Home Blog Page 124

แนะวิธีเลือกซื้อ เนื้อหมู-ไก่ อย่างปลอดภัยช่วงตรุษจีน

0

ผู้เชี่ยวชาญ ม.มหิดล แนะเลือกซื้อเนื้อหมู เนื้อไก่ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนจากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่ได้มาตรฐาน มีตราสัญลักษณ์รับรอง เป็นหลักประกันความสด สะอาด และปลอดภัย ย้ำ ผู้บริโภคต้องปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกก่อนบริโภค หรืออุ่นร้อนเสมอเพื่อความปลอดภัย

รศ.ดร.นายสัตวแพทย์กัมพล แก้วเกษ ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เทศกาลตรุษจีน เป็นเทศกาลที่คนไทยเชื้อสายจีนจัดพิธีไหว้เจ้าและเคารพบรรพบุรุษที่ล่วงลับ โดยลูกหลานนิยมนำอาหารมาไหว้ โดยเครื่องไหว้ที่สำคัญ คือ อาหารกลุ่มเนื้อสัตว์ อาทิ หมู เป็ด ไก่ วิธีการเลือกซื้อจึงควรคำนึงถึงความสด สะอาด และปลอดภัย เพราะหลังจากเสร็จพิธีจะนิยมนำมาบริโภคภายในครอบครัว เพื่อความเป็นสิริมงคลและได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่ดี โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อสัตว์

รศ.ดร.นายสัตวแพทย์กัมพล แก้วเกษ

“การเลือกซื้อเนื้อสัตว์อย่างปลอดภัย ควรใส่ใจในการเลือกซื้อ โดยเลือกจาร้านจำหน่ายที่เชื่อถือได้ หรือที่มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานภาครัฐ เพราะหลังจากไหว้เจ้าและบรรพบุรุษ ผู้บริโภคตัวจริงคือ ตัวเราและครอบครัว ที่สำคัญต้องปรุงสุกเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัย” รศ.ดร.นายสัตวแพทย์กัมพล กล่าวย้ำ

สำหรับวิธีการเลือกซื้อเนื้อหมู ให้สังเกตลักษณะภายนอก เนื้อหมูต้องมีสีแดงธรรมชาติ ไม่เป็นสีแดงเข้ม หรือ เขียวคล้ำ เมื่อกดเนื้อไม่กระด้าง ไม่มีเม็ดสาคู ซึ่งเสี่ยงที่จะเป็นไข่พยาธิ นอกจากนี้แนะเลือกร้านจำหน่ายที่มีความสะอาด มีมาตรการป้องกันความปลอดภัย หรือสังเกตตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” จากกรมปศุสัตว์ เพราะเนื้อสัตว์ผ่านการรับรองมาตรฐานความความปลอดภัยสำหรับการบริโภค มีการตรวจสอบสารปนเปื้อน สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ ตั้งแต่ฟาร์ม โรงชำแหละ จนถึงสถานที่จำหน่าย

ส่วนเนื้อหมูที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ ควรสังเกตฉลากรับรองมาตรฐานความปลอดภัยอาหาร จากกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงวันผลิตและวันหมดอายุ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้ ที่สำคัญอุณหภูมิตู้เย็นที่เก็บรักษาต้องได้ตามมาตฐานตั้งแต่ที่ 0-4 องศาเซลเซียส และไม่ควรเกิน 8 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ อาหารที่ไหว้ แม้จะผ่านการทำให้สุกแล้วแต่ก่อนนำไปรับประทาน ต้องปรุงสุกซ้ำโดยปรุงสุกผ่านความร้อนที่อุณภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส

ด้าน ดร.สัตวแพทย์หญิงระพีวรรณ ธรรมไพศาล ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.มหิดล แนะนำการเลือกซื้อเนื้อไก่ หากซื้อเป็นตัว ให้สังเกตจากลักษณะภายนอก มีความสดใหม่ สีขาวอมชมพู ไม่มีสีคล้ำ ผิวหนังเป็นมัน ไม่มีรอยช้ำเลือดหรือจ้ำเลือด โดยเฉพาะบริเวณของปีกหรือใต้ปีก ไม่มีลักษณะของเหลวเมือกๆ และไม่มีกลิ่นเหม็น

รศ.ดร.นายสัตวแพทย์กัมพล แก้วเกษ

นอกจากนี้ให้เลือกซื้อจากผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ หากเลือกซื้อเนื้อสัตว์อยู่ในบรรจุภัณฑ์ ให้ดูวันผลิตและวันหมดอายุ และสังเกตตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานว่าผ่านเกณฑ์อาหารปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้

ที่สำคัญต้องปรุงเนื้อไก่ให้สุก ด้วยอุณหภูมิที่ 100 องศาเซลเซียส 1 นาที หรือ 60 องศาเซลเซียส 4-5 นาที สำหรับเนื้อไก่ที่สุกแล้ว หลังไหว้ไม่ควรนำมารับประทานทันที ก่อนรับประทานให้นำมาอุ่นอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 นาที เพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค

สำหรับเป็ด ไก่ ที่บริโภคไม่หมด ให้เก็บไว้ในช่องแช่แข็งเพื่อหยุดการเจริญของแบคทีเรีย โดยการเก็บรักษาที่ถูกต้อง ควรแบ่งประเภทของเนื้อสัตว์ นำใส่ภาชนะที่สะอาด มีฝามิดชิด แยกจากผักเพื่อป้องกันการปนเปื้อนข้ามจากเนื้อสัตว์สู่ผัก และให้มีช่องว่างในการแช่เพื่อให้ความเย็นกระจายทั่วถึง ช่วยยืดอายุของการเก็บรักษาได้นานยิ่งขึ้น และควรแบ่งเก็บเป็นส่วนๆ ให้พอดีกับการรับประทานในแต่ละครั้ง เพื่อเลี่ยงการอุ่นอาหารซ้ำไปมา เพราะจะทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ และที่สำคัญควรจัดเก็บในอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ ต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส

ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกปี 2024

0
บทความโดย Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์

เศรษฐกิจโลกในปี 2024 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเป็น 2.5% จาก 2.7% ในปี 2023 จากผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบเกือบสองทศวรรษ ตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรง รวมถึงเงินออมส่วนเกินจากช่วงโควิดที่เริ่มหมดลงในหลายประเทศ อีกทั้ง เศรษฐกิจจีนยังมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงจากปัจจัยระยะสั้นและปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายด้าน นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกในปี 2024 ยังอาจต้องเผชิญความเสี่ยงด้านลบอีกหลายเรื่อง เช่น

 (1) นโยบายการเงินของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักอาจตึงตัวนานกว่าคาด

ในกรณีฐาน SCB EIC ประเมินว่าธนาคารกลางหลักของโลก เช่น ธนาคารกลางของสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยูโรโซน จะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 ตามอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อชะลอตัวลงช้าหรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอีกครั้งอย่างไม่คาดคิด ก็อาจส่งผลให้ธนาคารกลางหลักชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไป ส่งผลต่อเนื่องให้ภาคการเงินยังคงตึงตัวกดดันแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกต่อไป

(2) สงครามอิสราเอลและฮามาสอาจขยายวงและยาวนานขึ้น

ในปัจจุบันสงครามฯ นี้ ยังจำกัดอยู่ในพื้นที่อิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นสำคัญแม้จะมีการขยายวงไปยังพื้นที่รอบข้างบ้าง โดยเฉพาะในเยเมนและบริเวณทะเลแดง อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ลุกลามทำให้ประเทศผู้นำในภูมิภาค เช่น อิหร่าน เข้าร่วมสงครามโดยตรง จะกระทบเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อโลกผ่านหลายช่องทาง ทั้งในด้านมูลค่าความเสียหายโดยตรงต่อเศรษฐกิจประเทศที่ทำสงคราม รวมถึงผลกระทบทางอ้อมผ่านราคาน้ำมันโลกและความผันผวนในตลาดการเงินโลกที่สูงขึ้น เศรษฐกิจโลกอาจขยายตัวลดลงจากกรณีฐานได้มากถึง -0.4 percentage point (pp) และอัตราเงินเฟ้อโลกอาจเพิ่มขึ้นมากถึง +0.54 pp

(3) ปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกอาจปะทุขึ้นอีกครั้ง 

ห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงใหม่จากเหตุการณ์โจมตีเรือขนส่งสินค้าของกบฏฮูตีในบริเวณทะเลแดงที่เป็นทางผ่านไปยังคลองสุเอซและนับเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญระหว่างยุโรปและเอเชีย มีปริมาณการขนส่งคิดเป็น 12% ของการขนส่งทางทะเลของโลก ส่งผลให้บริษัทขนส่งหลายรายหลีกเลี่ยงเส้นทางคลองสุเอซและเปลี่ยนไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปในประเทศแอฟริกาใต้แทน นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ความแห้งแล้งในคลองปานามาที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก และเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าระหว่างเอเชียและสหรัฐฯ คิดเป็น 5% ของการขนส่งสินค้าทางทะเลของโลก ส่งผลให้องค์การบริหารคลองปานามาจำเป็นต้องจำกัดจำนวนเรือสัญจรผ่านคลองปานามาในแต่ละวัน เหตุการณ์ทั้งสองส่งผลให้ระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างทวีปสูงขึ้นมาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่ผลกระทบจะรุนแรงขึ้นหากการโจมตีในทะเลแดงไม่จบลงได้เร็ว

(4) ผลการเลือกตั้งสำคัญในหลายประเทศอาจเพิ่มความผันผวนของเศรษฐกิจโลก 

ในปี 2024 จะมีการเลือกตั้งใหญ่ใน 60 ประเทศ ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจรวมสูงกว่า 60% และครอบคลุมจำนวนประชากรกว่า 50% ของโลก หลายการเลือกตั้งมีนัยต่อเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก เช่น หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน อาจทำให้สหรัฐฯ กลับมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้าเข้มงวดขึ้นและขาดดุลงบประมาณมากขึ้นจากนโยบายลดภาษี หรือการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในสหราชอาณาจักรช่วงครึ่งของปี อาจต้องเผชิญความเสี่ยงที่จะไม่มีผู้ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงสูงมากพอที่จะทำให้การบริหารประเทศราบรื่น ซ้ำเติมความผันผวนจากการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีบ่อยถึง 4 ครั้งตั้งแต่ปี 2019 หรือการเลือกตั้งประธานาธิบดีในแอฟริกาใต้ช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม อาจได้พรรคที่สนับสนุนนโยบายประชานิยมสุดโต่งร่วมพรรครัฐบาล การเลือกตั้งประธานาธิบดีในอินโดนีเซียเดือนกุมภาพันธ์จะมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจย้ายเมืองหลวง การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ และนโยบายห้ามส่งออกแร่บางชนิด การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปในเดือนมิถุนายนจะมีผลต่อการกำหนดทิศทางนโยบายสำคัญของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการปรับข้อกำหนดทางการคลังของประเทศสมาชิกให้ยืดหยุ่นมากขึ้นหลังวิกฤติโควิด

