Home Blog Page 134

“ดีพร้อม-เซเว่นฯ” โชว์ผลงานดัน SME ไทย ตีตลาดโมเดิร์นเทรด สร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่า 81 ล้านบาท

0

ดีพร้อม (DIPROM) หรือกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เผยผลลัพธ์กิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE 2 กับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น ร่วมปั้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการส่งเสริมทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อให้สามารถนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดร้านค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรดได้อย่างมีศักยภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด มีผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนทั้งสิ้น 20 ธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจภาพรวมได้กว่า 81 ล้านบาท ด้าน “สไปซ์ สตอรี่” ผู้ประกอบการที่ร่วมกิจกรรม เผยความรู้ที่ได้รับหาไม่ได้จากในตำรา

นายใบน้อย สุวรรณชาตรี อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เน้นบูรณาการเกษตรอุตสาหกรรมให้โตได้พร้อมกัน ทั้งชุมชน โรงงาน ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ ผ่านรูปแบบความร่วมมือและการดำเนินงานร่วมกันให้มากขึ้น กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม จึงเดินหน้าร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรภาคเอกชน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ จัดกิจกรรมพัฒนาผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมขยายสู่ช่องทางธุรกิจการค้าสมัยใหม่ (DIPROM MOVE TO MODERN TRADE 2) อย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 2 ภายใต้ โครงการยกระดับสินค้าเกษตรสู่เกษตรอุตสาหกรรม ด้วยการสนับสนุนด้านต่าง ๆ รวมทั้งขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มโอกาสในการจัดจำหน่าย ยกระดับครอบคลุมทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม เพื่อให้ความรู้ พร้อมส่งเสริม สนับสนุน และต่อยอดให้กับผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ที่มีศักยภาพให้สามารถนำธุรกิจเข้าสู่ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด (Modern Trade) อันเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มโอกาสและช่องทางการทำตลาดใหม่ ๆ แก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนเกิดการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภคของตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในปีนี้ ผู้ประกอบการทั้งเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุนชนจะได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ อาทิ การฝึกอบรมด้านกลยุทธ์ทางการตลาด แหล่งเงินทุน การบริหารจัดการด้านการเงิน เทรนด์ในการทำธุรกิจ ด้านความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และตรงตามความต้องการตลาด พร้อมทั้งส่งเสริมผู้ประกอบการให้เข้าใจถึงแนวโน้มการทำตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม-มิถุนายน 2566 มีผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 20

ธุรกิจ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจภาพรวมได้กว่า 81 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่ายอดขายหน้าร้าน และการส่งออกเพิ่มขึ้นรวมกันกว่า 61 ล้านบาท ในขณะที่มูลค่ายอดขายในอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้นเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท และการลงทุนของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มเติม 12 ล้านบาท

“ไม่เพียงการพัฒนาผู้ประกอบการ กิจกรรมนี้ยังแสดงให้เห็นถึงนิมิตหมายอันดีในการแสดงศักยภาพความร่วมมือครั้งสำคัญของทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายที่ถือเป็นส่วนหนึ่งสำคัญขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง “ดีพร้อม” ในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ จึงเตรียมเดินหน้าจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะมาช่วยส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาในทุกมิติแก่ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายสามารถนำพาธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาวต่อไป”

ยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

ด้านนายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากปณิธาน “Giving and Sharing” บริษัทมุ่งมั่นให้การสนับสนุนกลุ่มเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ผ่านภารกิจ “3 ให้” คือ 1.ให้ช่องทางขาย เพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการ SME นำเสนอสินค้าเพื่อจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และผ่านช่องทางออนไลน์ 2.ให้ความรู้ จัดอบรมสัมมนาแก่ผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง และ 3.ให้การเชื่อมโยงเครือข่ายแก่ SME ทั้งภายในบริษัทและองค์กรความร่วมมือจากภายนอก ในส่วนของโครงการ DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ปีที่ 2 ภายใต้ความร่วมมือของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือ “ดีพร้อม” ศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่สอดรับกับภารกิจดังกล่าว และสอดคล้องกับกลยุทธ์นำพา “SME โตไกลไปด้วยกัน” ในปีนี้ ที่ต้องการสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

“ตลาดโมเดิร์นเทรด ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดที่สำคัญในการช่วยสร้างการเติบโตให้ธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ถือได้ว่าเป็นฐานรากเศรษฐกิจที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นการติดอาวุธทางความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านการทำตลาดโมเดิร์นเทรด จึงเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ ซีพี ออลล์ ในฐานะหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนและส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกมิติมาโดยตลอด มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ประกอบการที่ผ่านการอบรมในโครงการนี้ จะสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอดสินค้าและธุรกิจให้เติบโต สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในอนาคต” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ ดร.ภัครภัสสร์ ลิ้มประนะ กรรมการบริหาร บริษัท สไปซ์ สตอรี่ จำกัด เจ้าของสินค้าก๋วยจั๊บกึ่งสำเร็จรูป สไตล์เยาวราช ง่วนสูน ตรามือที่ 1 หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ DIPROM MOVE TO MODERN TRADE 2 กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการดีๆ ที่ผู้ประกอบการ SME จะได้นำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปปรับใช้ เพื่อพัฒนาศักยภาพตนเองและองค์กร พร้อมต่อยอดธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

