Home Blog Page 13

ตามรอยเซียน โดย เจี๊ยบ บางกรวย “พระสมเด็จวัดระฆังเกศบัวตูม ”

0

วันอาทิตย์เดินดูพระกับพระอาจารย์ คุยกันเรื่องรักในพระสมเด็จ ถ้าเจอสีดำบนรักแดงแท้ แต่ถ้าเจอแดงสีเดียวเก๊ รักแท้อายุเป็นร้อยปีจะหลุดเป็นชิ้นเป็นแผ่น ถ้ารักละลาย ไม่ดีเป็นรักใหม่ จำไว้นะเธอ ถ้าเดินเจอพระสมเด็จในกรอบ พระอาจารย์บอก มีพระหลุดนะยิ่งมีกรอบยิ่งดี แสดงว่าคนขายดูดี ตั้งใจขายแพงพร้อมกรอบ ถ้าเจอดูพระสว่างทั้งองค์คราบแป้งนวลๆ พิมพ์ดีมีโอกาสได้พระสมเด็จไว้ใช้

อาจารย์สอนเซียนเจี๊ยบหาตาม ได้มา 1องค์จากหลายร้อยองค์ จาก 20-30 แผงในสนามพระ เสร็จสิ้นการเดินแวะกินข้าว จบที่ร้านกาแฟ ได้เวลาโชว์พระ ให้พระอาจารย์ดู วัดระฆังเกศบัวตูมแท้ดูง่าย หวานเจี๊ยบ ใช้ได้แล้วนี่หาพระได้ พามาดูพระด้วยกันไม่ได้เดี๋ยวแย่งพระฉันหมด
พระอาจารย์สอนเซียนเจี๊ยบบอกต่อ พระสมเด็จแท้ ยังรอเราอยู่นะเธอ

เจี๊ยบบางกรวยเดินตามรอยพระอาจารย์ 087 0030897

มื้อนี้ไม่ใช่แค่อาหาร…แต่คือความห่วงใยจากซีพี-ซีพีเอฟ

0

พายุโซนร้อน “วิภา” ทิ้งร่องรอยไว้ในหลายจังหวัดของภาคเหนือ บ้านเรือนจมหาย ผู้คนใช้ชีวิตยากลำบาก แต่ท่ามกลางวิกฤต ยังมีความห่วงใยที่ไม่เคยหายไป

เครือซีพี-ซีพีเอฟ ร้อยเรียงความดี เร่งลงพื้นที่มอบวัตถุดิบอาหารสด ทั้งเนื้อไก่ เนื้อหมู ไข่ไก่ น้ำดื่ม และอาหารพร้อมรับประทานแบรนด์ CP ส่งตรงถึงหน่วยงานต่างๆ ทั้งโรงครัวพระราชทาน โรงครัวกลาง และหน่วยงานจิตอาสา ในพื้นที่ 5 จังหวัด น่าน พะเยา เชียงราย แพร่ และลำปาง เพื่อเปลี่ยนเป็นมื้ออุ่นๆ ที่เติมพลังใจให้ทั้งผู้ประสบภัยและเจ้าหน้าที่ด่านหน้า

ภารกิจนี้ไม่ใช่แค่การ “ส่งของ” แต่คือการ “ส่งใจ” เพราะการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และภาคประชาชน คือพลังที่ทำให้ความช่วยเหลือไปถึงมือผู้ที่ต้องการอย่างรวดเร็วที่สุด

ทีมจิตอาสาซีพีและซีพีเอฟ พร้อมใจลงเรือ ลุยน้ำ เดินเท้า ฝ่าทุกอุปสรรค เพื่อส่งมอบกำลังใจผ่านทุกมื้ออาหารที่ปรุงด้วยหัวใจ

วิกฤตอาจยังไม่จบ เราก็ยังไม่หยุด เครือซีพีและซีพีเอฟ พร้อมลุยเคียงข้างกัน…จนถึงวันที่วิกฤตคลี่คลาย

ชมคลิปเต็มความช่วยเหลือจากใจ https://youtube.com/shorts/QufrBe5nDRg?si=8Dx8C66H3RXJjVf2

CPF หนุน SMEs ไทยด้วยองค์ความรู้ ESG พลิกโอกาสธุรกิจ สู่ความยั่งยืน

0

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่ผลกำไรเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป หากแต่ต้องวัดจากศักยภาพในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีความรับผิดชอบ ผู้ประกอบการ SMEs ยืนยันการดำเนินงานอย่างยั่งยืนเป็นโอกาส การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมไม่ใช่ภาระหรือเป็นต้นทุนที่สูญเปล่า แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

ผู้ประกอบการ SMEs ไทยกว่า 100 รายที่เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “Empowering SMEs Competitiveness: อยู่รอด เติบโต ยั่งยืน” ในงาน GCNT Expo 2025 จัดโดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ทั้งภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ธนาคารพัฒนาเอเชีย และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญของบริษัทถ่ายทอดความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนเสริมสร้างศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ไทยขับเคลื่อนธุรกิจก้าวสู่ธุรกิจคาร์บอนต่ำ ร่วมดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม

พีรพงศ์ กรินชัย ผู้บริหารสูงสุดสายงานวิศวกรรม ซีพีเอฟ กล่าวว่า ในฐานะสมาชิกของสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพค ประเทศไทย (GCNT) การจัดกิจกรรมแบ่งปันองค์ความรู้เสริมสร้างศักยภาพธุรกิจ SMEs ดำเนินงานตามหลักการ ESG ดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ซีพีเอฟเชื่อมั่นว่า ‘ความยั่งยืน’ จะเกิดขึ้นได้จริงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ธุรกิจ SMEs ซึ่งเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุนในระยะยาว เสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ รวมถึงแหล่งเงินทุนที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ด้าน ยุทธพล วงศ์วรกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซินเนอร์จี้แพค จำกัด ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหาร กล่าวว่า SME หลายรายกังวลการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องใช้งบประมาณ เมื่อได้ลงมือลดก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต พบว่าไม่ได้มีต้นทุนสูงอย่างที่เคยคิด แต่กลับช่วยให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ผลผลิตเพิ่ม ต้นทุนลดลง ที่สำคัญช่วยสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม

ขณะที่ หิรัญญา วงศ์จิรัฐิติกาล ผู้อำนวยการ บริษัท วงศ์เอกอุตสาหกรรม จำกัด กล่าวเสริม ว่า แนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ได้เป็นทฤษฎี ความรู้ที่ได้รับเป็นแนวทางปฏิบัติที่นำไปประยุกต์ใช้ได้จริง จากการปรับเปลี่ยนสู่ธุรกิจสีเขียวช่วยเปิดประตูให้ SMEs ได้เข้าถึงลูกค้าใหม่และโอกาสทางธุรกิจเพิ่มขึ้น

ภเดช กันตจินดา กรรมการผู้บริหาร บริษัท เนเจอร์สไปซ์ จำกัด สะท้อนว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ธุรกิจ SME สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง ผลลัพธ์ที่ตามมา SMEs มีรายได้ที่มั่นคง ต้นทุนที่ลดลง และสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสายตาของผู้บริโภคการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG เป็นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตก้าวทันโลก พร้อมกับสร้างคุณค่าและความยั่งยืนทั้งต่อองค์กร สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว.

ปลาหมอคางดำกินพืชเป็นส่วนใหญ่ มองใหม่อย่างเข้าใจธรรมชาติของ “ผู้ร้ายจำเป็น” ในน้ำกร่อย

0

บทความ โดย วงษ์อร อร่ามกูล

ในห้วงเวลาที่ชื่อของ “ปลาหมอคางดำ” ถูกกล่าวถึงอย่างหนาหูว่าเป็นปลารุกราน เป็นภัยต่อระบบนิเวศ หรือแม้กระทั่งเป็น “ปลามลพิษ” ที่ไม่ควรบริโภค เสียงตัดสินเหล่านี้อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดและตื่นตระหนกเกินเหตุ แต่เมื่อย้อนกลับมามองด้วยข้อมูลวิชาการจะเห็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง

งานวิจัยโดยคุณทิวารัตน์ เถลิงเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ กรมประมง ชี้ให้เห็นว่า ปลาหมอคางดำมีธรรมชาติที่ต่างจากสิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดมาโดยตลอด เริ่มจากโครงสร้างทางกายภาพที่สำคัญอย่าง “ลำไส้” ที่ยาวมาก โดยเฉพาะในปลาขนาด 15–20 เซนติเมตร ซึ่งมีลำไส้ยาวกว่าความยาวลำตัวถึงเกือบ 7 เท่า ลักษณะนี้เป็นดัชนีสำคัญของสิ่งมีชีวิตที่บริโภคพืชเป็นหลัก

เป็นไปตามข้อมูลเชิงวิชาการที่แบ่งประเภทของปลาตามลักษณะพฤติกรรมการกินอาหารได้ 3 กลุ่ม คือ 1.) ปลากินพืช (Herbivorous fish) ลำไส้จะยาวมากกว่าความยาวลำตัวหลายเท่า โดยทั่วไปอยู่ที่ 4–10 เท่า ของความยาวลำตัว หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณเส้นใยในอาหาร 2.) ปลากินสัตว์ (Carnivorous fish) ลำไส้จะสั้นกว่ามาก โดยปกติจะยาวเพียง 0.5–2 เท่า ของความยาวลำตัวเท่านั้น เพราะโปรตีนสัตว์ย่อยง่าย ใช้ลำไส้ไม่ยาว 3.) ปลากินทั้งพืชและสัตว์ (Omnivorous fish) ลำไส้จะอยู่ระหว่างกลาง ประมาณ 1.5–4 เท่า ของความยาวลำตัว ดังนั้น เมื่อปลาหมอคางดำมีลำไส้ยาวถึง เกือบ 7 เท่า ของลำตัวในช่วงอายุที่โตเต็มที่ ก็เป็นหลักฐานที่หนักแน่นว่า มันเป็นปลาที่มีลักษณะกินพืชเป็นหลัก มากกว่าที่จะเป็นสัตว์กินเนื้อ

ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาชิ้นนี้ยังได้วิเคราะห์องค์ประกอบอาหารภายในลำไส้ของปลาหมอคางดำที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด เช่น แม่น้ำสวี จังหวัดชุมพร คลองท่าครก จังหวัดระยอง และพื้นที่ป่าชายเลนบางตะบูนนอก จังหวัดเพชรบุรี ผลการวิเคราะห์พบว่า องค์ประกอบของอาหารภายในลำไส้ถึง 94% เป็นพืชน้ำ แพลงก์ตอนพืช และสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่สัตว์นักล่า ขณะที่สัตว์น้ำอย่างกุ้ง หอย ปู หรือแมลงตัวเต็มวัยมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