(5) การแบ่งขั้วระหว่างจีน-สหรัฐฯ และความตึงเครียดจีน-ไต้หวันอาจรุนแรงขึ้น

หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจชูนโยบาย America first และแข่งขันทางยุทธศาสตร์กับจีนที่รุนแรงมากขึ้นทั้งด้านการค้า การลงทุน และเทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ การชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในไต้หวันของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) อีกสมัยหนึ่ง ซึ่งมีนโยบายไม่สนับสนุนจีน จะทำให้ความตึงเครียดกรณีจีน-ไต้หวัน-สหรัฐฯ มีต่อไป หากความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันรุนแรงบานปลายจนเกิดเป็นสงครามจะส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลกผ่านทั้งช่องทางการค้าและการลงทุน อีกทั้ง ยังอาจทำให้เกิดการชะงักของอุปทานโลกอย่างรุนแรง ขณะที่โอกาสการแบ่งขั้วระหว่างจีน-สหรัฐฯ จะรุนแรงขึ้นนั้นมีสูงกว่า แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกน้อยกว่า

จะเห็นได้ว่า ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่มาจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยปัญหาห่วงโซ่อุปทานโลกอาจเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมที่เกิดจากสงครามอิสราเอลและฮามาส อีกทั้ง การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างจีน-สหรัฐฯ ความตึงเครียดในบริเวณช่องแคบไต้หวัน และการเลือกตั้งในหลายประเทศยังมีความเชื่อมโยงกันในหลายมิติ อาจเป็นตัวแปรสำคัญกระทบอัตราเงินเฟ้อและการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลุ่มเศรษฐกิจหลักได้ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกยังอาจต้องเผชิญความเสี่ยงเพิ่มเติมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจจีนชะลอตัวมากกว่าคาด สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงกว่าคาด ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี รวมถึงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนรุนแรงขึ้นและกระทบเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มเติม หากความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นก็จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจำเป็นต้องอาศัยภาครัฐช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติม

แต่ในปัจจุบันรัฐบาลประเทศต่าง ๆ มีความสามารถรับมือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้น้อยลงกว่าเดิมมาก จากแรงกดดันทางการคลังที่เพิ่มขึ้นหลังกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในช่วงโควิด อีกทั้ง ยังมีรายจ่ายประชากรสูงวัย รายจ่ายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และรายจ่ายทางการทหารที่มากขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์รุนแรงขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ดอกเบี้ยจ่ายหนี้สาธารณะยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นภายใต้ภาวะดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เนื่องจากหนี้เดิมที่เคยกู้ไว้ในช่วงดอกเบี้ยต่ำต้องต่ออายุด้วยต้นทุนเงินกู้แพงขึ้น ทั้งนี้หากความเสี่ยงเหล่านี้เกิดขึ้นจริงก็จะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยได้หลายช่องทาง เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกย่อมส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทานโลกอาจส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้นและกดดันการบริโภค รวมถึงภาครัฐไทยเองก็มีความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้น้อยลงจากข้อจำกัดทางการคลังที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้เศรษฐกิจไทยมีกันชนภาครัฐไม่มากเท่าเดิมในภาวะที่ยังฟื้นตัวเปราะบางและความไม่แน่นอนสูงมากเช่นนี้

บอร์ดตลท. มีมติเลือก “พิชัย ชุณหวชิร” เป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 18

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2567 มีมติเลือกนายพิชัย ชุณหวชิร ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 18 แทนนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่ง พร้อมทั้งได้มีมติเลือก นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ออีกวาระหนึ่ง โดยทั้งสองท่านจะมีวาระดำรงตำแหน่ง 3 ปี นับแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567  

พิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายพิชัย ชุณหวชิร จบการศึกษาบัญชีบัณฑิต (การบัญชี) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท บริหารธุรกิจ Master of Business Administration, Indiana University of Pennsylvania, USA ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาบริหารการเงิน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม นายพิชัยเคยดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง อาทิ กรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์  และปัจจุบันนายพิชัยยังดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรธุรกิจ อาทิ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และองค์กรสำคัญระดับประเทศต่าง ๆ อาทิ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษาคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

พิเชษฐ สิทธิอำนวย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท บริหารธุรกิจ University of Texas at Austin สหรัฐอเมริกา นายพิเชษฐมีประสบการณ์ทำงานในภาคตลาดทุนมาอย่างยาวนาน โดยเคยดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มาแล้วก่อนหน้านี้ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งสำคัญในภาคตลาดทุน อาทิ รองประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย  

คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ชุดปัจจุบัน มีจำนวน 11 ท่าน ประกอบด้วย นายพิชัย ชุณหวชิร เป็นประธานกรรมการ นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย เป็นรองประธานกรรมการ ส่วนอีก 9 ท่าน ได้แก่ นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ นายคมกฤช เกียรติดุริยกุล ม.ล. ทองมกุฎ ทองใหญ่ นายธิติ ตันติกุลานันท์ นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ นายศุภโชค ศุภบัณฑิต นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย และนายภากร ปีตธวัชชัย ซึ่งเป็นกรรมการและผู้จัดการ