“ช่องทางโมเดิร์นเทรด ไม่ใช่เพียงหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับธุรกิจเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเป็นมืออาชีพสูงสุดให้กับผู้ประกอบการและองค์กรอีกด้วย เพราะการจะประสบความสำเร็จในตลาดโมเดิร์นเทรดได้นั้น ด้านผู้ประกอบการต้องมี Vision Mission Passion ที่ชัดเจน ด้านองค์กรต้องมีความแข็งแรงในทุกมิติ โดยยึดความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งวิทยากรที่มาช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านหัวข้อต่างๆ ล้วนมากประสบการณ์ และพร้อมให้คำแนะนำแบบเจาะลึก ถือเป็นอาจารย์ในภาควิชาธุรกิจชีวิตจริง วิชาที่ไม่มีในบทเรียน ซึ่งหากผู้ประกอบการนำองค์ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปปรับใช้ ก็จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ธุรกิจเติบโตในตลาดนี้ได้อย่างยั่งยืน ส่วนตัวก็จะนำทุกๆ คำติชม และทุกคำแนะนำ ไปปรับใช้ ต่อยอด พัฒนาศักยภาพ เพื่อผลิตสินค้าตัวใหม่เข้าวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เพิ่มเติมจากก๋วยจั๊บกึ่งสำเร็จรูปน้ำใสและน้ำข้น”

“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในฝัน” จาก CONNEXT ED Crowdfunding ซีพีเอฟส่งมอบโอกาสให้น้อง ๆ เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ

0

“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในฝัน” แหล่งเรียนรู้ทดลองและปฏิบัติจริงของน้องๆโรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่เกิดจากโครงการระดมทุนเพื่อการศึกษา CONNEXT ED Crowdfunding ของมูลนิธิสานอนาคตเพื่อการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ( CONNEXT ED)โดยมี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ให้การสนับสนุนในการพัฒนาห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในฝัน ให้มีอุปกรณ์การเรียนที่ทันสมัยและเพียงพอ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับโอกาสการเรียนรู้ด้วยการทดลองและปฏิบัติจริง นำไปสู่การต่อยอดความคิดและเติมฝันห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของเด็ก ๆ ให้เป็นจริง

โรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี เป็นโรงเรียนขนาดกลาง ที่มีจำนวนนักเรียน 265 คน เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 2 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 โรงเรียนเข้าร่วมโครงการสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อทำโครงการผ้าไหมมีชีวิต จากนั้นในปี 2564 เข้าร่วมโครงการระดมทุนเพื่อการศึกษา (Crowdfunding)พัฒนาห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ในฝัน และปัจจุบันอยู่ระหว่างของบประมาณเพื่อดำเนินโครงการเกษตรผสมผสาน

น.ส. สุกัญญา บุตรพรม หรือ คุณครูน้อง เป็นคุณครูผู้รับผิดชอบโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ผลจากที่นักเรียนมีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เด็กๆ ได้ลงมือปฏิบัติจริง ทำให้นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การค้นคว้า ลงมือทำ ช่วยเสริมทักษะชีวิต ทักษะการทำงาน พบว่านักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ที่หลากหลาย แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้จากประสบการณ์ ลองผิด ลองถูก มีทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ มีทัศนคติที่ดี มีความสุข สนุกสานต่อการเรียนในรายวิชาวิทยาศาสตร์ กล้าพูด กล้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ที่สำคัญ คือ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาของเด็กนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล และโรงเรียนใหญ่ๆ ในเมือง

“เรามองว่าวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนในทุกระดับชั้น และโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนห่างไกล การที่เด็กๆ โรงเรียนหนองนกเขียนสามัคคี ได้มีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ได้ทดลองลงมือปฏิบัติ ทำให้เด็กโรงเรียนห่างไกล มีโอกาสได้เรียนและพัฒนาเต็มศักยภาพ ” คุณครูผู้รับผิดชอบโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ กล่าว

ผลจากการได้เรียนรู้จากโครงการห้องวิทยาศาสตร์ในฝัน ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติในวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่าระดับประเทศ (O-NET) โดยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิชาวิทยาศาสตร์ ค่าเฉลี่ย 46.94 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศซึ่งอยู่ที่ระดับ 39.34 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน O-NET ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 วิชาวิทยาศาสตร์ ค่าเฉลี่ย 39.08 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศซึ่งอยู่ที่ 33.32 นอกจากนี้ ประสบการณ์และทักษะจากการเรียนรู้ ทำให้โรงเรียนได้รับรางวัลและเกียรติบัตรในการแข่งขันต่างๆ อาทิ รางวัลระดับเหรียญทอง กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทการทดลอง ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในการแข่งขันในงานศิลปหัตถกรรมระดับกลุ่มลำพระเพลิง รางวัลระดับเหรียญทอง กิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์วิทยาศาสตร์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในการแข่งขันในงานศิลปหัตถกรรมระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นต้น

ด.ช.ภานุวัฒน์ สุริโย หรือ น้องโดนัท อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กล่าวว่า ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์มากขึ้น ได้ทดลองทำจริง รู้สึกดีใจที่พี่ๆ ซีพีเอฟเ ข้ามาสนับสนุนโครงการระดมทุนเพื่อการศึกษา (Crowdfunding)ซึ่งโรงเรียนเราอยากได้ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เพื่อที่นักเรียนมีโอกาสได้ลงมือทำจริง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ในการเรียนรู้และการนำไปใช้ได้ดีกว่าแค่อ่านหรือดูรูปจากในหนังสือเรียน

ด้าน ด.ญ. ปนัดดา สอดกิ่ง หรือน้องดา อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นประธานนักเรียน เล่าว่า นักรียนชั้น ม.3 จะได้เรียนและใช้ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ ค่อนข้างบ่อย หรือ สัปดาห์ละ 3-4 วัน เราได้ฝึกทดลองจริง ได้นำไปใช้งานได้จริง จากเดิมที่เราดูจากรูปในหนังสือ มีอุปกรณ์การทดลองไม่เพียงพอ นอกจากนี้ น้องดา ยังได้สะท้อนมุมมองในฐานะเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อความสำคัญของการศึกษาว่า มีความสำคัญมากในการใช้ชีวิต เพราะถ้าไม่มีความรู้ อาจจะถูกเอาเปรียบ เกิดความเหลื่อมล้ำ และต้องขอบคุณพี่ๆซีพีเอฟเข้ามาสนับสนุนการศึกษาด้วยการระดมทุนเพื่อสร้างห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นการเพิ่มโอกาสที่เท่าเทียมให้เด็กๆไม่ว่าจะอยู่ในโรงเรียนพื้นที่ไกลหรือในเมือง

“ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในฝัน” ส่งมอบโอกาสสู่น้องๆ ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นยกระดับการศึกษาของไทย ภายใต้โครงการมูลนิธิสานอนาคตการศึกษาคอนเน็กซ์ อีดี ที่มี ซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนร่วมก่อตั้ง และสร้างโอกาสดีๆ ให้กับเด็กไทยเติบโตบนพื้นฐานของการเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม

รู้เก็บรู้ออม : สุขภาพการเงิน เช็กก่อน รู้ก่อน!!

