Home Blog Page 142

“สลากออมสินพิเศษ 2 ปี” ลุ้นรับ อภิมหารางวัล ⑤⓪ ล้าน

0

การซื้อสลากออมสิน ถือเป็นการฝากเงินประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ชอบความเสี่ยง แต่อยากลุ้นรางวัล โดยผู้ฝากสลากออมสิน มีสิทธิลุ้นรางวัลเป็นประจำทุกเดือน และหากเป็นผู้โชคดีถูกรางวัลใหญ่ ก็เหมือนกับการได้รับกำไรก้อนงามจากการออม แต่ถึงแม้ไม่ถูกรางวัล ผู้ฝากก็ยังจะได้รับผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นประจำทุกเดือน และเมื่อครบกำหนด ก็ได้รับเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกด้วย จึงกล่าวได้ว่า “สลากออมสิน” เป็นทางเลือกที่น่าสนใจของการออมเงิน

ธนาคารออมสิน เห็นถึงความสำคัญของภาคการออม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจประเทศ ที่ผ่านมา จึงได้มีการออกแคมเปญ ผ่านผลิตภัณฑ์สลากออมสินประเภทต่างๆ ตลอดจนการเพิ่มเงินรางวัล รวมทั้งการเพิ่มรางวัลพิเศษขึ้นมา เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมในภาคประชาชน

และล่าสุด ธนาคารออมสิน ได้ออกแคมเปญส่งเสริมการออม กับ “สลากออมสินพิเศษ 2 ปี แบบใบสลากและแบบดิจิทัล” โดยผู้ฝากสลาก นอกจากจะมีสิทธิลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 30 ล้านบาททุกเดือนแล้ว ยังได้มีการเพิ่มรางวัลพิเศษ มูลค่าสูงถึง 50 ล้านบาท มาให้ได้ลุ้นเพิ่มอีกด้วย

ราคาสลากฯ หน่วยละ 100 บาท อายุสลาก 2 ปี ฝากครบกำหนด ได้รับดอกเบี้ย 0.80 บาทต่อหน่วย (ร้อยละ 0.40 ต่อปี) สำหรับเงื่อนไขสำคัญของสลากออมสินพิเศษ 2 ปี คือ 1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอนสำหรับรับโอนเงินต้น, ดอกเบี้ย และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก และ 2. ต้องสมัครใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) สำหรับทำรายการฝาก-ถอน ผ่านแอปฯ MyMo

สำหรับรางวัลพิเศษ 50 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล มีกำหนดออกรางวัลในวันที่ 1 ธ.ค. 2566 โดยมีข้อกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติม คือ ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 2 ปี แบบดิจิทัล หรือ ใบสลาก ระหว่างวันที่ 21 ก.ย. – 30 พ.ย. 2566 จึงจะมีสิทธิลุ้นรางวัลพิเศษ

ผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ได้แล้วทางแอปฯ MyMo by GSB และ ธนาคารออมสินทุกสาขา โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.gsb.or.th/promotions/salak2yrs-66-2/
หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook Fanpage : GSB Society

รีบหน่อย อย่ามัวรอช้า สายรักการออม ห้ามพลาดกับโอกาสครั้งสำคัญในการลุ้นได้เป็นผู้โชคดีรับอภิมหารางวัลกับ “สลากออมสินพิเศษ 2 ปี”

รู้เก็บรู้ออม : ตลาดรองหนุนความมั่นคง!!

0

มีคนจำนวนมากคิดว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหุ้นไทยคือตลาดทุน (Capital Market) แต่จริงๆแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของระบบนิเวศของตลาดทุนเท่านั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเป็นองค์กรหนึ่งในหลายองค์กรที่รวมอยู่ในตลาดทุน

บทบาทหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น ในด้านของผู้ประกอบการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุน และแหล่งรวมเครื่องมือทางการเงินสำหรับผู้ประกอบการ ส่วนด้านของนักลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำหน้าที่เป็นแหล่งเพิ่มพูนความมั่งคั่งทางการเงิน

คุณแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ระหว่างการอบรมความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนไทยว่า โครงสร้างตลาดทุนไทย ประกอบด้วยตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งได้รับอำนาจการกำกับดูแลมาจากรัฐบาลและในตลาดหุ้นเองก็มีหน่วยงานต่างๆ เป็นองค์ประกอบ

ตลาดทุนไทย เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศไทย โดยมีตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำหน้าที่เป็น “ตลาดรอง” ที่ช่วยสนับสนุนกลไกนี้มาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้น

ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 มาร์เกตแคปโตขึ้นมาอยู่ที่ 18.7 ล้านล้านบาท เทียบกับปี 2556 ที่มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 11.6 ล้านล้านบาท สาเหตุหลักมาจากจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่เพิ่มเป็น 886 บริษัทในปัจจุบัน จากจำนวน 615 บริษัทในปี 2556 และการเติบโตของ บจ. แต่ละราย

อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯเองได้พัฒนาและสร้างการเติบโตให้กับตัวเอง เพื่อให้สามารถแข่งกับตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกได้ ตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศเองก็มีการปรับตัวให้รองรับความต้องการของตลาดทุน นักลงทุน และผู้ประกอบการในประเทศนั้นๆ

เช่น ตลาดหุ้น KRX ของเกาหลีใต้ เป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกในภูมิภาคที่มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตตลาดหุ้นของจีน ตั้งกระดานซื้อขายใหม่ชื่อ SSE Star Market สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ รวมถึงตลาดหุ้นอินโดนีเซียที่มีพัฒนาการการเติบโตที่น่าสนใจ และโดดเด่นที่สุดในภูมิภาคเอเชีย

สำหรับตลาดหลักทรัพย์ของไทย มีการพัฒนาในฟากของ บจ. และผู้ประกอบการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาเชิงคุณภาพ ผ่านการกำกับดูแลและให้คำปรึกษา เพื่อให้ บจ.มีมาตรฐานด้านโครงสร้างธุรกิจ ด้านการทำบัญชี ด้านการเปิดเผยข้อมูล และด้านบรรษัทภิบาล

ขณะที่ด้านของผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯก็มีการให้ความรู้ด้านการลงทุน ช่วยติดตามและเฝ้าระวัง พร้อมกับส่งสัญญาณเตือนผู้ลงทุนในกรณีที่อาจเกิดปัญหาจากการลงทุนซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ลงทุนเอง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ตระหนักดีถึงบทบาทและหน้าที่ของการเป็นตลาดรองที่สำคัญของประเทศ ซึ่งช่วยหนุนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมของชาตินั่นเอง!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS ย้ำ! ไม่ชวนใครลงทุนผ่านโซเชียล เตือนปชช.มีสติรู้ทันมิจฉาชีพ

0

รายงานข่าวจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ภาพในช่องทางโซเชียลมีเดียแอบอ้างการนำโลโก้และภาพผู้บริหารของ AIS ไปชักชวนการลงทุนจนสร้างความเข้าใจผิดต่อลูกค้าและผู้พบเห็นนั้น AIS ขอยืนยันว่า ข้อความการแอบอ้างดังกล่าวไม่เป็นความจริง บริษัทฯไม่มีนโยบายและไม่มีการโฆษณา เชิญชวนการลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ หรือสื่อโซเชียลต่างๆ อาทิ Facebook , LINE , ฯลฯ ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบร่วมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอย่างใกล้ชิดในการปิดการเข้าถึง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน

การกระทำดังกล่าวเป็นการนำข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดต่อผู้กระทำการดังกล่าวอย่างถึงที่สุดต่อไป

ดังนั้นจึงขอความกรุณาลูกค้าและประชาชนใช้ความระมัดระวังในการรับสื่อจากบัญชีปลอม ไม่หลงเชื่อคำเชิญชวน หลอกลวงให้ลงทุนทุกรูปแบบ ทั้งการใช้คำโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ ว่าเป็นการเทรดหุ้นระยะสั้นให้ผลตอบแทนสูง หรือแม้แต่การติดต่อโดยแอบอ้างการใช้ ชื่อบริษัทฯ โลโก้ และ ภาพผู้บริหารของ AIS ทั้งนี้ หากพบเห็นภาพโฆษณาชักชวนลงทุน สามารถตรวจสอบได้ที่ช่องทางอย่างเป็นทางการของบริษัทฯ www.ais.th

เซเว่นฯ ปลุกพลัง SME ภาคเหนือ จัดใหญ่สัมมนา “SME x Influencer”

0

SME ภาคเหนือ ห้ามพลาด!!! กับงานสัมมนา “SME x Influencer” SME NewGen ต้องลองเป็นอินฟลู! โดยซีพี ออลล์ ร่วมกับ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ สมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย จัดกิจกรรมสัมมนาออนทัวร์ เพื่อให้ SME ได้อัปเดต     เทรนด์การทำคอนเทนต์สำหรับต่อยอดธุรกิจ

