Home Blog Page 134

เกษตรกรปลื้ม ปุ๋ยเปลือกไข่-มูลไก่-น้ำปุ๋ย จากซีพีเอฟ ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ลดเสี่ยงแล้ง

0

การขาดแคลนน้ำและต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น นับเป็นปัญหาใหญ่ที่พี่น้องเกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชต้องแบกรับ เนื่องจากต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีคิดเป็น 19-20% ของต้นทุนการเพาะปลูกพืชทั้งหมด ขณะที่น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช ที่ผ่านมาภาครัฐต่างผลักดันแนวทางการบริหารจัดการน้ำ และสนับสนุนแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการดินและปุ๋ยมาโดยตลอด

ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนหลายแห่งก็จัดโครงการเพื่อสนับสนุนแนวทางที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่นเดียวกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ดำเนินโครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร จากความสำเร็จของฟาร์มสุกรที่ดำเนินการมากว่า 20 ปี ต่อยอดสู่ธุรกิจไก่ไข่ ที่เดินหน้าทั้งโครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร และโครงการปุ๋ยมูลไก่ รวมถึงธุรกิจไก่เนื้อ ดำเนินโครงการปุ๋ยเปลือกไข่สู่ชุมชนและเกษตรกร ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และลดความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งแก่เกษตรกรในพื้นที่รอบข้างสถานประกอบการของบริษัทได้อย่างเป็นรูปธรรม

นายเกษม ลาดสันเที๊ยะ เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย 20 ไร่ ที่อยู่ตรงข้าม Complex ไก่ไข่จักราช อ.จักราช จ.นครราชสีมา เล่าว่า ตนเองเป็นเกษตรกรรายแรกๆที่รับมูลไก่จากฟาร์มมาใช้กับต้นอ้อย พื้นที่ 20 ไร่ ซึ่งมูลไก่มีธาตุไนโตรเจนสูง ช่วยให้ผลผลิตดี เมื่อเพื่อนเกษตรกรรายอื่นเห็นว่าดีก็ใช้ตาม จากนั้นจึงปรึกษากับทีมงานซีพีเอฟเรื่องการรับน้ำปุ๋ยมาใช้ เพื่อทดลองว่าจะช่วยให้ต้นอ้อยได้ผลผลิตดีขึ้นหรือไม่ โดยบริษัทใช้รถแบคโฮตัวเล็กมาขุดร่องเหมืองเล็กๆเพื่อดึงน้ำมาใช้ โดยเริ่มให้น้ำปุ๋ยเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตอนอ้อยรัดตอสูงประมาณ 75 เซนติเมตร – 1 เมตร พออ้อยตั้งลำได้ 3-4 ข้อ จึงเริ่มปล่อยน้ำให้ เมื่อเทียบการให้ปุ๋ยเคมี กับการใช้มูลขี้ไก่และน้ำปุ๋ย พบว่าอ้อยรากเดินดี ขยายกอใหญ่ ให้ลำเยอะ ลำใหญ่ ข้อยาว

“รอบที่ผ่านมาใช้น้ำปุ๋ยและมูลไก่ทำให้ได้ผลผลิตอ้อยสูงถึง 20-25 ตันต่อไร่ จากที่เคยใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวได้ผลผลิตไร่ละ 18 ตัน รายได้จึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และยังช่วยลดต้นทุนค่าปุ๋ยจากเมื่อก่อนตลอดการปลูก 1 ปี ใช้ปุ๋ยเคมี 20 กระสอบ ตอนนี้ลดปุ๋ยเคมีได้ 50% หรือใช้เพียง 10 กระสอบเท่านั้น ขอบคุณซีพีเอฟที่จัดโครงการนี้ดีๆแบบนี้ ทำให้ชุมชนและฟาร์มอยู่อย่างเกื้อกูลกัน ช่วยทั้งลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต แก้ปัญหาภัยแล้ง และเกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น” นายเกษม กล่าว

ส่วน นายหล๊ะ ดุไหน เกษตรกรชาว ต.ตลิ่งชัน อ.จะนะ จ.สงขลา ต้นแบบเกษตรกรที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มไก่ไข่จะนะ บอกว่า ใช้น้ำปุ๋ยสำหรับรดแปลงปลูกหญ้าเนเปีย พื้นที่ 10 กว่าไร่ ใช้รดสวนปาล์มอีก 10 ไร่ และล่าสุดใช้กับแปลงปลูกฟักทอง 10 ไร่ รอบการปลูกที่ผ่านมาได้ผลผลิตฝักทองมากถึง 20,000 กิโลกรัม ได้กำไรประมาณ 200,000 บาท เพราะได้น้ำปุ๋ย ซึ่งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี ที่มีแร่ธาตุที่ต้นพืชต้องการครบถ้วน ทำให้เถาฟักทองแข็งแรง ให้ดอกมาก ติดผลดก ลูกฟักทองใหญ่ น้ำหนักดี ผิวสวยขายได้ราคาดี ช่วยสร้างรายได้ที่ดี และวางแผนขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มอีก 10 ไร่ ในรุ่นต่อไป

ทางด้าน นายสิงห์คำ เป็งเรือน เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ในพื้นที่ ต.ห้วยทราย อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า เริ่มรับปุ๋ยเปลือกไข่ จากฟาร์มไก่ไข่สันกำแพง มาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อทดลองว่าจะใช้ได้ดีกับการปลูกข้าวหรือไม่ โดยพื้นที่นาข้าว 2.5 ไร่ ใช้ปุ๋ยเปลือกไข่ปริมาณ 1 ตันต่อไร่ นำมาโรยแล้วไถกลบ ช่วยปรับสภาพดินก่อนการเพาะปลูก ตอนนี้ข้าวอายุ 2 เดือน เห็นความแตกต่างจากแต่ก่อน เพราะได้ข้าวกอใหญ่ ลำใหญ่ เขียวดี เนื่องจากเปลือกไข่มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ที่ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของต้นพืช คาดว่ารอบนี้จะได้ผลผลิตดีขึ้น และสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีลง จากปกติหนึ่งรอบใช้ 20 กิโลกรัมต่อไร่ รอบนี้น่าจะลดลงเหลือ 15 กิโลกรัมต่อไร่

“โครงการนี้ดีมาก ช่วยลดค่าปุ๋ย ช่วยประหยัดต้นทุน คาดว่าผลผลิตข้าวน่าจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน เพราะข้าวกอใหญ่ ตอนนี้เตรียมปุ๋ยเปลือกไข่สำหรับใส่นาปรังไว้แล้ว ขอบคุณที่บริษัทช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรมาตลอด” นายสิงห์คำ กล่าว

