Home Blog Page 139

ชัชชาติ ชวนคนไทยส่งใจเชียร์ภารกิจระดับโลกของซีพีเอฟ ‘CP Mission to Space… #ไก่ไทยจะไปอวกาศกับซีพี’

0

กรุงเทพมหานคร และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ร่วมเปิดงาน “CP Space Fest – Mission to Space” ชวนคนไทยและคนรุ่นใหม่ย่านสยามสแควร์ ร่วมภาคภูมิใจและส่งพลังใจในภารกิจระดับโลก ‘CP Mission to Space…ไก่ไทยจะไปอวกาศ’ ภารกิจยกระดับมาตรฐานไก่ไทย สู่ มาตรฐานระดับอวกาศ (Space Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารขั้นสูงตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA โดยกิจกรรมในวันนี้ได้รับเกียรติจาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เป็นประธานเปิดในพิธี

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การที่จะนำอาหารขึ้นไปบนอวกาศไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนักบินอวกาศต้องการอาหารที่มีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนทุกขั้นตอน การนำไก่ไทยขึ้นไปพิชิตอวกาศ นับเป็นก้าวเล็กๆ ที่สำคัญสำหรับอนาคตอาหารของประเทศไทยด้วย เป็นจุดแข็งของคนไทยเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงให้คนทั่วโลก ฉะนั้นการส่งอาหารขึ้นไปบนอวกาศจึงเรื่องที่น่าภูมิใจมาก และขอแสดงความยินดีกับซีพีเอฟในการพัฒนานวัตกรรมเนื้อไก่ไทยแก่นักบินอวกาศช่วยสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย และให้ผู้บริโภคทุกคนมั่นใจว่าอาหารไทยมีคุณภาพปลอดภัยสูง

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ทางซีพีเอฟ จัดงาน CP Space Fest – Mission to Space ต้องการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของคนไทย และตอบโจทย์เป้าหมายเป็น “ครัวของโลก” ของประเทศไทย และวันนี้เราจะก้าวต่อไปสู่ เป้าหมายมาตรฐานอวกาศ ที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงอาหารไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น เป็นการเพิ่มขีดความสามารถของคนไทย โดยซีพีเอฟขอเป็นต้นแบบในการทำภารกิจส่งไก่ไทยไปอวกาศสำเร็จให้ได้ จึงอยากขอพลังชาวไทยทุกท่านสร้างความภาคภูมิใจในภารกิจนี้ร่วมกัน

ไฮไลท์ของงานซึ่งจัดขึ้น ณ ลาน Block I สยามสแควร์ (Siam Walking Street) เป็นการรวมพลังของคนไทยร่วมแปรอักษรส่งข้อความถึงนักบินอวกาศ และกิจกรรมความสนุกอีกหลากหลาย อาทิ แต่งตัวจัดเต็มตามธีมอวกาศ แชร์และติดแฮชแท็ก #ไก่ไทยจะไปอวกาศ เล่นเกมส์ลุ้นรับรางวัล กิจกรรม Random Dance วงดนตรีเปิดหมวก ขบวนพาเหรดอวกาศโดยเหล่า Drag Queen ที่มาร่วมสร้างสีสัน เรียกความสนใจเป็นอย่างมาก พร้อม 5 Landmark มุมถ่ายภาพแนวอวกาศสุดปัง มินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังขวัญใจวัยรุ่น ‘โต้ง Twopee’ ‘โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน’ จับคู่มากับ ‘ซานิ- นิภาภรณ์ ฐิติธนการ’ และ คู่จิ้นสุดฟิน ‘ซี-พฤกษ์ พานิช’ และ ‘นุนิว-ชวรินทร์ เพริศพิริยะวงศ์’

สำหรับ โครงการ ‘Thai food – Mission to Space’ ซีพีเอฟได้ร่วมมือกับ 2 พันธมิตร คือ บริษัท นาโนแรคส์ (Nanoracks) บริษัทด้านเทคโนโลยีอวกาศสัญชาติอเมริกัน และ บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (mu Space) ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมอวกาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสำเร็จของภารกิจนี้จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ามาตรฐานความปลอดภัยของเนื้อไก่แบรนด์ CP ของไทย จะก้าวสู่มาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่ใช่แค่ระดับโลก แต่จะเป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ฝากคนไทยเอาใจช่วยและร่วมภาคภูมิไปกับครั้งแรกของคนไทยที่ผลิตภัณฑ์ของไทยจะไปพิชิตมาตรฐานอวกาศ มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด

SET in the City 2023 ปักหมุดสามย่าน ดึงคนรุ่นใหม่เรียนรู้การลงทุน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดฉากมหกรรมการลงทุน SET in the City 2023 ชวนมือใหม่ลงทุนเพื่อเป้าหมายในสไตล์ที่เป็นคุณ