0

ปกติแล้วคนเราควรจะตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ ปีละครั้ง เพื่อจะได้ทราบว่าร่างกายที่เราใช้งานมาเป็นเวลานาน มีส่วนไหนสึกหรอ ต้องซ่อม ส่วนไหนที่ส่งสัญญาณเตือนให้เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อถนอมร่างกายให้มีสุขภาพดีแข็งแรงต่อไป

“คุณนายพารวย” เองก็เป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ที่พอถึงเวลาตรวจสุขภาพตัวเองทุกที ต้องใจตุ๊มๆต่อมๆ กลัวว่าตรวจแล้วจะเจอโรคร้าย หรือความผิดปกติต่างๆ แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็ต้องกล้าเผชิญหน้ากับความจริง เพื่อจะได้รู้ตัวและหาทางป้องกันรักษาสุขภาพต่อไป

ในทางการเงินก็เช่นกัน หากเราปล่อยปละละเลย จนไม่รู้จักสถานะการเงินที่แท้จริงของตัวเองแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกที สุขภาพการเงินของตัวเรา อาจทรุดหนักจนยากเกินเยียวยา ดังนั้นการตรวจสุขภาพการเงินจึงเป็นเรื่องที่ต้องได้รับการดูแล และหมั่นตรวจเช็กไม่ต่างจากการตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ จึงอยากชวนคนไทยหันมาเช็กสุขภาพการเงิน ผ่านแอป “Happy Money App”

Happy Money App เป็นแอปฯบริหารจัดการเงินที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาขึ้น ให้ใช้งานง่ายและสะดวก แค่กรอกข้อมูลรายได้ ค่าใช้จ่าย สินทรัพย์ และหนี้สิน ทำให้รู้และเข้าใจสุขภาพการเงินของตนเองมากขึ้น รู้จุดแข็งและจุดอ่อนทางการเงิน พร้อมรับคำแนะนำที่จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างเหมาะสม

การจดรายรับรายจ่าย จะทำให้เรารู้นิสัยการใช้จ่ายเงินของตัวเองว่า เราหมดเงินไปกับอะไรบ้าง เป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ นอกจากนี้ ยังทำให้เรารู้จักตัวเองว่าสถานะการเงินที่แท้จริงนั้น สามารถบอกตัวเองว่า รวย หรือ จน จากการบันทึกทรัพย์สินหนี้สิน และนำไปสู่การรู้สุขภาพการเงินของตัวเองว่าฟิตเปรี๊ยะดีอยู่ หรืออ่อนปวกเปียก จนถึงเวลาแล้วที่จะต้องซ่อมตัวเองเสียที

นอกจากนี้ ตัวแอปฯยังมีความปลอดภัยในการใช้งานด้วยรหัสผ่าน สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต

แถมยังมีฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายการออม, แจ้งเตือนรายรับ-รายจ่าย, ตั้งงบก่อนใช้, แนะนำความรู้เรื่องการลงทุนอีกด้วย

คุณนายพารวย อยากชวนให้ไปติดตั้งแอป Happy Money มาใช้งาน เพื่อจะได้รีบลงมือจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย สินทรัพย์-หนี้สิน จะได้เร่งสร้างวินัยการเงินที่ดีให้เกิดกับตัวเอง โดยสามารถเข้าไปดาวน์โหลดฟรีได้ทั้งระบบ iOS และ Android ที่ www.set.or.th/happymoney/app.html

ยิ่งเราเช็กก่อน ก็จะรู้ก่อน สามารถปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งทางการเงินของตัวเอง!

ดาวน์โหลดมาใช้งานแล้ว ก็อย่าลืมหมั่นตรวจสุขภาพการเงินสม่ำเสมอทุก 6 เดือน หรืออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ด้วยการอัปเดตข้อมูลใน “Happy Money App”

รับรองว่า ใช้แอปฯ ตัวนี้แล้ว พฤติกรรมทางการเงินของเราจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จนทำให้มีเงินเหลือใช้และเก็บออมเพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตได้แน่นอน.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

AIS PLAY ผนึกกำลัง TVBS ผู้นำคอนเทนต์ข่าวไต้หวัน เปิดช่อง TVBS NEWS ดูฟรีทุกเครือข่าย

0

TVBS ผู้นำคอนเทนต์ด้านข่าวสารของไต้หวัน เดินหน้าขยายช่องทางการรับชม ผนึกกำลังร่วมกับ AIS ผู้ให้บริการดิจิทัล นำสถานีข่าวอย่าง TVBS NEWS ให้คนไต้หวันและคนที่ใช้ภาษาจีนในประเทศไทยได้รับชมข่าวสารจากประเทศไต้หวันเป็นที่แรกและที่เดียวในไทยบนช่องทาง AIS PLAY ผู้ให้บริการ Streaming Service Provider ชั้นนำ ตอกย้ำความเป็นผู้นำความบันเทิงด้วยสุดยอดคอนเทนต์ที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะด้านสถานีข่าวชั้นนำระดับโลกที่มากที่สุด