สำหรับ ธุรกิจไก่ปู่-ย่าพันธุ์เนื้อของซีพีเอฟ โดยโรงฟักชัยภูมิ ดำเนินโครงการ “ปุ๋ยเปลือกไข่ สู่ชุมชน และเกษตรกร” โดยสนับสนุนเปลือกไข่และมูลไก่แก่ “โครงการสร้าง สาน สุข วิถีชุมชน ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง บ้านซับรวงไทร จ.ชัยภูมิ” ที่เกษตรกร 62 คน รวมตัวกันผลิตปุ๋ยหมักเปลือกไข่ใช้เอง สามารถผลิตปุ๋ยหมักเปลือกไข่ได้ปีละ 10,000 กระสอบ เพื่อแจกจ่ายให้สมาชิกฯ เกษตรกรได้นำไปใช้กับไร่ นา สวน และมอบแก่ชุมชนนำไปใช้ประโยชน์ ซึ่งทุกคนที่นำปุ๋ยหมักเปลือกไข่ไปใช้ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าปุ๋ยที่ได้ช่วยปรับปรุงคุณภาพดินให้ร่วนซุย เหมาะแก่การเพาะปลูกและการเติบโตของพืช ได้ผลผลิตดีขึ้น ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ต้นทุนการเพาะปลูกจึงลดลง สภาพแวดล้อมในพื้นที่ดีขึ้น คนในชุมชนได้บริโภคผักปลอดสารเคมีที่ตัวเองปลูก นับเป็นการบริหารจัดการของเสียแบบบูรณาการด้วยการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างความมุ่งมั่นของซีพีเอฟ ในการดำเนินโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม มีส่วนร่วมสนับสนุนให้เกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงสถานประกอบการ ได้พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ก้าวผ่านวิกฤติภัยแล้ง และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีจากการลดการใช้ปุ๋ยเคมีในการผลิต สอดรับตามกลยุทธ์สู่ความยั่งยืน 3 เสาหลักของบริษัท คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และ ดินน้ำป่าคงอยู่

สมาคมผู้เลี้ยงสุกร วอน ก.เกษตร-พาณิชย์ เร่งแก้ปัญหาราคาหมูตกต่ำด่วน โอดแบกขาดทุนต่อไม่ไหว

0

นายนิพัฒน์ เนื้อนิ่ม อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ และนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า ผู้เลี้ยงสุกรอยากขอร้องให้ทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ที่เห็นชอบโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกร และให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลราคาสุกรอย่างจริงจัง รวมถึงแนวทางการชดเชยดอกเบี้ยเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ปี 2566 เพื่อต่อชีวิตผู้เลี้ยงหมูให้สามารถขายหมูได้ในราคาที่เป็นธรรม

“ผู้เลี้ยงสุกร ขอให้กรมปศุสัตว์และกรมการค้าภายใน เร่งตั้งคณะทำงานที่มีผู้เกี่ยวข้องจากทุกฝ่ายทั้งสมาคมผู้เลี้ยงสุกร และผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่ของการจำหน่ายเนื้อสุกรทั้งหมด มาร่วมหารือเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ คือ ผู้เลี้ยง เป็นการด่วนเพราะขาดเงินทุนหมุนเวียนเป็นเวลานาน หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อ ผู้เลี้ยงหมูคงต้องเลิกกิจการแน่” นายพิพัฒน์ กล่าวและเสริมว่า ภาครัฐสามารถเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วได้โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ภายใต้กระทรวงพาณิชย์

นอกจากนี้ Pig Board ยังเห็นชอบให้ขยายผลระบบฐานข้อมูล Big Data ด้านปศุสัตว์ โดยขยายขอบเขตการใช้งานสู่สาธารณะ เปิดโอกาสให้ผู้เลี้ยงสุกรของไทยสามารถใช้งานร่วมกันได้ทั้งระบบ สนับสนุนการกำหนดราคาขายสุกรมีชีวิตตามโครงสร้างต้นทุนการผลิต เพื่อประโยชน์สูงสุดของเกษตรกรในการรักษาเสถียรภาพราคา ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”

สำหรับปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มตกต่ำหนักขณะนี้ คือ กลไกราคาถูกบิดเบือนเนื่องจากการลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” มาแทรกแซงตลาด ซึ่งขายในราคาต่ำกว่าหมูไทยมาก ส่งผลให้เกษตรกรขายหมูขาดทุนสะสมต่อเนื่อง ขาดเงินทุนหมุนเวียนอย่างหนัก จำเป็นต้องขายหมูในราคาที่ขาดทุนให้พ่อค้าเพื่อนำเงินมาบริหารจัดการฟาร์ม

นายนิพัฒน์ กล่าวว่า หลังไทยเริ่มควบคุมโรคระบาด ASF ได้ ผู้เลี้ยงสุกรมีความมั่นใจมากขึ้นในการนำหมูเข้าเลี้ยงหวังสร้างอาหารปลอดภัยและมีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภคของคนไทย แต่ต้องประสบปัญหาหลายด้านต่อเนื่อง เริ่มจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารปรับสูงขึ้นจากผลของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันนี้ ตามด้วยปัญหา “หมูเถื่อน” ที่การปราบปรามเริ่มจริงจังช่วงปลายปี 2565 ทำให้ราคาในประเทศบิดเบือน อีกทั้งมีการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจำนวนมาก ในช่วงที่ผลผลิตหมูไทยจากการฟื้นฟูฟาร์มออกสู่ตลาด ยิ่งกดให้ราคาต่ำลง

“ปัจจุบันราคาประกาศหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มเฉลี่ยอยู่ที่ 64-66 บาทต่อกิโลกรัม แต่เกษตรกรขายได้จริงประมาณ 54-60 บาท เท่านั้น ขณะที่ต้นทุนสูงประมาณ 80 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเกษตรกรพยายามทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอดทั้งยอมจับหมูขนาดเล็ก หรือ จับหมุออกขายก่อนกำหนด ไปทำหมูหันและหมูย่าง เพื่อความอยู่รอด” นายนิพัฒน์ กล่าว