สำหรับงานปีนี้ปักหมุดสามย่าน ดึงคนรุ่นใหม่ New Gen เรียนรู้และหาข้อมูลการลงทุน จัดเต็มด้วยเวิร์กชอป วางแผน ตั้งเป้าหมาย การใช้เครื่องมือช่วยเทรด พร้อมอัปเดตผลิตภัณฑ์และพัฒนาการตลาดทุน รวมถึงแชร์ประสบการณ์ตรงจากกูรูผู้รู้จริง และร่วม 40 บูธให้ข้อมูลคำปรึกษาการลงทุน เพื่อเริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจนำไปสู่เป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจ โดยมี ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์และหน่วยงานที่ร่วมจัดแสดง พบกันที่ SET in the City 2023 วันที่ 8-9 ก.ค. 2566 เวลา 10.00-19.00 น. ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ รายละเอียดเพิ่มเติม www.set.or.th/setinthecity

เปิดความสำเร็จ “ธเนศฟาร์ม” เกษตรกรคอนแทรคฟาร์มซีพีเอฟ เลี้ยงหมูขุนพลิกชีวิต สร้างงานสร้างอาชีพมั่นคง

0

“เมื่อก่อนมีอาชีพทำนา กำไรบ้าง ขาดทุนบ้าง แต่ละปีกำหนดไม่ได้ว่าจะได้เงินมากหรือน้อย ขึ้นกับฟ้าฝนน้ำท่าในปีนั้น จนเมื่อเปลี่ยนมาทำฟาร์มหมูขุน ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น มีเงินใช้จ่ายไม่ลำบาก ถ้าไม่ก้าวจากจุดนั้นครอบครัวก็คงไม่มีคุณภาพชีวิตดีแบบนี้” ธเนศ นาคะนิวิษฐ์ เล่าย้อนที่มาก่อนจะมาเป็นเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรขุน หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ

จากชาวนาที่ยึดอาชีพทำนาหาเลี้ยงครอบครัวมาตลอด และได้หันมาทำฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อเป็นอีกอาชีพเสริมก่อน จนกระทั่งลูกทั้งสองคนเรียนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม แต่ด้วยแนวคิดที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจของตนเอง และเห็นว่าการเลี้ยงหมูเป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจจากที่ญาติเลี้ยงหมูกับซีพีเอฟอยู่ก่อน และให้ข้อมูลว่าการเลี้ยงหมูไม่ยุ่งยาก จึงสนใจเปิดฟาร์มหมู โดยมีพ่อธเนศเป็นผู้สนับสนุนลงทุนสร้างโรงเรือนเลี้ยงหมู 2 หลัง ความจุหมู 1,500 ตัว เมื่อปี 2559 และยกให้ลูกทั้งสองรับผิดชอบดูแล ซึ่งการเลี้ยงมีประสิทธิภาพการผลิตดี รายได้น่าพอใจ ทำให้คิดเรื่องการขยายการผลิต แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ จึงตัดสินใจขายโรงเรือนเลี้ยงหมูและโรงเรือนเลี้ยงไก่ให้กับญาติที่เลี้ยงอยู่ก่อนแล้ว เพื่อไปเริ่มต้นสร้าง “ธเนศฟาร์ม” บนพื้นที่กว่า 19 ไร่ ที่ ต.หนองประตู่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี สร้างฟาร์มหมูขุนจำนวน 5 หลัง ความจุหมูรวม 4,000 ตัว เมื่อปี 2563 โดย พ่อธเนศ และ แม่นุชรี ล้อมวงศ์ มาช่วยกันบริหารงาน

เมื่อถามถึงการตัดสินใจลงทุนทำฟาร์มหมูเป็นเฟสใหญ่เช่นนี้ ธเนศให้เหตุผลว่า เมื่อเทียบกันแล้วการลงทุนเฟสใหญ่จะใช้ต้นทุนต่อตัวถูก ต่ำกว่าเลี้ยงหมูเฟสเล็ก เมื่อผลผลิตที่ได้มากขึ้น ผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งใหญ่นี้ก็ปรากฏผลที่น่าพอใจอย่างที่คิดไว้จริงๆ จากนั้นจึงสร้างโรงเรือนเพิ่มอีก 1 หลัง รวมความจุหมูทั้ง 6 โรงเรือนเป็น 4,800 ตัว และยังมีแผนขยายการเลี้ยงต่อไปอีกหากมีพื้นที่ที่เหมาะสม เพราะเห็นแล้วว่าอาชีพนี้มั่นคงและสร้างรายได้ที่น่าพอใจ

“ตลอด 7 ปี ในการเป็นเกษตรกรเลี้ยงหมู ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ช่วยพลิกชีวิตอดีตชาวนาอย่างผมจากหน้ามือเป็นหลังมือ เราไม่มีกรอบข้อจำกัดเรื่องการเงินก็เพราะอาชีพเลี้ยงหมู ผมกับภรรยา และลูกๆ ช่วยกันปั้นธเนศฟาร์มให้เป็นฟาร์มหมูมาตรฐาน ใส่ใจความปลอดภัยอาหาร การเลี้ยงและการป้องกันโรคที่เข้มงวด อย่างเช่นการคุมเข้มโรค ASF ในหมู ตามมาตรฐานที่บริษัทแนะนำ ทำให้ที่ฟาร์มไม่มีปัญหาเรื่องโรค ความเสียหายในการเลี้ยงต่ำ ได้ผลผลิตที่ดีทำให้รายได้ก็มั่นคงตามไปด้วย ที่สำคัญคือมีบริษัทเข้ามารับความเสี่ยงทั้งหมดและเป็นตลาดรับซื้อผลผลิตให้” ธเนศ กล่าว

