Home Blog Page 142

ซีพีเอฟ จับมือชาวโคราช เดินหน้า “โครงการรักษ์ลำน้ำมูล ปีที่ 15” ร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมยั่งยืน

0

นายพีรวัฒน์ ธีระวัฒนา นายอำเภอครบุรี เป็นประธานเปิด “โครงการรักษ์ลำน้ำมูล ปีที่ 15” ที่บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมกับหน่วยงานราชการ และประชาชนชาวนครราชสีมา จัดกิจกรรมปลูกป่า ปล่อยปลา เพื่อเสริมสร้างจิตสำนึก การมีส่วนร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ฟื้นฟูและบำรุงรักษาสภาพลำน้ำมูลและลำน้ำสาขาอย่างต่อเนื่อง ณ หาดจอมทอง อุทยานแห่งชาติทับลานแห่งที่ 15 อำเภอครบุรี

นายพีรวัฒน์ ธีระวัฒนา นายอำเภอครบุรี เปิดเผยว่า โครงการฯนี้ ถือเป็นการสร้างประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมและชาวโคราชทุกคน เนื่องจากหาดจอมทอง อุทยานแห่งชาติทับลานฯ เป็นเขื่อนต้นน้ำของลำน้ำมูล ที่พี่น้องชาวโคราชและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆในจังหวัด ได้รับประโยชน์จากลำน้ำมูลและลำน้ำสาขา ทั้งด้านการบริโภค อุปโภค การเกษตร และภาคอุตสาหกรรม การที่ซีพีเอฟเข้ามาเป็นสมาชิกของชุมชน และริเริ่มโครงการดีๆโดยเชิญชวนทุกภาคส่วนในพื้นที่ มาร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ พันธุ์สัตว์น้ำท้องถิ่น ระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อม ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 นับเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนเล็งเห็นถึงคุณค่าของการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ ช่วยสร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมของทุกคน ที่จะช่วยคืนความสมบูรณ์และสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนผลักดันการใช้ประโยชน์จากลำน้ำอย่างยั่งยืนร่วมกัน

ด้าน นายวิเชต ช่วยทอง รองผู้อำนวยการ ด้านการผลิตไก่พันธุ์ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟเป็นหนึ่งในสมาชิกของชุมชน ที่ได้ใช้ประโยชน์จากลำน้ำมูลมาโดยตลอด จึงริเริ่ม “โครงการรักษ์ลำน้ำมูล” ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้แก่ชุมชน โดยทีมงานซีพีเอฟจิตอาสาจากหลายหน่วยงาน ผนึกกำลังกับภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องชาวโคราช ร่วมกันฟื้นฟู ดูแล และเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับผืนป่าบริเวณป่าต้นน้ำในแหล่งน้ำเขื่อนมูลบน ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่แสดงออกถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทอย่างเป็นรูปธรรม โครงการนี้มีการตั้งเป้าหมายระยะยาว ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานฯ หาดจอมทอง จำนวน 100 ไร่ ภายในระยะเวลา 15 ปี (ปี 2558-2573) ส่วนเป้าหมายระยะสั้น ในปี 2566 ตั้งเป้าดำเนินการปลูกพันธุ์ไม้ท้องถิ่นซ่อมแซมและปลูกเพิ่มเติม จำนวน 3,000 ต้น พร้อมทั้งปล่อยพันธุ์ปลา จำนวน 20,000 ตัว เพื่ออนุรักษ์ปลาท้องถิ่น และเพิ่มประชากรสัตว์น้ำ ช่วยเพิ่มความสมดุลในระบบนิเวศ

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ มีผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน เป็นตัวแทนจากหน่วยราชการ อาทิ อำเภอครบุรี อบต.จระเข้หิน อุทยานแห่งชาติทับลาน โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำแซะ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษามูลบน กรมชลประทาน และชาวชุมชน พร้อมนำคณะผู้บริหาร พนักงานซีพีเอฟและครอบครัว จากธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ฟาร์มไก่พันธุ์ ฟาร์มไก่กระทง และธุรกิจไก่ห้าดาว

TIA ผนึก สภาทนายความเปิดหลักสูตร อบรม “การดำเนินคดีหลักทรัพย์แบบกลุ่ม” เสริมเขี้ยวทนายคดีตลาดทุน

0

สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) ผนึกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เดินหน้าร่วมผลักดันกฎหมายการฟ้องร้องคดีแบบกลุ่ม (Class action ) เปิดหลักสูตรอบรม “การดำเนินคดีหลักทรัพย์แบบกลุ่ม” เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญให้กับทนายความในคดีที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน

นายยิ่งยิง นิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) เปิดเผยว่า สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เดินหน้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งผลักดันให้ กฎหมายการฟ้องร้องคดีแบบกลุ่ม (Class action) ที่มีผลบังคับใช้แล้วให้มีผลบังคับใช้ทางปฏิบัติ และกฎหมายถูกบังคับใช้จริง กับคดีที่เกิดขึ้นในตลาดทุน ล่าสุดได้ร่วมกับ สภาทนายความในพระบรมราชูปภัมภ์ เปิดหลักสูตรอบรม “การดำเนินคดีหลักทรัพย์แบบกลุ่ม”เพื่อเพิ่มความเชี่ยวชาญให้กับทนายความในคดีที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน

ยิ่งยิง นิลเสนา นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย

สำหรับหลักสูตรอบรมครั้งนี้จะมี 2 ระดับ คือ G1 หลักสูตรพื้นฐาน มีระยะเวลาอบรม 30 ชั่วโมงอบรม  5 ครั้ง โดยจะเปิดหลักสูตรอบรมครั้งแรกวันที่ 13 กันยายน 2566 ซึ่งเนื้อหาการเรียนครั้งแรกจะปูพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้เรื่องตลาดทุน ตามด้วย ฐานการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์ และความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคดีกลุ่ม การเริ่มคดีแบบกลุ่ม ในคดีความผิดหรือความรับผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และการขออนุญาตดำเนินคดีแบบกลุ่มและสอบวัดผลทางออนไลน์ในการเรียนครั้งสุดท้ายในวันที่ 9 ตุลาคม 2566

G2 -หลักสูตรก้าวหน้า อบรมอีก 30 ชั่วโมง เป็นการอบรมต่อเนื่องจาก G1 โดยเนื้อหาหลักสูตร G2 ในการอบรมครั้งแรก ในวันที่ 25 ต.ค. 2566 จะเป็นการเวิร์กช็อปเกี่ยวกับการะบุรายชื่อสมาชิกกลุ่ม และการยื่นคำร้องขออนุญาตดำเนินคดีกลุ่ม ครั้งที่ 2 อบรมเรื่องพยานหลักฐานและค่าเสียหาย ครั้งที่ 3 การเขียนคำร้องและการยื่นฟ้อง ครั้งที่ 4 การประนีประนอมและการทำสัญญาประนีประนอมและสอบวัดผลทางออนไลน์ และครั้งที่ 5 เป็นการเปิดให้คำปรึกษา และมอบ Certificate และปิดอบรมหลักสูตร

ทั้งนี้ การเข้าร่วมอบรมหลักสูตรนี้ ทนายความที่สนใจสามารถลงทะเบียนสมัครอบรมได้ โดยมีค่าธรรมเนียม หลักสูตรละ 10,000 บาท แต่ผู้ลงทะเบียนได้รับสิทธินำ e – Certificate จากการเรียนแบบ e-Learning @SET by TSI ผ่านช่องทางออนไลน์มาใช้เป็นส่วนลด ในการเรียนหลักสูตรนี้ได้ 5,000 บาท เมื่อทำตามขั้นตอนและอบรมครบจำนวนชั่วโมงที่กำหนด ทางสมาคมก็จะคืนเงินให้ผู้เข้าอบรมกลับไป แต่ความรู้เรื่องคดี Class action จะอยู่ติดตัวไปทั้งชีวิต

นอกจากนี้ทนายความที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้ จะได้รับการขึ้นทะเบียนกับทาง TIA ว่าเป็นทนายที่มีความรู้ความเข้าใจและเชี่ยวชาญในการคดีที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน และ Class action  

ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปภัมภ์ กล่าวว่า “นับเป็นเรื่องใหม่ ของวิชาชีพทนายความ  ในการเพิ่มความรู้ เติมประสบการณ์ความเป็นมืออาชีพ ด้านคดีความที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน หรือตลาดหุ้น ที่ซื้อขายกันอยู่ทุกวัน เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับพี่น้องประชาชน-นักลงทุน อาชีพทนายความ ย่อมเป็นที่พึ่ง ในการแสวงหาความยุติธรรม และการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ในรูปแบบต่างๆ เป็นเรื่องน่ายินดีที่ตรงกับอรรถพจน์การทำงานของสภาทนายฯ อีกด้วย”

CPF – AXONS โชว์ศักยภาพผู้นำเทคโนโลยีการเกษตรที่ยั่งยืน และ Food Tech ระดับโลก บนเวที Techsauce Global Summit 2023

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ และ AXONS ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการเกษตรระดับโลกบนวิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” โชว์นวัตกรรมการเกษตรแห่งอนาคต รวมถึงระบบการเกษตรอัจฉริยะที่ช่วยให้การเลี้ยงสัตว์มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น พร้อมนำผู้บริหารร่วมขึ้นเวทีแบ่งปันและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เกี่ยวกับการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหารยุคใหม่กับพันธมิตรเจ้าของเทคโนโลยีผู้ร่วมงานจากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ในงาน Techsauce Global Summit 2023 งานประชุมด้านเทคโนโลยีสุดยิ่งใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ (QSNCC)

นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง ได้แบ่งปันมุมมองบนเวทีเสวนา Food Tech ในหัวข้อ Embedding Sustainable Technology in the Food Value Chain ย้ำความมุ่งมั่นของซีพีเอฟขับเคลื่อนสู่การเป็นองค์กร Net-Zero และดำเนินงานสอดคล้องเป้าหมายความยั่งยืนของสหประชาชาติ (UNSDGs) นำหลักการขององค์กร Science Based Target Initiative (SBTi) มาใช้ในการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กรตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่เข้ามาใช้ ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีดิจิทัล และ IoT ประยุกต์ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยอาหาร และช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตตั้งแต่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์และโรงงาน ปัจจุบันฟาร์มหมูและฟาร์มไก่ไข่ใช้ระบบไบโอแก๊ส (Biogas) เปลี่ยนมูลสัตว์เป็นพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการยกเลิกใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหันมาใช้พลังงานชีวมวล การเดินหน้าติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในฟาร์มและโรงงานเพิ่มขึ้น ตอกย้ำความมุ่งมั่นขับเคลื่อนเป็นองค์กรลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังสู่เป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050 ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถและการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เพิ่มความมั่นใจในผลิตภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟมีส่วนช่วยลดโลกร้อน สอดคล้องกับเทรนด์และความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

