการประกันราคาขั้นต่ำพืชอาหารสัตว์โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง ทั้งมาตรการที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี มีนัยสำคัญในห่วงโซ่การผลิตหมูเพราะอาหารสัตว์คิดเป็น 60-70% ของต้นทุนการผลิต การยกเลิกมาตรการดังกล่าวเป็นการลดต้นทุนให้เกษตรกร

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังกำหนดมาตรการ 3 : 1 สำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กล่าวคือ ผู้นำเข้าต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน เพื่อนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ส่วนการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองต้องเสียภาษีนำเข้า 2% ยังคงเป็นภาระต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของเกษตรกร ซึ่งการคงไว้ของมาตรการดังกล่าวเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้หรือไม่ ที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศราคา 12-12.50 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าราคาประกันของรัฐที่ตั้งไว้ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ความชื้น 14.5% ภาครัฐไม่ได้จ่ายเงินชดเชยให้กับเกษตรกร 8-9 งวดติดต่อกัน

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวในการเสวนา เรื่อง “สารพันปัญหาถาโถม ภาคปศุสัตว์ ทางรอดหรือทางออก เป็นอย่างไร” ว่า สถานการณ์อาหารสัตว์มีแต่สูงขึ้นและราคาคงไม่ต่ำกว่านี้ แต่สูงเท่าไรคงเดายาก เพราะถ้าสงครามไม่เลิก ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ไม่ถอยแน่นอน นอกจากนี้ สภาพร้อนแล้งจาก “เอลนีโญ” ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตข้าวโพด ถั่วเหลือง และมันสำปะหลังโดยตรง หากผลผลิตน้อยและความต้องการสูงราคาก็จะสูงตามไปด้วย ซึ่งแต่ละปีไทยต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 3 ล้านตัน และเมล็ดถั่วเหลือง 5 ล้านตัน เนื่องจากไทยผลิตพืชทั้ง 2 ชนิด ไม่เพียงพอต่อความต้องการ

ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาสูง เป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการ เพื่อให้ห่วงโซ่ภาคปศุสัตว์สามารถเดินหน้าได้โดยไม่หยุดชะงัก และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับคนไทยเข้าถึงได้ในราคาที่เหมาะสมตามแนวทางการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน

AIS – กทม. เดินหน้าขยายผลหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ สู่ 437 โรงเรียน

0

กรุงเทพมหานครฯ จับมือ AIS และภาคีเครือข่ายภาครัฐ ทั้งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ขยายผลหลักสูตรการเรียนรู้ด้านทักษะดิจิทัล “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ยกระดับการศึกษายุคดิจิทัลในการสร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ ส่งต่อความรู้ให้แก่ครู บุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนในโรงเรียสังกัด กทม. ทั้ง 437 แห่ง ที่มีทั้งบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนรวมมากกว่า 250,000 คน ตั้งเป้าสร้างพลเมืองดิจิทัลพร้อมยกระดับดัชนีสุขภาวะดิจิทัล (Thailand Cyber Wellness Index) ของกลุ่มนักเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ ให้มีอยู่ในระดับที่รู้เท่าทัน มีทักษะดิจิทัล สามารถใช้งานสื่อโซเชียลและเทคโนโลยีได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสม ผ่านการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสื่อการเรียนการสอน ในวิชาวิทยาการคำนวณ สังคมและแนะแนว หรือแม้แต่รูปแบบการเรียนการสอนที่สอดคล้องเหมาะกับแต่ละสถาบันการศึกษา โดยเริ่มตั้งแต่ภาคการศึกษา 2566 เป็นต้นไป

นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “นโยบายด้านการศึกษา คือหนึ่งในภารกิจของกรุงเทพมหานคร ภายใต้นโยบายเรียนดีของผู้ว่าฯ กทม.ท่านชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่มีเป้าหมายสำคัญ คือ มุ่งพัฒนาการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัด กทม.ให้มีความทันสมัยสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของโลกดิจิทัลและเทคโนโลยี โดยเฉพาะเนื้อหาหรือแม้แต่ทักษะด้านดิจิทัล ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานบนโลกออนไลน์ให้มีความปลอดภัยและเหมาะสม ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อจากผู้ไม่หวังดีและมิจฉาชีพ ซึ่งความร่วมมือกับ AIS รวมถึงกรมสุขภาพจิต และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ในครั้งนี้ จะเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะมาช่วยส่งเสริมนโยบายด้านการศึกษาของกรุงเทพมหานครให้ยกระดับไปอีกขั้น

ด้วยการนำหลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ที่จะถูกนำเข้าไปบูรณาการเป็นสื่อการเรียนการสอน ในวิชาวิทยาการคำนวณ สังคมและแนะแนว ให้แก่นักเรียน ในโรงเรียนสังกัด กทม. ทั้งโรงเรียนระดับอนุบาล – ประถมศึกษา, ระดับประถมศึกษา – มัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 437 แห่ง ซึ่งจะทำให้ทั้งบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียน ผู้ปกครอง รวมถึงประชาชนโดยรอบในชุมชนมากกว่า 250,000 คน ได้เข้าถึงองค์ความรู้ใหม่ๆ จนนำไปสู่การเสริมสร้างทักษะดิจิทัล การใช้งานสื่อดิจิทัล และเทคโนโลยีให้มีภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ไม่ตกเป็นเหยื่อของการใช้งานออนไลน์และมิจฉาชีพ สามารถการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย”

ด้าน นางสายชล ทรัพย์มากอุดม รักษาการหัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “จากผลการศึกษาล่าสุดของดัชนีชี้วัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย หรือ Thailand Cyber Wellness Index พบว่า กลุ่มนักเรียนที่เราอาจจะเข้าใจว่าสามารถใช้งานสื่อดิจิทัลออนไลน์ได้อย่างเชี่ยวชาญในฐานะคนรุ่นใหม่ แต่ผลวิจัยกลับชี้ว่า เป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ต้องเพิ่มทักษะความรู้ความเข้าใจให้สามารถใช้งานดิจิทัลได้อย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของภัยไซเบอร์ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่วันนี้เราได้ทำงานร่วมกับ กรุงเทพมหานคร เพื่อขยายผลส่งต่อ หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์ ไปยังสถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราเดินหน้านำหลักสูตรการเรียนรู้ดังกล่าว ส่งต่อไปยังบุคลากรทางการศึกษา และนักเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ กว่า 29,000 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งขยายผลไปสู่ระดับมหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา หรือแม้แต่การส่งต่อไปยังภาคประชาชนผ่านหน่วยงานความมั่นคงอย่าง สกมช. โดยเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ กรุงเทพมหานครในครั้งนี้ จะทำให้เยาวชน บุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่จะยกระดับดัชนีสุขภาวะดิจิทัลของเด็กไทยและคนไทยให้อยูในระดับที่เพิ่มสูงขึ้นต่อไป”

หมายเหตุ : “หลักสูตรอุ่นใจไซเบอร์” นำเสนอเป็น 4 Professional Skill Module หรือ 4P4ป ที่ครอบคลุมทักษะดิจิทัล ดังนี้

  1. Practice: ปลูกฝังให้มีความรู้ ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม
  2. Personality: แนะนำการปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์
  3. Protection: เรียนรู้การป้องกันภัยไซเบอร์บนโลกออนไลน์
  4. Participation: รู้จักการปฏิสัมพันธ์ด้วยทักษะและพฤติกรรมการสื่อสารบนออนไลน์อย่างเหมาะสม

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://sustainability.ais.co.th/th/sustainability-projects/thailands-cyber-wellness-index