แจน ยี่-ยี่ รองกรรมการผู้จัดการของ TVBS News Department

แจน ยี่-ยี่ รองกรรมการผู้จัดการของ TVBS News Department กล่าวว่า “พื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเรา เนื่องจากมีประชากรที่พูดภาษาจีนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีโอกาสที่คอนเทนต์จะเข้าถึงการรับชม ทั้งในประเทศฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทย ที่ครั้งนี้เราได้พันธมิตรอย่าง AIS มาร่วมกันส่งมอบประสบการณ์ในการรับชม โดยสามารถรับชมรายการ TVBS NEWS ได้ทาง AIS PLAY ซึ่งจะเป็นการเผยแพร่ข่าวสาร และมุมมองของไต้หวันสู่ผู้ชมผู้ฟังในต่างประเทศ และเพื่อสร้างความแข็งแกร่งของ TVBS ให้เป็นสื่อชั้นนำระดับนานาชาติต่อไป”

รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS

ทางด้าน รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการพันธมิตรธุรกิจด้านบันเทิงและคอนเทนต์ AIS เสริมว่า “เป้าหมายของ AIS PLAY คือการมุ่งสร้างความหลากหลายของคอนเทนต์เพื่อส่งมอบประสบการณ์การรับชมที่หลากหลายให้กับลูกค้าและคนไทย ทั้ง หนัง ซีรีส์ การ์ตูน สารคดี กีฬา วาไรตี้ รวมถึงคอนเทนต์ประเภทข่าวสาร ที่วันนี้เราได้พาร์ทเนอร์อย่าง TVBS NEWS ที่จะเข้ามาตอบโจทย์คนไต้หวันและลูกค้าที่ใช้ภาษาจีนในประเทศไทยซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องให้มีโอกาสได้รับชมข้อมูลข่าวสารจากไต้หวันได้เป็นที่แรกและที่เดียวบน AIS PLAY นับเป็นการตอกย้ำถึงเป้าหมายการเป็นผู้ให้บริการ Streaming Service Provider ที่รวมสถานีข่าวชั้นนำระดับโลกมากที่สุด โดยเราเชื่อว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้จะยกระดับให้ AIS PLAY เป็นสื่อกลางที่สำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างไต้หวัน กับ ประเทศไทย ได้เป็นอย่างดี”

สำหรับลูกค้าทุกเครือข่ายสามารถรับชมคอนเทนต์ TVBS NEWS ผ่านทาง AIS PLAY ในทุกช่องทาง ทั้งแอปพลิเคชัน AIS PLAY, เว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th/ , กล่อง AIS PLAYBOX, SAMSUNG Smart TV, Apple TV และ Android TV รวมทั้งสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ais.th/play/

ภาคปศุสัตว์น้ำตาตก จำใจเลิกอาชีพ สุดทนต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ แพงไม่หยุด

0
บทความโดย จุฑา ยุทธหงสา นักวิชาการอิสระด้านปศุสัตว์  

ภาคปศุสัตว์ เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณายกเลิกมาตรการทางภาษีและไม่ใช่ภาษีหลายครั้งหลายครา เพื่อแก้ปัญหาวัตถุดิบอาหารสัตว์มีราคาสูง ลดแรงกดดันด้านต้นทุนการผลิตที่ส่งผลโดยตรงต่อราคาอาหารโปรตีนเนื้อสัตว์ ไข่ไก่และนม เพราะอาหารสัตว์เป็นต้นทุน 60-70% ของการเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่อง ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน สภาพอากาศแล้ง ซึ่งเป็นผลมาจาก ‘เอลนีโญ’ จะทำให้ผลผลิตการเกษตรลดลง ตลอดจนรัสเซียไม่รับรองความปลอดภัยในทะเลดำอีกต่อไป เป็นปัญหาใหญ่ต่อการส่งออกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี เรพซีด 

ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นเป็นอุปสรรคสำคัญในห่วงโซ่การผลิตของภาคปศุสัตว์ไทย โดยเฉพาะวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาปรับขึ้นมากกว่า 30% ในปี 2565 และในปีนี้ราคาสูงขึ้นทันที 5-10% หลังรัสเซียประกาศซ้ำรอยเดิมแบบไม่แคร์ประชาคมโลกไม่รับรองความปลอดภัยของเรือขนส่งสินค้าที่มุ่งหน้าไปยูเครน ที่เป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบอาหารสัตว์ระดับแนวหน้าของโลก สร้างความกังวลกับภาคปศุสัตว์ไม่น้อย แต่ต้องก้มหน้ารับชะตากรรมเพราะทั้งราคาอาหารสัตว์ เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ นม อยู่ในอาณัติของกรมการค้าภายในทั้งสิ้น

ที่ผ่านมา สมาคมภาคปศุสัตว์หลายสมาคม อาทิ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ สมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ต่างได้รับความเดือดร้อนจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูง โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และกากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในสูตรอาหารสัตว์ ได้ร้องขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายอาหาร ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งการกำหนดสัดส่วนการนำเข้าระหว่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : ข้าวสาลี ในอัตรา 3:1 (ซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน)  และยกเลิกภาษีนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง 2% ซึ่งถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนเงื่อนไขให้สอดคล้องกับการผลิตและความต้องการในประเทศ

ข้อเท็จจริง คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันราคาในประเทศเฉลี่ยอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคาประกันของภาครัฐกำหนดไว้ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้รัฐบาลไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยมาหลายรอบ ขณะที่ผลผลิตข้าวโพดของไทยต่ำกว่าความต้องกถึง 3 ล้านตัน จำเป็นต้องนำเข้าและต้องหาแหล่งที่มีต้นทุนเหมาะสม ส่วนภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% นั้น เป็นการอุดหนุนโรงสกัดน้ำมันถั่วเหลืองให้ขายกากถั่วเหลืองให้กับโรงงานอาหารสัตว์ได้ในราคาสูง แลกกับภาษีที่จ่ายรัฐเพียงเล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบต่อราคาอาหารของประชาชนมาก ที่สำคัญไทยผลิตถั่วเหลืองได้เพียง 20,000 ตัน แต่นำเข้ากากถั่วเหลือและเม็ดถั่วเหลืองรวม 5 ล้านตันต่อปี