กล่าวได้ว่าปลาหมอคางดำ “กินพืชเป็นหลัก” และไม่ได้มีพฤติกรรมการล่า หรือกินลูกสัตว์น้ำตามที่มีความเชื่อผิด ๆ กันในวงกว้าง ความเข้าใจผิดเหล่านี้มักเกิดจากการพบว่า ปลาในบ่อเพาะเลี้ยงมีเศษกุ้งหรือปลาขนาดเล็กอยู่ในลำไส้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผลจากพฤติกรรมการ “ปรับตัว” มากกว่าพฤติกรรมดั้งเดิม

ข้อเท็จจริงอีกประการที่ควรรับรู้คือ การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายแห่งของไทย ส่วนใหญ่มิได้เกิดขึ้นโดยกระบวนการตามธรรมชาติ แต่เป็นผลจาก “การกระทำของมนุษย์” ทั้งโดยตั้งใจ เช่น การนำไปทดลองเลี้ยง และโดยไม่ตั้งใจ เช่นการปะปนมากับพันธุ์สัตว์น้ำอื่น หรือการนำปลาไปทำปลาเหยื่อ ปลาปรับตัวได้ดี มนุษย์เราก็ควรกำจัดปลาหมอคางดำด้วยการพิจารณาถึงศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งที่ผ่านมากรมประมงได้ทดลองนำปลาหมอคางดำไปแปรรูปเป็น “หมอหมัก” สำหรับทำเป็นอาหารสัตว์น้ำ พบว่าใช้ได้ผลดี และยังสามารถนำเนื้อปลาสดไปเลี้ยงปูทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเนื้อแน่น คงรูปดี และมีราคาถูก

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย หากผ่านการเตรียมที่ถูกสุขลักษณะ เนื้อปลาสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ทั้งทอด ต้ม นึ่ง หรือทำปลาแดดเดียว ทำน้ำปลา ปลาร้า โดยไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าปลาชนิดนี้มีสารพิษหรืออันตรายต่อผู้บริโภคเลย

การเข้าใจผิดคือจุดเริ่มต้นของการตีตรา หากไม่ย้อนกลับมามองข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผล ก็อาจพลาดโอกาสในการอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่กำลังหาทางปรับตัวอยู่กับเราอย่างสงบ ปลาหมอคางดำไม่ใช่ศัตรู และไม่ใช่ปลามลพิษ มันคือปลาชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าหากช่วยกันมองด้วยใจที่เปิดกว้างบนข้อมูลที่ถูกต้อง

เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าสานต่อโครงการ “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย” ครั้งที่ 36 ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชน

0

เมืองไทยประกันชีวิต ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนภารกิจเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง สานต่อ โครงการ “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย” ครั้งที่ 36 ตอกย้ำการพัฒนาคุณภาพเยาวชนไทยในฐานะรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมด้านการศึกษาและการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ เพื่อจุดประกายอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับสังคมไทย

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าเยาวชนคือพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ การได้มอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กที่มีความมุ่งมั่น แต่ขาดแคลนทรัพยากร เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต เราหวังว่าทุนการศึกษานี้จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้เดินตามความฝัน และเติบโตเป็นกำลังสำคัญของสังคมไทยต่อไป”

โดยจัดพิธีมอบทุนการศึกษา ภายใต้โครงการ “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย” ครั้งที่ 36 ซึ่งในปีนี้จัดขึ้น ณ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนินกลาง กรุงเทพฯ เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาแก่เยาวชนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์จาก 19 โรงเรียนในพื้นที่เขตห้วยขวาง เขตดินแดง และเขตปทุมวัน รวมถึงบุตรหลานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั้ง 3 เขต รวมทั้งสิ้น 195 ทุน เป็นจำนวนเงินรวม 585,000 บาท

นอกจากการมอบทุนการศึกษาแล้ว บริษัทฯ ยังจัดกิจกรรมทัศนศึกษาให้แก่นักเรียนผู้รับทุนทุกคน ณ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ แหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ที่นำเสนอเนื้อหาอย่างทันสมัยผ่านเทคโนโลยีสื่อผสมเสมือนจริง ระบบมัลติมีเดียแอนิเมชัน และอินเตอร์แอคทีฟเซลฟ์เลิร์นนิ่ง เพื่อเปิดมุมมองใหม่แห่งการเรียนรู้ และปลูกฝังความภาคภูมิใจในความเป็นไทยให้กับเยาวชน

โครงการ “เมืองไทยมอบทุนน้องน้อย” เป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมของบริษัทฯ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน สะท้อนถึงนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะในมิติสังคม (Social) ที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีคุณภาพทั้งในด้านการศึกษา ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาทุนมนุษย์ และต่อยอดสู่การสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืนในอนาคต

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ บริษัทฯ ได้รับเกียรติจาก ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร และผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน ได้แก่ ดร.บุษราคัม ศรีจันทร์ หัวหน้ากลุ่มงานนิเทศการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ การจัดการเรียนรู้ สำนักการศึกษากรุงเทพมหานคร นางชุติสา ศาสตร์สาระ ผู้อำนวยการเขตดินแดง นายอิทธิพล อิงประสาร ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน นายอุกฤษฏ์ องตระกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตห้วยขวาง นายปัทมนิธิ เสนาณรงค์ หัวหน้าฝ่ายบริหารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ สำนักงานพระคลังข้างที่ นายสุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสื่อโฆษณา บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป และนางสาวเกวลิน ธาระสิทธิ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายพันธมิตรสัมพันธ์ บริษัท แมคไทย จำกัด ร่วมในพิธีดังกล่าว

