Home Blog Page 13

ซีพีเอฟ – จ.นครสวรรค์ จัด “คาราวานซีพีเอฟ” ช่วยลดค่าครองชีพประชาชน ส่งต่ออาหารคุณภาพ-ราคาพิเศษ พร้อมสนับสนุนกีฬามวย “ศึก CPF มวยมันส์สนั่นโลก”

0

จ.นครสวรรค์ ร่วมกับ เทศบาลนครนครสวรรค์ และซีพีเอฟ จังหวัดนครสวรรค์ และเทศบาลนครนครสวรรค์ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จัดงาน “คาราวานซีพีเอฟ ช่วยลดค่าครองชีพประชาชน” ส่งเสริมให้ชาวนครสวรรค์และพื้นที่ใกล้เคียง เข้าถึงอาหารคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ในราคาพิเศษ ชวนร่วมภาคภูมิใจใน “ศิลปะการชกมวย” กับการแข่งขัน “ศึก CPF มวยมันส์สนั่นโลก”

ซีพีเอฟนำผลิตภัณฑ์อาหารสดและแปรรูปแบรนด์ CP รวมถึงผลิตภัณฑ์ภายใต้บริษัทในเครือซีพีเอฟมาลดราคา 20 – 40% รวมกว่า 300 รายการ ทั้งแบรนด์ห้าดาว (FIVE STAR) เชสเตอร์ (Chester’s) ซีพี-เมจิ (CP-Meiji) และ STAR COFFEE ตลอดจนอาหารสัตว์เลี้ยงแบบครบวงจร เจอร์ไฮ (JerHigh) และจินนี่ (Jinny) รวมถึงพันธมิตรทั้ง TRUE และ Lotus’s มาร่วมกันจัดจำหน่ายสินค้า เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชน พร้อมร่วมสนับสนุนสินค้าชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น ตั้งแต่วันนี้ – 1 พ.ย. 2568 ช่วงเวลา 09.00 – 20.00 น. ณ ลานหน้าเทศบาลนครนครสวรรค์ (ถ.อรรถกวี)

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟ ยังร่วมสืบสานวัฒนธรรมไทย เชิญชวนผู้สนใจร่วมภาคภูมิใจใน “ศิลปะการชกมวย” กับการแข่งขัน “ศึก CPF มวยมันส์สนั่นโลก” โดยมี นายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันชิงแชมป์สภามวยโลกแห่งเอเชีย (WBC ASIA) พร้อมด้วย นายจิตตเกษมณ์ นิโรจน์ธนรัฐ นายกเทศมนตรีนครนครสวรรค์ เป็นประธานอำนวยการโครงการ และ ดร.พงษ์ วิเศษไพฑูรย์ ประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ เขตประเทศอินเดีย ชมฟรีในวันที่ 29 พ.ย. ถ่ายทอดสดทางช่อง True4U (ช่อง24) ตั้งแต่เวลา 16.00 – 18.00 น. .

ปากเกร็ดไม่ทน จับมือ สมาคมตกปลาคุมปลาหมอบัตเตอร์ในบึง

0

อีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจของเทศบาลนครปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้ครีเอตกิจกรรมหยุดการระบาดปลาหมอบัตเตอร์ในบึงกลางสวนสาธารณะ ด้วยวิธีการ “ตกปลาเชิงอนุรักษ์” พร้อมร่วมมือกับ สมาคมกีฬาตกปลา สปอร์ตฟิชชิ่งไทย เพื่อสำรวจและลดจำนวนประชากรปลาหมอบัตเตอร์ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และปลาพื้นถิ่นที่อยู่ในบึงน้ำของสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติฯ ในกลางอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

ปลาหมอบัตเตอร์ จัดเป็นปลาต่างถิ่นสายพันธุ์รุกราน และอีกหนึ่งสายพันธุ์ปลาที่กรมประมงประกาศห้ามนำเข้า หรือเพาะเลี้ยงตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา ปลาน้ำจืดพื้นถิ่นได้รับผลกระทบจากการแข่งขันแย่งอาหารและถิ่นที่อยู่ แม้ว่าไม่พบรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีการนำเข้าปลาชนิดนี้ แต่กลับพบปลาหมอบัตเตอร์ในหลายพื้นที่ ที่เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งไม่แน่ชัดว่าปลาชนิดนี้หลุดมาจากที่ใด