ล่าสุด เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงโคนม รายงานว่า เกษตรกรรายย่อยและรายเล็ก ทยอยปิดกิจการออกจากวงการไปประกอบอาชีพอื่น ที่ไม่เสี่ยงต่อการขาดทุน เหตุผลหลักจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์สูง ขณะที่ราคากลางน้ำนมดิบอยู่ 21.25 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับต้นทุน ซึ่งสหกรณ์ต่างๆ มองไปในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลควรมีการทบทวนราคากลาง และเพิ่มมาตรการช่วยเหลือด้านอาหารสัตว์ และการเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อขับเคลื่อนการผลิตน้ำนมให้เดินหน้าเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ

ก่อนหน้านี้ เครือข่ายสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ปรับราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มอีก 20 สตางค์ เป็น 4 บาทต่อฟอง มีเหตุผลหลักมาจากอาหารสัตว์ที่ปรับราคาขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ทั้งที่ย้อนหลังเกือบ 30-40 ปี ราคาไข่ไก่ปรับขึ้นน้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้าอื่นเช่น น้ำมันเชื้อเพลิงหรือราคาทองคำ ทั้งที่ปัจจัยการผลิตและวัตถุดิบอาหารสัตว์ทยอยปรับขึ้นต่อเนื่องในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับต้นทุนการผลิตไข่ไก่ล่าสุดอยู่ที่ 3.80 บาทต่อฟอง  

ด้านสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ นอกจากต้องเผชิญปัญหาราคาลงทุกสัปดาห์แล้ว ยังมีปัญหาใหญ่อีก 2 ด้าน คือ 1. ราคาวัตถุดิบอาหารสูง 2. การลักลอบนำเข้า “หมูเถื่อน” ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อราคา แม้จะผ่อนคลายบ้างก็ตาม แต่ราคายังลดลงต่อเนื่อง จากผลผลิตออกสู่ตลาดเกินความต้องการ (Oversupply) ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนสะสมต่อเนื่องนานกว่า 6 เดือน ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มได้เพียง 62-74 บาท (เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566) แต่ขายได้จริงเพียง 55 บาทต่อกิโลกรัมเท่านั้น จtเห็นได้ว่าเกษตรกรเริ่มจับหมูขนาดเล็กไปทำ “หมูหัน” เพื่อลดปริมาณซัพพลายที่จะเข้าสู่ตลาด หวังดึงการาคาให้สูงขึ้น   

การปล่อยให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงโดยไม่แก้ไข ผู้เลี้ยงสัตว์และผู้ประกอบการอาหารสัตว์ มองเห็นการภาวะขาดทุนในระยะยาว ก็จำเป็นต้องเปิดกิจการ จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารมั่นคงและการเข้าถึงอาหารของผู้บริโภคทั้งประเทศ เพียงเพราะมาตรการของภาครัฐที่ปฏิบัติกันมายาวนาน ทั้งที่ไทยต้องนำเข้าวัตถุดิบหลักในการผลิตอาหารสัตว์ เพราะในประเทศผลิตไม่พอใช้ การยกเลิกมาตรการ “ปลดล็อก” ที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเข้าและใช้กลไกตลาดสร้างสมดุลราคา ดีกว่า “ยื้อ” แต่บั่นทอนความสามารถในการแข่งขันของไทย ที่สำคัญคนไทยจะมีหลักประกันอาหารเพียงพอในราคาสมเหตุผล จากต้นทุนที่แข่งขันได้ สร้างอาหารมั่นคงให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน

“เนตรบุญฟาร์ม” ใช้ Smart Farm ยกระดับการเลี้ยงหมู ตัวอย่างเกษตรกรยุคใหม่ เลือกคอนแทรคฟาร์มซีพีเอฟ สร้างอาชีพมั่นคง

0

การเลี้ยงหมูแบบอิสระของพ่อแม่ ถือเป็นภาพชินตาที่ ชมพูนุท บุญทิม หรือ ใบพลู เห็นและสัมผัสมาตั้งแต่เกิด จนกลายเป็นทักษะอาชีพติดตัวของเธอมาจนถึงทุกวันนี้ หลักจบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ พระจอมเกล้าพระนครเหนือ เมื่อปี 2555 เธอไม่ลังเลที่จะเข้ามารับมรดกอาชีพที่ครอบครัวสร้างไว้ เมื่อผนวกกับหัวคิดทันสมัยเธอ จึงตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงหมูขุน จากที่เลี้ยงในโรงเรือนแบบเปิด กลายเป็นฟาร์มระบบปิดมาตรฐาน และขยายการเลี้ยงจาก 200-300 ตัว เป็น 3,500 ตัว

หลังจากทำให้ฟาร์มหมู ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวประสบความสำเร็จ ใบพลู ต้องการขยายการเลี้ยงหมูให้ใหญ่ขึ้น เพื่อสร้างให้ธุรกิจนี้เติบโตขึ้น จึงตัดสินใจเปิดใจกับการร่วมเป็นเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรขุน หรือ คอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ แม้ว่าเมื่อก่อนจะมีความคิดว่าต้องทำธุรกิจเอง โดยไม่ทำคอนแทรคกับใคร เพราะชอบความอิสระ จนอาจเรียกว่าเป็นการตั้งกำแพงในใจก็ได้

“เมื่อเป้าหมายคือการเติบโต และต้องการขยายงานให้ใหญ่ขึ้น บนพื้นฐานความเสี่ยงต้องต่ำ ซีพีเอฟ ถือเป็นบริษัทต้นๆที่คิดถึง เพราะตัวเอง “โตมากับซีพี” เนื่องจากที่ฟาร์มของพ่อแม่ก็ซื้อลูกหมูซีพีเข้าเลี้ยง และใช้อาหารของบริษัทอยู่แล้ว และยังอยากพิสูจน์ในสิ่งที่บางคนยังเข้าใจผิด ว่าการร่วมธุรกิจกับบริษัทใหญ่เราอาจเสียเปรียบ แต่เมื่อได้มาร่วมทางเดินกับซีพีเอฟแล้ว ก็พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่คนอื่นคิดนั้นไม่ใช่เลย ในทางกลับกันอาชีพเรามั่นคง รายได้และผลตอบแทนดีเกินกว่าที่คิดไว้เสียอีก วันนี้นอกจากตัวเองจะประสบความสำเร็จแล้ว คนรอบข้างก็ได้รู้ว่าบริษัทสนับสนุนเกษตรกรให้เติบโตไปด้วยกันจริงๆ” ใบพลู เกษตรกรรุ่นใหม่วัย 33 ปี กล่าวอย่างมั่นใจ