“เมืองไทยประกันชีวิต ยึดมั่นในพันธกิจในการสร้างสังคมแห่งโอกาส พร้อมมุ่งมั่นเดินหน้า สร้างคุณค่าร่วมกับสังคมไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนซึ่งเป็นพลังสำคัญของชาติ อันเป็นรากฐานที่มั่นคงในการขับเคลื่อนประเทศสู่ความยั่งยืนในอนาคต การให้โอกาสทางการศึกษาในวันนี้ คือการวางรากฐานของเยาวชนไทยในอนาคต” นายสาระ กล่าวสรุป

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ผนึก ปปง. DSI บช.ก. และ ASCO แถลงความคืบหน้าคดีหุ้น MORE ตอกย้ำความมุ่งมั่นประสานความร่วมมือเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด และสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) แถลงความคืบหน้าสำคัญในการดำเนินการคดีหุ้นบริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) ( MORE) และการยกระดับการทำงานร่วมกันเพื่อตลาดทุนไทย

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คดีหุ้น MORE ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการกระทำความผิดในตลาดทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้นและทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ในวงกว้าง ซึ่งการดำเนินการกับการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันสะท้อนให้เห็นว่า การบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานภาคตลาดทุนมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน

สำหรับคดีหุ้น MORE นอกเหนือจากการดำเนินการตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เป็นตัวกลางในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการกระทำความผิด การรวบรวมพยานหลักฐาน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งช่วยทำหน้าที่สื่อสารความคืบหน้าทางคดีให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนและผู้ลงทุนได้รับทราบ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย

“สำหรับการป้องกันการกระทำผิดลักษณะเช่นนี้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยกระดับมาตรการกำกับดูแลด้วยการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ อาทิ มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์ มาตรการ Minimum Resting Time การเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสมแก่บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกทุกราย เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถใช้ประกอบการบริหารความเสี่ยงและร่วมกันป้องปรามพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที” นายอัสสเดช กล่าวเสริม

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กล่าวว่า ASCO เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่สำคัญในการประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลให้กับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกที่ได้รับความเสียหาย ตั้งแต่ช่วงเริ่มเกิดเหตุการณ์ของการกระทำความผิด จนสามารถรวบรวมหลักฐานในการร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ASCO ได้นำเสนอมาตรการต่าง ๆ ต่อหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปิดความเสี่ยงไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกในอนาคต และที่สำคัญ คือ การจัดตั้ง Securities Data Exchange Platform (SDEP) เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์รับทราบข้อมูลลูกค้าที่มีความเสี่ยงในระดับอุตสาหกรรม ทั้งข้อมูลวงเงิน คุณภาพหลักประกัน มูลหนี้ และประวัติการชำระราคา ด้วยการจัดตั้ง Platform การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ Decentralized คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1 ก.พ. 2569

พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อน ผู้กระทำความผิดมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับตลาดหุ้นและใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวช่วยในการกระทำความผิด ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างจำนวนมาก บช.ก.ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานในสังกัดและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ปปง. และ DSI เพื่อเร่งรัดดำเนินการระงับยับยั้ง ความเสียหาย จนสามารถดำเนินคดีและมีความเห็นสั่งฟ้องผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 42 ราย ถือเป็นคดีปั่นหุ้นที่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้จำนวนมากที่สุดและสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้สูงถึง 4,500 ล้านบาท ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทำให้สามารถยับยั้งการกระทำความผิดและดำเนินคดีได้อย่างทันท่วงที

นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ความสำเร็จจากการประสานความร่วมมือข้ามหน่วยงาน (inter-agency cooperation model) ในการดำเนินคดีหุ้น MORE อันนำไปสู่การป้องกันความเสียหายและติดตามทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถระงับธุรกรรมต้องสงสัยได้ภายในวันเดียว ลดเวลาดำเนินการจากเดิมที่ใช้เวลา 2-3 วัน ส่งผลให้สามารถตัดวงจรอาชญากรรม ยับยั้งการกระทำผิดทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยด้วยความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเป็นระบบ สำหรับคดีหุ้น MORE ศาลมีคำสั่งคืนหรือชดใช้ทรัพย์สินให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เสียหาย 10 ราย รวมมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลและอำนาจหน้าที่ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดทุนไทยมีความน่าเชื่อถือและมั่นคงมากขึ้นในระยะยาว

พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นพัฒนาการของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้กระทำผิดอาศัยความรู้ ความชำนาญ เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ อยู่ในแวดวงนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รู้ขั้นตอนวิธีการซื้อขาย ชำนาญจนมองเห็นช่องโอกาสที่จะทุจริตได้ ความสำเร็จของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการบูรณาการหลายหน่วยงาน ยกระดับมาตรฐานการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ระงับยับยั้งความเสียหายของบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 10 บริษัท รวมความเสียหายประมาณ 4,500 ล้านบาท ที่จะต้องชำระให้กับผู้ขายหลักทรัพย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย โดยใช้มาตรการทางแพ่งของกฎหมายฟอกเงิน ในการร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินและนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย และยังมีการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มผู้ร่วมกระทำผิดด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายฟอกเงิน เท่ากับผู้กระทำผิดไม่ได้ทรัพย์สินตามที่ตั้งใจไว้และยังอาจจะต้องรับโทษในทางอาญาในสถานหนักด้วย