ภายในงานจะได้พบกับ แอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง “TikTok การตลาดการเตลิด” ที่จะมาถ่ายทอดวิชาการสร้างตัวตนแบบ Personal Branding อย่างเจาะลึก และจำเป็นสำหรับเหล่า SME New Gen เพื่อเพิ่มช่องทางในการขายของรวมถึงโอกาสที่จะหารายได้ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

พร้อมด้วยเจ้าของ SME แบรนด์ดัง นพวิทย์ จันทิพย์วงษ์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของ “เต่าเหยียบโลก” แบรนด์ระดับตำนานที่ครองใจคนไทย กับธุรกิจแป้งผงระงับกลิ่นกายธรรมชาติ ที่ทำมานานกว่า 15 ปี และ Influencer ช่องดัง สิทธิ์เดช บรรมณี หรือ ม้าม่วง จากช่อง “TikTok ม้าม่วง” ที่มีผู้ติดตามกว่า 3 ล้านคน โดยทั้งสองท่านจะมาแชร์ประสบการณ์ในมุมของการเป็น SME และ Influencer ถึงการสร้างตัวตนจะช่วยสร้างยอดขายที่ปังให้กับแบรนด์ได้อย่างไร

ในวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 13.00 น. – 17.00 น. (เริ่มลงทะเบียน 12.00 น.)ณ อาคารอำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือ (จังหวัดเชียงใหม่) งานนี้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย รับจำนวนจำกัด สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/SMEchiangmai

CPF คว้า”รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ” ปี 2566 ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ รับ“รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2566” ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สะท้อนการเป็นองค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารครบวงจร ที่มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างโดดเด่น ตั้งแต่ระดับยุทธศาสตร์ กระบวนการ ไปจนถึงระดับโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร ชูโครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” สร้างสรรค์นวัตกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางอาหาร ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายเป็น “ครัวของโลก” ที่ยั่งยืน

ในพิธีมอบรางวัลนวัตกรรม ประจำปี 2566 ซึ่งจัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เนื่องในวันนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อยกย่ององค์กรไทยที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมภายในองค์กรซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความยั่งยืน โดยมีนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ รับรางวัลชนะเลิศ “รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติประจำปี 2566” ด้านองค์กรนวัตกรรมดีเด่น ประเภทองค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ จาก รศ. นพ.สรนิต ศิลธรรม ประธานกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ ทั้งนี้ นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ นายพีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานวิศวกรรมกลาง และนางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล ประธานผู้บริหารทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ พร้อมกับผู้บริหารซีพีเอฟ ร่วมด้วย ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมตามมาตรฐานสากล ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหาร สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ควบคู่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ภายใต้หลักปรัชญา 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และมีการพัฒนาตลอดเวลา ช่วยให้ซีพีเอฟสามารถรับมือความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับผู้บริโภคทั่วโลกอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต

“รางวัลที่ได้รับครั้งนี้ เป็นความภาคภูมิใจขององค์กรและพนักงานซีพีเอฟทุกคน ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กร หรือ CPF Ways โดยเฉพาะค่านิยม การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง และแนวคิด “พอใจในวันเดียว” ของท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ส่งเสริมให้ทุกคนไม่หยุดที่จะคิด ปรับปรุง และพัฒนากระบวนการทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหาร ซีพีเอฟมีเป้าหมายผลิตภัณฑ์อาหารที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก” นายประสิทธิ์กล่าว

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ นำโครงการ “ไก่ไทยจะไปอวกาศ” เป็นตัวอย่างของโครงการที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการปรับปรุงการทำงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อให้ได้เนื้อไก่ที่มีความปลอดภัยไร้สารตกค้าง 100% รสชาติดี มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมถึงใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ที่นักบินอวกาศสามารถทานได้

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยึดมั่นในภารกิจสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมอาหาร ที่ดีต่อสุขภาพกาย และสุขภาพใจ ให้ผู้บริโภคทั่วโลกสามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดภัย ปลอดสาร มีรสชาติที่ดี ในราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยการนำมาตรฐานการบริหารนวัตกรรมระดับโลกขับเคลื่อนธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัทฯ พัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อยกระดับกระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพ บริหารจัดการทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน ร่วมปกป้องและพิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ บรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างผลกระทบทางบวกให้กับผู้มีส่วนได้เสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า