ทางด้าน ธนารีย์ นาคะนิวิษฐ์ และ สุภัสสรา มะลิคง ที่รับผิดชอบดูแลกิจการฟาร์มหมูมาตั้งแต่ต้น เล่าเสริมว่า การตัดสินใจทำฟาร์มหมูจากความคิดที่อยากเป็นเจ้านายตัวเอง วันนี้พิสูจน์แล้วว่าอาชีพนี้ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง และการบริหารจัดการฟาร์มก็ไม่ยากนัก แม้ตนเองจะไม่เคยทำมาก่อน แต่ด้วยการเรียนรู้ และได้รับคำปรึกษาจากทีมงานซีพีเอฟ ทำให้สามารถเลี้ยงหมูจนมีผลผลิตที่ดีมาตลอด

ยิ่งปัจจุบันการเลี้ยงมีระบบที่ช่วยสนับสนุนอย่างดี ทั้งเครื่องควบคุมอุณหภูมิ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ทั้งภายในและภายนอก ที่สามารถดูความเป็นอยู่ของหมูตลอด 24 ชั่วโมง การให้อาหารด้วยระบบอัตโนมัติ ฟาร์มมีการจัดระเบียบแยกส่วนบ้านพักกับส่วนเลี้ยง เรื่องกลิ่นก็ไม่ต้องกังวลเพราะของเสียในระบบการเลี้ยงทั้งหมด ถูกส่งเข้าระบบไบโอแก๊ส ผ่านกระบวนการหมักจนได้ก๊าซชีวภาพมาเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ช่วยลดต้นทุนด้านไฟฟ้าในฟาร์มหมูได้ถึง 70-80% ของค่าไฟฟ้าทั้งหมด เรียกว่าทั้งประหยัด ลดกลิ่น และลดโลกร้อนเพราะไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ

“ขอบคุณซีพีเอฟ ที่ผลักดันโครงการคอนแทรคฟาร์ม ที่ช่วยสร้างงานสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับเกษตรกร บริษัทสนับสนุนทุกอย่าง ทั้งเรื่องพันธุ์หมู อาหาร วัคซีนป้องกันโรค ให้ความรู้ และถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อให้เกษตรกรดูแลให้ผลผลิตออกมาดีที่สุด ซึ่งความสำเร็จจะเกิดได้ก็จากความทุ่มเทของตัวเจ้าของที่ต้องใส่ใจ ขยัน มานะ อดทน มีความรู้เกี่ยวกับงาน และศึกษาให้ถ่องแท้ รวมทั้งทีมงานของเราก็ต้องเป็นทีมเดียวกัน ร่วมกันทำงานให้ได้เป้าหมายที่ตั้งไว้ เชื่อว่าความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก วันนี้พูดได้เต็มปากว่าการเลี้ยงหมูเป็นอาชีพที่ยั่งยืน อยู่กับซีพีเอฟมีความมั่นคง” ธนารีย์ กล่าวอย่างภูมิใจ

ความสำเร็จของ “ธเนศฟาร์ม” เกษตรกรที่ตัดสินใจเลี้ยงหมูขุน จนสามารถพลิกชีวิต สร้างอาชีพมั่นคง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเกษตรกรกว่า 5,200 ราย ในโครงการคอนแทรคฟาร์มมิ่งของซีพีเอฟ ที่ถือเป็นข้อต่อสำคัญในห่วงโซ่การผลิตเนื้อสัตว์ปลอดภัย ด้วยมาตรฐานการผลิตที่บริษัทผลักดันให้เกษตรกรทุกคนดำเนินการมาโดยตลอด ทำให้การผลิตเป็นไปอย่างมีขั้นตอน ถูกต้องตามหลักวิชาการ สู่ผลลัพธ์เนื้อสัตว์และอาหารคุณภาพเพื่อผู้บริโภคทุกคน

รู้เก็บรู้ออม : งาน SET IN THE CITY 2023

0

มือใหม่ห้ามพลาด! งาน SET IN THE CITY 2023 สัปดาห์นี้ ไม่พูดถึงไม่ได้ สำหรับงานใหญ่อย่างมหกรรมการเงิน  SET IN THE CITY 2023 ที่ปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดขึ้น 2 วัน คือวันที่ 8 และ 9 กรกฎาคม 2566 ที่ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์

งาน SET IN THE CITY ในแต่ละปี จะจัดในคอนเซปต์ที่แตกต่างกันไป สำหรับคอนเซปต์งานปีนี้ คือ “เริ่มลงทุนเพื่อเป้าหมาย ในสไตล์ที่เป็นคุณ” เพื่อทำให้เรารู้จักตัวเอง กำหนดเป้าหมาย วางแผนการเงิน และแนวทางการลงทุนที่ตรงกับสไตล์ตัวเอง