หลังพบการแพร่ระบาดในสวนสาธารณะเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 แพร่พันธุ์เร็วมากจนกระทบกับปลาพื้นบ้าน และ ปลาธรรมชาติ ปลาหมอบัตเตอร์มักจะไล่กินปลา รวมไปถึงไข่ของปลาชนิดอื่นๆ เทศบาลนครปากเกร็ดจึงบูรณาการกับจังหวัดนนทบุรี และกรมประมงเร่งดำเนินมาตรการควบคุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเล็ดรอดของปลาชนิดนี้สู่แหล่งน้ำเปิดของจังหวัดนนทบุรี โดยเลือกใช้ “การตกปลาเชิงอนุรักษ์” เป็นแนวทางหลัก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ไม่รบกวนปลาที่อยู่ในระบบนิเวศและสามารถจับเฉพาะปลาหมอบัตเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ยังได้มีการปล่อยพันธุ์ปลาไทยเพื่อการอนุรักษ์ อาทิ ปลาตะเพียน ปลาบึก และปลาเทพา ซึ่งเป็นปลาประจำจังหวัดนนทบุรี เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างสมดุลให้แหล่งน้ำ

เทศบาลนครปากเกร็ดมีแผนดำเนินกิจกรรมควบคุมและลดจำนวนประชากรลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเล็ดรอดสู่แหล่งน้ำเปิดของจังหวัดนนทบุรี และได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาคประชาชน สื่อท้องถิ่น และโรงเรียนในพื้นที่ จัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องปลาต่างถิ่นและการอนุรักษ์สัตว์น้ำพื้นถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนให้เข้าใจผลกระทบจากการปล่อยสัตว์น้ำโดยไม่ตรวจสอบสายพันธุ์ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นการ

“การตกปลาเชิงอนุรักษ์” ของเทศบาลนครปากเกร็ดถือเป็นตัวอย่างของการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างสร้างสรรค์ โดยผสานความร่วมมือของภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อจัดการปัญหาปลาต่างถิ่นรุกราน ขณะเดียวกันยังช่วยเสริมความรู้และจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ให้กับคนในชุมชน “ปลาหมอบัตเตอร์” อาจเป็นภัยต่อระบบนิเวศ แต่แนวทางของเทศบาลนครปากเกร็ดได้ช่วยจุดประกายให้เห็นว่า หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างเข้าใจและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ปัญหาก็สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสของชุมชนและร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย “สมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซม ”

0

ช่วงนี้เจอพระอาจารย์บ่อย แต่ไม่ได้เดินตามพระอาจารย์ไปสนามพระ เซียนเจี๊ยบติดงานนาย กว่าจะเสร็จพระอาจารย์ ก็ซื้อเสร็จเรียบร้อย ไม่ทันขอของแถมทุกที พระอาจารย์กลัวแย่งพระ แต่ที่จริงการดูพระยังได้ไม่ถึงครึ่งของพระอาจรย์ ความแม่นพิมพ์ แม่นเนื้อ สภาพพระสวยดิบเดิม ยังต้องฝึกอีกนาน วัดได้จากเวลาเอาพระสวยดูดิบดี เหมือนพระใหม่เพิ่งกดพิมพ์มาขายให้พระอาจารย์ เสร็จทุกที อีกวันสองวันมาอวด ไม่รู้ลาวตกรถที่ไหนมาขายให้ เราก็ได้แต่ทำตาปริบๆ