การก้าวสู่ “องค์กรแห่งนวัตกรรม” ซีพีเอฟได้นำระบบและมาตรฐานสากลพัฒนาบุคลากร และปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงานให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่น พร้อมทั้งมีการจัดตั้งหน่วยงานพัฒนาธุรกิจการลงทุน (CPF Venture) ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับสตาร์ทอัพทั่วโลก เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมที่เอื้อให้มีการพัฒนา ปรับปรุงการดำเนินงานและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซีพีเอฟยังมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม 4 แห่ง เพื่อตอบโจทย์การเติบโตของธุรกิจแบบครบวงจร ตั้งแต่อาหารสัตว์ (Feed) การเลี้ยงสัตว์ (Farm) อาหาร (Food) และวิศวกรรม (Engineering) ซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

สปสช. คัดเลือก ‘ซีพีเอฟ’ นำร่องแคมเปญคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตัวเองในสถานประกอบการ

0

รมว.สาธารณสุข พร้อมเลขาธิการ สปสช. ลงพื้นที่โรงงานแปรรูปนครราชสีมา บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) คิกออฟแคมเปญเชิงรุก คัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเอง (HPV Self Sampling) ในสถานประกอบการ ตอกย้ำนโยบาย Quick Win 100 วัน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เดินทางลงพื้นที่ อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา เพื่อเยี่ยมชมการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเอง (HPV Self Sampling) ณ โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ซีพีเอฟ จังหวัดนครราชสีมา

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวว่า ด้วยแนวโน้มมะเร็งปากมดลูกมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะที่เขตสุขภาพที่ 9 ได้ดำเนินการ คัดกรองมะเร็งปากมดลูกมาอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรองอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้นการนําร่องขับเคลื่อนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยการเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเอง ด้วยความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 เป็นหนี่งในกิจกรรมสำคัญของนโยบายมะเร็งครบวงจร เพื่อการยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคให้แก่คนไทยทุกคนทุกสิทธิ

“การค้นหาและการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง ทำให้สตรีไทยวัยทำงานรับรู้ ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกและระยะก่อนเป็นมะเร็ง สามารถรักษาให้หายได้ง่ายและทันท่วงที เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะลุกลาม ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพของประชาชนลดลง สตรีไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย” นพ.ชลน่าน กล่าว

ด้านนายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข สปสช. และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ที่ให้ซีพีเอฟ เป็นภาคเอกชนนำร่องดำเนินโครงการขับเคลื่อนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยการเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเอง ซึ่งพนักงานหญิงถือเป็นฟันเฟืองที่บริษัทให้ความสำคัญและใส่ใจ พร้อมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยโครงการความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของพนักงานหญิงทางหนึ่ง

ส่วน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี กล่าวว่า โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในประเทศไทย และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ขณะที่โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีอายุระหว่าง 45-50 ปี อยู่ในช่วงวัยทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่จะพบเมื่ออยู่ในระยะลุกลาม ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง อีกทั้งส่งผลต่อการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ รัฐบาลจึงกําหนดให้มะเร็งปากมดลูก เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win 100 วัน ที่ต้องดำเนินการแบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การคัดกรองซึ่งปัจจุบันมีเทคนิคทางด้านชีวโมเลกุลที่ประชาชนสามารถเก็บตัวอ่างส่งตรวจหาตัวเชื้อ HPV ได้ด้วยตัวเอง (HPV DNA Test) ไม่จำเป็นต้องไปรับการตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งเมื่อสามารถตรวจคัดกรองได้เร็ว ก็จะเข้ารับการรักษาได้เร็วและสามารถรักษาให้หายขาดได้ 80-90%

ด้วยเหตุนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา (สสจ.นครราชสีมา) สปสช.เขต 9 นครราชสีมา โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา บริษัท เนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด บริษัท โรช ไทยแลนด์ จํากัด และ บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) จึงได้ร่วมมือกันทำโครงการฯ ดังกล่าว โดย สสจ.นครราชสีมา จะกำหนดพื้นที่ให้หน่วยบริการภาคเอกชนเข้าไปช่วยคัดกรองในกลุ่มสถานประกอบการที่มีพนักงานสตรีจจำนวนมาก ตั้งแต่แจกชุดตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตนเอง (HPV Self Collection) มีการสอนวิธีใช้ และเก็บตัวอย่างกลับมาตรวจภายในวันนั้น หากรายใดมีผลตรวจเป็นบวก (+) จะนํามาตรวจยืนยันและรักษาต่อให้ครบวงจร ก่อนจะขยายไปยังโรงงานอื่นๆที่มีความพร้อมในอนาคต

‘เปอร์-สุวิกรม’ ชวนลงทุนกับ “ธุรกิจห้าดาว” ผ่านแคมเปญสุดล้ำ ‘The Elevator Pitch’