หลายประเด็นลงทุน : อย่าเข้าใจผิด ชีวิตเปลี่ยน

0
บทความโดย คุณสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน
การลงทุนมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงควบคู่กัน การไม่ลงทุนเลยเป็นการปิดโอกาสของอนาคตที่น่าเสียดาย แต่ต้องไม่มั่นใจเกินความจริง เพราะโอกาสทายผิดเกิดขึ้นได้ในบางครั้งหลายปีที่ผ่านมา การที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียง 0.50-1.50% เป็นเวลานาน มีผลทำให้เกิดผู้สนใจเข้าลงทุนในสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ทั้งหุ้น ทอง กองทุน หุ้นกู้ หรือแม้กระทั่งคริปโท กันอย่างมากมาย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ที่คนไทยได้หาทางออกในการออมเงินรูปแบบที่มากกว่าการฝากธนาคารเพียงอย่างเดียว โดยมีข้อมูลสถิติ และมีเหตุผลทางวิชาการสนับสนุนอย่างหนักแน่นว่า สินทรัพย์เพื่อการลงทุนนั้นมีผลตอบแทนระยะยาวดีกว่าเงินฝากแต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าสอดคล้องกัน สำหรับหลักการในการลงทุนต่างๆ เช่น ความรู้ในสินทรัพย์ที่ลงทุน การกระจายความเสี่ยงการลงทุน ความรู้ทางการวิเคราะห์  เทคนิคและกลยุทธ์การลงทุน คุณผู้อ่านน่าจะเคยเห็น เคยฟังกันมามากพอสมควร  บทความวันนี้ ผมจะขอจับบางประเด็นของการลงทุนที่ต้องระวังการเข้าใจผิดเพราะชีวิตอาจเปลี่ยนไปสู่ความย่ำแย่ได้ มีประเด็นดังนี้ครับ
  • เรื่องของหุ้น หลายท่านรู้ว่า ให้ใช้หลักการกระจายการลงทุน จึงกระจายไปในหลายหุ้นแล้ว แต่ว่าหลายหุ้นนั้นเป็นธุรกิจประเภทเดียวกันหมดเลย เวลาธุรกิจนั้นแย่ จึงเเย่ไปทั้งหมด เช่นลงหุ้นเกี่ยวกับท่องเที่ยวทั้งหมด แล้วมาเจอภาวะโควิดอย่างยาวนาน  ที่จริงต้องกระจายหุ้นไปในหลายธุรกิจ (ที่เลือกแล้วว่าแนวโน้มธุรกิจดี)
  • เลือกหุ้นที่มี Volume ซื้อขายเยอะแสดงว่าหุ้นดีมีคนเข้าซื้อเยอะ  อันนี้จริงบางส่วน แต่มีหลายหุ้นที่ไม่จริงนะครับ โดยเฉพาะหุ้นที่ผลการดำเนินงานปัจจุบันยังไม่เคยมีแววดีเลย มีแต่ข่าวและการแสดงวิสัยทัศน์ที่น่าตะลึงพรึงเพริด กรณีนี้ นอกจากวิธีต้องไปตรวจจากงบการเงิน ดูกำไร และ Cashflow แล้ว ผมแนะให้ไปดูว่ามีบทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน (IAA Consensus) ใน www.settrade.com หรือไม่นะครับ ปกติแล้ว  แม้ว่านักวิเคราะห์ไม่ค่อยเขียนหุ้นขนาดกลางถึงเล็กเพราะไม่มีกำลังคนมากพอ  แต่ถ้าเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายมากและเป็นบริษัทดี  นักวิเคราะห์ไม่ทิ้งให้เหงาแน่  ต้องมีคนเข้าไปวิเคราะห์ไว้มากมาย ดังนั้น ถ้าไม่มีเลย หรือมีแค่ 1-2 ราย ทั้งๆ ที่มี Volume มากแบบนี้ โปรดไตร่ตรองให้ดีครับ 
  • ตลาดล่วงหน้าเปิดโอกาสให้ทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง กรณีนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ท่านที่มีวิทยายุทธ์ที่ดีที่จะทายทิศทางให้ถูก จึงต้องเข้าใจตรงกันครับว่า ถ้าทายผิดก็ต้องขาดทุนครับ จึงไม่ควรทุ่มหนักตรงนี้เพราะเข้าใจว่าคงกำไรดีทั้งตอนขาขึ้นและขาลง
  • ทองคำ ตามรายงานข่าวมักเห็นคำว่า ทองคำเป็น Safe Haven หลายคนเลยเข้าใจว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยไม่เสี่ยง อันนี้ต้องเรียนว่า ตามสถิติเห็นได้ชัดเจนว่าทองคำเป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่มีราคาขึ้นลงรุนแรงพอสมควร  สถิติรายปี บางครั้งขึ้น 7-8 ปีต่อเนื่อง  รวมแล้วหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่รอบที่ลงก็แย่ยาวไป 3-5 ปี รวมขาลง ร่วม 30-40% ทีเดียว แต่เฉลี่ยแล้วก็นับว่าให้กำไรระยะยาว เฉลี่ยปีละ 6% ดังนั้น แม้พวกเรารวมถึงผมด้วย จะสนใจลงทุนทองคำแต่ต้องเข้าใจตรงกันว่า เป็นของเสี่ยง มีโอกาสที่จะลงมากเป็นบางจังหวะครับ  สรุปแล้วทองคำแม้จะน่าสนใจ แต่ไม่ควรทุ่มหมดหน้าตัก ควรกระจายเงินไปในสินทรัพย์การเงินอื่นๆด้วย
  • หลายคนฟังมาว่า หุ้นกู้เสี่ยงน้อยกว่าหุ้นสามัญ ดังนั้นถ้าไม่อยากเสี่ยงมากก็เล่นหุ้นกู้ ประเด็นนี้เป็นจริงในกรณีที่เป็นหลักการกว้างๆ โดยเฉลี่ย และเป็นจริงแน่ในกรณีเป็นหุ้นกู้เทียบกับหุ้นสามัญของบริษัทเดียวกันหรือระดับความเสี่ยงเท่ากัน  แต่เนื่องจากหุ้นกู้นั้นมีหลายบริษัทเป็นผู้ออก  จึงมีระดับความเสี่ยงแตกต่างกันมาก  บางบริษัทมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) สูง หรือค่อนข้างสูง  ระดับ Investment Grade จึงสามารถให้อัตราดอกเบี้ยต่ำ  แต่บางบริษัทก็มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า Investment Grade  ซึ่งจัดเป็น Speculative-grade Bond บางทีก็เรียกชื่อที่บาดใจว่า Junk Bond นอกจากนั้น บางหุ้นกู้ที่ขาย ถึงขั้นไม่มีการประกาศอันดับความน่าเชื่อถือเลย  แบบนี้ต้องใช้ความระมัดระวังมาก  แม้จะตั้งอัตราดอกเบี้ยให้สูงลิบลิ่ว  6-7 % ต่อปี  ก็ไม่ได้แปลว่าน่าสนใจที่สุดเพราะได้ดอกเบี้ยมากที่สุด รวมทั้งอย่านึกไปว่ายังเสี่ยงน้อยกว่าเล่นหุ้น  เพราะในเหตุการณ์จริงมีหุ้นกู้บางบริษัทที่ไม่สามารถจ่ายเงินคืนให้เห็น  ขณะที่หุ้นสามัญของบริษัทชั้นดีในตลาด  ก็ยังมีความแข็งแรงทางผลดำเนินงานและฐานะการเงิน  ในระยะยาวถ้าราคาลงก็ยังมีโอกาสขึ้นไปใหม่ จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอ  ถ้าอยากจะขายหุ้นสามัญชั้นดีก็สะดวกสบายขายได้ทันที  ดูแล้วน่าสนใจกว่าไปลง Junk Bond ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแบบนี้ครับ
  • คำว่าถ้าไม่ขายก็ไม่ขาดทุน  ประเด็นนี้ น่าจะเป็นคำสอนที่พาลงเหวไปก็มากนะครับ  เพราะคำนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อหุ้นที่ถือมีธุรกิจที่ดี  ยังไม่มีสถานการณ์วิกฤติทางธุรกิจหรือภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในทางแย่ลงรุนแรง ในความจริงนั้น ถ้าราคาหุ้นลงก็ต้องยอมรับความจริงว่ากำลังขาดทุน  ส่วนจะสู้ต่อหรือมอบตัวแค่ตรงนี้ ก็เป็นอีกขั้นหนึ่ง  ดังนั้น ในกรณีหุ้นที่เราถืออยู่เกิดวิกฤติทางธุรกิจ หรือวิกฤติความน่าเชื่อถือ  ถ้าไม่ขายก็หายนะได้เลยนะครับ
  • เข้าหุ้นตามคุณ ABC ดีกว่า เขาเคยเล่นได้กำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จนรวยแล้ว  ไม่น่าจะพลาด  ประเด็นนี้ ก็ไม่ควรมั่นใจสุดขีดขนาดนั้นครับ  เพราะผลกำไรในอดีตไม่ได้รับประกันว่าจะได้เหมือนกันในอนาคต  รวมทั้งคนที่เคยกำไรมากๆ บางกรณีนั้นอาจมาจากเล่นแบบใจถึงแล้วเดาถูกก็มี  นอกจากนั้น เราก็น่าจะเคยเห็นการไปเล่นตามคนที่เคยกำไรดี พอครั้งหน้าเราทุ่มตามอย่างมั่นใจก็ขาดทุนเลยก็มี ดังนั้น เราอาจต้องไปดูก่อนว่า คุณ ABC มีหลักการเหตุผล วิธีการเลือกหุ้นลงทุนที่ดีน่าศึกษาเรียนรู้หรือไม่ ถ้าใช่ เราก็ลองศึกษาเรียนรู้ตามแนวทางที่เขาทำ  และถ้ามีบทวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานของนักวิเคราะห์ให้ดู ก็เอามาพิจารณาความสมเหตุสมผลประกอบ  สุดท้ายเราเป็นผู้ไตร่ตรองตัดสินใจเองตามข้อมูล ดีกว่าเล่นตามคนอื่นเเบบไม่ดูเนื้อหานะครับ