ซีพีเอฟ ขอบคุณรัฐแก้ปัญหานำเข้ากากถั่วทันการณ์ พร้อมลดราคาอาหารสัตว์ช่วยเกษตรกร

0

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจอาหารสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ขอขอบคุณรัฐบาลท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่เข้าใจปัญหาของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เป็นอย่างดีที่อนุมัติการนำเข้ากากถั่วเหลืองได้ทันเวลา และคงภาษีนำเข้าที่ 2% ไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลดีต่อการผลิตภาคปศุสัตว์ของไทยให้เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก

ขณะที่ซีพีเอฟมีนโยบายมุ่งมั่นสนับสนุนและพัฒนาเกษตรกรไทยให้มีอาชีพอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนอาหารสัตว์ทุกชนิด ด้วยการให้ส่วนลดราคาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์อย่างแก่เกษตรกรมาอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 รวม 30 บาทต่อถุงและในปี 2567 นี้ได้เพิ่มเติมส่วนลดพิเศษให้เกษตรกรไก่เนื้ออีก 3-4 บาท/ถุง

ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ของซีพีเอฟ ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพจากเกษตรกรทั่วประเทศไทยและทั่วโลก มีนักวิจัยพัฒนาที่คิดค้นนวัตกรรมอาหารสัตว์ ออกแบบสูตรอาหารอันสอดคล้องกับชนิดสัตว์ สายพันธุ์ และอายุแต่ละช่วงวัยของสัตว์ โดยมีมาตรฐานรับรองระบบคุณภาพและความปลอดภัยอาหารสัตว์ในระดับสากล GMP+ เป็นรายแรกและรายเดียวของไทยที่ได้รับการรับรอง ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตอาหารสัตว์ (Feed Value Chain) ส่งผลให้ซีพีเอฟเป็นผู้นำการผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย เพื่อผลิตอาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภคทั่วโลกมาโดยตลอด

นอกจากนี้ การจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตอาหารสัตว์คุณภาพสูง ภายใต้นโยบายการจัดหาอย่างยั่งยืน โดยวัตถุดิบทุกชนิดต้องตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น นโยบายไม่รับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากพื้นที่รุกป่าและพื้นที่ที่มาจากการเผา ซึ่งขณะนี้บริษัทสามารถดำเนินการได้แล้ว 100%./

ซีพีเอฟช่วยเกษตกรกรเลี้ยงหมูหาตลาดรองรับ ส่งเนื้อหมูจากฟาร์มเกษตรกรรายย่อย สู่ร้านค้าโมเดิร์นเทรด

0

อุตสาหกรรมหมูไทยที่ถูกหมูเถื่อนเข้ามาตีตลาด กระทบกับอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บางรายต้องเลิกเลี้ยงเพราะทนแบกรับภาวะขาดทุนไม่ไหว แต่เรื่องนี้สำหรับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ร่วม 5,000 ราย ในโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เพราะมีบริษัทรับหน้าที่ช่วยหาตลาดรับซื้อผลผลิตหมูของเกษตรกรทั้งหมด เพื่อนำมาเข้ากระบวนการผลิตเป็นเนื้อหมูคุณภาพ สำหรับส่งจำหน่ายในร้านค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) อาทิ แม็คโคร โลตัส เป็นการตอกย้ำความมั่นใจให้กับเกษตรกร ว่าเป็นผู้ผลิตที่มีตลาดรองรับผลผลิตที่แน่นอน ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็มั่นใจได้ว่าได้บริโภคเนื้อหมูที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และยังมีส่วนร่วมสนับสนุนเกษตรกรไทยให้มีอาชีพที่ยั่งยืน

ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ นายสมพร เจิมพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาราคาหมูผันผวนมาก จากหมูเถื่อนที่มาตีตลาดหมูไทย สำหรับซีพีเอฟที่ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร ในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ที่ปัจจุบันมีเกษตรกรย่อยอยู่ในโครงการนี้ร่วม 5,000 ราย ถือเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องเผชิญปัญหาความผันผวนของราคาหมู เนื่องจากเกษตรกรและบริษัทฯ มีการทำสัญญาตกลงราคากันไว้ และบริษัทฯ เป็นผู้รับซื้อผลผลิตทั้งหมดของเกษตรกรไว้ จึงไม่ต้องกังวลว่าผลิตแล้วจะไม่มีตลาดรองรับ ทำให้เกษตรกรมีอาชีพที่ไร้ความเสี่ยงทั้งด้านราคาและการตลาด มีหลักประกันรายได้ที่มั่นคง

ที่สำคัญ ผลผลิตหมูจากฝีมือเกษตรกรไทย ถูกส่งเข้าโรงงานเชือดชำแหละที่ได้มาตรฐานของซีพีเอฟ ผลิตเป็นเนื้อหมูที่จำหน่ายผ่านตลาดสด ร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ ร้านค้าปลีก และร้านโมเดิร์นเทรดต่างๆ เพื่อให้เนื้อหมูคุณภาพส่งตรงถึงมือผู้บริโภค

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเลี้ยงสัตว์ และสนับสนุนด้านการตลาดให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายกลางอีกร่วม 500 ราย ที่ถือเป็นการสร้างห่วงโซ่การผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคชาวไทย

การรับบท ‘ผู้ช่วยหาตลาดรองรับผลผลิต’ จากเกษตรกรรายย่อย ที่ซีพีเอฟทำมาตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี จึงมีส่วนช่วยให้เกษตรกรไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดผันผวน ช่วยตัดวงจรเสี่ยงด้านราคาให้แก่เกษตรกร และยังเป็น “ตัวกลาง” ในการส่งต่อเนื้อหมูที่ผลิตจากฝีมือคนไทยเพื่อผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างแท้จริง

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมจัดงาน “Bangkok Design Week 2024” ตอบรับภาคีเซาท์สุขุมวิท

0

เมืองไทยประกันชีวิต ตอบรับภาคีเซาท์สุขุมวิท  ร่วมจัดงานใหญ่  “Bangkok Design Week 2024”  ครั้งแรก  นำเสนองานศิลปะให้ชุมชน  พร้อมเปิดอาคาร 66 Tower ให้ประชาชนได้เข้าร่วมกิจกรรม  เพื่อขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนย่านเซาท์สุขุมวิท เป็นชุมชนแห่งการสร้างสรรค์

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า “บริษัทฯ มีแนวคิดในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ในด้านศิลปวัฒนธรรม และมีพันธกิจที่จะส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรม โดยในโอกาสนี้บริษัทฯ ได้ร่วมกับภาคีเซาท์สุขุมวิท (South Sukhumvit) ผนึกกำลังของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในย่านพระโขนง – บางนา ระดมพลังความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ร่วมขับเคลื่อนและพัฒนาย่านเซาท์สุขุมวิท เป็น Creativity Playground  และเพื่อยกระดับย่านสุขุมวิทตอนใต้ที่เต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพ สู่ย่านนวัตกรรมใหม่ ที่ทั้งน่าอยู่ น่าทำงาน และเปิดโอกาสสำหรับทุกคน โดยในครั้งนี้ได้ผลักดันย่านเซาท์สุขุมวิทเข้าร่วมเป็น 1 ในพื้นที่สร้างสรรค์ ภายในเทศกาลงานออกแบบกรุงเทพฯ 2567 (Bangkok Design Week 2024) ถ่ายทอดวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน 

ในโอกาสนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้ร่วมรังสรรค์นิทรรศการ “The Museum of Happiness”   เพื่อเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล  Bangkok  Design  Week  2024  ณ ชั้น 2 อาคาร  66  Tower   ตั้งแต่วันนี้จนถึง วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 10:00-19:00  สำหรับนิทรรศการดังกล่าวถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “Happiness Means Everything”  เพราะความสุขคือทุกอย่าง  โดยผู้เข้าชมจะได้พบกับกิจกรรมวาดรูป ระบายสีบนกระดาษ บอกเล่าความสุขในแบบของตนเอง เพื่อนำรูปวาดเข้าเครื่องสแกนพร้อมกับส่งต่อความรู้สึกผ่านการเขียนข้อความบนจอ Touch Screen  แล้วถ่ายรูป พร้อมสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อบันทึกภาพ และร่วมแชร์ผลงาน ผ่านจอแอลอีดีภายในงาน  โดยมี AI ช่วยเสริมจินตนาการรูปวาดของผู้เข้าร่วมให้ออกมาเป็นผลงานศิลปะชิ้นพิเศษ นอกจากนั้นภายในงานนิทรรศการผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับมุมถ่ายรูป โดยบริษัทฯ     ได้จำลองสถานที่แห่งความสุข สระน้ำ (บ่อลูกบอล) เก้าอี้ผ้าใบ    พร้อมทิวทัศน์ที่รายล้อมไปด้วยหน้าต่าง      ในมิติจินตนาการ 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ภายในเทศกาล Bangkok Design Week 2024 ที่จัดขึ้นในย่านสุขุมวิทตอนใต้ให้เข้าชมอีกกว่า 20 ผลงาน “เซาท์สุขุมวิท… ความลงตัวของนวัตกรรมและเสน่ห์ชุมชน” ผ่าน โปรแกรมสร้างสรรค์ที่มีทั้งนิทรรศการ ตลาดเสวนา เวิร์กชอป และทัวร์ ตลอด 9 วัน ระหว่างวันที่ 27 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ 2567 ตลอดแนวถนนสุขุมวิท ตั้งแต่ BTS สถานีอ่อนนุชจนถึง BTS สถานีบางนา

“บริษัทฯ มีความยินดีที่จะเข้าร่วม Bangkok Design Week 2024 เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจในด้านงานออกแบบ ศิลปะและวัฒนธรรม โดยขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรมที่สนุกสนาน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์จินตนาการความสุขในแบบตัวคุณ กับนิทรรศการ “The Museum of Happiness   หวังว่าทุกท่านจะมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและได้รับความสุขพร้อมรอยยิ้มจากเรา” นายสาระกล่าวสรุป

“ทรีนีตี้” คัดกลุ่มหุ้นน่าลงทุนเดือนแห่งความรัก !! หุ้นปันผล – หุ้นคล้ายพันธบัตร

0

“ทรีนีตี้” มองหุ้นเดือนก.พ. แกว่ง Sideways ตลาดยังขาดสภาพคล่อง เงินยังไม่ไหลเข้า ให้กรอบดัชนีแนวรับอยู่ที่ระดับ                1340 จุด และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1410 จุด  จับตากำไรบจ.งวดไตรมาส 4 จุดเปลี่ยนมุมมองกำไรตลาด                    แนะ 3 กลุ่มน่าสนใจ หุ้นปันผลสูง ADVANC, AP, BCH, INTUCH, PTT, SIRI, TISCO หุ้นอิงการบริโภค CPALL, CPAXT, BJC, MASTER และกลุ่มคล้ายพันธบัตร เช่น REIT, IFF และ Utilities

  นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด  เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ว่า  สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ คาดว่าจะแกว่ง Sideways โดยปัจจัยที่ยังขาดอยู่สำหรับหุ้นไทยก็คือสภาพคล่อง ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนผ่านการเติบโตของ M2 ที่อยู่เพียงระดับ 2% โดยเงินส่วนใหญ่ยังคงกองอยู่ในบัญชีเงินรับฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ ซึ่งตราบใดที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯยังคงอยู่ในระดับสูง เงินก้อนใหญ่จะยังคงอยู่ในบัญชีนี้ต่อไป จนทำให้ตลาดหุ้นยังคงขาดแคลนสภาพคล่องส่วนเกินดังกล่าว นอกจากนั้น อาจต้องติดตามปัจจัยการเมืองที่อาจเป็น Noise ระหว่างทาง อาทิเช่น การมีผู้นำผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ไปยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อเอาผิดพรรคก้าวไกล และนำไปสู่กระบวนการตัดสินยุบพรรค หรือรวมถึงความเป็นไปได้ในการยื่นฟ้องป.ป.ช. เพื่อเอาผิดด้านจริยธรรมของคุณพิธาและส.ส.ท่านอื่น เป็นต้น 

ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในเดือนนี้จะมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 1340 จุด และแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1410 จุด มองปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของดัชนีในเดือนนี้ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาส 4/66 ที่จะประกาศออกมา ซึ่งจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนประมาณการกำไรในตลาดได้ ทั้งนี้ ประเมินกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ 1. หุ้นปันผลสูงที่อยู่ในช่วง High season ได้แก่ ADVANC, AP, BCH, INTUCH, PTT, SIRI, TISCO 2. หุ้นที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ CPALL, CPAXT, BJC, MASTER และ 3. หุ้นปลอดภัยที่มีคุณลักษณะคล้ายพันธบัตร เช่น กลุ่ม REIT, IFF และกลุ่มสาธารณูปโภค

สำหรับปัจจัยสำคัญอื่นๆที่น่าติดตามในเดือนกุมภาพันธ์ ได้แก่  1.โมเมนตัมของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งหากจะลดทอนความกังวล Recession fear ของตลาด จำเป็นต้องออกมาดีกว่าตลาดคาดเป็นส่วนใหญ่ เริ่มตั้งแต่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะออกมาในวันที่ 2 ก.พ.นี้ 2. การประชุมกนง.ในวันที่ 7 ก.พ. ซึ่งคาดว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยต่อไปที่ระดับ 2.5%  และ 3. พัฒนาการความขัดแย้งในทะเลแดง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าระวางเรืออยู่ในระดับสูงต่อไป ส่งผลกดดันต่อผู้ส่งออกในระดับสูงขึ้น

ซีพีเอฟ ชูระบบคอมพาร์ทเมนต์ ป้องกันไก่ไทยปลอดไข้หวัดนก

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ชูระบบ “คอมพาร์ทเมนต์” ป้องกันโรคไข้หวัดนกอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไก่ไทยปลอดไข้หวัดนกได้อย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยอาหารสู่มาตรฐานขั้นสูงสุดระดับอวกาศ ย้ำผู้บริโภคต้องปรุงสุก และแยกชุดอุปกรณ์ปรุงอาหารระหว่างวัตถุดิบสดและอาหารปรุงสุก เพื่อความปลอดภัย

สพ.ญ.ดร.นิอร บุญประเสริฐ ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการวิชาการสัตว์ปีกและศูนย์วินิจฉัยโรคสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญและเอาใจใส่ทุกขั้นตอนในห่วงโซ่การผลิต เน้นคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารเป็นหลัก โดยเฉพาะการนำมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโรคที่อาจปนเปื้อนในกระบวนการผลิต ผ่านการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวดตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสัตว์ ที่จะนำมาให้สัตว์กินต้องมีความปลอดภัย ตลอดจนกระบวนการเลี้ยงและการจัดการฟาร์มสัตว์ปีกทุกขั้นตอน ทั้งฟาร์มพ่อแม่พันธุ์ โรงฟักไข่ ฟาร์มไก่เนื้อ รวมถึงโรงงานชำแหละและแปรรูป ต้องปลอดเชื้อปนเปื้อน

ซีพีเอฟ ยังได้ยกระดับเนื้อไก่ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับอวกาศ (Space Food Safety Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การ NASA ที่นักบินอวกาศสามารถรับประทานได้ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า เนื้อไก่จากซีพีเอฟมีความปลอดภัย ปลอดสาร 100% ที่องค์การระดับโลกยอมรับ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมผลิตอาหารที่ยั่งยืน