0

ธุรกิจห้าดาว ผู้นำธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร เปิดตัว The Elevator Pitch แคมเปญที่จะชวนนักลงทุนผู้สนใจ ร่วมลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร 6 แบรนด์ดัง ตอกย้ำธุรกิจยืนหนึ่งอยู่คู่คนไทยมากว่า 38 ปี ร่วมสร้างงานสร้างอาชีพแก่ “เถ้าแก่” ด้วยเงินลงทุนที่เหมาะสม-คืนทุนไว-กำไรดี ช่วยสานฝันการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มากกว่า 5,000 รายในประเทศไทย ร่วมเดินเคียงข้างบนเส้นทางการสร้างธุรกิจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

นายสุนทร จักษุกรรฐ์ กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจห้าดาวและร้านอาหาร เปิดเผยว่า แคมเปญใหญ่แห่งปี “The Elevator Pitch” (ดิ-เอลิเวเตอร์-พิช) โดยเลือก “เปอร์-สุวิกรม อัมระนันทน์” พิธีกรมากความสามารถเจ้าของรายการชื่อดังอย่าง PERSPECTIVE (เปอร์-สเปกทิฟ) ด้วยประสบการณ์ในการสัมภาษณ์นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จหลากหลายท่าน รวมถึงเป็นเจ้าของธุรกิจเอง จึงเหมาะสมที่สุดในการถ่ายทอดจุดเด่น และบอกเล่าถึงโอกาสประสบความสำเร็จกับ “ธุรกิจห้าดาว” ภายใต้แบรนด์ธุรกิจห้าดาวซึ่งมีทั้งหมด 6 แบรนด์ ให้ผู้ประกอบการได้เลือกลงทุน ทั้งไก่ห้าดาว ไฮพอร์ค เป็ดเจ้าสัว ข้าวมันไก่ไห่หนาน กระทะเหล็ก และสตาร์คอฟฟี่

“ธุรกิจห้าดาว ในฐานะผู้นำธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร การันตีด้วยรางวัล “No.1 Most Popular Food Franchise In Thailand 2023” ด้วยความมุ่งมั่นสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการ มีโอกาสเติบโตบนเส้นทางธุรกิจอย่างมั่นคง โดยให้ความสำคัญและใส่ใจในการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่นักลงทุนที่สนใจ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะดวก รวดเร็ว ตรงประเด็น สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากช่องทางที่หลากหลาย ผ่านแคมเปญ The Elevator Pitch ที่จะช่วยให้เริ่มธุรกิจแบบมีแต้มต่อ กับแฟรนไชส์อาหารน่าลงทุนจากห้าดาว เพราะเชื่อว่าสำหรับคนทำธุรกิจแล้ว ‘ข้อมูล’ คือหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด ร่วมสัมผัสประสบการณ์การลงทุนสุดพิเศษด้วยตัวคุณเองได้แล้ววันนี้” นายสุนทร กล่าว

สำหรับแบรนด์ธุรกิจห้าดาว ทั้ง 6 แบรนด์ ต่างมีความโดดเด่น เริ่มจาก ไก่ห้าดาว แฟรนไชส์เมนูไก่ ที่อยู่คนไทยมานาน การันตีความนิยมและความน่าลงทุนของแบรนด์ได้จากเจ้าของธุรกิจที่มีมากกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ, ไฮพอร์ค แฟรนไชส์เมนูหมูย่าง หมูทอด มีเมนูเด็ดอย่าง หมูกรอบชาชู ขาหมูเยอรมัน สามชั้นทอดน้ำปลาที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัย, เป็ดเจ้าสัว แฟรนไชส์เป็ดย่าง เป็ดพะโล้ กลิ่นอายความอร่อยระดับภัตตาคาร, ข้าวมันไก่ไห่หนาน แฟรนไชส์ข้าวมันไก่ที่กำลังมาแรง เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่การเลือกใช้เนื้อไก่เบญจาเป็นวัตถุดิบหลัก, กระทะเหล็ก แฟรนไชส์อาหารตามสั่ง ชูความเป็นสตรีทฟู้ดพรีเมียม ที่ทั้งคนไทยและต่างชาติอยากลองชิม และ สตาร์คอฟฟี่ แฟรนไชส์ร้านกาแฟสไตล์มินิมอล คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ เพื่อให้ได้เครื่องดื่มรสชาติดีในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย

แคมเปญ The Elevator Pitch ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1. The Elevator Pitch (ดิ-เอลิเวเตอร์-พิช) : Thematic Video โดย “เปอร์-สุวิกรม” เป็นตัวแทนธุรกิจห้าดาว นำเสนอการลงทุนกับธุรกิจแฟรนไชส์แบบตรงประเด็น ในสไตล์ Elevator Pitch ที่มีเวลาจำกัด เน้นเฉพาะสิ่งที่นักลงทุนอยากรู้จริงๆ ภายในเวลา 3 นาที เพื่อให้เห็นถึงจุดเด่นของแบรนด์ ที่มีการดูแลผู้ประกอบการในทุกมิติตลอดการทำธุรกิจ ชี้ให้เห็นโอกาสในการประสบความสำเร็จกับธุรกิจห้าดาว

2.The Plan (เดอะ-แพลน) ต่อยอดด้านข้อมูลแก่นักลงทุนที่สนใจ หลังจากรับชม The Elevator Pitch : Thematic Video สามารถดาวน์โหลด Business Plan ที่มีรายละเอียดของธุรกิจห้าดาวทุกแบรนด์ ช่วยให้ตัดสินใจเลือกลงทุนง่ายขึ้น

และ 3. The Five Sta-AR (เดอะ-ไฟว์สตาร์-เออาร์) เพื่อตอกย้ำความเป็นธุรกิจที่ไม่เคยหยุดพัฒนา ด้วยการเปลี่ยนทุกโลโก้ของธุรกิจห้าดาวในทุกช่องทางให้กลายเป็น ‘ช่องทางการให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ’ เพียงแค่นักลงทุนเข้าสู่เว็บไซต์ fivestars-allfranchises.com ผ่านมือถือ กดเลือกแท็บ AR และยกมือถือหันไปที่โลโก้ของ “ไก่ห้าดาว ไฮพอร์ค หรือ กระทะเหล็ก” จะได้พบกับ “เปอร์-สุวิกรม” ที่พร้อมให้ข้อมูลเชิงลึกของแต่ละแบรนด์ แบบรวบรัดเข้าใจง่ายตรงประเด็นทันที ด้วยเทคโนโลนี AR สุดล้ำ เพื่อให้ผู้สนใจรู้จักกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์นักลงทุนที่มีเวลาน้อย และต้องการข้อมูลทันที

คลิกเพื่อรับชม https://youtu.be/xpod_qLCKiM?si=NZxkLOHko_0hiMgH หลังจบวิดีโอนี้ คุณจะตัดสินใจลงทุนกับธุรกิจห้าดาว หรือสนใจธุรกิจและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ fivestars-allfranchises.com ./

แพลนต์เบส โปรตีนทางเลือก ตอบโจทย์วิถีการดูแลสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค

0
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ชู แพลนต์เบส โปรตีนทางเลือก ปรุงถูกวิธีดีต่อสุขภาพ ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหาร รักษ์สิ่งแวดล้อม สะดวก เก็บรักษาง่าย เหมาะเป็นอาหารในช่วงเทศกาลกินเจ พร้อมแนะวิธีบริโภคให้ได้สารอาหารอย่างครบถ้วน
ดร.รชา เทพษร

ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส (Plant-based) คือ ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนที่มีส่วนประกอบหลักมาจากพืช ให้ผู้บริโภคที่อาจเข้าไม่ถึงโปรตีนเนื้อสัตว์มีทางเลือกมากขึ้น หรือผู้ที่ไม่สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้จากเหตุผลบางประการ อาทิ การแพ้อาหาร แพ้เนื้อสัตว์ หรือ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ ด้วยหลักความเชื่อทางศาสนา สามารถบริโภคโปรตีนทางเลือกได้โดยที่ไม่รู้สึกผิด ตลอดจนเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการงดบริโภคเนื้อสัตว์ชั่วคราวในช่วงเทศกาลกินเจได้อีกด้วย แพลนต์เบส จึงเป็นอาหารที่ตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารได้เป็นอย่างดี

แพลนต์เบส ส่วนใหญ่ผลิตมาจากโปรตีนถั่ว หรือ โกลูเตนจากแป้งสาลี สำหรับผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ และเลือกบริโภคโปรตีนจากแพลนต์เบสทดแทน ควรบริโภคให้หลากหลาย มีแหล่งวัตถุดิบที่มาแตกต่างชนิดกัน เช่น จากถั่ว งา อัลมอนด์ ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียว เพื่อเติมโปรตีน กรดอะมิโน ที่ขาดไปให้ครบ เพราะในแพลนต์เบสมีโปรตีนและสารอาหารไม่ครบถ้วนเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ ดังนั้นการรับประทานเแพลนต์เบสเพียงอย่างเดียวเป็นระยะเวลานาน มีโอกาสที่จะทำให้ขาดโปรตีนบางชนิดและวิตามินบางชนิดได้ เช่น B3 B6 B12 โดยเฉพาะ B12 ที่มีเฉพาะในเนื้อสัตว์เท่านั้น ผู้บริโภคจึงควรรับประทานอาหารอย่างอื่นที่มีวิตามิน วิตามิน B12 เกลือแร่ แคลเซียม แร่เหล็ก เสริมด้วยเพื่อให้ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