ด้าน นางนลินี โรบินสัน ผู้บริหารสูงสุดด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ (CPF RD Center) ขึ้นวทีเสวนาในหัวข้อการ Leverage Deep-Tech Advancements to Scale Impact แลกเปลี่ยนมุมมองและความท้าทายของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ในการดำเนินธุรกิจ โดยนำเสนอ ผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช (Plant-based Protein) แบรนด์ Meat Zero ใช้เทคโนโลยี Plant-Tec ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคด้านคุณค่าโภชนาการทดแทนเนื้อสัตว์ และได้ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม แต่ โปรตีนจากพืชยังมีความท้าทายของอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลก ประเด็นราคาสูง ยังต้องพัฒนาเนื้อสัมผัสและรสชาติให้เหมือนเนื้อสัตว์จริง นอกจากนี้ จากการร่วมเสวนายังเป็นโอกาสในการจับคู่พันธมิตรที่มีเทคโนโลยี และความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์อาหาร ช่วยตอบโจทย์เป้าหมายของธุรกิจและเทรนด์ผู้บริโภคมากขึ้น

นอกจากนี้ นายสรรเสริญ สมัยสุต กรรมการผู้จัดการ แอ๊กซอน (AXONS) กล่าวว่าการมาร่วมงานครั้งนี้ของ AXONS ได้ร่วมประกาศวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้านเกษตรเทคโนโลยีบนเวทีงานประชุมระดับโลก พร้อมเป็นโอกาสแบ่งปันองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมมานาน 40 ปี และประสบการณ์การให้บริการด้าน AgriTech ใน 17 ประเทศ ตลอดเปิดโอกาสได้พบกับพันธมิตรทางด้านเทคโนโลยีจากทั่วโลกที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพของภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมอาหารสู่ความยั่งยืนด้วยกัน

ในส่วนของนิทรรศการ CPF และ AXONS นำเสนอ ภายใต้แนวคิด Revolutionizing the Future: Empowering Sustainable Well-being through AgriTech แบ่งเป็น 2 โซน ประกอบด้วย CPF นำเสนอนวัตกรรม Smart Process ตลอดห่วงโซ่อาหารในฐานะ “ครัวของโลก” โดยทีมวิศวกรรม นำผลงานหุ่นยนต์กลับแกรบในโรงเรือนเลี้ยงไก่เนื้อยกระดับสวัสดิภาพสัตว์และความปลอดภัยอาหาร พร้อมทั้งนำ “นวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต” ที่ใส่ใจสุขภาพและร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นความสำเร็จของ CPF RD Center ที่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกพัฒนานวัตกรรม PLANT Tec ที่ช่วยให้อาหารแพลนต์เบสมีรสชาติและเนื้อสัมผัสเหมือนเนื้อสัตว์จริง และส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช ภายใต้แบรนด์ Meat Zero ก้าวเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของประเทศไทยและในเอเชีย

สำหรับโซนนิทรรศการของ AXONS โชว์ศักยภาพเทคโนโลยีทางการเกษตร AgiTech ที่มีส่วนช่วยยกระดับขีดความสามารถและมาตรฐานการเกษตรและกระบวนการแปรรูปอาหารของประเทศไทยสู่ระดับโลก เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและความแม่นยำให้ภาคเกษตรอุตสาหกรรมตลอดห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ส่งมอบอาหารคุณภาพ ปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย

ส.หมูภาคใต้ หนุนปูพรมตรวจ “หมูเถื่อน” ทุกพื้นที่เสี่ยง จี้หน่วยงานรัฐเร่งฝังทำลาย 161 ตู้

0

นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าเลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยว่า ปัญหาต้นทุนการผลิตหมูที่สูงมากกว่าทุกปี หรือราวๆ 90 บาท/กก. แต่ขายได้ในราคาต่ำเตี้ยเพียง 60-70 บาท/กก. เกิดจากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหลักนั้น หนีไม่พ้น “หมูเถื่อน” ที่ยังคงไม่หมดไปจากประเทศไทยเสียที จึงขอเรียกร้องหน่วยงานรัฐปูพรมตรวจสอบหมูเถื่อนในทุกพื้นที่เสี่ยง

ปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าเลี้ยงสุกรภาคใต้

“หมูเถื่อน 161 ตู้ที่อยู่ในความดูแลและดำเนินคดีของ DSI นั้นเป็นเพียงส่วนน้อย ในความเป็นจริงยังมีหมูเถื่อนปะปนอยู่ในประเทศอีกจำนวนมาก อยากขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐทุกภาคส่วน ผนึกกำลังกันปูพรมตรวจสอบทุกตารางนิ้วในพื้นที่สุ่มเสี่ยง อาทิ ท่าเรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่เพียงแหลมฉบัง แต่ยังมีท่าเรือคลองเตย ท่าเรือระนอง ท่าเรือสงขลา ท่าเรือกันตัง รวมถึงห้องเย็นทั่วประเทศ และร้านขายเนื้อสัตว์อีกมากมาย ทั้งนี้เพื่อกำจัดหมูเถื่อนให้หมดไปก่อนมันจะทำลายอุตสาหกรรมสุกรของประเทศให้ล่มสลาย” นายปรีชากล่าว

สำหรับคดีใหญ่ที่สุดตอนนี้คือ หมูเถื่อน 161 ตู้ตกค้าง ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีปริมาณหมูมากถึง 4,500 ตัน และ DSI เข้ามาดำเนินการตรวจสอบของกลางทั้งหมดเรียบร้อยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม กลับมีความล่าช้าในกระบวนการฝังทำลายเช่นกัน อยางไรก็ตาม รู้สึกดีใจที่ทราบว่า DSI จะมีการประชุมร่วมกับกรมศุลกากรและกรมปศุสัตว์ในวันพรุ่งนี้ (18 สิงหาคม 2566) เพื่อหารือเกี่ยวกับการกำหนดวันเวลา และขั้นตอนการขนย้ายเนื้อหมูเถื่อน หรือของกลางในคดี รวมถึงการทำลายฝังกลบ ณ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพราะนั่นหมายถึง การทำลายหมูเถื่อนที่กำลังทยอยหมดอายุ ขึ้นรา และเน่าเสีย ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคระบาดในประเทศซ้ำสอง และตนจะรอฟังผลการประชุมอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ หมูเถื่อนเข้ามาแทรกแซงตลาดในประเทศไทยนานนับปี ทำให้เกษตรกรคนเลี้ยงหมูประสบภาวะขาดทุนสะสมมานานกว่า 8 เดือน และสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมสุกรทั้งระบบกว่า 30,000 ล้านบาท และจนป่านนี้ยังไม่สามารถกวาดล้างปราบปรามได้หมดทั้งยังไม่สามารถจับตัวผู้บงการได้ สร้างความกังวลใจแก่เกษตรกรมาต่อเนื่องยาวนาน จนถึงปัจจุบัน