ระบบคอมพาร์ทเมนต์ (Compartment) คือ การป้องกันตั้งแต่ต้นทางที่มีประสิทธิภาพ เป็นระบบการเลี้ยงสัตว์ปีกในฟาร์มและโรงเรือนระบบปิด ภายใต้มาตรฐานการจัดการระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ และการเฝ้าระวังโรค ที่มีขั้นตอนการวิเคราะห์ อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมและวางมาตรการในการป้องกัน เพื่อลดโอกาสในการเกิดโรคไข้หวัดนกในฟาร์ม มีการตรวจติดตามสุขภาพสัตว์อย่างใกล้ชิด โดยเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบหาเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนและส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคและสุขภาพของสัตว์ อาทิ เชื้อไวรัสไข้หวัดนก เชื้อแบคทีเรียซาลโมเนลลา เชื้อไวรัสนิวคาสเซิล โดยทีมสัตวแพทย์บริการวิชาการด้านสัตว์ปีก เข้าติดตามเฝ้าระวังสุขภาพสัตว์ระหว่างการเลี้ยงอย่างใกล้ชิด ซึ่งบริษัทฯ นำระบบนี้มาใช้และได้การรับรองจากกรมปศุสัตว์ตั้งแต่ปี 2554

ปัจจุบัน ซีพีเอฟ ใช้ระบบคอมพาร์ทเมนต์ในทุกฟาร์มสัตว์ปีกตลอดห่วงโซ่การผลิต 100% มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่อยอดให้กับฟาร์มเกษตรกรประกันราคา (Contract Farming) มีระบบการเลี้ยงการจัดการ การป้องกันโรคที่ได้มาตรฐานช่วยยกระดับมาตรฐานการผลิตสัตว์ปีกของไทย สนับสนุนเกษตรกรให้สามารถเลี้ยงไก่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก ได้ผลผลิตดี มีรายได้ที่มั่นคง เมื่อเกษตรกรอยู่ได้ อุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกของไทยอยู่ได้ ทำให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการผลิตสัตว์ปีกและเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป

สำหรับระบบคอมพาร์ทเมนต์ มีมาตรการในการควบคุม ป้องกัน และเฝ้าระวังโรคตลอดกระบวนการผลิต ประกอบไปด้วย 4 พื้นฐานหลัก คือ

  1. มีการกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity management system) โดยดำเนินการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุมและวางมาตรการป้องกัน (HACCP) ตลอดกระบวนการผลิต
  2. มีการตรวจเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกในฝูงสัตว์ปีกที่เลี้ยงในฟาร์มและสัตว์ปีกในพื้นที่รัศมีกันชน 1 กิโลเมตร รอบฟาร์มอย่างต่อเนื่อง (Surveillance)
  3. วางมาตรการควบคุมโรคไข้หวัดนกในฟาร์มและพื้นที่กันชนรัศมี 1 กิโลเมตร รอบฟาร์มตามข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์ (Disease Control)
  4. วางระบบทวนสอบย้อนกลับ (Traceability System) เพื่อติดตามข้อมูลการผลิตได้ตลอดห่วงโซ่อาหาร

นอกจากนี้ ซีพีเอฟเลี้ยงสัตว์ปีกในโรงเรือนระบบปิดที่มีการควบคุมสภาพแวดล้อม (Evaporative Cooling System) และนำระบบควบคุมทางไกลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และ Internet of Thing (IoT) ติดตามสุขภาพสัตว์ภายในฟาร์มตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลดการเข้าภายในโรงเรือนของเจ้าหน้าที่สัตวบาลโดยไม่จำเป็น ลดความเสี่ยงที่จะนำโรคเข้าสู่สัตว์

สพ.ญ.ดร.นิอร แนะนำว่า การบริโภคอย่างปลอดภัย หากพบสัตว์ปีกป่วยตายอย่างผิดปกติ ห้ามนำไปประกอบอาหาร ทั้งควรเลือกซื้อวัตถุดิบและอาหารจากผู้ผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน และต้องปรุงสุกด้วยอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป พร้อมแยกชุดอุปกรณ์วัตถุดิบสดและอาหารที่ปรุงสุกแล้ว และล้างมือหลังปรุงประกอบอาหาร ขณะที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีกที่มีอาการผิดปกติหรือสงสัยว่าป่วย หากจำเป็นต้องสัมผัสให้ใช้สบู่ล้างมือให้สะอาดทันที

AIS จับมือ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผลักดันภารกิจ “คนไทยไร้ e-waste”

0

AIS ผนึกกำลัง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เดินหน้าแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และเสริมสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญต่อกระบวนการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ภายใต้โครงการ “รณรงค์ Going Zero E-WASTE กับศูนย์อาเซียน” พร้อมขยายช่องทางการรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ณ ตึกของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เชิญชวนประชาชนและบุคลากรในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่กระบวนการจัดการรีไซเคิล Zero e-waste to landfill อย่างถูกวิธี ผ่านแอป E-Waste+ พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเป้าหมายในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป

นางสายชล ทรัพย์มากอุดม หัวหน้าหน่วยธุรกิจประชาสัมพันธ์และธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวว่า “AIS เดินหน้าทำภารกิจคนไทยไร้ E-Waste มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบันได้ยกระดับการทำงานสู่การเป็นศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ HUB of E-Waste ที่มีพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนมากกว่า 190 องค์กร โดยวันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมโครงการ “รณรงค์ Going Zero E-WASTE กับศูนย์อาเซียน” ในการขยายจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ตึกของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง และบุคลากร นำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งกับทาง AIS เพื่อให้ขยะทุกชิ้นเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ปราศจากการฝังกลบ หรือ Zero to landfill ซึ่งนอกจากจุดรับทิ้งแล้ว เรายังยกระดับในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปอีกขั้นด้วยการใช้เทคโนโลยี Blockchain มาพัฒนาเป็นแอปพลิเคชัน E-Waste+ ที่สามารถเข้ามาช่วยในการจัดการและติดตามขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ผ่านบุคลากรของทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจากทุกหน่วยงาน มาร่วมเป็น Agent ในการรับฝากทิ้งขยะผ่าน App E-Waste+”