จำไว้แล้วเดินหาพระต่อไป ยังมีพระให้เราเดินเก็บอีกมากมาย ฝึกดูพิมพ์ดูเนื้อจำให้แม่น เดี๋ยวเราก็เดินเจอมาดูพระสมเด็จวัดระฆังฐานแซมองค์สวยแจ่มวันนี้ มีเสน่ห์ ที่รักดำแห้งสนิท แบบนี้ล้างน้ำอุ่นไม่ละลาย ถ้าเจอรักละลายน้ำไม่ถึงยุค รักที่ร่อนหลุดแห้งเป็นชิ้นเล็กบ้างใหญ่บ้าง แบบนี้เป็นธรรมชาติของรักเก่า เห็นเนื้อพระที่รักหลุดไปเห็นเนื้อเหลืองอมขาวจัดซึ้งตาซึ้งใจ แบบนี้ที่เรียกพระผ่านการใช้มา ดูง่ายสบายตาสบายใจ เห็นก้อนมวลสารครบ ก้อนดำ เม็ดแดง ก้อนเทา คราบแป้งนวลๆบนเนื้อพระ ด้านหลัง มีรอยปริ รอยตอกตัดขอบข้างทุกด้านปริร่อย มีรักฝังเข้าไปในเนื้อขอบข้าง นานๆจะได้เห็นพระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ฐานแซมหลังครบเต็มฟอร์มแบบนี้ จำให้แม่นนะเธอพระอาจารย์สอนไว้ เจอพระสมเด็จวัดระฆังหลังแบบนี้ กำพระจ่ายตังค์ขึ้นคอ พระสมเด็จมาโปรดแล้วจร้าาาาพระอาจารย์สอนเซียนเจี๊ยบบอกต่อ “หวานเจี๊ยบ”

เจี๊ยบ บางกรวย เดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

เอไอเอส จับมือ ไทยวิวัฒน์ จัดประกวด “E-Waste Influencer Junior ฮีโร่รุ่นเยาว์ ปลุกพลังเปลี่ยนโลก” ปลูกฝังเยาวชนเรียนรู้และจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน

0

บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ “E-Waste Influencer Junior ฮีโร่รุ่นเยาว์ ปลุกพลังเปลี่ยนโลก” เวทีการประกวดคลิปวิดีโอสั้นที่มุ่งส่งเสริมให้เยาวชนไทยตระหนักถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) และเรียนรู้แนวทางการจัดการที่ถูกต้อง พร้อมผลักดันให้เกิดเครือข่ายเยาวชนและโรงเรียนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคต

นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ กล่าวว่า “ไทยวิวัฒน์มุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมด้านการประกันภัยที่เติบโตและพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาเราได้ขับเคลื่อนและส่งเสริมการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ผ่านกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกองค์กร เพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม”

“เรามีความเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากการลงมือทำในเรื่องเล็กๆ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจัง สังคมของเราจะสามารถก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง ไทยวิวัฒน์จึงพร้อมเดินหน้าในบทบาทขององค์กรประกันภัยที่ไม่เพียงมอบความคุ้มครองให้กับชีวิตและทรัพย์สินของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังคงตั้งใจ ‘คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต’ เพื่อสร้างคุณค่าที่ดีต่อสังคมและโลกของเราต่อไป”

โครงการ “E-Waste Influencer Junior ฮีโร่รุ่นเยาว์ ปลุกพลังเปลี่ยนโลก” นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือสำคัญระหว่างไทยวิวัฒน์และเอไอเอสในฐานะพาร์ทเนอร์ร่วมอุดมการณ์ ที่มุ่งสร้างการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมในหมู่เยาวชนไทย ผ่านการเรียนรู้และการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์บนโลกออนไลน์ เพื่อให้เยาวชนก้าวขึ้นมามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมต่อยอดสู่การสร้างชุมชนและโรงเรียนต้นแบบในการจัดการ E-Waste อย่างยั่งยืน”

โครงการนี้จึงจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ต่อสิ่งแวดล้อมแก่เยาวชนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของเยาวชนในฐานะ “นักสื่อสารสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่” ที่สามารถใช้พลังของโซเชียลมีเดียสร้างการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันยังเป็นการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของโรงเรียนและชุมชนในการจัดการ E-Waste อย่างถูกวิธีและยั่งยืน