สาเหตุที่ทำให้งาน SET IN THE CITY ครองใจนักลงทุนมายาวนานและทุกปีมีผู้สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ก็เพราะว่าเป็นงานที่ให้ความรู้ด้านการเงินการลงทุนกันแบบจัดเต็ม ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้ดี ผ่านการจัดสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆภายในงานที่จัดขึ้นอย่างเข้าใจถึงความต้องการของผู้เข้าชมงาน

นอกจากนี้ ยังเป็นการรวมตัวของเหล่าบรรดาตัวจริงเสียงจริงที่เป็นกูรูในแวดวงการเงินการลงทุนมาถ่ายทอดความรู้ แชร์ประสบการณ์การลงทุนให้ฟังกัน

และแน่นอนว่า ปีนี้ SET in the City 2023 ก็ไม่พลาดที่จะนำผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มาพบปะ พูดคุย ผู้เข้าชมงานจะได้พบกับคุณเอ ศักดา จาก A Academy & Avenger Planner, เคน จักรกฤษณ์ จากเพจ Money Buffalo, เฟิร์น ศิรัถยา จากเพจ Wealth Me Up, สุรเชษฐ์ เศรษฐพัชรกุล (เคน PV Trader), นิ้งโป้ง อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุน VI, เนย Stock JourNoey, โอมสิริ วีระกุล เพจออฟฟิศ 0.4, ยศสรัล พิเชียรสุนทร (ยศ เด็กการเงิน), พี่หนู แม่บ้านเงินล้าน , ดร.มานะ นิมิตรวานิช KTB, ทีน่า สุภัททกิต, คริส TraderKP ผ่านการสัมมนา-เสวนา ที่อัดแน่นเนื้อหาความรู้เรื่องลงทุนตลอดงาน 2 วันเต็ม

“คุณนายพารวย” ขอบอกว่า มาเดินงานนี้ต้องไม่กลับไปมือเปล่าแน่นอน เพราะ บล. และ บลจ. ชั้นนำทั่วไทยจะยกทัพนักวิเคราะห์มาแนะหุ้น-กองทุนเด่น แนะนำทางลัดช่วยเทรด รู้จักเครื่องมือลงทุนง่ายๆใน 20 นาที

และยังจะได้พบกับ 35 บูธการลงทุนที่นำผู้เชี่ยวชาญมาช่วยแนะนำทำให้เราเริ่มลงทุนได้อย่างมั่นใจ พร้อมกับโปรโมชันพิเศษเฉพาะงานนี้สำหรับผู้ที่เปิดบัญชีลงทุนอีกด้วย

นอกจากสายลงทุนที่ห้ามพลาดแล้ว สายรีวิว ก็ต้องมา ยิ่งปีนี้ ผู้จัดงานจัดกิจกรรมพิเศษ “รีวิวดี มีรางวัล” เพียงโพสต์วิดีโอรีวิวงาน SET IN THE CITY 2023 แชร์เรื่องราวการลงทุนดีๆ บน Facebook IG หรือ TikTok แล้วติดแท็ก @setthailand และ #SETinthecity2023 คลิปไหนยอดวิวสูงสุดมีสิทธิ์ได้รับรางวัล โดยรางวัลที่ 1 เป็น AirPods (3rd gen) มูลค่า 6,990 บาท 1 รางวัล, รางวัลที่ 2 ลำโพง Marshall Willen Black and Brass มูลค่า 3,990 บาท 1 รางวัล และรางวัลที่ 3 Gift Voucher Central มูลค่า 500 บาท 5 รางวัล

เสาร์อาทิตย์นี้ 8-9 กรกฎาคม 2566 ไปเติมความรู้และหาโอกาสการลงทุนให้กับตัวเองได้ในงาน SET in the City 2023 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ http://www. set.or.th/setinthecity

สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนล่วงหน้า รับฟรี หนังสือ Wealth Design และกระเป๋า #investnow.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ก.ล.ต. สั่งยึดอายัดทรัพย์สินผู้กระทำผิด กรณีหุ้น STARK 10 ราย และห้ามออกนอกประเทศชั่วคราว

0

ก.ล.ต. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดที่ถูกกล่าวโทษ กรณีบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (STARK) รวม 10 ราย และห้ามมิให้ผู้กระทำผิดออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษบุคคล รวม 10 ราย เป็นชุดแรก ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้ดำเนินคดีกรณีตกแต่งงบการเงิน เปิดเผยข้อความอันเป็นเท็จในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และกระทำโดยทุจริตหลอกลวง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง อันเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งประกอบด้วย

  • (1) บริษัท STARK
  • (2) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ
  • (3) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ
  • (4) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี
  • (5) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ
  • (6) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม
  • (7) บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด (PDITL)
  • (8) บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (TCI)
  • (9) บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด
  • (10) บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (บ.เอเชีย)

ก.ล.ต. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. อาศัยอำนาจตามความมาตรา 267 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดชุดแรก รวม 10 รายดังกล่าว เป็นเวลา 180 วัน เนื่องจากปรากฏพฤติการณ์การกระทำผิดที่มีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง โดยปรากฏมูลค่าความเสียหายจากหนี้สินของบริษัท STARK ที่มีมากกว่า 38,000 ล้านบาท และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินออกไป

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ยังมีคำสั่งห้าม (1) นายชนินทร์ เย็นสุดใจ (2) นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ (3) นายชินวัฒน์ อัศวโภคี (4) นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ และ (5) นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม มิให้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน เนื่องจากมีเหตุฉุกเฉินอันควรสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร โดยหลังจากนี้ ก.ล.ต.จะไปร้องขอต่อศาลอาญาเพื่อออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

ซีพีเอฟ – อบก. เพิ่มขีดความสามารถคู่ค้า SMEs พัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ รับเทรนด์ลดโลกร้อน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถของคู่ค้าธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารที่ดีมีคุณภาพ ปลอดภัย และยั่งยืน ตามมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ (CPF Food Standard) โดยสนับสนุนให้บุคลากรของซีพีเอฟ และคู่ค้าธุรกิจมีศักยภาพในการผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ ที่ช่วยลดโลกร้อนผ่านการดำเนินโครงการ “Partner to Grow..เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” พร้อมร่วมมือกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ส่งเสริมและร่วมพัฒนาคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟตามแนวทาง ESG มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเติบโตด้วยกัน

ซีพีเอฟ และอบก. ร่วมจัดสัมมนาออนไลน์ “คาร์บอนฟุตพริ้นท์..เครื่องมือผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ…สู่ Net Zero” เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่คู่ค้าธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs จำนวนกว่า 300 คน ให้มีความพร้อมในการบริหารจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การผลิตสินค้าคาร์บอนต่ำ ซึ่งได้รับเกียรติจากนายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ อบก. เป็นประธานเปิดการสัมมนา และแนะนำความจำเป็นของภาคธุรกิจไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการห่วงโซ่การผลิตอาหาร

นางสาวธิดารัตน์ เดชายนต์บัญชา ผู้บริหารสูงสุด ด้านจัดซื้อกลาง ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นสนับสนุนและร่วมพัฒนาผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟ ยกระดับการดำเนินงานทั้งด้านประสิทธิภาพการผลิต ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การร่วมมือกับ อบก. จัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ดำเนินการภายใต้โครงการ “Partner to Grow…เติบโต เคียงข้าง อย่างยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมให้คู่ค้าธุรกิจซีพีเอฟ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ได้มองเห็นโอกาสของการลงทุนที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามหลักการ ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และก้าวสู่เป้าหมาย Net-Zero

“ความร่วมมือกับ อบก. จัดสัมมนาครั้งนี้ มุ่งให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการคู่ค้าธุรกิจของซีพีเอฟเข้าใจคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ นำไปสู่การมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่การผลิต เป็นการช่วยสร้างแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก และสร้างโอกาสเติบโตไปด้วยกัน” นางสาวธิดารัตน์กล่าว

ในการสัมมนา ผู้เชี่ยวชาญจากอบก. ถ่ายทอดความรู้ผู้ประกอบการได้เข้าใจและประยุกต์ใช้กลไกและเครื่องมือเพื่อประ เมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง การบริโภค จนถึงการจัดการบรรจุภัณฑ์ นำไปสู่ความร่วมมือกันกำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถูกจุดและมีประสิทธิภาพ และพัฒนา “ผลิตภัณฑ์อาหารคาร์บอนต่ำ” ตอบรับความต้องการสินค้าใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซีพีเอฟ ได้ริเริ่มโครงการ Partner to Grow เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจยกระดับการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพสูง ลดค่าใช้จ่าย มีความรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อมหนุนการเติบโตในระยะยาว ผ่านการจัดกิจกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้าธุรกิจ โดยการดำเนินโครงการในช่วงแรกจะให้ความสำคัญกับคู่ค้าธุรกิจในกลุ่ม SMEs ตั้งแต่ โครงการ “เอส เอ็ม อี เอ็กซ์ ต้นทุนต่ำ นำรักษ์โลก” เสริมสร้างความรู้ให้คู่ค้า SMEs ปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนตามแนวทาง Lean Six Sigma และ โครงการ Partnership Enhancement Program เป็นการพัฒนาศักยภาพของคู่ค้าที่มีความพร้อม โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ของ CPF เพื่อร่วมกับคู่ค้าในการพัฒนาขีดความสามารถใน 4 ด้าน อาทิ ด้านต้นทุนการผลิต (Cost Effectiveness) ด้านปรับปรุงกระบวนการผลิตและนวัตกรรม (Process improvement /Innovation) ด้านความยั่งยืนเน้นแนวปฏิบัติที่ดีต่อแรงงาน และแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และ ด้านการกำกับกิจการที่ดี นอกจากนี้ บริษัทฯ จะมีโครงการอื่นๆ เพื่อช่วยคู่ค้ามีแต้มต่อในการทำธุรกิจกับซีพีเอฟ ตลอดจนสร้างโอกาสใหม่ๆ มากขึ้น