สำหรับการขยายความสำเร็จสู่ “เนตรบุญฟาร์ม” ต.หนองประตู่ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี บนพื้นที่ 47 ไร่ เธอตัดสินใจลงทุนเลี้ยงหมูในเฟสใหญ่ ก่อสร้างโรงเรือน 7 หลัง ความจุหมูขุนรวม 10,500 ตัว เมื่อกลางปี 2565 พร้อมนำระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) มาใช้บริหารจัดการฟาร์มเลี้ยงหมู ทั้งการติดตั้งกล้องวงจรปิด CCTV ในโรงเรือนเลี้ยงและจุดสำคัญอื่นๆรอบฟาร์ม มีระบบสั่งการทำงานเปิด-ปิดพัดลม และการทำงานของ Cooling Pad ด้วยระบบอัตโนมัติ ส่วนการให้อาหารใช้ไซโล และกำลังพัฒนาให้มีระบบสั่งการอัตโนมัติที่คาดว่าจะติดตั้งได้ในเร็วๆนี้ ใบพลูบอกว่า ระบบ Smart Farm มีส่วนสำคัญมากในการผลักดันความสำเร็จ เพราะสามารถจัดการและสั่งการทุกอย่างผ่านโทรศัพท์ กรณีมีปัญหาจะมีข้อความแจ้งเตือนทันที ทำให้การทำงานง่ายขึ้น แก้ปัญหาทันท่วงที ทีมงานเข้าดูแลแก้ไขอย่างรวดเร็ว สามารถดูได้ทุกที่ทุกเวลา

“วันนี้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีบทบาทกับเกษตรกรมากขึ้น แม้จะมีการลงทุนเพิ่ม แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เมื่อพิจารณาแล้วก็ได้คำตอบว่าเราจะทำอย่างเดิมไปทำไม เมื่อตัดสินใจทำสมาร์ทฟาร์มและได้ใช้จริงๆ ถือว่าคุ้มมาก เรียกว่าถ้าไม่มีสมาร์ทฟาร์มชีวิตยุ่งยากแน่นอน เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถบริหารจัดการฟาร์มได้ อย่างเช่นตอนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นก็ยังสั่งงานข้ามประเทศได้ สามารถดูการทำงานระบบและทีมงานได้ ทุกวันนี้ทำงานง่ายมากขอแค่มีโทรศัพท์เท่านั้น” ใบพลู กล่าว

นอกจากระบบการผลิตอัจฉริยะแล้ว เนตรบุญฟาร์มยังใช้ระบบไบโอแก๊ส ในการบำบัดของเสียในกระบวนการเลี้ยง ทำให้ได้ก๊าซชีวภาพที่เป็นพลังงานสะอาด นำมาปั่นไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ช่วยลดค่าไฟได้ถึง 50-60% และที่นี่ยังติดตั้งเครื่องแยกกากตะกอนก่อนเข้าระบบไบโอแก๊ส เพื่อลดตะกอนในบ่อหมัก กากตะกอนที่ได้นำไปใช้ในสวนผลไม้ ขณะเดียวกันน้ำหลังการบำบัดก็ยังนำไปแบ่งปัน เป็นน้ำปุ๋ยให้กับเพื่อนเกษตรกรรอบข้าง ช่วยป้องกันปัญหาภัยแล้งได้เป็นอย่างดี

สำหรับเคล็ดลับความสำเร็จ อย่างแรกคือต้องทำให้งานทั้งหมดเป็นระบบ ต้องทุ่มเทให้กับงาน ใส่ใจ ดูแลอย่างจริงจัง ต่อมาคือการสร้างทีมงานแบบใจแลกใจ เพราะทุกคนใหม่หมดไม่มีประสบการณ์เลย จึงต้องสอนกันตั้งแต่เริ่มต้น ให้เรียนรู้ไปด้วยกัน โชคดีที่ทีมงานทุกคนพร้อมเรียนรู้ และพร้อมก้าวไปด้วยกัน การผลิตจึงมีประสิทธิภาพดี หมูมีคุณภาพ ความเสียหายน้อย ผลตอบแทนจึงมากตามไปด้วย

“หนึ่งปีที่ผ่านมา ผลลัพธ์เหนือความคาดหมายหลายๆอย่าง จริงๆแล้วไม่ได้ตั้งเป้าหมายเรื่องตัวเลขผลกำไรเลย ขอแค่วางระบบให้เข้มแข็ง แต่ผลที่ออกมาดีกว่าที่คิดไว้มากๆ วันนี้ความสำเร็จที่ตั้งเอาไว้ถือว่าได้เริ่มต้นแล้ว และเรามี “ซีพีเอฟเป็นเพื่อนคู่คิด” ที่จะเดินไปด้วยกัน บริษัทไม่เคยทิ้งเกษตรกร เวลามีปัญหาผู้บริหารซีพีเอฟก็ลงมาช่วยดูเอง เพื่อร่วมกันแก้ไขอย่างจริงจัง เราจึงอุ่นใจที่ได้บริษัทมาดูแลสนับสนุนใกล้ชิด ซึ่งหากเราทำให้เต็มที่ ความสำเร็จย่อมเกิดกับทั้งตัวเองและบริษัทไปพร้อมๆกัน เรียกว่า WIN – WIN ทั้งคู่ เชื่อว่าอาชีพนี้จะสร้างความมั่นคง วันนี้พ่อกับแม่วางมือแล้วเรียกว่าเกษียณอย่างเกษมโดยให้เราและสามีดูแลกิจการแทนทั้งหมด และการเลี้ยงหมูก็จะกลายเป็นมรดกอาชีพให้กับลูกทั้ง 2 คนของเราได้อย่างแน่นอน” ใบพลู กล่าวอย่างมั่นใจ

