Home Blog Page 135

AIS 5G ยินดีต้อนพับ กับสุดยอดสมาร์ทโฟนแห่งปี Galaxy Z Flip5 และ Galaxy Z Fold5

0
ให้ลูกค้าใช้งานบนโครงข่าย 5G ที่ใหญ่ที่สุดในไทย พร้อมข้อเสนอและสิทธิพิเศษสุดปัง

AIS 5G ตอกย้ำที่ 1 ตัวจริง ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล 5G ที่มีโครงข่ายใหญ่ที่สุด ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานมากที่สุดในไทย พร้อมรับกระแสปรากฏการณ์พับ ร่วมยินดีต้อนพับกับสมาร์ทโฟนสุดล้ำแห่งปี ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งาน 5G บน Samsung Galaxy Z Fold5 – Samsung Galaxy Z Flip5 พร้อมให้สาวกซัมซุงได้จับจองเป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันนำเครื่องเก่ามาแลกส่วนลดราคาพิเศษสูงสุด 10,000 บาท หรือจะแบ่งจ่ายง่ายๆ สบายกระเป๋า ผ่อน 0% นานสูงสุดถึง 36 เดือน หรือเลือกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด35% พิเศษเฉพาะลูกค้า AIS เท่านั้น ยังได้รับประสบการณ์ความบันเทิงกับคอนเทนต์ระดับโลก Disney+ Hotstar มูลค่า 2,290 บาท นานปี 1 (ไม่มีค่าใช้จ่าย) เมื่อจองและซื้อเครื่องพร้อมสมัครแพ็กเกจ 899 ขึ้นไป ร่วมเป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold5 – Samsung Galaxy Z Flip5 โดยสามารถพรีออเดอร์กับ AIS ได้ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.66 – 10 ส.ค.66 และจะเริ่มวางจำหน่ายพร้อมกัน วันที่ 11 ส.ค.66

นายศรัณย์ ผโลประการ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “เราพร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้งานทั้งความเร็ว แรง แบบเต็มประสิทธิภาพ บนโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ลูกค้าได้สัมผัสกับสุดยอดสมาร์ทโฟนแห่งปีจากซัมซุงทั้ง Samsung Galaxy Z Fold5 – Samsung Galaxy Z Flip5 โดยวันนี้เราขอเป็นส่วนหนึ่งในการต้อนรับปรากฏการณ์พับ ด้วยการจัดเต็มความพิเศษให้กับลูกค้าสาวกซัมซุงได้ร่วมเป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอและสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า ทั้งสุดยอดดีล โปรแกรมการผ่อนชำระ หรือแม้แต่ความบันเทิงระดับโลกที่ขนทัพมาเพื่อลูกค้า AIS เท่านั้น”

นายฐติภศ สิมะวานิชกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ธุรกิจโมบายเอ็กพีเรียนซ์ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุงได้นำเสนอสมาร์ทโฟนเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยสำหรับสมาร์ทโฟนหน้าจอพับได้รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Samsung Galaxy Z Fold5 และ Samsung Galaxy Z Flip5 นั้น จะยกระดับการใช้งานสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ทุกคนให้ดีกว่าเดิม ทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากกว่าเดิม และในขณะเดียวกันก็สามารถพกพาได้ง่ายกว่าเดิม ทั้งนี้ในการทำกิจกรรมต่างๆ จะต้องมีระบบโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนทำกิจกรรมได้อย่างไหลลื่นมากขึ้น จัดเต็มทุกความสามารถ ทั้งการทำงานและความบันเทิงแบบไร้ขีดจำกัด ซึ่งทางซัมซุงรู้สึกขอบคุณเป็นเอไอเอสเป็นอย่างมาก ที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน”

สำหรับลูกค้าที่สั่งจอง Samsung Galaxy Z Fold 5 – Samsung Galaxy Z Flip 5 กับ AIS จะได้รับความพิเศษที่ดีที่สุดไม่ว่าจะเป็น

  • รับสิทธิ์ชม Disney+ Hotstar นาน 1 ปี มูลค่า 2,290 บาท ให้คุณรับชมความบันเทิงจากทั่วโลก เอเชีย และไทย โลดแล่นสู่จิตนาการไม่รู้จบ
  • นำเก่าแลกใหม่ รับส่วนลดเพิ่ม ลูกค้าสามารถนำเครื่องเก่ามาแลกเป็นส่วนลดเพิ่มในการซื้อเครื่องใหม่ และ AIS ให้เพิ่มมูลค่าสูงสุดถึง 10,000 บาท
  • ผ่อนสบายๆ กับโปรโมชัน ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน หรือเลือกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 35%

AIS 5G พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ทุกคนได้เป็นเจ้าของ Samsung Galaxy Z Fold 5 – Samsung Galaxy Z Flip 5 ด้วยข้อเสนอที่ดีที่สุด สามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ทุกรุ่นตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค. – 10 ส.ค. 2566 ได้ทางศูนย์บริการเอไอเอสช็อป ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และ AIS Online Store รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติม  https://www.ais.th/samsung/galaxy-z/ 

ซีพีเอฟ ชู ไส้กรอกซีพี ตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงต้นทางวัตถุดิบ ปลอดภัยได้มาตรฐานสากล

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ตอกย้ำไส้กรอกซีพี โปรตีนสูง ปลอดภัยได้มาตรฐาน ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่งต่อสุขภาพที่ดีแก่ผู้บริโภค
ณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด

นายณฤกษ์ มางเขียว กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้บริโภคสูงสุดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยมุ่งมั่นผลิตไส้กรอกปลอดภัย จากเนื้อสัตว์คุณภาพดีแบบเต็มชิ้น ที่มาจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์ระบบปิด ควบคู่กับหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ พร้อมควบคุมโรคด้วยระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ทำให้เนื้อหมูปลอดจากโรค ASF และเนื้อไก่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก ภายใต้ระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกคอมพาร์ทเมนต์ (Compartment)

“ซีพีเอฟ ควบคุมคุณภาพการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เนื้อสัตว์ทั้งหมดผ่านการคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพสดใหม่ ‘เนื้อหมู’ ปลอดจากสารเร่งเนื้อแดง ‘เนื้อไก่’ ปราศจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยงดู 100% ที่สำคัญวัตถุดิบถูกเก็บรักษาและขนส่งโดยการควบคุมอุณหภูมิตลอดระยะทาง จนถึงโรงงานผลิตไส้กรอก ทำให้ไส้กรอกซีพีผลิตจากเนื้อสัตว์ที่สด สะอาด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย” นายณฤกษ์ กล่าว

นายณฤกษ์ กล่าวย้ำว่า กระบวนการผลิตไส้กรอกซีพี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัย เป็นโรงงานแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียที่ใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติแบบต่อเนื่องตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่การรับวัตถุดิบด้วยระบบสายพาน นำมาจัดเก็บในห้องเย็นด้วยอุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นห้องจัดเก็บวัตถุดิบเนื้อสัตว์และเบิกจ่ายแบบอัตโนมัติ ที่เรียกว่า ระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ Automatic Storage & Retrieval Systems (AS/RS) และนำเครื่องจักรแขนกลอัจฉริยะ หยิบสินค้า 360 องศา (Star Robot) มาใช้ในการจัดการสินค้าในคลังสินค้า รวมทั้งควบคุมอุณหภูมิกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน ให้อยู่ในระดับต่ำที่ 0-12 องศาเซลเซียส ช่วยให้คุณภาพสินค้าคงสดใหม่และปลอดภัย

ทั้งนี้ ก่อนนำเนื้อสัตว์เข้าสู่ขั้นตอนการบดเนื้อมีการตรวจสอบความปลอดภัยด้วยการผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อน หมดความเสี่ยงแม้เป็นเศษโลหะชิ้นเล็ก และนำระบบ RFID (Radio – Frequency Identification) มาใช้ในการระบุข้อมูลวัตถุดิบเนื้อสัตว์ จัดเรียงลำดับการใช้ และตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบถึงต้นทางได้

ไส้กรอกซีพี ผ่านกระบวนการทำให้สุกด้วยการอบไอน้ำ และรมควันด้วย “ระบบรมควันแบบปิด” ซึ่งใช้เทคโนโลยีในการดักแยกสารทาร์ (TARs) ออกจากไส้กรอก (สารหนักจากควันที่มีองค์ประกอบของสารก่อมะเร็ง) และเข้าสู่การตรวจสอบซ้ำว่า ปลอดจากสารทาร์ 100% เพื่อสร้างความมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

“ไส้กรอกซีพี ไม่ใช้สารกันเสีย ไม่ใช้สารไนเตรต สารบอแรกซ์ ดินประสิว และส่วนผสมที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รวมทั้งควบคุมการใส่ ‘เกลือไนไตรต์’ อยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่า อย. กำหนด (กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร เพื่อยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่สร้างสารพิษในอาหาร) มีการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากลอย่างเข้มงวด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าไส้กรอกซีพี ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” นายณฤกษ์ กล่าวย้ำ

ซีพีเอฟ ยังให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์ เป็นชนิดเทอร์โมฟอร์มแบบฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer thermoform film) ป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ซึ่งสามารถรักษาความสดใหม่ของไส้กรอก ทำให้อายุการเก็บของผลิตภัณฑ์นานขึ้น และใช้อุ่นร้อนกับไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ผู้บริโภคควรสังเกตวันหมดอายุของผลิตภัณฑ์ และเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน มีสัญลักษณ์รับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความปลอดภัย

CPF ขับเคลื่อนมาตรฐานอาหารเดียวทั่วโลก ครอบคลุมธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร

0
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตและจำหน่ายอาหารมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก (One Standard for All) เดินหน้าสร้างมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ CPF Food Standard ; PS 7818 : 2018 ขยายผลความสำเร็จนำธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร รับใบรับรองฯจาก บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด หรือ BSI ตอกย้ำระบบบริหารคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับสากล

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ รับใบรับรองมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ PS 7818:2018 ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่โรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มพ่อแม่พันธุ์และโรงฟัก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และโรงงานแปรรูปอาหาร รวมทั้งสิ้น 117 แห่ง โดยมี นายอุดมศักดิ์ สันทิฐิกวงศ์ ผู้จัดการประเทศ บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนมอบ พร้อมกันนี้ ผู้บริหารธุรกิจไก่เนื้อ-เป็ดเนื้อครบวงจร รับใบรับรองระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001:2015) ใบรับรองระบบการจัดการความปลอดภัยอาหาร (ISO 22000:2018) และใบรับรองการปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดีและระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม(GHPs & HACCP)