ดร.รชา เทพษร แนะนำหลักการเลือกผลิตภัณฑ์แพลนต์เบส ให้เลือกจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ มีฉลากถูกต้อง ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับแพลนต์เบสที่เป็นอาหารสด ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศาเซลเซียส หากอยู่ในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 5-62.5 องศาเซลเซียส อาหารจะเสี่ยงต่อความปลอดภัยในการบริโภค (Danger Zone) ส่วนโปรตีนแพลนต์เบสบางชนิดที่อยู่ในรูปของแห้ง เช่น โปรตีนเกษตร โอกาสมีจุลินทรีย์ก่อโรคอยู่น้อย เสื่อมเสียยากกว่า จึงมีอายุการเก็บรักษา (shelf life) ยาวนานกว่าเนื้อสัตว์ ทำให้การขนส่ง การขนย้าย สะดวก สำหรับวิธีการปรุงแพลนต์เบสที่ดีให้คงคุณค่าอาหาร แนะเป็นวิธีการต้มแม้จะมีโอกาสสูญเสียวิตามินไปบ้างแต่อยู่ในปริมาณที่น้อย รวมถึงวิธีการลวกเพราะเป็นโปรตีนจากพืชจึงสามารถลวกได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรคำนึงถึงวัตถุเจือปนอาหารที่เติมลงไป (food additive) โดยสังเกตจากฉลากบนผลิตภัณฑ์ เนื่องจากโปรตีนในพืชไม่เหมือนในสัตว์ เมื่อนำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำให้จำเป็นต้องเติมแต่งสีกลิ่นรส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โซเดียม ซึ่งมาในหลายรูปแบบ ไม่ใช่เฉพาะเกลือเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นองค์ประกอบของสารเจือปนต่าง ๆ ที่ใส่ในการผลิต ส่วนอีกข้อสำคัญที่ควรระวัง คือ ผู้ที่แพ้อาหาร (Food Allergens) ไม่ว่าจะแพ้ถั่ว หรือ แพ้กลูเตน ต้องระวังว่าในแพลนต์เบสไม่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการแพ้ เพียงเท่านี้ก็สามารถบริโภคแพลนต์เบสได้อย่างปลอดภัย

CPF จับมือ SCG พัฒนาบรรจุภัณฑ์อาหารเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลโลกยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับพันธมิตร 2 บริษัทในกลุ่ม SCG ที่มุ่งเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการสร้างความยั่งยืน ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MoU) ด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์จากเยื่อกระดาษและพอลิเมอร์ กับบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP และ ด้านนวัตกรรมพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) กับบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC โดยร่วมกันศึกษาพัฒนาโซลูชันบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารของซีพีเอฟ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค พร้อมเปิดโอกาสพัฒนานวัตกรรมร่วมกับพันธมิตรทั้งในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่มีเป้าหมายความยั่งยืนร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมตามแนวทางดำเนินธุรกิจ ESG (Environmental, Social and Governance) และรองรับความต้องการของตลาดบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในประเทศที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

พิธีลงนาม MoU มีนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ ลงนามร่วมกับ นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP และนายสุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC พร้อมด้วยนางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุดสายงานจัดซื้อกลาง และนายกิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ซีพีเอฟ ร่วมในพิธี ณ ห้องบอร์ดรูม ชั้น 30 อาคาร ซี.พี.ทาวเวอร์ สีลม