สุดท้ายวันนี้ ขอเรียนว่า การลงทุนมีทั้งโอกาสและความเสี่ยงควบคู่กัน การไม่ลงทุนเลยเป็นการปิดโอกาสของอนาคตที่น่าเสียดาย แต่ต้องไม่มั่นใจเกินความจริง เพราะโอกาสทายผิดเกิดขึ้นได้ในบางครั้ง

 ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนครับ

AIS เอาใจนทท.จีนด้วยซิมท่องเที่ยว “AIS LUCKY SIM CARD” ขานรับนโยบายฟรีวีซ่าจีน

0

AIS 5G ผนึกกำลัง Trip.com Group ผู้นําด้าน OTA (Online Travel Agent) อันดับ 1 ของจีน ขานรับนโยบายฟรีวีซ่าจีน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ผ่านการเติมเต็มประสบการณ์การใช้งานให้นักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวได้แบบ Seamless บนแพลตฟอร์ม Ctrip ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม แพ็กเกจท่องเที่ยว ไปจนถึงบริการจาก AIS 5G ที่วันนี้เข้าไปอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและนักเดินทางชาวจีนสามารถซื้อซิมการ์ดสำหรับนักท่องเที่ยว ก่อนการเดินทางมาไทย กับ AIS LUCKY SIM CARD เพื่อการเชื่อมต่อการสื่อสารได้แบบไร้รอยต่อบนโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั้งกว้างสุด ไกลสุด สูงสุด ลึกสุดในไทย และแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมไม่ว่าจะเป็น วัดพระแก้ว ถนนข้าวสาร สวนจตุจักร ให้ทุกทริปการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้รับประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุด ทั้งการสื่อสาร เล่นโซเชียล และแชร์ความประทับใจได้ไม่สะดุดตลอดทริป

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า “ภาคการท่องเที่ยวถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เห็นได้จากการที่รัฐบาลชุดใหม่ออกนโยบายในการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวยกเว้นวีซ่าแบบชั่วคราวให้กับประเทศจีนรวมระยะเวลา 5 เดือน ซึ่งครอบคลุมไปถึงช่วงโกลเด้นวีค หรือวันหยุดยาวสำคัญของชาวจีนทั้ง 2 ช่วง ได้แก่ วันชาติจีนช่วงวันที่ 1 ตุลาคม และเทศกาลตรุษจีนในเดือน กุมภาพันธ์ปีหน้า เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีนให้กลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง ดังนั้น AIS ในฐานะองค์กรภาคเอกชนหลักของประเทศด้านสื่อสารและบริการดิจิทัลของประเทศ เราพร้อมสนับสนุน Ecosystem ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยให้กลับมาคึกคักและเติบโตอีกครั้ง ด้วยการทำงานกับ Strategic Partner อย่าง Trip.com group ในฐานะผู้ให้บริการ OTA อันดับ 1 ของจีน โดยมาร่วมกันเติมเต็มประสบการณ์ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่กำลังวางแผนเดินทางมาเที่ยวยังประเทศไทยแบบ Seamless บนแพลตฟอร์ม Ctrip ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักโรงแรม แพ็กเกจท่องเที่ยว ไปจนถึงบริการสื่อสารจาก AIS อย่าง AIS LUCKY SIM CARD ที่นักเดินทางท่องเที่ยวชาวจีนสามารถซื้อและเปิดใช้งานซิมท่องเที่ยวได้ก่อนการเดินทาง เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ดิจิทัลรวมถึงการใช้งานสื่อสารในไทยได้อย่างอุ่นใจตลอดทริป เพราะเราเชื่อว่าการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวต้องอาศัยแรงผลักดันจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะช่วยส่งต่อเรื่องราวความประทับใจของสถานที่ท่องเที่ยวไทยสู่สายตาชาวโลก และจะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยพลิกฟื้นการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน”