มร.ท็อด เรดวู๊ด Managing Director, Global Food and Retail กล่าวว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ซีพีเอฟได้ขยายผลความสำเร็จการรับรองมาตรฐานอาหาร PS7818:2018 ISO 9001:2015 ISO 22000:2018 สู่สถานประกอบการ 117 แห่ง ซึ่งการได้รับรองมาตรฐาน ISO ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการให้บริการที่มีคุณภาพ และการได้รับมาตรฐาน PS 7818:2018 จะช่วยให้ลูกค้า ผู้บริโภค และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มั่นใจได้ว่าห่วงโซ่อุปทานของบริษัทมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของซีพีเอฟที่มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ BSI ในฐานะพันธมิตรรู้สึกภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของซีพีเอฟในการร่วมสร้างความยั่งยืนและความเป็นเลิศทางธุรกิจ

นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า การที่ซีพีเอฟได้รับรองมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ PS 7818:2018 ใบรับรอง ISO 9001:2015 และ ใบรับรอง ISO 22000:2018 สะท้อนการบริหารงานที่มีมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง และเป็นบริษัทแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมาตรฐานของตนเอง (Private Standard) ภายใต้คำแนะนำและการสนับสนุนโดย BSI เพื่อมุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีสู่ผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ สร้างความเชื่อมั่นต่อลูกค้าและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตร BSI UK ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสร้างมาตรฐานระดับโลกที่มุ่งเน้นสร้างมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ เป็นการยกระดับระบบบริหารคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวทั่วโลก (One Standard for All)

ภายใต้วิสัยทัศน์ เป็น “ครัวของโลก” ซีพีเอฟร่วมกับสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (British Standards Institution: BSI) ริเริ่มโครงการมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ พัฒนามาตรฐานอาหารของบริษัทในด้านระบบบริหารคุณภาพ ความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ เพื่อควบคุมกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเป็นระบบเดียวกันทั่วโลก โดยนำร่องใช้ในธุรกิจไก่เนื้อครบวงจรโคราช (Korat Model) ที่บรรลุเป้าหมายในการตรวจรับรองจากหน่วยงานอิสระภายนอก และขยายผลครอบคลุมธุรกิจไก่เนื้อและเป็ดเนื้อ ซึ่งบริษัทฯ ยังมีเป้าหมายในการขยายผลการรับรองไปยังธุรกิจอื่นๆต่อไปในอนาคต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนและครบวงจร

“การได้รับรองมาตรฐานอาหารซีพีเอฟ PS 7818:2018 ตอกย้ำความมั่นใจว่าซีพีเอฟมีการควบคุมกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ครอบคลุมธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหาร (Feed Farm Food) เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ”นายสิริพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ มาตรฐานอาหารซีพีเอฟ (CPF Food Standard) เป็นการบูรณาการมาตรฐานต่างๆ เช่น GHPs HACCP/CODEX , ISO 9001 ,ISO 22000 กฎระเบียบอาหารภายในและต่างประเทศ หลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) และข้อกำหนดของลูกค้า เช่น BRC สร้างการยอมรับจากลูกค้าและผู้มีส่วนได้เสีย ส่งมอบคุณค่าผลิตภัณฑ์ที่ดีสม่ำเสมอตลอดห่วงโซ่การผลิต

“สาระ ล่ำซำ” CEO เมืองไทยประกันชีวิต คว้าตำแหน่งสุดยอดผู้นำขับเคลื่อนด้านนวัตกรรม

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับการเชิดชูเกียรติให้เป็นสุดยอดผู้นำที่มีบทบาทสำคัญและโดดเด่นด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กร จากงาน “เชิดชูเกียรติ CHIEF INNOVATION OFFICER (CIO)” ซึ่งจัดโดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)  โดยในงาน นางสาวนาเดีย สุทธิกุลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ ดูแลสายงาน Fuchsia Innovation Centre บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนขึ้นรับมอบเข็มที่ระลึกและประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติดังกล่าวจาก  ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) งานจัดขึ้น ณ ห้องบอลรูม โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ

นายสาระ กล่าวว่า การได้รับการเชิดชูเกียรติจากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นส่วนที่ช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ ในฐานะผู้นำขององค์กรภาคเอกชน ที่ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญของการขับเคลื่อนนวัตกรรมภายในองค์กร และดำเนินงานด้านนวัตกรรมขององค์กรอย่างเป็นรูปธรรม และนำนวัตกรรมมาสู่การปฏิบัติงานได้จริง  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเหมาะสมในยุคปัจจุบัน ตลอดจนนำพาบริษัทฯ ให้มีบทบาทสำคัญใน

การขับเคลื่อนนวัตกรรมในระบบนิเวศของประเทศไทยอีกด้วย รวมถึงยังเป็นส่วนสำคัญในการผลักดัน ส่งเสริม และสนับสนุนนวัตกรรมขององค์กรออกสู่ระดับประเทศตอบรับนโยบายของภาครัฐที่เป็น “ชาติแห่งนวัตกรรม”  

สำหรับเมืองไทยประกันชีวิต ภายใต้การบริหารของ “สาระ ล่ำซำ” ได้มีการจัดตั้งหน่วยงาน Fuchsia  Innovation Centre  ขึ้น เพื่อคิดค้นและสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการจัดการ รวมไปถึงการมองหาพันธมิตรใหม่ ๆ  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีความโดดเด่นในเรื่องการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์แต่ละกลุ่มเป้าหมาย ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้หลากหลายช่องทางโดยการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ รวมถึงนวัตกรรมด้านแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ MTL Click แอปพลิเคชันที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงทุกบริการของบริษัทฯ ได้ในแอปเดียว และ MTL Fit แอปพลิเคชันตัวช่วยด้านดูแลสุขภาพให้เป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก เป็นต้น