ว่าที่ร้อยตำรวจตรีอาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับทาง AIS ในการร่วมกันดำเนินโครงการรณรงค์ “Going Zero E-WASTE กับศูนย์อาเซียน” ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อขับเคลื่อนสู่ SMART Parliament โดยผลักดันให้องค์กรมีการบริหารจัดการด้วยระบบที่ทันสมัยมีขีดความสามารถและสมรรถนะสูง พร้อมปรับเปลี่ยนการทำงานและมุ่งสู่รูปแบบของรัฐสภาดิจิทัล โดยยังคงหลักคุณธรรม จริยธรรมและความโปร่งใส ควบคู่ไปกับการเดินหน้าสู่ Green Parliament อย่างยั่งยืน ผ่าน Green Office ของสำนักงานฯ ถือเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่มีความสำคัญและดำเนินการคู่ขนานกับ Digital Transformation โดยมีแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสียและมลพิษอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งมีส่วนร่วมในจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลง

สภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ซึ่งโครงการรณรงค์เพื่อไปสู่ Zero E-WASTE จึงสามารถตอบโจทย์ของทั้งสองประเด็น ซึ่งโครงการนี้นอกจากจะเสริมสร้างองค์ความรู้และยกระดับความตระหนักรู้ในเรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธีแล้ว ยังทำให้ทุกคนได้มีทั้งความรู้เท่า รู้ทัน พร้อมทั้งได้ลงมือปฏิบัติจริงและยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย”

สามารถทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์กับ AIS ณ จุดรับทิ้งขยะ E-Waste ร่วมกันมากกว่า 2,500 จุดทั่วประเทศหรือมาทิ้งที่ศูนย์บริการ AIS Shop สาขาที่ร่วมรายการ โดยสามารถทิ้งผ่านแอปพลิเคชัน E-Waste+ สามารถดูรายละเอียดที่ https://sustainability.ais.co.th/th/sustainability-projects/ais-ewaste/collection-channels

ซีพีเอฟ เดินหน้ารับซื้อผลผลิตช่วยเกษตรกรรายย่อย ลดความเสี่ยงตลาดผันผวน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าหนุนเกษตรกรรายย่อย มากกว่า 5,500 รายทั่วประเทศ รับหน้าที่เป็นตลาดรับผลผลิตแทน ลดความเสี่ยงตลาดผันผวน เกษตรกรมีรายได้แน่นอน มุ่งถ่ายทอดองค์ความรู้-เทคโนโลยีสู่เกษตรกรรายย่อย-รายกลาง สร้างความมั่นคงในอาชีพ ร่วมสร้างอาหารมั่นคง ส่งมอบอาหารปลอดภัยสู่ผู้บริโภค

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ มุ่งยกระดับการเลี้ยงสัตว์แก่เกษตรกรรายย่อย ทั่วประเทศมากกว่า 5,500 ราย ในรูปแบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเลี้ยงสัตว์ที่ดี ภายใต้การบริหารจัดการด้านการเลี้ยงสัตว์ที่มีมาตรฐาน ด้วยการนำขีดความสามารถของบริษัทฯ มาถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมการเลี้ยงแก่เกษตรกร ที่สำคัญเกษตรกรต้องมีตลาดรองรับผลผลิต บริษัทฯจึงทำหน้าที่เป็นตลาดรับซื้อผลผลิตคืนจากเกษตรกร เพื่อให้มีอาชีพที่ไร้ความเสี่ยงด้านราคาและการตลาด และมีหลักประกันรายได้ที่มั่นคง โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมาที่ราคาสุกรผันผวนมาก จากการเข้ามาของขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน หากแต่เกษตรกรรายย่อยที่เลี้ยงสุกรกับซีพีเอฟ ไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากมีการทำสัญญาตกลงราคากันไว้ล่วงหน้า และบริษัทฯ รับซื้อผลผลิตของเกษตรกรไว้ทั้งหมด

“นอกจากการส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยได้รับทั้งความรู้ด้านการเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ทำให้เกษตรกรสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือเกษตรกรไม่ได้รับความเสี่ยงตลาดผันผวน โดยสินค้าที่ซีพีเอฟผลิตส่งจำหน่ายในตลาดและห้างโมเดิร์นเทรดต่างๆ ก็มาจากเกษตรกรรายย่อยที่บริษัทฯรับความเสี่ยงโดยตรง และยังมีเกษตรกรรายกลางอีกร่วม 500 ราย ที่ซีพีเอฟ เข้าไปช่วยสนับสนุนองค์ความรู้ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยในอาหาร เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรในห่วงโซ่คุณค่าเติบโตไปด้วยกัน” นายสมพร กล่าว

ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ปี 2518 ที่ซีพีเอฟ นำระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง (Contract Farming) มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์แบบพันธสัญญาแก่เกษตรกรรายย่อย ภายใต้หลักคิด “เกษตรกรคือคู่ชีวิต” ร่วมสนับสนุนความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรรายย่อยของไทย มีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน พึ่งพาตนเองอย่างเข้มแข็ง มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับชุมชนและประเทศ ควบคู่กับการผลิตเนื้อสัตว์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันผลิตและส่งมอบสินค้าอาหารคุณภาพมาตรฐานสูง สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้คนไทย