ซีพีเอฟมุ่งมั่นร่วมสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาคู่ค้าธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตไปพร้อมกับบริษัทฯ ด้วยการยกระดับมาตรฐานการผลิตอาหารที่มีคุณภาพและใส่ใจสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่การผลิต ตามมาตรฐานอาหารซีพีเอฟและแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืนตามหลักการ ESG (CPF Supply Chain ESG Management Approach) ควบคู่กับนโยบายด้านการจัดหาอย่างยั่งยืนและแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้า นอกจาก โครงการ “Partner to Grow..เติบโต เคียงข้างอย่างยั่งยืน” ซีพีเอฟยังร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพ ดำเนินโครงการ “CPF x BBL เสริมสภาพคล่อง…เคียงข้างคู่ค้า” ช่วยสนับสนุนคู่ค้าสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อหมุนเวียนที่มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อเสริมสภาพคล่องในการบริหารจัดการธุรกิจของคู่ค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นการส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสูงให้ผู้บริโภคได้ต่อเนื่อง

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมบริจาคโลหิต ในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ตัวแทนจิตอาสา เข้าร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิต เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 22 ประจำปี 2566 โดยได้รับเกียรติจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน และกองทุนประกันชีวิต เพื่อเป็นการแสดงความสามัคคีและรวมพลังของบุคลากรในธุรกิจประกันชีวิตในการทำความดีเพื่อตอบแทนสังคม

นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงการให้ความสำคัญของบริษัทฯ กับการตอบแทนสังคมโดยเฉพาะการจัดกิจกรรมรับบริจาคโลหิต เพื่อนำโลหิตที่ได้ไปช่วยเหลือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะขาดแคลนโลหิต อีกทั้งเป็นการสำรองโลหิตแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ หรือประสบอุบัติเหตุในช่วงเทศกาล ทั้งนี้บริษัทฯ ได้เข้าร่วมโครงการและเชิญชวนผู้บริหาร พนักงาน ฝ่ายขาย บริจาคโลหิตในโครงการนี้ในช่วงที่ผ่านมา รวมเป็นจำนวน 342 คน ปริมาณโลหิตประมาณ 131,370 ซีซี โดยงานจัดขึ้น ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

เปิดทริคเด็ด SME แจ้งเกิด-สร้างแบรนด์บน TikTok เปลี่ยนผู้ใช้ 44 ล้านคน สู่เส้นทางธุรกิจโตยั่งยืน

0

“TikTok” ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์มเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ช่วยสร้างโอกาสการเติบโตให้กับธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจเอสเอ็มอี การันตีโดย Influencer ชื่อดังแอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด

ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด

เหตุใด TikTok จึงมีความสำคัญกับ SME งานนี้ เจ้าของช่อง TikTok การตลาดการเตลิด ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจบนเวทีบรรยายพิเศษ ในงานมอบรางวัล “เซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอียั่งยืน 2022” จัดโดย บมจ.ซีพี ออลล์ ว่า TikTok ถือเป็นแพลตฟอร์มโซเซียล มีเดียที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานทั่วโลกกว่า 1,000 ล้านคน สำหรับในประเทศไทย พบว่า ในปี 2565 มียอดผู้ใช้งาน TikTok ต่อเดือนสูงถึง 44.8 ล้านคน เป็นเพศหญิง 60% เพศชาย 40% กว่า 50% อยู่ในช่วงอายุ 18-34 ปี ที่เหลืออยู่ในช่วงอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นอกจากตลาดที่มีขนาดใหญ่แล้ว กลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่และผู้สูงอายุมีสัดส่วนไม่ต่างกันมาก ทำให้ความต้องการสินค้าไม่จำกัดแค่ช่วงอายุใด อายุหนึ่ง

แม้ TikTok จะเป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจ และมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของยอดผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง แต่พบว่าไม่ค่อยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มนี้ เพราะอะไร? คำตอบคือ “ผู้ประกอบการยังไม่เปิดใจและไม่เข้าใจในแพลตฟอร์ม TikTok อย่างแท้จริง คุ้นชินกับการทำการตลาดผ่านแพลตฟอร์มเดิมๆ” ทำให้เสียโอกาสในการสร้างยอดขายและแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จัก จนอาจส่งผลถึงการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในอนาคต ดังนั้นหากผู้ประกอบการไม่อยากเสียโอกาสก็ควรทำสิ่งนี้

1.ลุยวิดีโอสั้น TikTok เป็น Short Video Platform ที่ใช้งานง่าย มีลูกเล่นน่าสนใจ มีอินเตอร์เฟสที่สามารถโต้ตอบกันได้ ตอบโจทย์พฤติกรรมคนในปัจจุบันแบบไม่จำกัดอายุที่ให้ความสนใจกับVideo สั้นๆ มากกว่า Video ยาวได้เป็นอย่างดี SME สามารถสร้างวิดีโอที่ไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองโดยใช้สติ๊กเกอร์ ฟิลเตอร์และดนตรี เพิ่มสีสันให้กับคลิปวิดีโอ ผ่านเครื่องมือการตัดต่อที่ใช้งานสะดวกของแอปพลิเคชัน ที่สำคัญต้องเน้นเนื้อหาเข้าใจง่าย