“สำหรับเกียรติยศที่ได้รับนี้จะเสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่และคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อพัฒนาให้องค์กรมีความเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้มีมาตราฐานในระดับสากลได้   และ ขอขอบคุณสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่ได้มอบใบประกาศนียบัตรอันทรงเกียรตินี้ที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้น”  นายสาระกล่าว

วัตถุดิบอาหารสัตว์ส่อบานปลาย สวนทางราคาหมูดิ่ง

0
โดย สมรรถพล ยุทธพิชัย

ความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อรัสเซียตัดสินใจถอนตัวจากข้อตกลงซึ่งอนุญาตให้ยูเครนส่งออกธัญพืชผ่านทางทะเลดำ หลังเกิดเหตุโดรนโจมตีสะพานสำคัญที่เชื่อมไครเมียกับแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย ซึ่งต่อมารัสเซียก็โต้กลับด้วยการโจมตีโกดังเก็บธัญพืชหลายจุดที่ท่าเรือติดทะเลดำของยูเครนทำให้ธัญพืชเสียหายถึงกว่า 60,000 ตัน  ตลอดเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา ข้อตกลงธัญพืชทะเลดำซึ่งมีสหประชาชาติกับตุรกีเป็นตัวกลางเจรจา ทำให้ยูเครนสามารถส่งออกธัญพืชได้มากกว่า 32 ล้านตัน แต่การปฏิเสธต่ออายุสัญญาของรัสเซีย อาจทำให้การส่งออกต้องหยุดลง และนั่นหมายถึงปริมาณผลผลิตธัญพืชในตลาดโลกย่อมได้รับผลกระทบ  

เมื่อผนวกปัญหาเอลนิโญก็ยิ่งต้องคิดหนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและความแห้งแล้ง กำลังส่งผลลบโดยตรงต่อธัญพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์และผลผลิตทางการเกษตรในหลายๆพื้นที่เกษตรของโลก เมื่อความต้องการไม่ได้ลดลงแต่ผลผลิตหายไป ประเมินได้ไม่ยากเลยว่า ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์จะพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า หรืออย่างน้อยก็ถึงช่วงที่สถานการณ์เอลนีโญสงบลง รวมถึงการยุติสงครามสองประเทศ ยูเครน-รัสเซีย

และก็เป็นดังคาด เมื่อราคาข้าวสาลี, ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลืองในตลาดโลกยังคงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาสัญญาล่วงหน้าข้าวสาลีที่มีการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ทะยานขึ้นกว่า 8% ขณะที่ราคาสัญญาล่วงหน้าข้าวโพดพุ่งขึ้นเกือบ 5% ส่วนราคาสัญญาล่วงหน้าถั่วเหลืองดีดตัวกว่า 1%

 เมื่อราคาพืชวัตถุดิบต่างๆ ของทั้งโลกมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงเช่นนี้ คงถึงเวลาที่ประเทศไทยของเราต้องกลับมาทบทวนโยบายวัตถุดิบอาหารสัตว์ในประเทศที่ซ้ำเติมภาวะต้นทุนให้คนเลี้ยงสัตว์บอบช้ำเสมอมา  การที่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูมีต้นทุนการผลิตสูงมาก ล่าสุด สูงถึง 96 บาท/กก. แต่ขายหมูหน้าฟาร์มได้เพียง 58-62 บาท/กก.  ไม่สอดคล้องกับต้นทุนแบบนี้ นับเป็นหายนะไม่ใช่เพียงของเกษตรกร แต่ของประเทศไทยทั้งประเทศ เพราะไม่มีธุรกิจใดจะอยู่รอดได้ และหากรัฐเพิกเฉยไม่พยายามลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกร อาจล้มกันระเนระนาดกันทั้งระบบ   

จริงอยู่ว่าราคาหมูที่ดิ่งลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “หมูเถื่อน” แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะต้นทุนที่สูงของหมูไทยจึงเป็นช่องว่างให้หมูเถื่อนแทรกตลาดเข้ามาได้ง่าย การจัดการเรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ซึ่งเป็น 60-70% ของต้นทุนทั้งหมด จึงถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรไทยอยู่รอดได้

ปัญหาลูกโซ่เช่นนี้เรียกได้ว่าวัดกึ๋นการบริหารจัดการของรัฐบาล จะอ้างว่าเพราะเป็นรัฐบาลรักษาการก็คงฟังไม่ขึ้น เพราะเรื่องนี้มีสัญญาณเตือนมานานโข  หรือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทั้งข้าราชการและบรรดารัฐมนตรีต้อง “เกียร์ว่าง”  ปล่อยเกษตรกรเดือดร้อนต่อไปเรื่อยๆ รอจนกว่าจะได้ ครม.ชุดใหม่ ซึ่งไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ คนเป็นเกษตรกรคงทำได้เพียง วาดฝันกับ “รัฐบาลใหม่” ที่จะเข้ามาเผชิญความท้าทายนี้ และฝันต่อไปถึง “เจ้ากระทรวงพาณิชย์คนใหม่” ที่หวังว่าจะเร่งแก้ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้รอบคอบ กวาดบ้านตัวเอง ปรับโครงสร้างราคาวัตถุดิบในประเทศให้เรียบร้อย ก่อนลุกลามบานปลายเป็นความไม่มั่นคงทางอาหารของชาติ