ด้านนางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจสื่อสารองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ AIS เผยว่า “สำหรับ AIS การดูแลสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนไม่ใช่เพียงภารกิจ แต่เป็นหนึ่งในหัวใจของการดำเนินธุรกิจ เรามีความมุ่งมั่นที่จะเป็น ‘HUB of E-Waste’ หรือศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์มาตรฐานสากล ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชนกว่า 250 องค์กร เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีทางเลือกในการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ระบบรีไซเคิลที่ถูกต้องตามมาตรฐาน Zero E-Waste to Landfill ที่จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและยืดอายุให้โลกเป็นโลกที่น่าอยู่ได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การส่งเสริมและเผยแพร่การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีก็ถือเป็นอีก 1 ภารกิจสำคัญ เพราะ AIS เชื่อว่าเรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องของคนทุกคน โดยเฉพาะการเสริมสร้างความรู้และทักษะการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีให้แก่เด็กและเยาวชนไทย ซึ่งจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทย AIS จึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับบมจ.ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ในการสร้างสรรค์โครงการนี้ขึ้น เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนได้ใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคม พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบด้านการจัดการ E-Waste และร่วมกันสร้างรากฐานสู่สังคมแห่งความยั่งยืนในอนาคต”

โดยการประกวดแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ระดับประถมศึกษา (ป.1 – ป.6) และระดับมัธยมศึกษา (ม.1 – ม.6) โดยผู้เข้าร่วมสามารถรวมทีม จำนวน 1–3 คน ผลิตคลิปวิดีโอความยาว 1 – 2.30 นาที ภายใต้เนื้อหาที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ E-Waste แนวทางการจัดการที่ถูกต้อง และการสร้างแรงบันดาลใจแก่สังคม และเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเปิดกว้างในรูปแบบการนำเสนอ เช่น การเล่าเรื่อง เพลง แร็ป ละครสั้น หรือคลิปไวรัลบน TikTok และผลงานที่นำเสนอการสร้างสรรค์ DIY ถังแยกขยะ E-Waste จะมีสิทธิ์ได้รับรางวัลพิเศษเพิ่มเติม โดยแบ่งเป็นรางวัลการประกวด ดังนี้

ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา:

  • รางวัลประเภท สุดยอดนักสื่อสารรักษ์โลก
    • รางวัลชนะเลิศ เงินรางวัล 15,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร
    • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 1  เงินรางวัล 13,000 บาท  พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร
    • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับที่ 2  เงินรางวัล 10,000 บาท  พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร
  • รางวัลประเภทผลงานสร้างสรรค์ “DIY ถังขยะ E-Waste” เงินรางวัล 5,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร

ระดับโรงเรียน: รางวัลโรงเรียนต้นแบบด้านการจัดการ E-Waste พร้อมโล่รางวัลและเกียรติบัตร

เปิดรับสมัครและส่งผลงานตั้งแต่วันนี้ –  20 มกราคม 2569  ผ่านเว็บไซต์ประกันภัยไทยวิวัฒน์ www.thaivivat.co.th และ เว็บไซต์เอไอเอส  https://sustainability.ais.co.th/ หรือผ่านแอปพลิเคชัน myAIS โดยผู้สมัครสามารถเข้าร่วมกิจกรรม Workshop พิเศษเพื่อเตรียมความพร้อมด้านการผลิตสื่อออนไลน์และการจัดการ E-Waste ก่อนเริ่มสร้างผลงาน

หลังจากผลิตผลงาน ผู้เข้าประกวดต้องเผยแพร่ผลงานผ่านบัญชี TikTok ของตนเอง โดยตั้งค่า “สาธารณะ (Public)” และติดแฮชแท็ก #EWasteinfluencerjunior #นักสื่อสารรักษ์โลก #ThaivivatInsurancexAIS #AISEWaste #Thaivivat #AIS #ขยะอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมส่งลิงก์ผลงานกลับมายังหน้าเว็บไซต์ของโครงการ