ด้าน นางสาวฤดีพรรณ เต็มชื่น ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Trip.com group กล่าวว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่วันนี้บริการของ Trip.com Group จะมีความหลากหลายและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ผ่านการทำงานร่วมกับผู้นำด้านโทรคมนาคมสื่อสารอันดับ 1 ของไทย อย่าง AIS เพื่อส่งมอบบริการสื่อสารให้นักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้แบบครบจบในที่เดียว ตั้งแต่การจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรมที่พักไปจนถึงการวางแผนการเดินทาง รวมถึงเรื่องการสื่อสารอย่างซิมท่องเที่ยวจาก AIS ที่นักท่องเที่ยวสามารถออกแบบแผนการเดินทางได้ตามความต้องการ นับเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังมีแผนเดินทางมายังประเทศไทยให้ได้รับประสบการณ์ที่ครบครันและแตกต่าง เราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือครั้งนี้จะไม่ใช่เป็นแค่เพียงการเพิ่มบริการสื่อสารบนแพลตฟอร์มเท่านั้น แต่ยังเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ อันจะนำมาซึ่งการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศต่อไป”

สำหรับนักท่องเที่ยว นักเดินทาง ชาวจีน ที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย สามารถซื้อและเปิดใช้งานซิมท่องเที่ยว AIS LUCKY SIM CARD ได้บนแพลตฟอร์ม Ctrip โดยมีแพ็กเกจหลากหลายให้เลือกซื้อให้ตรงกับความต้องการนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย นอกจากนี้สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ซื้อแพ็กเกจ AIS LUCKY SIM CARD ยังได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ฟรีประกันการเดินทางคุ้มครองสูงสุด 50,000 บาท, ส่วนลดช้อปปิ้งกับร้านค้ายอดฮิต, โรงแรมที่พักและร้านอาหารร้านดังในไทยที่คัดสรรมาให้นักท่องเที่ยวชาวจีนโดยเฉพาะ

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง https://www.ais.th/en/consumers/package/international/tourist-plan/china

“เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน” ดอกเบี้ยเบิ้มๆ แบบไม่เกรงใจใคร รับเต็ม ไม่เสียภาษี

0

“การออม” เป็นรากฐานของความมั่นคงทางการเงิน  แม้ว่าในคนยุคใหม่ อาจเห็นความสำคัญของการออมน้อยลง เนื่องจากแนวคิด พฤติกรรมและบริบททางสังคมต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป  แต่ถึงกระนั้น การออมก็ยังมีความสำคัญอยู่มาโดยตลอด

“ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อสังคม”   ยังคงตระหนักถึงความสำคัญของการออมมาอย่างยาวนาน และที่ผ่านมา ได้ดำเนินภารกิจ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการออมในภาคประชาชน  ผ่านการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากที่หลากหลาย และนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนไทยเห็นความสำคัญของการออมเพิ่มมากขึ้น

ล่าสุด ธนาคารออมสินได้ออกผลิตภัณฑ์  “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน” ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง 1.75% ต่อปี เทียบเท่าเงินฝากประจำ 2.05% ต่อปี

สำหรับใครที่เป็นสายรักการออม สามารถเปิดบัญชีได้ โดยฝากเงินขั้นต่ำ 10,000 บาท และ ไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุด  และฝากเพิ่มได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท อีกทั้งสำหรับบุคคลธรรมดา ยังจะได้รับดอกเบี้ยเต็ม ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย

นอกจากนี้ ผู้ฝากสามารถถอนเงินได้ตามความต้องการทั้งจำนวนเงินและเวลา สามารถถอนครั้งละเท่าไรก็ได้ แต่การถอนหรือปิดบัญชีก่อนฝากครบ 13 เดือน  จำนวนเงินที่ถอนจะได้รับการคำนวณดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากประเภทเผื่อเรียก

สามารถติดต่อขอเปิดบัญชี “เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน” กับธนาคารออมสินทุกสาขา ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2566 โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/45Yp3ce

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook Fanpage  : GSB Society

อย่าพลาดโอกาสดีๆ  รับดอกเบี้ยเบิ้มๆ แบบไม่เกรงใจใคร รับเต็มไม่เสียภาษี  กับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน ของธนาคารออมสิน

⚠ เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 

รู้เก็บรู้ออม : “สินทรัพย์ดิจิทัล” กับ “ความยั่งยืน” ใน EU

0

โลกของการลงทุนยุคใหม่ ต้องยอมรับว่า “สินทรัพย์ดิจิทัล” และ “ความยั่งยืน” เป็นเรื่องใหม่ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจนกลายเป็นเทรนด์การลงทุนสมัยใหม่ทั้งในตลาดทุนไทยและตลาดทุนในต่างประเทศ

“คุณนายพารวย” ทราบมาว่า เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ได้ไปศึกษาดูงานที่สวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนี โดยได้ประชุมหารือกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจเกี่ยวโยงกับด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น SIX Digital Exchange, Deutsche Borse Group และกลุ่มที่เกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืนและการกำกับดูแล อย่าง Gold Standard, European Energy Exchange, Swiss National Bank

ทั้งสองประเทศอยู่ในกลุ่ม EU ที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน และมีการพัฒนาเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่นๆในกลุ่ม เห็นได้จากการที่มีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นจำนวนมาก เช่น SIX Digital Exchange ที่เคยทำธุรกิจตลาดหลักทรัพย์มาก่อน ก่อนจะขยายตัวมาทำสินทรัพย์ดิจิทัล ขณะที่ด้านความยั่งยืน 2 ประเทศนี้ ก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม สะท้อนถึงแนวโน้มการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในพันธบัตร Green Bond, Weather Derivatives (อนุพันธ์ที่เกี่ยวกับภูมิอากาศ) และคาร์บอนเครดิต

สังคมโลกให้ความสำคัญกับการจัดการด้านคาร์บอนมากขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่โครงการคาร์บอนเครดิตในไทย ส่วนใหญ่ยังเลือกใช้มาตรฐานของไทยเป็นหลัก มีเพียงส่วนน้อยที่เลือกขึ้นทะเบียนกับ Gold Standard หรือองค์กรอื่นในระดับสากล โดยเฉพาะคาร์บอนเครดิตที่เกี่ยวกับการปลูกป่า

ด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ภาพรวมยังมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิมอย่างหุ้น, กองทุน อย่างไรก็ตาม ทั้งตลาดลงทุนสินทรัพย์ดั้งเดิม และสินทรัพย์ดิจิทัลยังคงดำเนินการควบคู่กันไป

ตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ครั้งนี้มาพัฒนาแผนงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การพัฒนาโครงการเพื่อส่งเสริมให้ไทยมีคาร์บอนเครดิตตามมาตรฐานของ Gold Standard โดยกำลังพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง Gold Standard และตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต นอกจากนี้ ยังจะสนับสนุนให้ผู้พัฒนาโครงการสามารถขอขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตของ Gold Standard ได้มากขึ้น

รวมทั้งการพัฒนาระบบและเครื่องมือเพื่อช่วยให้ บจ.สามารถระบุและคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต.และการประเมินบริษัทจดทะเบียนในการคัดเลือกหุ้นยั่งยืน ซึ่งจะมีการประกาศผลรายชื่อหุ้นยั่งยืนในเดือน พ.ย.2566 นี้

ส่วนด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ก็จะมีการเพิ่มช่องทางการระดมทุนในรูปแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะโทเคนเพื่อการลงทุน (Investment Token) โดยมีแผนทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแล เช่น ก.ล.ต. กระทรวงคลัง แบงก์ชาติ และภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันการปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ในการพัฒนาตลาดทุนไทย.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ไมโครเวฟอุ่นอาหารปลอดภัย แค่ใช้ให้ถูกวิธี

0

ผู้เชี่ยวชาญ จุฬาฯ ย้ำ อย่าตระหนก การใช้ไมโครเวฟอุ่นอาหารปลอดภัย และยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่าการนำน้ำหรืออาหารที่ใส่ภาชนะพลาสติกและให้ความร้อนด้วยไมโครเวฟอย่างถูกวิธีจะทำให้เกิดภาวะมีไมโครพลาสติกในกระแสเลือด

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การใช้เตาไมโครเวฟอุ่นอาหาร เป็นการทำให้อาหารสุกและร้อนด้วยคลื่นไมโครเวฟ มีความปลอดภัยไม่ได้ก่อให้เกิดอันตราย เพียงผู้ใช้คำนึงถึงการใช้อย่างถูกวิธี ใช้อุ่นอาหารอย่างเหมาะสม และตรวจสอบคุณภาพของเครื่องสม่ำเสมอให้อยู่ในสภาพดี ช่วยประหยัดเวลาและสะดวกสบาย ที่สำคัญคุณค่าทางอาหารยังสูญเสียน้อยกว่าวิธีอื่น เนื่องจากใช้เวลาในการให้ความร้อนน้อยกว่า

รศ.ดร.สุรเชษฐ์ หลิมกำเนิด

ส่วนกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนแบรสกาในสหรัฐอเมริกา เรื่องการใช้เตาไมโครเวฟอุ่นพลาสติกและพบไมโครพลาสติกสลายออกมาในอาหาร ขอย้ำกับผู้บริโภคว่าอย่าเพิ่งตระหนกและกังวล เพราะยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าการนำน้ำหรืออาหารใส่ภาชนะพลาสติกไปให้ความร้อนด้วยเตาไมโครเวฟอย่างถูกวิธี โดยใช้ความร้อนและเวลาที่เหมาะสม จะทำให้เกิดภาวะมีไมโครพลาสติกในกระแสเลือดหลังจากรับประทานอาหารนั้น

ในงานวิจัยดังกล่าว นักวิจัยนำภาชนะที่ทำจากพลาสติกแบบพอลิโพรพิลีน (Poly-propylene: PP) ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) บรรจุน้ำ DI (Deionized water) และน้ำ DI ที่มีความเป็นกรดเล็กน้อย นำเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟแบบ 1000 วัตต์ เป็นเวลา 3 นาที จากนั้นนักวิจัยได้ทำการวัดปริมาณ ไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติก (Micro/nano plastics) ในน้ำ โดยเทียบกับน้ำที่เก็บอยู่ในภาชนะเดียวกันที่ปล่อยให้อยู่ในอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าทั้ง 2 การทดลองมีปริมาณพลาสติกขนาดเล็กอยู่เท่า ๆ กัน ดังนั้นไมโครพลาสติกจึงสามารถพบได้อยู่ทั่วไปไม่ใช่แค่เพียงการนำพลาสติกเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ นอกจากนี้นักวิจัยยังมีการนำเซลล์ไตตัวอ่อน (Human embryonic kidney cells) ไปแช่ในน้ำที่มีไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกเป็นเวลา 48 และ 72 ชั่วโมง และพบว่ามีการตายของเซลล์ประมาณ 78% อย่างไรก็ดี ในการทดลองนี้มีไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกอยู่มากกว่าที่พบในการทดลองอุ่นน้ำอยู่ 5,000 ถึง 10,000 เท่า

ทั้งนี้การทดลองไม่ได้เปรียบเทียบพลาสติกที่ปล่อยออกมาจากการอุ่นน้ำด้วยไมโครเวฟในภาชนะพลาสติก และการนำน้ำเดือดมาบรรจุในภาชนะพลาสติกเป็นเวลานานที่เท่ากัน จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่า พลาสติกที่พบนั้น เกิดจากผลของไมโครเวฟหรือเป็นผลของความร้อนของน้ำในภาชนะบรรจุ อีกทั้งการทดลองนี้ใช้ไมโครเวฟอุ่นน้ำในปริมาณที่น้อย และเวลาที่ใช้ในการต้มน้ำในไมโครเวฟไม่ได้สัดส่วนกับปริมาณน้ำ จึงทำให้น้ำร้อนมากเกินกว่าการอุ่นให้ร้อนตามการใช้งานปกติมาก ซึ่งแน่นอนว่าการให้ความร้อนที่มากเกินไปไม่ว่าจะโดยวิธีใด มีโอกาสที่จะทำให้พลาสติกเสียสภาพได้ ที่สำคัญงานวิจัยดังกล่าว ไม่ได้นำน้ำที่ต้มในภาชนะพลาสติกนั้นไปให้เด็กหรืออาสาสมัครดื่ม และไม่ได้มีการตรวจวัดไมโครพลาสติกในเลือดแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม อาหารแช่แข็งหรืออาหารแช่เย็นพร้อมรับประทานที่นำมาใช้อุ่นกับไมโครเวฟ สิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวัง คือ บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่นำเข้าเตาไมโครเวฟ ต้องทนความร้อน ในกลุ่มพอลิโพรพิลีน (Poly-propylene: PP) พอลิเอทิลีน (Poly-ethylene: PE) ซึ่งสามารถใช้กับเตาไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย และควรใช้พลาสติกชนิดที่ระบุว่าใช้กับเตาไมโครเวฟได้ เพราะเป็นพลาสติกคุณภาพดีและทนความร้อนเท่านั้น ที่สำคัญไม่ควรนำภาชนะใช้แล้วกลับมาอุ่นอาหารซ้ำอีก