สัตวแพทย์ ยันไก่ไทย ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งโต มีมาตรฐานการผลิตระดับสากล

0
สัตวแพทย์ ยืนยัน ไก่ไทย ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ทดแทนด้วยการเลี้ยงดูที่ดีและการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ต่อเนื่อง ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม ติดตามพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของสัตว์แบบเรียลไทม์ ทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงเจริญเติบโตได้ดีและโตไว ไม่พึ่งฮอร์โมน

น.สพ.รุ่งโรจน์ แจ่มอ้น อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์และทรัพยากรการผลิตสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เนื้อไก่ เป็นอีกหนึ่งแหล่งโปรตีนที่ได้รับความนิยม มีคุณค่าทางโภชนาการให้สารอาหารโปรตีนซึ่งเป็นอาหารหมู่หนึ่ง ที่ร่างกายต้องการ สามารถรับประทานได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชาติ ทุกศาสนา ไม่มีข้องดเว้นใด ที่สำคัญราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ

น.สพ.รุ่งโรจน์ แจ่มอ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ปกครองของเด็กๆ ที่มีความกังวลว่า การรับประทานเนื้อและผลิตภัณฑ์จากไก่ เป็นสาเหตุทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะวัยหนุ่ม-วัยสาวเร็วกว่าปกติ จากความเชื่อที่ยังมีอยู่ว่า การเลี้ยงไก่มีการใช้ฮอร์โมนเร่งโต (Estradiol hormone) ซึ่งปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันว่า การเลี้ยงไก่ไม่มีการใช้ฮอร์โมน แต่มีพัฒนาการด้านเทคโนโลยีการเลี้ยงไก่ อาทิ สายพันธุ์ที่ดีขึ้น กระบวนการเลี้ยงที่ดีขึ้น เป็นต้น อีกทั้งการใช้ฮอร์โมนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและเพิ่มต้นทุนในการเลี้ยงให้สูงขึ้นอีกด้วย

“ขอยืนยันว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมการผลิตไก่ไทยไม่มีการใช้ฮอร์โมน แต่ไก่เจริญเติบโตเร็วขึ้นด้วยปัจจัยต่างๆ หลายประการ ส่วนการที่เด็กๆ เติบโตเร็วมาจากการที่ได้รับสารอาหารและโภชนาการที่ดี ไม่ใช่ภาวะเป็นหนุ่ม-สาวก่อนวัย แต่หากเด็กๆ เข้าสู่ภาวะอ้วนแล้ว จะมีความเสี่ยงและมีแนวโน้มที่เด็กๆ จะเป็นหนุ่ม-สาวก่อนวัย” น.สพ.รุ่งโรจน์ กล่าว

ประเทศไทย ประกาศห้ามใช้ฮอร์โมนในอุตสาหกรรมการเลี้ยงและการผลิตสัตว์ปีกโดยได้เพิกถอนทะเบียนตำรับยาสำหรับสัตว์ Hexoestrol ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ใช้ในสัตว์ปีก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 จึงไม่มีการขึ้นทะเบียนให้จำหน่ายในประเทศได้อีก หากมีการลักลอบหรือแอบนำมาใช้ ถือว่าเป็นการกระทำผิดและจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย

สำหรับปัจจัยและระบบการเลี้ยงไก่สมัยใหม่ ที่มีส่วนช่วยให้ไก่เจริญเติบโตได้เร็ว ประกอบด้วย

  1. สายพันธุ์ไก่ มีการคัดเลือกสายพันธุ์ไก่ โดยใช้วิทยาศาสตร์พันธุกรรมหรือพันธุศาสตร์ เข้ามาช่วยในการคัดเลือกลักษณะที่ดีและทำการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้ไก่มีการเจริญเติบโตได้รวดเร็วด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ไม่มีการตัดแต่งพันธุกรรมแต่อย่างใด
  2. การพัฒนาการผลิตและการให้อาหารที่มีโภชนาการที่ดี เหมาะสมกับสายพันธุ์ไก่ที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ติดตามไปกับการพัฒนาสายพันธุ์
  3. ระบบการควบคุมป้องกันโรค ที่เข้มงวด เข้มแข็ง ทำให้สัตว์ปราศจากปัญหาสุขภาพ ปัญหาเรื่องโรค ทำให้สามารถเจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง สมบูรณ์ ไม่เจ็บป่วย และไม่สูญเสียจากการป่วยตาย
  4. การเลี้ยงในระบบที่ทำให้สัตว์มีความเป็นอยู่ที่สบายตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal welfare) ทำให้ไก่มีสุขภาพที่ดี สมบูรณ์ แข็งแรง และเติบโตได้รวดเร็ว
  5. การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาช่วยในการเลี้ยงไก่ ในฟาร์มปศุสัตว์สมัยใหม่ (Smart farming) มีการนำกล้อง CCTV ติดตามพฤติกรรม ความเป็นอยู่ และตรวจสุขภาพของไก่ โดยที่คนไม่ต้องเข้าไปรบกวน เป็นการป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าไปในโรงเรือน หรือ การใช้ตาชั่งอัตโนมัติ ชั่งน้ำหนักไก่ แบบ Realtime โดยที่คนไม่ต้องเข้าไปจับไก่ รวมถึงการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ และระบบควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือน

ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเป็นเหตุผลสนับสนุนให้ ไก่ ในปัจจุบันสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น จากเดิมที่เคยเลี้ยง 50 วัน ได้น้ำหนักตัวประมาณ 2.7-2.8 กิโลกรัม ในปัจจุบันเลี้ยงที่ 40-42 วัน สามารถทำน้ำหนักได้ถึง 2.8-3 กิโลกรัม

น.สพ. รุ่งโรจน์ กล่าวย้ำว่า ด้วยระยะเวลาการเลี้ยงที่สั้นลง และน้ำหนักตัวที่ดีขึ้น เป็นผลมาจากการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ การจัดการการเลี้ยงดู และการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อช่วยให้ไก่เจริญเติบโตได้ดี มีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต

ประเทศไทยติดอันดับโลกในการผลิตและส่งออกเนื้อไก่ ซึ่งเป็นการยืนยันว่าการเลี้ยงไก่ของไทยมีมาตรฐานสูง เพราะไม่ได้ผลิตขายให้กับผู้บริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่ผลิตเพื่อการส่งออกขายให้กับผู้บริโภคนานาชาติในตลาดโลก ภายใต้มาตรการควบคุม กฎเกณฑ์ข้อบังคับ และ ข้อกำหนดต่างๆ ของประเทศคู่ค้า ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักอย่าง สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือตลาดใหม่ๆ อย่างกลุ่มอาหรับ มีมาตรฐานในการนำเข้าสินค้าอาหารสูง หากจะผ่านเกณฑ์ได้ มาตรฐานการผลิตต้องมีคุณภาพดีและมีมาตรฐานสูง ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าไก่ไทยรับประทานได้อย่างปลอดภัย ไร้ฮอร์โมนแน่นอน

ซีพีเอฟ ร่วมกับ TSFR เดินหน้ายกระดับห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลไทยสู่ความยั่งยืน

0


บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับคณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย (Thai Sustainable Fisheries Roundtable : TSFR) ดำเนินการเชิงรุกอนุรักษ์และปกป้องระบบนิเวศและทรัพยากรในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยตามแผนปฏิบัติการจัดการประมง (Fishery Action Plan: FAP) ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการดำเนินการโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project: FIP) เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของซีพีเอฟในการมีส่วนร่วมยกระดับมาตรฐานห่วงโซ่การผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ซีพีเอฟ เป็นตัวแทนคณะทำงานการพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงของไทย (TSFR) ร่วมนำเสนอความคืบหน้ากิจกรรมตามแผนปฏิบัติการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย (Fishery Action Plan: FAP) ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่ดำเนินโครงการนำร่องการพัฒนาพื้นที่แหล่งการประมงที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ (Multispecies Fishery) ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำให้เกิดความรับผิดชอบเพื่อนำไปสู่การรับรองมาตรฐานจาก MarinTrust องค์กรมาตรฐานสากลด้านวัตถุดิบอาหารทะเลระดับโลก โดยมีนายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมงเป็นประธานในที่ประชุม ร่วมกับนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ ตัวแทนจากคณะพัฒนาระบบการผลิตสินค้าและผลิตภัณฑ์ประมงไทย และมีเชี่ยวชาญจาก MarinTrust รวมทั้งนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากกรมประมง เข้าร่วมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานกิจกรรมฯ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ข้อมูลและผลการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารทะเลของไทยตั้งแต่ต้นทางเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้และสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคทั่วโลก

การดำเนินงานในปีนี้ ซีพีเอฟ ภายใต้คณะทำงาน TSFR มุ่งเน้นนำกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการฯ ที่ได้รับการรับรองจาก MarinTrust มาดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยการนำรวบรวมข้อมูลการจับทรัพยากรสัตว์น้ำทางทะเลในอ่าวไทยมาวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลง การประเมินความสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล เช่น แนวปะการัง หญ้าทะเล ป่าโกงกาง ที่เกิดจากการทำประมงอวนลาก การอนุรักษ์สายพันธุ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ สัตว์ที่ถูกคุกคาม และได้รับการคุ้มครองซึ่งผลการดำเนินงานความคืบหน้าในกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการจัดการทรัพยากรในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย (Fishery Action Plan: FAP) นี้จะช่วยให้ MarinTrust นำข้อมูลไปพัฒนาหลักเกณฑ์มาตรฐานการรับรองวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำจากพื้นที่ที่มีสัตว์น้ำแบบหลากหลายสายพันธุ์ และเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นๆ ต่อไป

ซีพีเอฟ ภายใต้คณะทำงาน TSFR จากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project: FIP) ตั้งแต่ปี 2560 โดยการดำเนินงานมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการทำประมงในพื้นที่ทะเลอ่าวไทยตามมาตรฐานสากล ร่วมสร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล และพัฒนากระบวนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งห่วงโซ่อุปทานและได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ TSFR เป็นคณะทำงานที่ร่วมมือกันโดย 8 สมาคม ตลอดห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของไทย ประกอบด้วยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมผู้ผลิตปลาป่นไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย เพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงและพัฒนาการประมง (Fishery Improvement Project: FIP) สำหรับการประมงอวนลากในฝั่งอ่าวไทยโดยนอกเหนือจากการพัฒนาการประมงเพื่อความรับผิดชอบอันจะส่งผลต่อกระบวนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมแล้วในภาพใหญ่ของประเทศโครงการฯยังส่งเสริมการป้องกันการประมงผิดกฎหมาย, ขาดการรายงาน, และไร้การควบคุม (IUU) ที่อาจทำลายความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลของประเทศ ซึ่งปัจจุบันโครงการยังได้นำองค์ความรู้ไปใช้ในประเทศอินเดียและเวียดนามอีกด้วย