โครงการ E-Waste Influencer Junior ฮีโร่รุ่นเยาว์ ปลุกพลังเปลี่ยนโลก” ไม่เพียงเป็นเวทีสร้างสรรค์ผลงาน แต่ยังเป็นการปลุกพลังเยาวชนให้ตระหนักถึงผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์ต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการจัดการ E-Waste อย่างถูกวิธีในโรงเรียนและชุมชน อันจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายโรงเรียนต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนต่อไป

“สาระ ล่ำซำ” รับรางวัล “ครอบครัวสร้างสุข” จากกระทรวงพม. ในงานมหกรรมครอบครัว (FAM FESTIVAL 2025)

0

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) จัดงาน “มหกรรมครอบครัว (FAM FESTIVAL 2025)” ภายใต้แนวคิด “เวลาของเรา ครอบครัวของเรา” เพื่อส่งเสริมให้ครอบครัวไทยตระหนักถึงคุณค่าของการใช้เวลาร่วมกัน พร้อมเปิดพื้นที่แห่งความสุขให้ทุกช่วงวัยได้เรียนรู้ แบ่งปัน และร่วมทำกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ ทั้งด้านนันทนาการ งานฝีมือ สุขภาพ และการพัฒนาทักษะชีวิต

ภายในงาน ได้จัดพิธีมอบรางวัล “ครอบครัวสร้างสุข” แก่ครอบครัวต้นแบบจากทั่วประเทศ จำนวน 18 ครอบครัว เพื่อยกย่องครอบครัวที่มีความรัก ความเข้าใจ และร่วมกันสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นภายในบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติให้รับรางวัล “ครอบครัวสร้างสุข” ดังกล่าว

รางวัล “ครอบครัวสร้างสุข” จัดขึ้นโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ผ่านกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อยกย่องครอบครัวที่เป็นแบบอย่างของความรัก ความเข้าใจ การสื่อสารที่อบอุ่น และการใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่า ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมที่เข้มแข็ง

การได้รับรางวัลในครั้งนี้สะท้อนถึงแนวทางการดำเนินชีวิตที่สมดุลของ “นายสาระ ล่ำซำ” ทั้งในบทบาทของผู้นำองค์กรและหัวหน้าครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ภายในบ้าน การส่งต่อคุณค่าของความอบอุ่น และการสร้างแรงบันดาลใจให้สังคมไทยเห็นถึงพลังของ “ครอบครัว” ในการหล่อหลอมคนดีและขับเคลื่อนสังคมให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความสุขและยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด “เวลาของเรา ครอบครัวของเรา” ที่มุ่งให้ทุกครอบครัวไทยใช้เวลาอย่างมีความหมาย เพื่อสร้างสุขที่แท้จริงร่วมกัน

ในโอกาสนี้ นายกิตติ อินทรกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกียรติมอบรางวัลแก่นายสาระ ล่ำซำ โดยมี นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พร้อมผู้บริหารบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต เข้าร่วมแสดงความยินดี ณ อาคารเมืองไทยประกันชีวิต สำนักงานใหญ่

เอไอเอส มอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมอยุธยา พร้อมขยายวันใช้งานและเวลาจ่ายค่ามือถือ-เน็ตบ้าน ดูแลเครือข่ายตลอด 24 ชม.

0

จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนริมสองฝั่งแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง

เอไอเอส ขอส่งความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ พร้อมยืนยันความมุ่งมั่นในการดูแลเครือข่ายสื่อสารให้พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา และอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกสถานการณ์ พร้อมจัดตั้ง War Room เพื่อเฝ้าระวังและติดตามสถานีฐานในพื้นที่เสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีทีมวิศวกรประจำการ พร้อมเครื่องปั่นไฟและน้ำมันสำรอง เพื่อให้บริการสื่อสารทั้งมือถือและเน็ตบ้านดำเนินต่อได้อย่างต่อเนื่องแม้ในภาวะฉุกเฉิน ขณะเดียวกันได้ขยายระยะเวลาชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ารายเดือนและลูกค้า AIS 3BB FIBRE 3 รวมถึงขยายวันใช้งานให้กับลูกค้าระบบเติมเงินในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้การสื่อสารเชื่อมต่อได้อย่างราบรื่น โดยลูกค้าที่ได้รับสิทธิจะได้รับ SMS แจ้งรายละเอียด