ซีพีเอฟ เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต เน้นหลัก Health and Wellness หนุนคนไทยสุขภาพดี

0

ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหาร ซีพีเอฟ (CPF RD Center) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ คุณค่าโภชนาการสูง รสชาติอร่อย ตามหลัก Health and Wellness ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Tech) ร่วมหนุนคนไทยเข้าถึงอาหารสร้างเสริมสุขภาพและคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นางปาริฉัตร เหลืองทองคำ ผู้อำนวยการด้านวิจัย CPF RD Center กล่าวว่า CPF RD Center มุ่งเน้นวิจัยนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลก สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ด้วยการประยุกต์ใช้ Deep Tech ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงขึ้น ช่วยสร้างเสริมสุขภาพของผู้บริโภค นักวิจัยจะทำงานร่วมกับเชฟ ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีสารอาหารสำคัญที่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและมากกว่าโภชนาการพื้นฐาน และส่วนช่วยป้องกัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ฟื้นฟูสภาพร่างกายและที่สำคัญมีรสชาติดี อร่อย ปลอดภัย รับประทานง่าย เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความมั่นคงทางอาหาร พร้อมร่วมนำผลงานวิจัยเด่นๆ เข้าร่วมนำเสนอ ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 (Thailand Research Expo 2023) อีกด้วย

“CPF RD Center เป็นองค์กรเอกชนเพียงรายเดียวที่ได้รับโอกาสร่วมนำเสนอผลงานผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต โครงการร่วมนำเสนอในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติที่นำเสนอผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่มีคุณภาพ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม จัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอาหารเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนทั่วโลก” นางปาริฉัตรกล่าว

ภายในบูธของ CPF RD Center นำเสนอ 3 ผลงานวิจัยด้านอาหาร ประกอบด้วย Just-Cheese ชีสวีแกนทำจากปลายข้าวหมักด้วยกระบวนการชีวภาพด้วยเชื้อยีสต์สายพันธ์คัดแยกพิเศษที่ให้กลิ่นและอะมิโน เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการสีข้าวที่มีมูลค่าน้อยลง แต่ยังอุดมด้วยโปรตีน แร่ธาตุ ไขมัน และวิตามิน การแปรรูปเป็น “ชีส” ไขมันต่ำ มีคุณค่าโภชนาการสูง ช่วยตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบชีส และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ ขณะเดียวกัน ยังมีรสชาติอร่อยเหมือนชีสที่ทำจากนม เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่แพ้นม ได้อีกด้วย

ชาหมักจุลินทรีย์คอมบูชา (Kombucha) เป็นชาหมักเพื่อสุขภาพ ที่นักวิจัยของ CPF RD Center ให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบหลัก คือ ชาอู่หลง เกรดพรีเมี่ยม คุณภาพสูงของไทย การคัดแยกหัวเชื้อสำหรับการหมักชาจากผลไม้จากทางภาคเหนือ ควบคู่กับการนำสายพันธุ์จุลินทรีย์โปรไบโอติกที่ได้รับการรับรองมาใช้ในกระบวนการหมักร่วมกับหัวเชื้อและชา จึงได้ Kombucha ที่มีรสชาติเปรี้ยวหวาน ซ่าสดชื่น ทั้งยังได้รสหวานและหอมจากชาอู่หลงช่วยให้ดื่มง่าย

สำหรับผลงานวิจัย “โปรตีนไฮโดรไลเซท” เพปไทด์ที่ได้จากโปรตีนเมล็ดกัญชง ซึ่งมี เพปไทด์สายสั้น และกรดอะมิโนอิสระในปริมาณสูง ทำให้ร่างกายสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารแห่งอนาคต เพราะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ

ผลงานวิจัยด้านอาหารของ CPF RD Center มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่คำนึงถึงอาหารมีคุณค่าโภชนาการสูงช่วยสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรสชาติอร่อย นอกจากนี้ การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ผ่านการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีในท้องถิ่นนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่า และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามแนวคิด Food Before Medicine เพิ่มทางเลือกให้คนไทยได้เข้าถึงอาหารที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการเจ็บป่วย และโรคภัยต่างๆ

CPF RD Center เป็นตัวแทนจากภาคเอกชนเพียงองค์กรเดียวที่ได้เข้าร่วมนำเสนอผลงานวิจัยนวัตกรรมอาหารในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2566 ร่วมกับ ผลงานวิจัยกว่า 1,000 ผลงาน ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริง เชื่อมโยงสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ตลท. จัดงาน Thailand Focus 2023 โชว์ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจและตลาดทุนไทย 23-25 ส.ค.นี้