เอาใจคนซื้อบ้านหลังแรก ออมสินออก “สินเชื่อบ้านหลังแรกเพื่อคุณ” ให้ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก เพียง 2.99% ต่อปี

0

ทุกความสุขเกิดขึ้นได้ในบ้านหลังแรกด้วย…สินเชื่อบ้านหลังแรกเพื่อคุณ

สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรก
✅ วงเงินกู้สินเชื่อเคหะไม่เกิน 5 ล้านบาท
✅ ผ่อนเริ่มต้น 3,500 บาท/เดือน (ปีที่ 1 – 2)
✅ ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก 2.99% ต่อปี (กรณีทำประกันฯ)
✅ สนับสนุนค่าประเมินราคาหลักทรัพย์สูงสุด 5,000 บาท (สำหรับวงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป)

ยื่นกู้ได้ตั้งแต่ 16 ก.ค. 68 – 30 ธ.ค. 68 หรือจนกว่าครบวงเงิน 10,000 ล้านบาท
อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญา ภายใน 31 ม.ค. 69

  • ปัจจุบัน MRR เท่ากับ 6.545% ต่อปี (ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป) ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงได้
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate อยู่ระหว่าง 2.990% – 6.295% ต่อปี)
  • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) อยู่ระหว่าง 4.744% – 5.226% ต่อปี คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนชำระเท่ากันทุกงวด
  • เงินงวดผ่อนชำระสินเชื่อเคหะแบบผ่อนต่ำ ปีที่ 1 – 2 ล้านละ 3,500 บาท/เดือน ปีที่ 3 ล้านละ 5,500 บาท/เดือน หลังจากนั้น 7,700 บาท/เดือน ดอกเบี้ยทั้งสัญญา 604,102.78 บาท คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี กรณีทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อตามงื่อนไขฯ

สมัครขอสินเชื่อ คลิก >> https://to.gsb.or.th/mLl2f0si
⚠️ รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
⚠️ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

Meta จับมือ ก.ล.ต. ปล่อยแคมเปญเตือนภัยหลอกลวงให้ลงทุน ชี้ 4 กลโกงออนไลน์ที่ต้องรู้ทัน

0

ในยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน การทำธุรกรรมและการลงทุนผ่านช่องทางออนไลน์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ความสะดวกสบายนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากอาชญากรไซเบอร์ที่มีความเชี่ยวชาญและทรัพยากรสูง ซึ่งมุ่งโจมตีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ขาดความตระหนักรู้

Meta ผู้นำด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียได้ดำเนินความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับรัฐบาล หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย บริษัทเทคโนโลยี และธนาคารทั่วโลก เพื่อปกป้องผู้ใช้จากกลโกงการลงทุนและการชำระเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยในประเทศไทย Meta ได้มีความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในแคมเปญ “ป้องกันภัยลวงหลอกให้ลงทุน” เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกลโกงออนไลน์ที่พบได้บ่อย และยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้ชาวไทยบนแพลตฟอร์มของ Meta

ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า “การดำเนินการแคมเปญนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความรู้สร้างภูมิคุ้มกันการลงทุนให้กับประชาชนและผู้ลงทุนให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ ห่างไกลจากภัยคุกคามบนโลกออนไลน์ที่มีรูปแบบและวิวัฒนาการที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และสามารถตรวจเช็กและตัดสินใจลงทุนด้วยความรอบคอบและปลอดภัยในโลกการเงินยุคใหม่”

ก.ล.ต. ได้ทำงานเชิงรุกมาโดยตลอดภายใต้แผนยุทธศาสตร์ของ ก.ล.ต. ที่มุ่งเน้นยกระดับเป็นศูนย์ป้องปรามการหลอกลงทุนในตลาดทุน (Anti-Investment Scam Center) ในการให้บริการประชาชน ผู้ลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแล และหน่วยงานในตลาดทุนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ตระหนักรู้และเท่าทันภัยคุกคามในโลกออนไลน์ รวมทั้ง บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ และเอกชนในการพัฒนากลไกป้องกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยบนโลกออนไลน์ 

แม้จะมีมาตรการป้องกันเหล่านี้ กลุ่มมิจฉาชีพก็ยังคงพัฒนากลยุทธ์ใหม่ ๆ และใช้เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ ดังนั้นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อมีการติดต่อจากบุคคลแปลกหน้าหรือเจอโฆษณาที่ดูดีเกินจริง

กลโกงออนไลน์ 4 ประเภทที่พบบ่อย 

กลุ่มมิจฉาชีพมักปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามกระแสและความสนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต โดย 4 กลโกงที่พบบ่อย ได้แก่

1. กลโกงการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี
กลโกงรูปแบบนี้มักใช้วิธีแอบอ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในคริปโตฯ หรือเป็นตัวแทนจากแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตชื่อดัง พวกเขาจะใช้สื่อออนไลน์หรือแม้แต่โทรศัพท์โน้มน้าวให้เหยื่อลงทุน โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูง มักจะมีคำพูดอย่าง “มีสูตรลับการเทรด” หรือ “มีข้อมูลวงใน” และบางครั้งอาจใช้ภาพบัญชีที่ดูมีกำไรสูงปลอม ๆ หรือเสนอตัวช่วยกู้คืนเงินที่ขาดทุนจากการลงทุนก่อนหน้านี้ เพื่อหลอกลวงซ้ำอีกครั้ง

2. กลโกงหลอกให้รัก (Romance Scam)
กลโกงนี้เริ่มจากการสร้างโปรไฟล์ปลอมบนแอปหาคู่หรือโซเชียลมีเดีย โดยใช้ภาพของคนหน้าตาดี พร้อมแต่งเรื่องราวชีวิตที่น่าสงสารหรือน่าประทับใจ จากนั้นจะใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับเหยื่อ จนเกิดความไว้วางใจ แล้วค่อยเริ่มขอเงินด้วยข้ออ้างต่าง ๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน ค่าเดินทางมาพบกัน ปัญหาทางธุรกิจ หรือการลงทุนร่วมเพื่อสร้างอนาคต

3. กลโกงการลงทุนทั่วไป
กลโกงนี้คล้ายกับกลโกงคริปโตฯ แต่จะใช้สินทรัพย์รูปแบบอื่น เช่น หุ้นปลอม อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือโครงการที่ไม่มีอยู่จริง มิจฉาชีพจะเสนอ “โอกาสพิเศษ” หรือ “มีข้อมูลวงใน” ที่ให้ผลตอบแทนสูงโดยมีความเสี่ยงต่ำ บางรายอาจตั้งกลุ่มลงทุนปลอม หรือเชิญเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์ที่ดูน่าเชื่อถือ แต่สุดท้ายเงินลงทุนจะหายไปโดยไร้ร่องรอย

4. กลโกงแอบอ้างเป็นคนดัง
กลโกงนี้ใช้ภาพหรือวิดีโอของคนดัง เช่น นักแสดง นักกีฬา ผู้เชี่ยวชาญการเงิน หรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างโปรไฟล์ เพจ หรือโฆษณาปลอม ให้เกิดความน่าเชื่อถือโดยอ้างว่าคนดังเหล่านั้นกำลังโปรโมตหรือแนะนำโอกาสการลงทุน ทั้งนี้เพื่อใช้ความน่าเชื่อถือของคนดังล่อลวงให้เหยื่อเข้าใจผิดว่าการลงทุนนั้นเป็นของจริง

เคล็ดลับทั่วไปในการป้องกันกลโกงออนไลน์

แม้ว่า Meta จะอัปเดตระบบตรวจจับอย่างต่อเนื่อง แต่การป้องกันที่ดีที่สุดยังคงเป็น “ความตระหนักรู้” ในการระมัดระวังการตกเป็นเหยื่อบนโลกออนไลน์ โดย Meta ยังได้แชร์คำแนะนำสำคัญแก่ผู้ใช้ในการดูแลความปลอดภัยให้ห่างไกลจากกลโกงออนไลน์ ดังนี้

  • ตรวจสอบแหล่งที่มาก่อนตัดสินใจลงทุน ตรวจสอบข้อมูลของบุคคล บริษัท หรือหน่วยงานที่ติดต่อมา โดยเฉพาะที่อ้างว่าเป็นผู้ให้คำแนะนำการลงทุน หรือเป็นเลขาของผู้เชี่ยวชาญการลงทุน คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. หรือไม่
  • ระวังข้อเสนอที่ดีเกินจริง หากมีผู้เสนอผลตอบแทนสูงผิดปกติ โดยไม่ต้องเสี่ยงมาก หรืออ้างว่าเป็นโอกาสพิเศษช่วงเวลาจำกัด ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน
  • อย่าเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว อย่าให้รหัสผ่าน หมายเลขบัญชี หรือรหัส OTP กับใคร แม้จะอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ตำรวจ หรือหน่วยงานรัฐ
  • ระวังการโอนเงินล่วงหน้า หากมีผู้ขายหรือเพจร้านใหม่ขอให้คุณโอนเงินก่อน ต้องตรวจสอบให้รอบคอบก่อนดำเนินการ
  • ระวังกลโกงขอคืนเงินจากยอดโอนเกิน หากมีผู้ซื้ออ้างว่าโอนเงินเกินแล้วขอให้คุณโอนคืน ต้องตรวจสอบว่าเงินเข้าแล้วจริง และอย่ารีบโอนคืนก่อนแน่ใจ
  • ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับกลโกงใหม่ ๆ มิจฉาชีพพัฒนารูปแบบหรือวิธีการใหม่ตลอดเวลา การเรียนรู้กลโกงรูปแบบล่าสุดจะช่วยให้คุณระวังตัวได้ดีขึ้น
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการลงทุน โทรสอบถามได้ที่ ก.ล.ต. “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร. 1207 กด 22

นอกจากนี้ เครื่องมือความปลอดภัยของ Meta ยังช่วยให้ผู้ใช้ปลอดภัยมากขึ้นทุกวัน:

  • Messenger: Meta อาจแสดงคำเตือนใน Messenger เมื่อมีคำขอชำระเงินล่วงหน้า ขอให้ใช้วิธีโอนเงินทันที หรือหากบัญชีผู้ติดต่อมีพฤติกรรมต้องสงสัย
  • Messenger และ Instagram: มีระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) เพื่อช่วยยืนยันตัวตนและป้องกันกลโกงที่ใช้คนดัง รวมถึงการกู้คืนบัญชี
  • Facebook, Instagram และ WhatsApp: ผู้ใช้สามารถทำการตรวจสอบความเป็นส่วนตัว และตั้งค่าการมองเห็นข้อมูลส่วนตัว เช่น สถานะออนไลน์หรือรูปโปรไฟล์ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดต่อจากบุคคลแปลกหน้า

Meta มุ่งมั่นร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย องค์กรภาคประชาสังคม และพันธมิตรทั่วโลก รวมถึง ก.ล.ต. ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญในประเทศไทย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น การต่อสู้กับกลโกงเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน และด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เราจึงจะสามารถปกป้องทรัพย์สินของเรา และสร้างสังคมออนไลน์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือร่วมกันได้

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของ Meta ในการป้องกันภัยกลโกงหลอกให้ลงทุน https://about.fb.com/news/2025/05/avoiding-investment-payment-scams-online/


ติดตามแคมเปญความร่วมมือระหว่าง Meta และ ก.ล.ต. ให้ความรู้ป้องกันภัยกลโกงหลอกให้ลงทุนได้ที่ Facebook สำนักงาน กลต. Instagram สำนักงาน ก.ล.ต. และเว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec.or.th/scamalert หรือ สามารถตรวจสอบผู้ให้บริการและผู้ที่ได้รับความเห็นชอบภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ได้ที่ www.sec.or.th/seccheckfirst หรือติดตั้งแอปพลิเคชัน SEC Check First รวมทั้ง ยังสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ก.ล.ต. “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน” โทร. 1207 กด 22

น้ำใจคนไทยไม่มีหมด แนะเลือกวัตถุดิบอาหารที่มีคุณภาพดีส่งมอบอาหารปลอดภัยแก่ผู้ประสบภัย

0

นักกำหนดอาหารวิชาชีพ แนะภาครัฐ-เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในภาวะฉุกเฉินควรคำนึงถึงความปลอดภัยในอาหารเป็นสำคัญ หลีกเลี่ยงมอบอาหารบูดและเสียง่ายแก่ผู้ประสบภัย ให้เลือกอาหารที่เก็บได้นาน และควรตรวจสอบคุณภาพอาหารก่อนนำไปมอบ เพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางอาหาร

ดร.วนะพร ทองโฉม

ดร.วนะพร ทองโฉม นักสุขศึกษา (นักกำหนดอาหารวิชาชีพ) งานสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ทางจังหวัดภาคเหนือในขณะนี้ พร้อมเหตุการณ์ปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มีประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ประสบภัยไม่สามารถประกอบอาหารเองได้ และไม่สะดวกออกไปซื้อ จึงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ ทั้งในรูปแบบอาหารที่ปรุงสำเร็จ และอาหารแห้งที่สามารถกักตุนไว้กินได้หลายวัน

แม้ในภาวะฉุกเฉิน เรื่องอาหารยังคงจำเป็นต้องใส่ใจถึงความสะอาด สุขอนามัย และความปลอดภัยเป็นหลัก ที่สำคัญวัตถุดิบอาหารต้องมีคุณภาพดี เนื่องจากอาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและมีผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค หน่วยงานที่เข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย จึงต้องระมัดระวังและตรวจสอบคุณภาพตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงผู้รับ เพื่อให้อาหารปลอดภัยต่อการบริโภคและดีต่อสุขภาพ ในขณะเดียวกัน น้ำดื่มควรเลือกจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางอาหาร

ดร.วนะพร แนะนำว่า คุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์อาหารในยามฉุกเฉิน (Emergency Food Products-EFPs) ต้องมี 5 คุณสมบัติ ดังนี้

  1. สะอาดปลอดภัย (Safe): ไม่มีสิ่งปนเปื้อน ไม่หมดอายุ และบรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพดี
  2. อร่อย เป็นรสชาติที่สามารถยอมรับได้ (Palatable)
  3. ขนส่งง่าย (Easy to deliver): บรรจุภัณฑ์ควรทนทานไม่แตกหักง่าย และอยู่ในรูปทรงที่สามารถเรียงเพื่อขนส่งได้ครั้งละมากๆ เช่น เป็นทรงสี่เหลี่ยม
  4. พร้อมบริโภค (Easy to use) : เปิดบรรจุภัณฑ์สามารถกินได้โดยไม่ต้องนำไปปรุงประกอบโดยใช้ความร้อน
  5. มีสารอาหารครบถ้วนและพลังงานที่เพียงพอสำหรับมื้อหลัก (Nutritionally complete) โดยมีพลังงาน 700 กิโลแคลอรี่/หน่วยบริโภค และมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสม

สำหรับอาหารปรุงสุกที่ควรหลีกเลี่ยงในการนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย คือ อาหารที่เสียง่ายหรือบูดง่าย ได้แก่