2.ขี่กระแสชาเลนจ์ เพิ่มโอกาสการมองเห็น Tiktok ถือเป็นแพลตฟอร์มที่เอื้อต่อการเกิด User-Generated Content (UGC) หรือคอนเทนต์ที่ผู้บริโภคสร้างขึ้นเอง เนื่องจากระบบ Algorithm และ AI ของ Tiktok นั้น เอื้อให้คอนเทนต์ของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีผู้ติดตามจำนวนมาก สามารถดังได้ หาก SME ขี่กระแสแคมเปญ ชาเลนจ์ ประเด็นที่กำลังไวรัลหรือฮอตฮิตอยู่ในขณะนั้น ด้วยการผลิตคอนเทนต์ที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ จะช่วยสร้างโอกาสเพิ่มการรับรู้ (Awareness) ให้สินค้าหรือแบรนด์ของตัวเองได้ นำไปสู่โอกาสการแจ้งเกิดและสร้างยอดขายในอนาคต

3.พึ่ง Affiliate Marketing ยืมมือสร้างยอด นอกจากสร้างการรับรู้ด้วยคอนเทนท์ของตัวเอง Tiktok ยังมีระบบ Tiktok Affiliate มาตอบโจทย์ Affiliate Marketing หรือการตลาดผ่านผู้ช่วยขายหรือตัวแทนขาย หลักการคือ SME เลือกสินค้าที่ต้องการขาย จากนั้นเหล่าผู้ช่วยขายเหล่านี้ จะช่วยกันสร้างคอนเทนท์วิดีโอ เพื่อโปรโมทสินค้าของเรา พร้อมแปะลิงค์ หากมีการสั่งซื้อจากลิงค์ เราจึงจะเสียค่าคอมมิชชั่นให้แก่ผู้ช่วยขายเหล่านั้น ลดความเสี่ยงจากการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่รับประกันยอดขาย ได้ทั้งคนมาช่วยสร้างสรรค์คอนเทนท์ ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการสร้างแบรนด์ที่ใช้งบประมาณไม่สูง แต่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ เหมาะกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

ถึงวันนี้ผู้ขายบนแพลตฟอร์ม TikTok จะเพิ่มมากขึ้น และมีบางรายเข้ามาปักหลักนานแล้ว แต่ด้วยระบบที่เอื้อต่อการเติบโตของผู้ใช้งานทุกคน รวมถึงผู้ใช้งาน “หน้าใหม่” จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหน้าใหม่จะลองทำมาทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มนี้ ขอเพียงแค่เปิดใจรับและทำความเข้าใจกับรูปแบบของแพลตฟอร์ม โอกาสในการแจ้งเกิดบน TikTok ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

ซีพีเอฟ ทั่วโลก รวมพลังปลูก-ฟื้นฟูต้นไม้ 5 ล้านต้น ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผนึกพลังกิจการในไทยและกิจการต่างประเทศ เดินหน้าร่วมปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ปลูกต้นไม้ อนุรักษ์และฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำ ป่าชายเลนไปแล้วรวมมากกว่า 5 ล้านต้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 39,434 ตันต่อปี หนุนสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ( SDGs)และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง-มอนทรีออล

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมอนุรักษ์ ปกป้อง ฟื้นฟูป่าทั้งบกและป่าชายเลน รวมทั้งปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในสถานประกอบการ ทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ 8 ประเทศ รวมมากกว่า 5.4 ล้านต้น ได้แก่ ตุรเคีย รัสเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินเดีย มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 39,434 ตันต่อปี สอดรับตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGS)และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง- มอนทรีออล

“ยุทธศาสตร์อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าของซีพีเอฟ สอดรับกับเป้าหมายSDGs และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง-มอนทรีออล ซึ่งเป็นเป้าหมายระดับโลกที่ให้ความสำคัญ ทั้งการอนุรักษ์ ปกป้อง การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss)และการมีส่วนร่วมของประเทศไทย เพื่อดูแลความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งที่ผ่านมา โครงการปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าของซีพีเอฟ เป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติถือเป็นวัตถุดิบต้นทางที่สำคัญของกระบวนการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ” นางกอบบุญ กล่าว

สำหรับกิจการในประเทศไทย ซีพีเอฟปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าไปแล้วมากกว่า 2.8 ล้านต้น ผ่านการดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ป่าชายเลน และปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการ อาทิ โครงการซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ที่ต.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เป็นความร่วมมือระหว่างซีพีเอฟ กรมป่าไม้ และชุมชน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 7,000 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมากกว่า 1.3 ล้านต้น โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน พื้นที่ 5 จังหวัดยุทธศาสตร์ (สมุทรสาคร ระยอง ชุมพร สงขลา และพังงา) รวม 2,400 ไร่ หรือคิดเป็นจำนวนต้นไม้ที่ปลูกมากกว่า 1.2 ล้านต้น โดยร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชุมชน และ โครงการรักษ์นิเวศ ปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการของซีพีเอฟทั่วไทย รวมจำนวน 2.5 แสนต้น ซึ่งทั้ง 3 โครงการ ส่งผลกระทบเชิงบวก ทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จากการต่อยอดโครงการปลูกป่าสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศวิถีชุมชน และ ศูนย์เรียนรู้การปลูกป่าและระบบนิเวศ