นอกจากนี้ เอไอเอสยังได้ลงพื้นที่มอบน้ำดื่มและถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และพร้อมให้การสนับสนุนเพิ่มเติมตามสถานการณ์ และยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าเครือข่ายสื่อสารจะพร้อมให้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และอยู่เคียงข้างประชาชนทุกคนจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ต้อนรับ บมจ. อินดิจี (IDG) เริ่มซื้อขาย 24 ต.ค. นี้

0

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. อินดิจี เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มเทคโนโลยี โดยใช้ชื่อย่อ “IDG” ในวันที่ 24 ตุลาคม 2568

IDG ประกอบธุรกิจให้บริการออกแบบและพัฒนาระบบดิจิทัลแบบครบวงจร รวมทั้งให้บริการเป็นที่ปรึกษาด้าน Digital & AI Transformation และพัฒนาโซลูชันตามความต้องการของลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทชั้นนำระดับโลก ได้แก่ Microsoft Corporation และมีความเชี่ยวชาญในซอฟต์แวร์ระดับสากล อาทิ Microsoft 365, Microsoft Azure, Adobe Cloud และ Nintex นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาซอฟต์แวร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ของบริษัทเอง เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ WORK+, BIZ+, LIFE+ และ 365+ โดยกลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นองค์กรชั้นนำขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น สำหรับงวด 6 เดือน 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายซอฟต์แวร์ : การบริการพัฒนาระบบดิจิทัล : การบริการบำรุงรักษาระบบและซอฟต์แวร์ : บริการอื่นๆ คิดเป็นร้อยละ 29 : 29 : 19 : 23 ตามลำดับ

IDG มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 50 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยมีหุ้นสามัญเพิ่มทุน 28 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 21 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 4.2 ล้านหุ้น พนักงานซึ่งไม่ใช่กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัท ไม่เกิน 2.8 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2568 ในราคาหุ้นละ 3 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 84 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 300 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 17.65 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึง 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งเท่ากับ 16.97 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.17 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ

นายวิธาน ฉั่วเจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินดิจี (IDG) เปิดเผยว่า บริษัทมีประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาและพัฒนาระบบโดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกมามากกว่า 25 ปี โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Microsoft Gold Certified Partner ตั้งแต่ปี 2549 บริษัทมีทีมงานที่เชี่ยวชาญ เข้าใจผลิตภัณฑ์ของ Microsoft เป็นอย่างดี และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ตรงตามความต้องการทางธุรกิจ จึงได้รับการยอมรับจากลูกค้าองค์กรชั้นนำในประเทศ สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขยายสำนักงานและศูนย์บริการธุรกิจดิจิทัล และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

IDG มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ บริษัท ไอซีบีจี จำกัด (นิติบุคคลของกลุ่มครอบครัวฉั่วเจริญศิริ) ถือหุ้น 28.80% นายวิธาน ฉั่วเจริญศิริ ถือหุ้น 24.91% นางสาววรพรรณ ฉั่วเจริญศิริ ถือหุ้น 13.97% และนางสาววรนีย์ ฉั่วเจริญศิริ ถือหุ้น 4.32% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินหลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนดและตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัท

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.indigy.com และ www.set.or.th

ไบโอไทยขึ้นศาลนัดแรก คดีใช้ภาพเท็จประเด็นปลาหมอคางดำ

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ที่ศาลจังหวัดนนทบุรี บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เข้าร่วมการพิจารณาคดีนัดแรกต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ภายหลังมีการเผยแพร่ภาพและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับประเด็นการระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กร

โดยศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิจารณาคดีที่อัยการยื่นฟ้อง นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ในคดีอาญาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา จากกรณีการเผยแพร่ภาพเท็จและข้อมูลเท็จ กล่าวหา CPF เกี่ยวกับประเด็นการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยกำหนดวันขึ้นศาลนัดแรกในวันนี้ซึ่งเป็นนัดคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย ซึ่งศาลเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่อจำเลยเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากความเสียหายที่เกิดขึ้น

สำหรับวันนี้จำเลยให้การปฏิเสธ ขณะที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม และมีการนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งต่อไปในวันที่ 1 ธันวาคม 2568

ทั้งนี้ อัยการได้มีคำสั่งฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่มีการนำภาพและข้อมูลเท็จเผยแพร่ในเวทีสาธารณะพร้อมการถ่ายทอดสดออนไลน์ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดอย่างกว้างขวางและกระทบต่อชื่อเสียงบริษัทในเชิงลบ โดยมีตัวอย่างภาพเท็จและข้อมูลเท็จปรากฎดังนี้ 1.) ภาพที่กล่าวอ้างว่าเป็นสภาพบ่อดินของฟาร์มยี่สาร ซึ่งไม่ใช่สถานที่ฟาร์มยี่สาร 2.) ภาพที่กล่าวอ้างว่าเป็นการคัดเลือกไข่ปลาหมอคางดำ ซึ่งไม่ใช่กระบวนการคัดเลือกไข่ปลาตามวิธีปฏิบัติของบริษัท 3.) ภาพถ่ายทางอากาศในบริเวณฟาร์ม ที่อ้างว่าเป็นบ่อเลี้ยงปลา ทั้งที่ความจริงคือบ่อเลี้ยงกุ้ง

ซีพีเอฟ ยืนยันว่าการดำเนินคดีครั้งนี้เป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อปกป้องความจริง และรักษาความเป็นธรรมแก่บริษัทและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ขณะเดียวกันต้องปกป้องชื่อเสียงองค์กรจากการใช้ข้อมูลและหรือรูปภาพกล่าวอ้างที่เป็นเท็จ ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้สังคมเข้าใจผิด

เรื่อง Money กับคนรุ่นใหม่#3 ตอนที่ 4 – จากผู้ออมสู่ผู้ลงทุน

0

การเรียนรู้เรื่องการลงทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการลงทุนสามารถต่อยอดเงินออมของเราให้เติบโตและชนะเงินเฟ้อในอนาคตได้ ขั้นตอนการลงทุนเริ่มตั้งแต่การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ การสั่งซื้อขายผ่านระบบที่ปลอดภัย การประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน และเมื่อซื้อหุ้นแล้วใช้บริการระบบไร้ใบหุ้น หรือ Scripless ก็จะทำให้สะดวกต่อการซื้อขายโอนเปลี่ยนมือ และปลอดภัยยิ่งขึ้น จากการเป็นเพียง “ผู้ออม” ที่ฝากเงินอย่างเดียว ทุกคนสามารถก้าวสู่การเป็น “ผู้ลงทุน” ได้จริง เพียงแค่เริ่มต้นอย่างถูกวิธีและมั่นใจในระบบที่ปลอดภัย

Money กับคนรุ่นใหม่ #3 จะทำให้เห็นโอกาสของการเป็นผู้ออมสู่ผู้ลงทุน

เรียนรู้การลงทุน และ ติดตามเราได้ที่
INVESTORY Website: https://investory.setgroup.or.th
Line (Official Account) : @INVESTORYMuseum
SET Website: https://www.set.or.th
Facebook : / set.or.th
YouTube : / setthailand
TikTok: / set_thailand
Instagram : / set_thailand
Twitter : / set_thailand

รู้เก็บรู้ออม : Leveraged & Inverse ETF ลงทุนติดเทอร์โบ

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯได้เปิดให้ซื้อขายกองทุน ETF 2 แบบใหม่ คือ Leveraged และ Inverse ETF เพิ่มจากเดิมที่มีกอง ETF แบบ passive fund เท่านั้น “คุณนายพารวย” อยากชวนให้มาทำความรู้จักกับเครื่องมือการลงทุนตัวนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสเพิ่มผลตอบแทนและยังช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนได้อีกด้วย