  1. อาหารคาวที่ปรุงด้วยกะทิ เช่น แกงเขียวหวาน แกงพะแนง หรือ อาหารหวาน ที่มีส่วนผสมของกะทิ ซึ่งกะทิมีองค์ประกอบของสารอาหารที่เอื้อต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นตัวการทำให้อาหารเสียง่าย
  2. อาหารประเภทลาบหรือยำ เนื่องจากวัตถุดิบผ่านการลวกหรือรวน ซึ่งเป็นการผ่านความร้อนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่สามารถทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคได้
  3. อาหารที่ใส่ผักและผักลวกหรือผักต้ม เพราะการใส่ผักลวกหรือผักต้มในกับข้าวจะทำให้อาหารมีความชื้นและเสียง่าย
  4. ข้าวผัด เนื่องจากข้าวผัดจะมีความชื้น และข้าวเป็นอาหารกลุ่มที่มีความเป็นกรดต่ำ ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตของแบคทีเรียก่อโรค

ส่วนอาหารปรุงสดที่ควรเลือกนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย คือ อาหารที่ไม่เสียง่ายหรือบูดยาก เก็บไว้ได้นาน และมีคุณค่าโภชนาการ โดยแนะนำให้แยกข้าวออกจากกับข้าว เพื่อทำให้อาหารบูดช้าลง อาทิ

  1. ข้าวสวยหรือข้าวเหนียว + เนื้อสัตว์ (หมู/ไก่/เนื้อ/ปลา) ทอด/ย่าง/อบ หรือ ไข่เจียว/ไข่ต้ม + ผัดผัก
  2. ข้าวสวย + กับข้าวประเภทผัดหรือต้มที่ใส่เนื้อสัตว์และผัก (ไม่มีส่วนผสมของแป้งและกะทิ)
  3. ผลไม้ที่ยังไม่ได้ปลอกเปลือกหรือยังไม่หั่น เช่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง มะม่วง แตงโม

สำหรับอาหารที่เก็บไว้ได้นาน และเหมาะสำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย อาทิ

  1. ปลากระป๋อง เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล
  2. อาหารปรุงสำเร็จบรรจุกระป๋อง
  3. ไข่สด
  4. ผักสดที่เก็บได้นาน เช่น กะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว แตงกวา มะเขือ
  5. นมพลาสเจอร์ไรซ์
  6. ขนมปังกรอบหรือเครกเกอร์

ลักษณะอาหารที่ไม่ควรบริโภค เสี่ยงเป็นอาหารที่เสีย สามารถสังเกตจาก 3 สัญญาณต่อไปนี้

  1. กลิ่นของอาหารเปลี่ยน เช่น กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นหืน กลิ่นบูด
  2. เนื้อสัมผัสอาหารเปลี่ยนไป เช่น เป็นเมือก เป็นฟอง
  3. รสชาติเปลี่ยน เช่น เปรี้ยว ขม

ข้อสังเกตอาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารบรรจุกระป๋อง ที่ไม่ควรรับประทาน ได้แก่

  1. อาหารที่หมดอายุแล้ว
  2. อาหารที่บรรจุภัณฑ์อยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย เช่น กระป๋องเป็นสนิม ถุงฉีกขาดมีรอยรั่ว
  3. อาหารที่ขึ้นรา เช่น มีใยสีขาว มีจุดสีดำบนอาหาร

ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม สุขภาพยังเป็นสิ่งที่ทุกคนควรคำนึงอยู่เสมอ หากเจ็บป่วยในขณะที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน จะยิ่งสร้างความลำบากในการเดินทางไปสถานพยาบาลเพื่อรับการรักษา จึงจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของอาหารที่รับประทานเป็นลำดับแรก ควบคู่กับคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่กินในแต่ละวัน เพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารที่จำเป็นเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เป็นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน ดร.วนะพร กล่าว.

เมืองไทยประกันชีวิต และ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ร่วมกับ พ.ม. ส่งความช่วยเหลือเพื่อผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมจ.น่าน

0

เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มตระหนักถึงความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วม ในจังหวัดน่าน เร่งจัดทำถุงยังชีพจำนวน 1,000 ชุด โดยร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อส่งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ให้แก่ผู้ประสบภัยอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สะท้อนการมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ดีและช่วยเหลือในยามวิกฤต

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เมืองไทยประกันชีวิต และมูลนิธิเมืองไทยยิ้มตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในจังหวัดน่าน จึงได้จัดทำถุงยังชีพจำนวน 1,000 ชุด พร้อมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อดำเนินการส่งมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ประสบภัย ผู้สูงอายุ และผู้เปราะบางในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ เวียงสา เมืองน่าน ภูเพียง และปัว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยให้ชุมชนฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว” ในโอกาสนี้บริษัทได้รับเกียรติจาก นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอนุรักษ์ มลิวัลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ และนางสาวปิติพร ปิติเสรี ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกียรติร่วม ในพิธีรับมอบถุงยังชีพ

การดำเนินการครั้งนี้สะท้อนถึงนโยบายการตอบแทนสังคมของบริษัทที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการยึดมั่นในแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) และการบูรณาการแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะในมิติสังคม (Social) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงของประเทศ เมืองไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและช่วยเหลือสังคมไทยให้ก้าวข้ามวิกฤตไปได้ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

“ในนามของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม เราขอแสดงความห่วงใยต่อ ผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดน่าน และยินดีที่ได้ร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยให้สังคมฟื้นตัวอย่างมั่นคง การช่วยเหลือครั้งนี้สะท้อนพันธกิจของเราในการพัฒนาสังคมภายใต้หลักการ ESG เพื่อสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน” นายสาระกล่าว