“เนตรบุญฟาร์ม” เป็นตัวอย่างของคอนแทรคฟาร์มเกษตรกรยุคใหม่ที่เปิดรับเทคโนโลยี เปิดใจนำนวัตกรรมเข้ามาใช้ยกระดับกระบวนการผลิตหมูให้มีประสิทธิภาพ และไม่หยุดพัฒนา จนประสบความสำเร็จมีอาชีพที่มั่นคง

เมืองไทยประกันชีวิต จัดสัมมนา “MTL Unit Linked Mid Year Forum 2023”

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “MTL Unit Linked Mid Years Forum 2023” โดย นางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง CFP® รองกรรมการผู้จัดการ (กลาง) เป็นประธานในงานสัมมนา

พร้อมให้การต้อนรับวิทยากรพิเศษ นางสาวศิริพร สุวรรณการ CFA, CFP® Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย (ที่ 2 จากซ้าย) นายวีรพล ตรีเพ็ชร์ ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (ซ้ายสุด) นางสาวพรชนก รัตนรุจิกร CFA ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (ที่ 2 จากขวา) และนายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่าย กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด (ขวาสุด) ร่วมเป็นวิทยากรในงาน เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน พร้อมนำเสนอเครื่องมือช่วยบริหารพอร์ตชีวิตของลูกค้าผ่านผลิตภัณฑ์และบริการของเมืองไทยยูนิตลิงค์ ณ ห้อง Pinnacle 4-6 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ เมื่อเร็ว ๆ นี้

ไส้กรอก โปรตีนทางเลือก ไม่ใช่ตัวร้าย หากรับประทานอย่างเหมาะสม

0

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ ไส้กรอก บริโภคได้อย่างปลอดภัย แนะเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับรองมาตรฐาน สังเกตฉลาก ป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ไส้กรอก เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ที่มีการเติมแต่งเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และเพื่อการบริโภคที่ง่ายขึ้น รวมไปถึงการขนส่งที่สะดวก โดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ หากปรุงอย่างดีจะได้รสชาติที่อร่อย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค

“ไส้กรอก ไม่ใช่ตัวร้ายของสังคม สามารถบริโภคได้ ในปริมาณที่ไม่เบียดบังอาหารหลักจากธรรมชาติ โดยบริโภคอาหารให้หลากหลายมีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ ที่สำคัญต้องเลือกจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค” ดร.รชา กล่าว

สำหรับ ไส้กรอกที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและรับรองความปลอดภัย อย่าง ไส้กรอกลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศที่เพิ่งมีการจับกุมไปตามที่เป็นข่าวเหล่านั้น อาจมาจากแหล่งผลิตในประเทศที่มีการระบาดของโรคในสัตว์ซึ่งยังไม่มีมาตรการควบคุม หรือมีการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดงในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งสารนี้เป็นสารที่เร่งให้สัตว์มีปริมาณเนื้อแดงเพิ่มขึ้น ไม่ใช่เร่งสารเร่งสีที่ทำให้เนื้อสัตว์มีสีแดง โดยส่วนใหญ่ใช้ในหมู เพราะหมูมีพฤติกรรมกินแล้วนอน ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมของไขมัน หากหมูมีไขมันเยอะ เนื้อหมูจะขายไม่ได้ในราคาที่ดี เพราะมันหมูราคาถูกกว่าเนื้อแดง ดังนั้นเพื่อให้หมูมีเนื้อแดงมากขึ้น เกษตรกรจึงมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงกระตุ้นหัวใจ ทำให้หมูงุ่นง่าน เพราะหัวใจเต้นเร็ว เดินไปเดินมา กล้ามเนื้อจึงเพิ่มขึ้น แต่ในประเทศไทยโดยกรมปศุสัตว์มีมาตรการห้ามการใช้สารเร่งเนื้อแดงหากฝ่าฝืนจะมีโทษทางกฎหมาย อัตราโทษมีทั้งจำและปรับ

ทั้งนี้ ในกระบวนการผลิตไส้กรอกอาจจำเป็นต้องเติมไนไตรต์ เพื่อยับยั้งการเจริญของสปอร์แบคทีเรีย คลอสทริเดียม โบทูลินัม ซึ่งเจริญได้ในที่อับอากาศ และอาจสร้างสารพิษโบท็อกซ์ ซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการอัมพาตที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ และยังมีผลพลอยได้ทำให้เนื้อไส้กรอกสวย เป็นสีชมพูน่ารับประทานตามลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ อย่างไรก็ตามการเติมไนไตรต์ ต้องอยู่ในปริมาณตามที่กฏหมายกำหนด

ดร.รชา กล่าวย้ำว่า “การเลือกซื้อไส้กรอก ต้องซื้อจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐาน โดยสังเกตจากฉลากที่ได้รับการรับรองจาก อย. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่ระวัง ผู้บริโภคอาจได้รับอันตรายจากสารเคมี เพราะไม่สามารถทราบได้ว่ากระบวนการผลิตมีการเติมแต่งใส่สารอะไรลงไป ผู้ผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีการใส่สารกันเสียเกินปริมาณและจะทำให้มีการสะสมของสารไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเพิ่มขึ้น หากไม่แน่ใจในแหล่งที่มา แนะให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยง”

แม็คยีนส์ เปิดตัวคอลเลกชั่น​ แฟชั่นยั่งยืน​ “Mc Sustainability 2023 Collection”