กองทุน ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมที่ลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี เน้นให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีตลาดหุ้นที่ใช้อ้างอิง และนำหน่วยลงทุนมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้นักลงทุนซื้อขายเปลี่ยนมือได้เรียลไทม์ โดยกองทุน ETF มีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ทำหน้าที่ส่งคำสั่งเสนอซื้อเสนอขาย เพื่อให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะซื้อขาย ETF ได้ และราคาของ ETF เคลื่อนไหวสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของหน่วยลงทุน

ETF แบบที่ซื้อขายอยู่ก่อนหน้านี้ เป็นแบบ passive fund ซึ่งมุ่งเน้นสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นไทย หุ้นรายกลุ่มอุตสาหกรรม หุ้นต่างประเทศ ทองคำ และตราสารหนี้ ขึ้นกับนโยบายลงทุน ส่วน ETF 2 แบบใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่งเปิดให้ซื้อขาย คือ Leveraged และ Inverse ETF เป็นกอง ETF ที่มีการซื้อขายและเป็นที่นิยมในต่างประเทศอยู่ก่อนแล้ว

Leveraged ETF เป็น ETF ที่มุ่งหวังผลตอบแทน “ทวีคูณ” รายวันของดัชนี เช่น Leveraged ETF แบบ 2 เท่า (2X) ก็จะให้ผลตอบแทนเป็น 2 เท่าตัวของดัชนีอ้างอิง ETF แบบนี้ จึงทำหน้าที่เป็น “ตัวเพิ่มกำไร” โดยให้ผลตอบแทนเป็นจำนวนเท่า ของผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง ซึ่งเหมาะกับกรณีที่คาดว่าตลาดจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น

ส่วน Inverse ETF เป็น ETF ที่มุ่งหวังผลตอบแทน “ตรงกันข้าม” กับผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง เช่น ดัชนีปรับขึ้น +1% Inverse ETF แบบ 2I จะให้ผลตอบแทน –2% ดังนั้น Inverse ETF จะทำหน้าที่เป็น “ตัวเสริมพอร์ต” สร้างโอกาสทำกำไรหรือใช้ป้องกันความเสี่ยง ในกรณีที่คาดว่าทิศทางตลาดจะปรับลง

หากมั่นใจว่าตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น การถือ Leveraged ETF จะช่วยสร้างผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในดัชนีโดยตรง ส่วนช่วงตลาดขาลง การเลือกใช้ Inverse ETF ก็เป็นเครื่องมือสร้างกำไรแบบติดคันเร่งในตอนที่ตลาดปรับตัวลง นอกจากนี้ Inverse ETF ยังเป็นเครื่องมือลงทุนที่ช่วยชดเชยมูลค่าพอร์ตที่ลดลงได้ สำหรับผู้ที่ต้องการจัดการความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นและต้องการป้องกันความเสี่ยงจากตลาดที่มีแนวโน้มปรับตัวลง

Leveraged ETF และ Inverse ETF จึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้นเป็นหลัก และตัวนักลงทุนต้องมีเวลาอยู่หน้าจอ เพื่อติดตามและทบทวนสถานการณ์ลงทุนของตัวเองทุกวัน ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการถือเพื่อลงทุนระยะยาวเหมือน ETF แบบปกติ เนื่องจากการถือระยะยาว ผู้ลงทุนอาจมีความเสี่ยงจากการที่ผลตอบแทนรวมของกองทุน ETF อาจแตกต่างไปบ้างจากผลตอบแทนทวีคูณของดัชนีอ้างอิง โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง

นักลงทุนที่เข้าใจกลไกและเลือกใช้ประเภท ETF ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถใช้ประโยชน์จาก Leveraged ETF และ Inverse ETF ได้เต็มที่ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/leveraged–and–inverse–etf 

คุณนายพารวย