ทูตกัมพูชามอบประกาศนียบัตรเชิดชูซีพีเอฟ ปฏิบัติต่อแรงงานชาวกัมพูชาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม

0

นายฮุน ซาเรือน (H.E. Mr. Hun Saroen) เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย มอบใบประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติแก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เพื่อแสดงความชื่นชมและขอบคุณซีพีเอฟ ในฐานะเป็นภาคธุรกิจไทยที่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติต่อแรงงานชาวกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รวมถึงการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและมั่นคง

ในการนี้ ท่านเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยได้กล่าวขอบคุณซีพีเอฟ ที่ได้ดูแลแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย จัดค่าจ้างสวัสดิการเท่าเทียมคนไทยทุกประการ ซึ่งครอบคลุมถึงโอกาสการเติบโตในอาชีพตลอดจนคุ้มครองสิทธิแรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย และยังได้ชื่นชมและ ยกย่องให้ซีพีเอฟเป็นบริษัทต้นแบบในการดูแลบริหารจัดการด้านแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ เคารพสิทธิมนุษยชน และเป็นบริษัทที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนภารกิจสถานทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยในการดูแลประชาชนชาวกัมพูชาให้อาศัยในประเทศไทยอย่างมั่นคงและมีความสุข

ซีพีเอฟมีนโยบายการจัดจ้างแรงงานต่างด้าวทุกคนเป็นพนักงานของบริษัทโดยตรง ภายใต้ข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้าน (MoU) บริษัทรับผิดชอบค่าธรรมเนียมการสรรหาแรงงานของบริษัทตัวแทน (Agency Service Fee) และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการสรรหาแรงงานจากประเทศต้นทาง ตั้งแต่ชายแดนถึงสถานที่ทำงาน เช่น ค่าเดินทาง ค่าอบรม ค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าตรวจลงตราวีซ่า บริษัทมีการจัดหอพักและรถรับส่งจากหอพักถึงโรงงาน จัดให้มีล่ามประจำทุกโรงงานเพื่ออำนวย ความสะดวก รวมถึงให้ความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวตลอดระยะการทำงานกับซีพีเอฟอีกด้วย

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังร่วมมือกับมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network Foundation: LPN) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ผ่านการดำเนินโครงการ “ศูนย์รับฟังเสียงพนักงาน Labour Voices Hotline by LPN” เป็นช่องทางรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อสงสัย การขอความช่วยเหลือ รวมไปถึงข้อกังวลและข้อร้องเรียนต่าง ๆ ของพนักงานซีพีเอฟที่มีความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม เพื่อให้บริษัทนำไปปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งจัดโครงการอบรมด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานให้พนักงานบริษัททั้งไทยและต่างด้าวได้ตระหนักถึงสิทธิแรงงาน และมีการเยี่ยมพบปะแรงงานต่างด้าวถึงหอพัก เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและความคาดหวังต่าง ๆ อันนำไปสู่การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานให้ดียิ่งขึ้น

ผู้เลี้ยงหมู “ปาดเหงื่อ” วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับเพิ่ม 10% หลังรัสเซียพร้อมปิดล้อมทะเลดำ

0

โดย อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ 

ผลพวงจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศเตือนเรือทุกลำที่เดินทางในทะเลดำไปยังท่าเรือของยูเครน ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นเป้าหมายที่อาจขนส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารทั้งหมด หลังรัสเซียไม่ต่ออายุข้อตกลงเปิดทางทะเลดำให้ขนส่งธัญพืชออกจากยูเครนได้อย่างปลอดภัย (Black Sea Grain Initiatives) ส่งผลราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้นทันที 10% และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นต่อเนื่องซ้ำรอยเดิมปีที่แล้ว ที่วัตถุดิบปรับสูงขึ้นถึง 30% ทำให้ภาคปศุสัตว์โดยเฉพาะผู้เลี้ยงหมูได้รับผลกระทบอย่างหนัก 

ทั้งนี้ ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลกโดยเฉพาะข้าวสาลีปรับสูงขึ้นแล้ว 10% ขณะที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับเพิ่ม 5% ส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนอาหารสัตว์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60-70% ของต้นทุนการผลิต ประกอบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่อง นับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนประทุเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 และยืดเยื้อมาถึงขณะนี้ รวมถึงคาดการณ์ล่าสุด ว่า สภาพอากาศร้อนแล้งจาก ‘เอลนีโญ’ จะทำให้ผลผลิตจธัญพืชต่างๆ ลดลง  ซึ่งช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับขึ้น 25-30% สำหรับไทยต้องนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ 3 ล้านตัน เนื่องจากการผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ ส่วนการนำเข้าข้าวสาลี 5 เดือนแรกของปี 2566 มีการนำเข้ามาแล้วกว่า 900,000 ตัน คาดว่าทั้งปีจะมีนำเข้าประมาณ 1.8 ล้านตัน 

นอกจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงตามตลาดโลกแล้ว ผู้เลี้ยงหมู ยังต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่อีก 2 เรื่อง คือ 1.หมูเถื่อนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และ 2.ราคาหมูลดลงต่อเนื่องเพราะผลผลิตล้น ทำให้เกษตรกรอยู่ในภาวะยากลำบาก ตลอดจนมาตรการของภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งมาตรการเป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี (Tariff & Non-Tariff Barrier) ยิ่งเป็นการซ้ำเติมเพิ่มต้นทุนการผลิตของเกษตรกรทั้งสิ้น โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยและรายเล็ก จำเป็นต้องเลิกอาชีพไปจำนวนมากเพราะไม่สามารถแบกต้นทุนต่อไปได้อีก 

ปัจจุบันราคาประกาศสุกรหน้าฟาร์มของกรมการค้าภายในสัปดาห์ที่ผ่าน (17-21 กรกฎาคม 2566) ปรับลง 4 บาทต่อกิโลกรัม อยู่ที่ 60.5 บาท ขณะที่ต้นทุนการผลิตเดือนมิถุนายน 2566 ของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประกาศไว้ที่ 90.57 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับราคาหน้าฟาร์มที่ปรับลดลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยเมื่อต้นปี 2566 อยู่ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกษตรกรแบกรับภาระขาดทุนมามากกว่า 6 เดือนแล้ว   

ที่ผ่านมา สมาคมภาคปศุสัตว์หลายสมาคม อาทิ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ที่ได้รับความเดือดร้อนจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูง โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง ออกมาประสานเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนนโยบายอาหาร ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ที่มีการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าระหว่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : ข้าวสาลี ในอัตรา 3:1 (ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน) และขอให้ยกเลิกภาษีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง 2% เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับการผลิตและความต้องการในประเทศ ปี 2566 คาดว่าภาคปศุสัตว์ต้องอยู่ในสถานะ “ปาดเหงื่อ” จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับสูงขึ้น จากการประกาศของรัสเซีย ซึ่งรัฐบาลควรพิจารณาแนวทางการช่วยลดภาระของเกษตรกร ด้วยการปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นตามกลไกตลาด (Demand-Supply) เพื่อสนับสนุนภาคการผลิตให้มีเงินทุนหมุนเวียนรักษากิจการไว้ได้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารให้การผลิตเนื้อสัตว์เดินหน้าได้ต่อเนื่องและเพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน

AIS PLAY เอาใจแฟนบอลไทย ยิงสด “ไทยลีก” จัดเต็มทุกแมตช์ ในราคาเริ่มต้น 59 บาท เท่านั้น

0

AIS PLAY ตอกย้ำความเป็นแพลตฟอร์มฟุตบอลไทย พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งต้อนรับการเปิดสนามการแข่งขันฟุตบอลลีกอาชีพสูงสุดของไทย ไทยลีก ฤดูกาล 2023-2024 จากการทำงานร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก จำกัด อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 3 เดินหน้าส่งมอบสุดยอดประสบการณ์การรับชมบอลไทย ทั้ง ไทยลีก เอฟเอคัพ และลีกคัพ ให้เชียร์แบบจุใจทั้งในรูปแบบชมสด ดูย้อนหลัง และไฮไลท์สำคัญ ผ่าน AIS PLAY ทุกช่องทาง กับแพ็กเกจสุดพรีเมี่ยมด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 59 บาทเท่านั้น

นางสาวรุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS กล่าวว่า “จากการทำงานร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ ไทยลีก อย่างต่อเนื่องในการนำประสบการณ์การแข่งขันฟุตบอลมาส่งต่อสู่สายตาแฟนบอลชาวไทย ทำให้เราเห็นถึงพลังของวงการลูกหนังไทยทั้งความเข้มข้นในการแข่งขัน ความตั้งใจของสโมสรต่างๆ และที่สำคัญคือกำลังใจจากแฟนบอลที่ส่งให้นักเตะทั้งจากในสนามและผ่านทางหน้าจอ ซึ่งเรามีความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนในการยกระดับการรับชมสู่การเป็นแพลตฟอร์มฟุตบอลไทยบน AIS PLAY”

“โดยในฤดูกาล 2023-2024 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เราพร้อมที่ส่งต่อสุดยอดความมันส์จากขอบสนามถึงหน้าจอลูกค้า ในการเชื่อมต่อประสบการณ์การรับชมที่ดีที่สุด ให้แฟนๆ ได้เต็มอิ่มจุใจแบบครบทุกแมตช์ตลอดทั้งฤดูกาล นับเป็นการตอกย้ำความเป็นศูนย์กลางการรับชมฟุตบอลไทยอย่างสมบูรณ์ รวมถึงวันนี้ AIS PLAY ยังเดินหน้าคัดสรรค์สุดยอดคอนเทนต์กีฬาระดับพรีเมี่ยมเข้ามาเติมเต็มให้ AIS PLAY เป็นผู้ให้บริการ Streaming Service Provider ด้านกีฬาชั้นนำของประเทศ”

สำหรับลูกค้า AIS ทั้งโมบายล์และ AIS Fibre สามารถรับชมฟุตบอลไทยลีก 1, ฟุตบอลช้างเอฟเอ คัพ และฟุตบอลรีโว่ คัพ สดทุกแมตช์ พร้อมไฮไลท์ และ รีรัน ได้อย่างจุใจ ในทุกช่องทางบน AIS PLAY ทั้งแอปพลิเคชัน, เว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th/portal/screen/SportsWeb/, กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TV, Apple TV  กับแพ็กเกจ Thai League PACK เพียง 59 บาท/เดือน หรือ 500 บาท/ฤดูกาล