0
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดงาน “Thailand Focus 2023 : The New Horizon” ชูความโดดเด่นของบริษัทจดทะเบียนและศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยเชิญภาครัฐ ตลาดเงินตลาดทุน และผู้บริหารระดับสูงภาคธุรกิจ ร่วมเวทีเสวนาให้ข้อมูลจุดแข็งของประเทศและภาคเอกชนไทย การผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นอนาคตของประเทศ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยสู่บริบทใหม่แห่งการลงทุน โดยมีบริษัทจดทะเบียน 118 บริษัท ตอบรับเข้าร่วมให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนสถาบันจากทั่วโลก ระหว่าง 23-25 สิงหาคม 2566
ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า งาน Thailand Focus ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 17 ภายใต้แนวคิด “The New Horizon” ที่จะเปิดมุมมองใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนถึงศักยภาพของภาคเอกชนและตลาดทุนไทย โดยนำเสนอเนื้อหาที่ลงลึกในศักยภาพและโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมที่จะเป็นจุดขายใหม่ของประเทศ และนำมาสู่ความก้าวหน้าและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย

“งาน Thailand Focus 2023 จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกและชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในตลาดทุนไทย โดยได้รับเกียรติจากนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับบริบทของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันควบคู่ไปกับการดูแลความเสี่ยงในภาคการเงินของประเทศ พร้อมด้วยผู้แทนจากภาครัฐ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากทั้งวงการธุรกิจและและตลาดทุน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ที่จะมาให้ข้อมูลถึงบริบทใหม่ของตลาดทุนและภาคอุตสาหกรรมที่อยู่ในความสนใจ เช่น การลงทุนของเอกชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การสร้างมิติใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ยังคงเป็นความหวังของประเทศ ตลอดจน soft power หรืออุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ที่สะท้อนจุดเด่นของไทย รวมถึงการนำเสนอความโดดเด่นของบริษัทจดทะเบียนไทยในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนที่ได้รับการยกย่องในระดับโลก นอกจากนี้ ยังมีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจดทะเบียน 118 แห่งจากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมาร่วมพบและให้ข้อมูลศักยภาพธุรกิจและทิศทางการเติบโตในอนาคตแก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลกกว่า 200 ราย อีกด้วย” นายภากรกล่าว

ซีพีเอฟ คัดสรร ไข่ไก่ Cage Free สด สะอาด ปลอดภัย มาตรฐานสากล ส่งต่อสุขภาพดีให้ผู้บริโภค

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชู ไข่ไก่ Cage Free สด สะอาด ปลอดภัย ปลอดสาร ปลอดโรค จากแม่ไก่อารมณ์ดี ที่เลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ในระบบปิดแบบปล่อยอิสระไม่ใช้กรง (Cage Free) ผ่านการรับรองมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ เป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภคยุคใหม่

นายวราราชย์ เรืองศรี ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสด้านกำกับดูแลและประกันการปฏิบัติงานตามข้อกำหนดธุรกิจไก่ไข่ กล่าวว่า ธุรกิจไก่ไข่ของ ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มด้วยหลักสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ (Five Freedoms of Animals) เพื่อส่งเสริมการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างมีมนุษยธรรม สร้างหลักประกันอาหารปลอดภัยในห่วงโซ๋การผลิตให้กับผู้บริโภค

วราราชย์ เรืองศรี

สำหรับการเลี้ยงไก่ แบบไม่ใช้กรงในโรงเรือนระบบปิด ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของธุรกิจไก่ไข่ของซีพีเอฟ โดยฟาร์มวังสมบูรณ์ จังหวัดสระบุรี เป็นฟาร์มรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรงจากกรมปศุสัตว์

ซีพีเอฟ มีการคัดเลือกแม่ไก่ไข่สายพันธุ์พิเศษ ที่มีความแข็งแรงตามธรรมชาติ มีภูมิต้านทาน ให้ผลผลิตสูง เลี้ยงด้วยธัญพืช และน้ำสะอาด ให้แม่ไก่เข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอ มีความเป็นอยู่สุขสบาย อารมณ์ดี รวมถึงมีการติดตั้งเทคโนโลยีภายในฟาร์ม ให้สามารถตรวจสอบสุขภาพแม่ไก่ได้ทุกวัน ควบคู่กับระบบความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อป้องกันโรคสัตว์ ส่งผลให้สัตว์มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยา ทำให้ไข่ไก่ Cage Free ของบริษัทฯ ปลอดฮอร์โมน และปลอดจากการใช้ปฏิชีวนะ 100% มีความสดกว่าไข่ไก่ทั่วไป ไม่มีกลิ่นคาว ไข่แดงสดนูนสวย สด สะอาด ปลอดภัย

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังนำแนวทาง Biosecurity Hi-tech Farming ที่มีการควบคุมโรค 100% เพื่อให้แม่ไก่ทุกตัวปลอดภัย ไม่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อผ่านอาหารและอากาศภายนอก ตลอดจนระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศในโรงเรือนปิดอย่างเหมาะสมตลอดเวลา ควบคุมความเข้มของแสง และมีเวลาเปิดปิดไฟตามข้อกำหนดของสายพันธุ์ เพื่อให้ไก่ได้มีเวลาพักผ่อน

ขณะที่ในโรงเรือนมีความหนาแน่นอย่างเหมาะสม เลี้ยงแม่ไก่ไม่เกิน 9 ตัว ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร เพื่อให้แม่ไก่แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างอิสระ พร้อมเสริมสภาพแวดล้อมทางกายภาพ อาทิ คอนเกาะสำหรับเกาะพักผ่อน มีวัสดุปูรองพื้นสำหรับคุ้ยเขี่ยและไซ้ขนทำความสะอาดตัวเอง ช่วยยกระดับคุณภาพและสุขภาพสัตว์

“ซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาส่งเสริมกระบวนการทำงานแบบอัตโนมัติในรูปแบบ Smart Farm มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงและเพิ่มผลผลิต ลดการปนเปื้อนจากการเข้าไปในโรงเรือนของมนุษย์ และมีการตรวจประเมินการดำเนินงานของฟาร์มเป็นประจำทุกปี” นายวราราชย์ กล่าว