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืนเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร เติบโตควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมดูแลโลก ดูแลสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ความร่วมมือในวันนี้ จึงเป็นการผนึกกำลังของทั้ง 3 บริษัทที่จะช่วยกันพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน ควบคู่กับความตั้งใจของซีพีเอฟในการผลิตอาหารที่ดีต่อกาย ดีต่อใจ และดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการดำเนินธุรกิจของทั้ง 3 บริษัทมีเป้าหมายด้านความยั่งยืนเหมือนกัน มุ่งมั่นที่จะร่วมทำธุรกิจและมีส่วนร่วมรักษ์โลก โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero)ในปี 2050 โดยเฉพาะเรื่องของบรรจุภัณฑ์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ซีพีเอฟให้ความสำคัญ ปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์ของซีพีเอฟ 99.9% สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Reusable) หรือนำกลับมาใช้ซ้ำ (Recycle) หรือย่อยสลายได้ (Compostable) และหวังว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้จะทำให้ในอนาคตบรรจุภัณฑ์ของซีพีเอฟจะมีส่วนช่วยรักษ์โลกมากยิ่งขึ้น ช่วยให้กระบวนการใช้บรรจุภัณฑ์ของประเทศไทยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า SCGP ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ผ่านการพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยของสินค้าและบริการ เพิ่มสัดส่วนการนำกระดาษที่ใช้งานแล้วจากผู้บริโภคนำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิตและเพิ่มสัดส่วนบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ตามเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 และพร้อมผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรในการส่งเสริมแนวทางที่ยั่งยืนไปสู่ผู้บริโภค ความร่วมมือกับซีพีเอฟในครั้งนี้ SCGP จะนำความรู้ ความชำนาญ และเทคโนโลยีมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ทั้งบรรจุภัณฑ์จากเยื่อกระดาษ บรรจุภัณฑ์จากพอลิเมอร์ที่มีความยั่งยืน เหมาะสมกับกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ของ
ซีพีเอฟเพื่อสร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน

นายสุรชา อุดมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานนวัตกรรม และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวว่า ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารค่อนข้างสูง และมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำด้านอาหารของโลก การบริโภคอาหารที่มีคุณภาพเยี่ยมภายใต้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยตอบโจทย์ทั้งในเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร (Food Security) ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่ง SCGC พร้อมนำความเชี่ยวชาญด้าน Green Innovation มายกระดับบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารให้มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย บนมาตรฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยนวัตกรรมพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้แบรนด์ SCGC GREEN POLYMERTM สามารถตอบโจทย์ Low Waste และ Low Carbon พร้อมส่งมอบโซลูชันครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การลดใช้ทรัพยากร (Reduce) การออกแบบเพื่อให้รีไซเคิลได้ (Recyclable) การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) และการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable)

สิงห์อาสา ระดมเครือข่ายกู้ภัย-นักศึกษา ลุยน้ำท่วม ช่วยพี่น้องชาวสุโขทัย

0

สิงห์อาสา ร่วมกับ หน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา, มูลนิธิร่วมกตัญญูพิษณุโลก, เครือข่ายนักศึกษามหาวิทยาลัยนเรศวรและหจก.พูลศรีสุโขทัย ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต.วังใหญ่ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย ส่งมอบน้ำดื่มพร้อมด้วยอาหารปรุงสุก เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม หลังจากตั้งแต่ช่วงเดือนก.ย. ที่ผ่านมา มีฝนตกหนักมาก รวมถึงมีน้ำไหลหลากมาจากจังหวัดข้างเคียง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน บางพื้นที่สูงกว่า 2 เมตร พนังกั้นน้ำแตกหลายจุด ส่งผลให้น้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือน ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 2,000 ครัวเรือน รวมถึงมีพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายกว่า 2,000 ไร่

นางจรรยา ละออง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 ต.วังใหญ่ อ.ศรีสำโรง เผยข้อมูลว่า “น้ำท่วมครั้งนี้เป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 30 ปี ของที่นี่ สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากปริมาณฝนที่ตกหนักหลายสัปดาห์ ทำให้มีปริมาณน้ำสะสมในแม่น้ำลำคลองหลายแห่งก่อนไหลมารวมกันในแม่น้ำยม ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัย ทำให้ปริมาณน้ำเอ่อล้น ก่อนไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนเกือบทั้งจังหวัด ซึ่งพื้นที่ตำบลวังใหญ่ส่วนใหญ่ติดริมแม่น้ำยม เป็นบ้านชั้นเดียว ทำให้น้ำท่วมมิดหลังคากว่า 50 ครัวเรือน และพืชผลทางเกษตรเช่น ข้าวโพด สวนพริก นาข้าว ได้รับความเสียหายจำนวนมาก”

ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนก.ย.ที่ผ่านมา สถานการณ์ฝนตกต่อเนื่องหลายวัน ทำให้เกิดน้ำท่วม จนได้สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก สิงห์อาสาพร้อมด้วยเครือข่ายได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมหลายจังหวัดต่อเนื่อง เช่น เพชรบูรณ์ สุโขทัย โดยหลังจากนี้เครือข่ายสิงห์อาสาจะติดตามสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงต่อไป โดยจะเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม ส่งมอบเสบียงอาหาร น้ำดื่ม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันสถานการณ์ต่อไป