เช่นเดียวกับ กิจการต่างประเทศของซีพีเอฟ ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจควบคู่กับการมีส่วนร่วมปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่าในประเทศนั้นๆ จากข้อมูลของ 8 ประเทศที่บริษัทฯ มีส่วนร่วมปลูกต้นไม้และฟื้นฟูป่ารวมมากกว่า 2.6 ล้านต้น สนับสนุนการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และเป้าหมายเป็นองค์กรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)และกรอบความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลกคุนหมิง- มอนทรีออล (Kunming-Montreal Global Biodiversity Framework)

ในฐานะผู้นำธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ซีพีเอฟ ได้ประกาศเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นว่าด้วยการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) ครอบคลุมกิจการซีพีเอฟรวมทั้งคู่ค้าซึ่งจัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรให้แก่ซีพีเอฟ ได้แก่ ข้าวโพด ปลาป่น น้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง และมันสำปะหลัง เป็นการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมการสร้างความตระหนักสู่พนักงานถึงคุณค่าของความหลากหลายทางชีวภาพ ปลูกจิตสำนึกชุมชนรักและหวงแหนผืนป่าในพื้นที่ สนับสนุนการอยู่ร่วมกันเพื่อให้คนดูแลป่าอย่างยั่งยืน

ก.ล.ต. เปิดข้อมูลหลอกลวงลงทุนออนไลน์ แนะใช้แอปฯ SEC Check First ตรวจสอบรายชื่อก่อนลงทุน

0

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยข้อมูลการหลอกลวงลงทุน พร้อมเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อโฆษณาชักชวนให้ลงทุนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยแอบอ้างชื่อ ภาพ หรือโลโก้ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน รวมถึงอ้างว่าเป็นบุคลากรของผู้ประกอบธุรกิจหรือสถาบันการเงิน จึงขอให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลผ่านแอปพลิเคชัน SEC Check First

ปัจจุบันมีมิจฉาชีพจำนวนมากแอบอ้างชื่อ ภาพ หรือตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. และหน่วยงานในตลาดทุน รวมทั้งอ้างตัวว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจในตลาดทุนที่ได้รับอนุญาต โดยมีการโฆษณาชวนเชื่อและชักชวนเพื่อหลอกลวงประชาชนให้ร่วมลงทุนผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น โทรศัพท์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ซึ่งสร้างความเสียหายต่อประชาชนในวงกว้าง ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก โดยได้ดำเนินการตามขั้นตอนและกระบวนการรับเรื่องร้องเรียน เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ผลิตภัณฑ์ บุคคลหรือผู้ให้บริการที่ชักชวนให้ลงทุนหรือใช้บริการไม่ใช่ผู้ได้รับอนุญาตหรือประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. จะมีการเปิดเผยรายชื่อดังกล่าวไว้ที่หน้าเว็บไซต์ ก.ล.ต. ในหัวข้อ Investor Alert และปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ

ในปี 2566 (เดือนมกราคม – มิถุนายน 2566) ก.ล.ต. ได้ดำเนินการขึ้นเตือนใน Investor Alert จำนวน 86 ราย นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้ดำเนินการประสานงานไปยังศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย หรือ Anti-Fake News Center Thailand เพื่อออกข่าวแจ้งเตือนประชาชน จำนวน 37 กรณี และในส่วนของการดำเนินคดีตามกฎหมายในปี 2566 ได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าพนักงานเกี่ยวกับการหลอกลงทุนโดยแอบอ้างตราสัญลักษณ์ของ ก.ล.ต. ไปแล้วจำนวน 11 กรณี ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้มีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการหลอกลงทุน ทั้งการเผยแพร่ข่าว บทความ อินโฟกราฟิก และคลิปให้ความรู้ต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง

ก.ล.ต. จึงขอย้ำเตือนให้ประชาชนระมัดระวังเมื่อถูกชักชวนให้ลงทุน และตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจโดยสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่แนะนำการลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ว่าได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือไม่ ได้ด้วยตนเองที่แอปพลิเคชัน SEC Check First และเว็บไซต์ www.sec.or.th/licensecheck

หากมีข้อสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย โปรดแจ้งที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207 หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. เพื่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเชิงลึกต่อไป ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ผู้กระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ และหากเข้าข่ายการกระทำที่อาจผิดกฎหมายอื่น ก.ล.ต. มีกระบวนการในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลหรือร้องทุกข์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถตรวจสอบเบื้องต้นได้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. หรือโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เช่น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทร. 1166 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โทร. 1202 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร. 1570 กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โทร. 1441 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปอศ.) โทร. 02-191-9191 ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 1359 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โทร. 0-2009-9999 และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย โทร. 1213