ผลผลิตไข่ไก่ไร้กรง จะผ่านระบบการเก็บโดยใช้ระบบสายพานลำเลียงออกจากโรงเรือนไปยังห้องเก็บไข่โดยอัตโนมัติ และกระบวนคัดทำความสะอาดไข่ไก่ตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย ปราศจากการปนเปื้อนของเชื้อซาลโมเนลลา ที่สำคัญผ่านการตรวจสอบความสดของไข่ด้วยเครื่อง Freshness Test เพื่อยืนยันค่าความสดใหม่ของไข่ไก่ Cage Free ทุกฟอง ก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค

นอกจากนี้ยังตรวจสอบรอยร้าวที่เปลือกไข่ด้วยระบบเสียง พร้อมระบุวันผลิตวัน หมดอายุ และแหล่งที่มาของไข่ไก่ทุกฟองด้วยเครื่องพิมพ์สีที่ปลอดภัยบนเปลือกไข่ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต และนำเครื่องจักรอัตโนมัติบรรจุไข่ไก่ Cage free โดยไม่สัมผัสมือคน อีกทั้งยังใช้บรรจุภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล 100% ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

ล่าสุด ไข่ไก่ Cage Free ซีพีเอฟ แบรนด์ “ยูฟาร์ม” (U Farm) ขึ้นทะเบียนได้รับฉลากคาร์บอนนิวทรัล (Carbon Neutral Product) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้แก่ แพ็กเกจขนาด 4 ฟอง/แพ็ก และขนาด 10 ฟอง/แพ็ก นับเป็นไข่ไก่เคจฟรี (ไข่จากแม่ไก่ที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบไม่ขังกรง) ปลอดคาร์บอนรายแรกของทวีปเอเชีย โดยมีการจัดหาคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือซึ่งเกิดจากกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน จนถึงการกำจัดซากบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์เท่ากับศูนย์

ส่วนผลิตภัณฑ์ไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection 21 รายการ ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของไข่ไก่ทั่วไปถึงร้อยละ 30 และในปีที่ผ่านมาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 617,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งไข่ไก่เคจฟรี ฉลากคาร์บอนนิวทรัล และไข่ไก่สดปลอดสาร CP Selection ที่ได้รับฉลากลดโลกร้อน เป็นอีกทางเลือกให้คนไทยได้บริโภคอาหารโปรตีนคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ และช่วยลดโลกร้อน จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ สนับสนุนผู้บริโภคให้มีส่วนร่วมจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกอีกด้วย

ซีพีเอฟ ส่งมอบสินค้าอาหารที่มีคุณภาพสูง ถูกสุขอนามัย มีกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย โดยให้ความสำคัญกับการผลิตที่ได้รับรองมาตรฐานในระดับสากล ทำให้มั่นใจได้ว่าไข่ไก่ Cage Free มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ยังมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการผลิตไข่ไก่ของเกษตรกร ในด้านเทคนิควิชาการให้เหมาะสมกับการเลี้ยงไก่ไข่ ช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้ และสนับสนุนการยกระดับผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยให้กับคนไทย

หมูเถื่อน “เผือกร้อน” จุดชนวนตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐ

0
บทความโดย จุฑา ยุทธหงสา ที่ปรึกษาอิสระด้านปศุสัตว์

“หมูเถื่อน” เป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่จุดชนวนเจ้าหน้าที่ภาครัฐในกรมต่างๆ ต้องรีบออกมา “ฟอกขาว” ตัวเอง ที่ถูกพาดพิงขณะนี้ ทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และอาจจะลามไปถึงการท่าเรือแห่งประเทศไทย หลังพบหลักฐานสำคัญตู้คอนเทนเนอร์แบบเก็บความเย็นตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ บรรจุหมูเถื่อน 4,500 ตัน ซึ่งเป็นล็อตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบในประเทศไทย ทั้งที่ผู้คุ้มกฎการผ่านเข้า-ออกสินค้ามาในราชอาณาจักร และผู้คุ้มกฎตู้สินค้าบริเวณหน้าท่าเรือทั้งหมด ควรจะเป็นหน่วยงานที่ได้ “กลิ่นไม่ดี” เป็นด่านแรก แต่ก็ผิดหวัง

นอกจากนี้ งานปราบปรามที่ทำกัน “พอเป็นพิธี” ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา ประจักษ์พยานจากผลงานระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2565 จับหมูเถื่อนได้เพียง 115 ตัน ทั้งที่ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติให้เบาะแสกับทางราชการตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ว่ามีหมูเถื่อนรอการระบายอยู่อีกไม่น้อยกว่า 1,000 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง แต่การปราบปรามก็ยังเฉื่อยๆ เหมือนโดนมอมยา จนสมาคมฯ ประกาศจะไม่ทนอีกต่อไป รวมพลังผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศร้องเรียนภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมถึงยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นการเดินหน้าทุกวิถีทาง ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้เลี้ยงหมูมากกว่า 2,000 คน รวมตัวกันอีกครั้งยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ปราบ “หมูเถื่อน” และขบวนการทุจริตอย่างจริงจัง ถึงวันนี้แม้จะจับไม่ได้ตามเบาะแสที่แจ้ง แต่ 161 ตู้ที่พบ คือจุดเปลี่ยนสำคัญของคดีนี้