“แม็คกรุ๊ป” จัดงานสัมมนาพันธมิตรธุรกิจ สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

0

บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดย นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จัดงานสัมมนาพันธมิตรทางธุรกิจ “MC GROUP BUSINESS PARTNERS CONNECT” ตอกย้ำกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับพันธมิตรในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพ ขยายโอกาสใหม่ๆ และสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายยศธน กิจกุศล นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย, นายเท็ตสึยะ มาเอโนะโซโนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไคฮาระ (ประเทศไทย) จำกัด, นายภูผานที มีใหม่ หัวหน้าฝ่ายขายผลิตภัณฑ์ซิปและกระดุม บริษัท วายเคเค (ประเทศไทยจำกัด และนายไกรภพ แพ่งสภา ตัวแทนคอตตอน ยูเอสเอ ในกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ เข้าร่วมงานมากกว่า 50 บริษัท เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2566 ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ ห้องรอยัล มณียา บอลรูม

AIS ส่งมอบเครื่อง iPhone 15 ให้ลูกค้ายาว 36 ชม.ทั้งวันทั้งคืน

0

สิ้นสุดการรอคอย!! หลังจากที่ AIS 5G เปิดให้ลูกค้าเป็นเจ้าของสั่งจอง iPhone รุ่นใหม่ล่าสุด ทั้ง iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลการตอบรับจากลูกค้าและสาวกไอโฟนอย่างล้นหลาม

เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสการใช้งานบนเครือข่ายอัจฉริยะ AIS 5G อันดับ 1 เร็วสุด ครอบคลุมที่สุดทั่วไทย ชาว AIS ตั้งใจส่งต่อรักครั้งใหม่แบบ Day & Night ในการจำหน่าย iPhone 15 วันแรก ให้ลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้ากับ AIS สามารถรับเครื่องได้ทั้งวันทั้งคืน โดยปักหมุดใจกลางเมืองย่านสยามสแควร์ที่ช็อป AIS SIAM อำนวยความสะดวกให้ลูกค้ายิงยาวต่อเนื่อง 36 ชั่วโมง มากไปกว่านั้นยังเพิ่มจุดบริการ Grab & Go ให้ลูกค้าที่จองผ่าน AIS Online Store สามารถรับเครื่องได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องลงจากรถได้เลย พิเศษไปกว่านั้นเอาใจสายคนเลิกงานดึก สำหรับลูกค้าที่มารับเครื่องช่วงกลางคืน AIS มีสเปเชียลเซอร์ไพรส์กับหม่าล่าเสียบไม้รสเด็ด จากร้านดัง เพิ่มความซี๊ดซ๊าดรอบดึกระหว่างการรอรับเครื่อง

นอกจากนี้ทาง AIS ยังพร้อมส่งมอบ iPhone 15 ผ่านทาง AIS Shop, AIS Telewiz ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการให้กับลูกค้าที่สั่งจองล่วงหน้าอีกด้วย ร่วมเป็นเจ้าของ iPhone 15 ทุกรุ่น พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษที่เดียวเท่านั้น  กับ AIS ได้แล้ววันนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ais.th/consumers/store/recommend/apple/iphone

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” เดินหน้าหนุน รร.ประชาพัฒนาบ้านแฮด จ.ขอนแก่น สอนนักเรียนสร้างคลังอาหารในโรงเรียน-ชุมชน ปีที่ 11

0

อนาคตทางการศึกษาที่ดีคือสิ่งที่เด็กและเยาวชนควรได้รับ แต่ถ้าระหว่างทางของการศึกษานั้นเด็กๆได้เรียนรู้พื้นฐานอาชีพและปูพื้นฐานการใช้ชีวิตด้วยแล้ว การศึกษานั้นย่อมก่อประโยชน์สูงสุดกับเยาวชนยิ่งขึ้น นี่คือนโยบายที่ผู้บริหารของโรงเรียนประชาพัฒนาบ้านแฮด ต.บ้านแฮด อ.บ้านแฮด จ.ขอนแก่น คิดและดำเนินอย่างเป็นรูปธรรม

หนึ่งความมุ่งมั่นในการนำเอาพื้นฐานอาชีพมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ให้กับเด็กๆบ้านแฮดทุกคน คือ “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” จากความร่วมมือของโรงเรียน มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ และหอการค้าญี่ปุ่น (JCC) ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถึง 11 ปี

“จุดเริ่มต้นของความร่วมมือในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ เกิดจากการที่ท่านนายอำเภอมาแนะนำ เพราะเคยทำโครงการนี้มาก่อนจะย้ายมาประจำที่นี่ เมื่อเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี จึงอยากให้ขยายมาในอำเภอบ้านแฮดด้วย เด็กๆจะได้มีไข่ไก่โปรตีนชั้นเยี่ยมมาทำเป็นอาหารกลางวัน ได้รับประทานไข่ที่สดใหม่ นักเรียนได้เรียนรู้การเลี้ยงไก่ จากนั้นมูลนิธิฯ เข้ามาสำรวจภาวะทุพโภชนาการของเด็กที่โรงเรียน ซึ่งตอนนั้นพบภาวะดังกล่าวแม้จะไม่มาก แต่ถ้าได้รับการสนับสนุนให้ได้บริโภคอาหารโปรตีนมากขึ้น ย่อมแก้ปัญหานี้ได้ เมื่อดูข้อมูลโรงเรียน ดูจำนวนนักเรียน และผ่านการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา จึงตกลงร่วมกันว่าจะทำโครงการฯนี้ในปี 2555 เริ่มเลี้ยงไก่ไข่ 150 ตัว สำหรับนักเรียน อนุบาล 1 – ประถม 6 ทั้ง 130 คน จากนั้นผู้อำนวยการและครูก็ได้เข้าร่วมอบรมการเลี้ยง และมีสัตวบาลซีพีเอฟเข้าดูแลมาตลอด” นางสาวกุลชญา สงวนศิลป์ หรือครูแหม่ม ครูผู้ดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ กล่าว

ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเจ้าหน้าที่ของบริษัทมาช่วยแนะนำ โดยมีครูผู้รับผิดชอบโครงการฯ และนักการภารโรง นายหาญชัย ปาณา และ นายสงวนศักดิ์ แผงตัน เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลัก ดูแลร่วมกับเด็กนักเรียนมาตลอด ในช่วงที่อากาศร้อนอาจมีปัญหาบ้าง ทางมูลนิธิฯและซีพีเอฟแนะนำให้ติดสปริงเกอร์บนหลังคา ติดพัดลมระบายอากาศในโรงเรือน และมีการจัดการของเสียในโรงเรือนด้วยการใช้ผ้าใบและปูแกลบไว้ใต้กรงเลี้ยง ที่ช่วยลดทั้งกลิ่นและทำให้จัดการง่ายขึ้น มูลไก่และแกลบยังเป็นปุ๋ยอินทรีย์สำหรับแปลงผักที่นักเรียนแต่ละชั้นเรียนรับผิดชอบ ในกิจกรรมเสริมการเรียน ตามนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลา(เรียน)รู้ อีกด้วย

สำหรับกิจกรรมในแต่ละวัน ครูแหม่มบอกว่า จะมีเด็กนักเรียนชั้นประถม 4-5-6 จัดเวรเข้ามาดูแลไก่ โดยมีพี่ประถม 6 เป็นหลัก 1-2 คน และน้องๆ ประถม 4-5 มาช่วยอีก 2 คน โดยนักเรียนทั้ง 3 ชั้นปี ทุกคนจะได้มีโอกาสหมุนเวียนเข้ามารับผิดชอบ เพื่อให้พวกเขาได้ฝึกความรับผิดชอบ เรียนรู้การมีส่วนร่วมทำงานเป็นทีม และเป็นการปูพื้นฐานด้านเศรษฐกิจพอเพียง น้องๆยังได้เรียนรู้เรื่องโภชนาการควบคู่ไปด้วย ที่สำคัญยังได้รู้ว่าอาหารที่รับประทานทุกวันมีแหล่งที่มาอย่างไร มีความปลอดภัยในอาหารจากฝีมือการเลี้ยงของพวกเขา นอกจากนี้ ยังได้ฝึกเรื่องบัญชีและการออม จากการทำบันทึกจำนวนไข่ไก่และการขายไข่ไก่เข้าโครงการอาหารกลางวัน ซึ่งปัจจุบันมีเงินทุนหมุนเวียนในโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯถึง 2 แสนกว่าบาทแล้ว

ด.ช.ธนวัฒน์ วงศ์ษา หรือน้องโน๊ต นักเรียนชั้นป.6 ที่รับผิดชอบโครงการฯ บอกว่า ชอบมากที่ได้มาเลี้ยงไก่ไข่ เพราะทำให้ได้ฝึกความรับผิดชอบ ฝึกการทำงานกันเป็นทีม คุณครูจะแบ่งเวรให้นักเรียนมาทำกิจกรรม ทั้งการเก็บไข่ไก่ นับและบันทึกจำนวนไข่ คิดราคาไข่ไก่ แล้วลงบัญชีที่คุณครูทำไว้ให้ และรวบรวมไข่ไก่ส่งเข้าโรงครัวทุกวัน ไข่ส่วนที่เหลือจะนำไปขายในชุมชน คุณยายของผมเคยมาซื้อไข่ไก่ที่โรงเรียนด้วย เพราะสด ใหม่ สะอาด ราคาถูกกว่าในตลาด บางครั้งต้องสั่งจองล่วงหน้าเพราะขายดีมาก ผมและเพื่อนๆชอบมากและตื่นเต้นทุกครั้งที่เก็บไข่ได้เยอะๆ เราภูมิใจทุกครั้งที่มีคุณครูจากโรงเรียนอื่นมาดูงานการเลี้ยงไก่ของโรงเรียนเรา มาดูวิธีการให้น้ำ ให้อาหาร และการดูแลไก่ โรงเรียนของเราได้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับคนอื่นๆ

ส่วน ด.ญ.พลอยพิชชา เสโส หรืออองฟอง นักเรียนชั้นป.6 บอกว่า รู้สึกดีใจมากที่ได้มีส่วนร่วมกับโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ พอถึงเวลาชั่วโมงสุดท้ายก่อนเลิกเรียน ก็จะมาเก็บไข่กับเพื่อนๆและน้องๆห้องอื่น ทุกคนตื่นเต้นมากเพราะลุ้นว่าวันนี้จะเก็บไข่ได้กี่ฟอง น้องอองฟองทำหน้าที่ลงบัญชี ทำให้ได้ฝึกเรื่องการคิดคำนวณ ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอชอบมาก และยังได้สอนน้องๆลงบัญชีให้ถูกต้องด้วย สำคัญที่สุดคือ ทุกคนได้รับประทานไข่ไก่เป็นอาหารกลางวัน แต่ละสัปดาห์ที่โรงครัวจะมีเมนูไข่ประมาณ 3 วัน เมนูที่ทุกคนชอบที่สุดคือ ไข่พะโล้ ทุกครั้งที่มีเมนูไข่ก็จะภูมิใจว่าเป็นไข่ที่มาจากไก่ของเราเอง ดูแลเอง เก็บเอง ขอขอบคุณ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และซีพีเอฟมากๆ ที่สนับสนุนโครงการดีๆแบบนี้ ทำให้เราได้บริโภคไข่ไก่ที่สด สะอาด ปลอดภัย อยากให้มีโครงการดีๆแบบนี้ตลอดไป

“ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ที่โรงเรียนประชาพัฒนาบ้านแฮด ได้ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน เราบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจสร้างความมั่นคงอาหารในโรงเรียน โดยมีโรงเรือนเลี้ยงไก่เป็นแหล่งฝึกสอนทักษะอาชีพ ให้นักเรียนมีประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง ที่จะกลายเป็นทักษะติดตัวพวกเขาไปใช้ในอนาคต และยังได้ภูมิใจว่าเขาคือคนสร้างคลังอาหารที่มั่นคงให้กับทั้งเพื่อนนักเรียนและชุมชน ที่ได้รับประทานไข่สดใหม่ทุกวัน โรงเรียนได้กลายเป็นแหล่งอาหารชุมชน และเปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับโรงเรียนหรือชุมชนอื่นๆเข้ามาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง” ครูแหม่มกล่าว

ความสำเร็จของโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โรงเรียนประชาพัฒนาบ้านแฮด สะท้อนความมุ่งมั่นของมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ซีพีเอฟ และองค์กรพันธมิตร ที่ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในชนบทห่างไกลทั่วประเทศมาตลอด 35 ปี โครงการฯนี้ได้สร้างคลังอาหารในโรงเรียนไปแล้ว 959 โรงเรียน ทำให้เด็กและเยาวชนมากกว่า 188,000 คน เข้าถึงโปรตีนที่ดี ช่วยบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการ สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ และเป็นพื้นฐานอาชีพให้กับเด็กๆอย่างเป็นรูปธรรม