0

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยว่า แม็คยีนส์ให้ความสำคัญ           ในเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ล่าสุดได้เปิดตัวคอลเลกชั่นพิเศษ “Mc Sustainability 2023 Collection” ที่ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล ภายใต้คอนเซ็ปต์ FROM NATURE TO FUTURE แม็คยีนส์ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม ผ่านเทคโนโลยี การแปรรูปเส้นด้ายจากผ้ายีนส์เหลือใช้นำมาคัดแยกและเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลให้กลับมาใช้ใหม่ได้อย่างคุ้มค่า โดยยังคงรักษาคุณภาพเทียบเท่ากับเส้นด้ายปกติ

คอลเลกชั่น “Mc Sustainability 2023 Collection” เกิดจากแนวคิด Reuse Reduce Recycle ผ่านเทคโนโลยีการแปรรรูปเส้นด้าย โดยนำเศษผ้ายีนส์ที่เหลือใช้จากกระบวนการผลิตผ้ายีนส์ นำมาคัดแยก และเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ปั่นเป็นเส้นใยพร้อมที่จะผสมเข้ากับผ้าฝ้ายโพลีเอสเตอร์ หรือเส้นใยสังเคราะห์อื่นๆ และยังคงรักษาคุณภาพของเส้นด้ายได้ดีเทียบเท่าเส้นด้ายปกติ สินค้าในคอลเลกชั่นพบกับ เสื้อสเวตเตอร์, เสื้อฮู้ดดี้, เสื้อยืดทรงตรงและทรงครอป ที่ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล ให้สัมผัสนุ่มลื่น สวมใส่สบายและระบายอากาศได้ดี ตกแต่งด้วยเทคนิคการพิมพ์รับเบอร์พริ้นท์ และเพิ่มมิติด้วยเมทัลลิคสกรีน ผสมผสานกับลวดลายตัวอักษรและลายกราฟิกที่สื่อถึงธรรมชาติ กับโทนสีที่มิกซ์แอนด์แมตช์ได้ง่ายพร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว

นอกจากการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลดการสร้างมลพิษ คอลเลกชั่นนี้ยังเป็นการต่อยอดแคมเปญ MY MC MY WAY ชีวิต…เต็มแม็ค ภายใต้แนวคิด Body Positivity ความเข้าใจในความแตกต่างของรูปร่าง และพร้อมสร้างสรรค์ลุคที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของแม็คยีนส์ ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัดได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าว การเปิดตัวคอลเลกชั่น “Mc Sustainability 2023 Collection” สะท้อนความมุ่งมั่นของแม็คยีนส์ ในการเป็นส่วนหนึ่งในการลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ในการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น   คอลเลกชั่น Mc Save the World ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากนวัตกรรมการรีไซเคิลขวดพลาสติก และนวัตกรรม DRY DYE การย้อมผ้าไม่ใช้น้ำ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทย กับนวัตกรรมการผลิตที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมไปกับแม็คยีนส์ได้แล้ววันนี้ กับคอลเลกชั่น “Mc Sustainability 2023 Collection” ที่ร้านแม็คยีนส์ทุกสาขาหรือช้อปออนไลน์ที่ www.mcshop.com และสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/mcjeans 

AWC เซ็นสัญญาซื้อกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก 7.7 พันล.

0

บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC  ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (E-EGM) ครั้งที่ 1/2566 ในการเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นกิจการ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก (Hotel Plaza Athenee New York) มูลค่าการเข้าซื้อกิจการ 7,789 ล้านบาท และได้รับสิทธิความเป็นเจ้าของแบรนด์ระดับอัลตร้า ลักชูรี่ อย่าง พลาซ่า แอทธินี (Plaza Athenee) ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย เชื่อมสองโครงการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในนครนิวยอร์ก และอาคาร EAC (East Asiatic Company) ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและศูนย์กลางของโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC ภายใต้ “River Journey Project” พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้านการท่องเที่ยวทางสายน้ำให้กับประเทศไทย 

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้จะส่งเสริมการเติบโตและสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับ AWC อีกทั้งด้วยความเชี่ยวชาญของ AWC ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นสร้างคุณค่าเพิ่ม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร รวมถึงประสบการณ์ที่ได้ร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำระดับโลกมากมาย ผสานกับจุดแข็งและความเชี่ยวชาญของแบรนด์โนบุ ที่จะมาร่วมพัฒนาโครงการระดับไอคอนิกทั้งสองแห่งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าการลงทุนครั้งนี้ จะช่วยสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการท่องเที่ยว พร้อมสนับสนุนการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี่

AWC จะเข้าซื้อหุ้นในกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก จำนวนร้อยละ 18 ในมูลค่า 1,402 ล้านบาทก่อน และจะมีสิทธิในการเข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือ (Call Option) อีกจำนวนร้อยละ 82 ภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเป็นการลงทุนที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์การเติบโตแบบก้าวกระโดดของ AWC เสมือนรูปแบบ AWC Growth Fund อีกทั้งยังไม่เกิดภาระต่องบดุลของทางบริษัทระหว่างการพัฒนา และสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนพัฒนาภายใต้สัดส่วนการลงทุนของบริษัท ควบคู่กับการรับกำไรจากการพัฒนาเต็มจำนวน และยังสามารถได้รับผลดีจากการเติบโตของมูลค่าแบรนด์พลาซ่า แอทธินี ที่เพิ่มขึ้นภายหลังการเปิดดำเนินงาน และสร้างรายได้เพิ่มกับโครงการอื่นๆ ในระยะยาว

“การลงทุนครั้งนี้ของ AWC เป็นการสร้างคุณค่าร่วม (Synergy Value) ด้วยการเสริมโมเดลพอร์ตโฟลิโอของ AWC ผ่านการพัฒนาสองโรงแรมระดับไอคอนิก ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก และ โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น (Reception) และศูนย์กลางเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC ภายใต้แนวคิด River Journey Project สร้างประสบการณ์ระดับอัลตร้า ลักชูรี่ และจะเป็นมิติใหม่ของอุตสาหกรรมผ่านทรัพย์สินอันทรงคุณค่าทั้งสองแห่ง ในสองมหานครระดับโลก กรุงเทพฯ และนิวยอร์ก”