โชคดีที่หลายฝ่ายเห็นความสำคัญไม่ทิ้งให้ผู้เลี้ยงหมูเดียวดาย ทั้งนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สองครั้งสามครา ให้รับคดีหมูเถื่อนมาดำเนินการ พร้อมมอบหลักฐานสำคัญว่าหมูเถื่อนยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก เพราะหากปล่อยไว้นาน เครือข่ายมิจฉาชีพจะทำความเสียหายให้กับประเทศมากกว่า 50,000 ล้านบาท ตามที่ประเมินกันไว้ขณะนี้

หลังจากนั้น กระแสการปราบปรามหมูเถื่อนไม่มีแผ่วอีกต่อไปหลังนายอัจฉริยะ “จุดไฟ” ตามด้วยพรรคการเมืองต่างๆ กระโจนเข้ามาโหนกระแส ยกระดับเป็นปัญหาที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน จะด้วยเหตุผลทางการเมืองเพราะเป็นช่วงเลือกตั้ง หรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทั้งพรรคก้าวไกล และล่าสุดพรรคเพื่อไทย ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เกษตรกรเข้าเรียกร้องให้ช่วยจัดการแก้ปัญหา เพราะหวังว่าพรรคที่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลจะไม่ลืมคำมั่นสัญญานี้

เมื่อโดนแรงกดดันจากหลายทาง กรมศุลกากร จำต้องตรวจตราและเปิดตู้สินค้าตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบังเมื่อเดือนเมษายน 2566 พบหมูเถื่อน 161 ตู้ ปริมาณ 4.5 พันตัน (4.5 ล้านกิโลกรัม) มูลค่า 225 ล้านบาท ทำให้ยอดปราบปรามหมูเถื่อนสะสมพุ่งสูงมากจากปี 2565 ทั้งปีประมาณ 1,350 ตัน ขณะที่ มกราคม 2566 – ปัจจุบัน จับได้มากกว่า 4,600 ตัน…ทำความเสียหายกับประเทศและเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูไทย จากราคาที่ตกต่ำต่อเนื่อง ทั้งที่มีพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ให้อำนาจเต็มมือ

แม้จะพยายามชี้แจง เรื่องกฎระเบียบการตรวจค้นสินค้านำเข้าที่มีเงื่อนเวลากำหนดไม่ให้เปิดตู้ตรวจสอบจนกว่า ผู้นำเข้าจะมาแจ้งขอนำสินค้าออกจากท่าเรือ หรือตั้งวางตู้สินค้าที่ท่าเรือเกินกำหนดเวลา รวมถึงมีข้อยกเว้นให้กับผู้นำเข้าที่มีประวัติดี สามารถผ่าน Green Line ได้โดยไม่ต้องเปิดตู้สินค้า ทำให้มีการสำแดงเท็จเป็นปลา อาหารทะเล หรือ โพลิเมอร์ ล้วนทำให้การตรวจสอบมีช่องว่าง “หมูเถื่อน” ที่ควรจะจับได้คาท่าเรือจึงเล็ดลอดออกสร้างความเสียหายได้นานกว่า 1 ปี

วันนี้ “หมูเถื่อน” ถูกยกระดับเป็นปัญหาระดับประเทศและเป็นที่จับตาของสังคมกลายเป็น “เผือกร้อน” ของหน่วยงานราชการขณะนี้โดยเฉพาะกรมศุลกากร ที่รุดออกมา “ปฏิเสธ” ไม่มีตู้ตกค้างอีก 1,000 ตู้ตามที่มีการให้ข้อมูล และไม่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตใดๆ แต่เป็นการทำงานตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศยังคงตามติดเพราะหวังจะเห็นภาครัฐกระชากหน้ากาก “ขบวนการค้าหมูเถื่อน” มาลงโทษตามกฎหมาย และปราบทุจริตในหน่วยงานราชการที่ยังรักษาตำนาน “ส่วย” ไว้อย่างเหนียวแน่นให้หมดไป

CPF สร้างเครือข่ายเด็ก เยาวชน ชุมชน แนวร่วมรักษ์โลกอย่างยั่งยืน

0

ภายใต้วิสัยทัศน์เป็น”ครัวของโลก”ที่ยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน ซึ่งถือเป็นต้นทางของวัตถุดิบในการผลิตอาหาร และมุ่งมั่นรักษาสมดุลของระบบนิเวศ นอกจาก “พนักงาน”ในองค์กรที่ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญแล้ว บริษัทฯ สร้างการรับรู้และสร้างเครือข่ายเด็ก เยาวชน และชุมชนในพื้นที่

“กิจกรรมปันรู้ ปลูกรักษ์” เกิดจากความตั้งใจปลูกฝังความตระหนักให้เด็กและเยาวชนมีจิตสำนึกรักสิ่งแวดล้อม ดูแลและหวงแหนทรัพยากรในพื้นที่ของตัวเอง เป็นแนวร่วมรักษ์โลกอย่างยั่งยืนไปกับซีพีเอฟที่มีการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อมหลากหลาย

คิกออฟ….. ที่โรงเรียนวัดบางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้พื้นที่”โครงการซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน” เป็นโครงการที่ซีพีเอฟ ร่วมมือกับภาครัฐ และชุมชนตำบลบางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาคร อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนมาตั้งแต่ปี 2557 โดยกิจกรรมครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากโรงเรียน นำโดยนางสาวณัฐกาญจน์ นุชประเสริฐ ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ และคณะครู นำน้องๆนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นป.1- ม.3 รวม 300 คนเข้าร่วมกิจกรรมผ่านฐานการเรียนรู้ 4 ฐาน ประกอบด้วย ฐานเรียนรู้โลกรวน ฐานเรียนรู้ต้นกล้าสู่ป่าใหญ่ ฐานเรียนรู้ป่าชายเลนต้นทางของอาหาร และฐานเรียนรู้ขยะพลาสติกแปลงร่าง นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากสมาชิกชุมชนโครงการกับดักขยะทะเลชุมชนบางหญ้าแพรกที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุนอยู่ มาเป็นวิทยากรในฐานเรียนรู้ขยะแปลงร่าง สร้างการรับรู้ และปลูกฝังความตระหนักสู่เด็กๆที่สามารถมีส่วนร่วมช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ได้เช่นกัน

นางสาวณัฐกาญจน์ นุชประเสริฐ ผู้อำนวยการ รร. วัดบางหญ้าแพรก ซึ่งพื้นบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า ในช่วงปีแรกๆที่ซีพีเอฟเข้ามาทำกิจกรรมอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน โรงเรียนนำเด็กนักเรียนไปร่วมกิจกรรมปลูกป่า เพื่อปลูกฝังความตระหนักรู้ ให้เด็กๆมีโอกาสมีส่วนร่วมดูแลทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ และหลังจากที่พี่ๆซีพีเอฟเข้ามาจัดฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน ให้กับน้องๆ เด็กๆได้เรียนรู้และสามารถนำไปใช้กับกิจกรรมในโรงเรียน อาทิ การแยกขยะ แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลน เป็นกิจกรรมที่โรงเรียนทำอยู่แล้ว โดยคาดหวังว่าภาคเอกชนที่มาศักยภาพอย่างซีพีเอฟจะช่วยสนับสนุนโครงการดีๆอย่างต่อเนื่อง และโรงเรียนพร้อมจะต่อยอดกิจกรรมต่างๆ ให้กับเด็กๆ โดยโรงเรียนเข้าไปคุยกับชุมชนเพื่อต่อยอดกิจกรรมขยะแปลงร่าง โดยจะนำนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเรียน ระดับชั้น ม.1-ม.3 เรียนรู้และร่วมทำกิจกรรมดังกล่าวกับชุมชนโครงการกับดักขยะทะเล ที่นำฝาขวดพลาสติกมาใช้แปลงเป็นอุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ทำให้น้องๆได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เป็นทักษะชีวิต รวมทั้งเรียนรู้และดูงานการประดิษฐ์และต่อเรือจำลอง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาชีพของคนในชุมชน

ทางด้านน้องๆ ที่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ด.ญ.แพรวพราว เทียมเกาะ หรือน้องแพรว อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม. 3 เล่าว่า มีความสุขและรู้สึกสนุกสนานกับกิจกรรมที่พี่ๆ ซีพีเอฟนำมาถ่ายทอดให้ ทั้ง 4 ฐานการเรียนรู้ และพร้อมจะนำไปทำต่อ เช่น การแยกขยะในโรงเรียน ซึ่งในกลุ่มของเด็กนักเรียน ม.1 -ม.3 สามารถแยกขยะได้ถูกต้อง แต่น้องเล็กๆ เช่น ชั้น ป.1 ที่ยังทิ้งขยะไม่ถูก พี่ๆก็จะต้องช่วยแนะนำให้ นอกจากนี้ แพรวยังบอกด้วยว่า อยากให้ทุกคนมาช่วยปลูกต้นไม้และปลูกป่ากันให้มากขึ้น เพราะทำให้สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีไปถึงชุมชุนที่ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อาชีพประมง

ด.ช.สิทธิพงศ์ หงษ์กลิ่น หรือน้องมิค อายุ 14 ปี เพื่อนร่วมชั้นเรียนของน้องแพรว กล่าวว่า ได้เรียนรู้เกี่ยวกับป่าชายเลน การปลูกป่า สัตว์ชนิดต่างๆที่อาศัยในป่าชายเลน รวมไปถึงการแยกขยะ จากฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 ฐาน ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยร่วมกิจกรรมเก็บขยะและปลูกต้นไม้ ที่โรงเรียนนำนักเรียนไปร่วมกิจกรรม รู้สึกว่าตอนนี้ป่าชายเลนในพื้นที่บ้านเรามีความอุดมสมบูรณ์ขึ้นกว่าแต่ก่อน อยากให้มีการปลูกป่ากันเยอะๆ จะได้อากาศที่ดี น้ำใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่บ้านเราอยากให้มีการรณรงค์ไม่ให้มีการทิ้งขยะลงแม่น้ำ

ซีพีเอฟ มีเป้าหมายขยายการสร้างเครือข่ายพันธมิตรรักษ์โลกให้กว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการสร้างการรับรู้ให้กับเด็ก เยาวชน ซึ่งในปี 2566 นี้ บริษัทฯมีเป้าหมายเข้าถึงเด็กนักเรียนในสถานศึกษาต่างๆรวม 6,000 คน ปลูกฝังความตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นกำลังสำคัญ คิด สร้างสรรค์ และสานต่อโครงการดีๆ โดยใช้กิจกรรม “ปันรู้ ปลูกรักษ์” เป็นส่วนหนึ่งของการนำร่องความร่วมมือทำสิ่งดีๆ เพื่อตอบแทนชุมชน สังคม และประเทศชาติที่ต้องทำด้วยใจ ซึ่งซีพีเอฟพร้อมเดินหน้าสร้างแนวร่วมรักษ์โลกที่จะมาช่วยกันดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่อย่างยั่งยืน สร้างสังคมและสร้างโลกใบนี้ให้น่าอยู่ไปด้วยกัน

“ทรีนีตี้” จัดบรรยายความรู้การเงินการลงทุนให้นักศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์ฯ ม.กรุงเทพ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้จัดบรรยาย Technical Analysis ในหัวข้อ “รู้แค่ 5 ข้อก็ลงทุนได้ ฉบับมือใหม่สายลงทุน” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนให้แก่นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์และการลงทุน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ จำนวน 240 คน ผ่านช่องทางออนไลน์ เมื่อเร็วๆ นี้