Home Blog Page 124

“บุชเชอร์” ฉลอง 10 ปี เปิดประสบการณ์ครั้งแรกในไทย ยกบาร์หมุนสไตล์ยุโรบมาไว้ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ไอคอนสยาม

0

นางสาว อนรรฆวี ชูรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดกลาง บริษัท ซีพีเอฟ โกลบอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CPFGS เปิดเผยว่า บุชเชอร์ แบรนด์ไส้กรอกพรีเมียมอันดับ 1 ของไทย ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตลอด 1 ทศวรรษ จากภาพรวมตลาดไส้กรอกเห็นว่า กลุ่มไส้กรอกพรีเมียมขยายตัวเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทุกปีจากความนิยมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มองหาสินค้าคุณภาพดี และรสชาติอร่อย นอกจากนี้ บุชเชอร์ ยังได้ปรับแพ็กเกจให้มีความพรีเมียม น่าทานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย พร้อมกับขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่ยังคงราคาที่จับต้องได้ ตลอดจนการออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์เทรนด์การบริโภค เพื่อทำให้ผู้บริโภคร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์อย่างต่อเนื่อง

และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบหนึ่งทศวรรษของไส้กรอกบุชเชอร์ บริษัทจึงได้เนรมิตพื้นที่ไอคอร์พาร์ค ให้กลายเป็นบรรยากาศสไตล์ยุโรป เพื่อสร้างประสบการณ์ฟินเหนือระดับ ท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงลิ้มลองเมนูเอ็กซ์คลูซีฟจากบุชเชอร์ ได้แก่ บุชเชอร์ ไส้กรอกหมูคูโรบูตะ กลิ่นชาร์โคล์กริลล์ ที่ทำจากเนื้อหมูหมูคูโรบูตะบดหยาบคัดสรรพิเศษ เนื้อนุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นย่างถ่านชาร์โคลล์เป็นเอกลักษณ์ และบุชเชอร์ ไส้กรอกหมูชีสกลิ่นทรัฟเฟิล ไส้กรอกหมูบดหยาบหนังกรอบ สอดไส้ชีสกลิ่นทรัฟเฟิลนำเข้าจากเยอรมนี มาเสิร์ฟให้กับผู้ร่วมงาน

ภายในงาน ฺBUCHER GLAM-BAR CAROUSEL ตกแต่งบรรยากาศสไตล์ยุโรป และห้ามพลาดกับไฮไลท์ของงน คือ บาร์หมุน ให้ผู้ร่วมงานนั่งทานอาหาร ดื่มด่ำชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา และเก็บภาพความประทับใจ นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายภาพที่จำลองบอลลูนขนาดใหญ่ อย่าง Bucher’s Glam Balloon เทศกาลบอลลูนที่ย่ิ่งใหญ่ระดับโลก และ Bucher’s Oriental Express ขบวนรถไฟสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เสมือนท่องเที่ยวในแดนยุโรปอีกด้วย

สำหรับผู้สนใจ เชิญสัมผัสบรรยาศ และเปิดประสบการณ์สุดฟิน ฟรี ตั้งแต่วันที่ 13-19 พฤศจิกายน 2566 โดยวันที 14-17 พ.ย. จะเปิดให้บริการ 16.00-22.00 น. ส่วนวันที่ 18-19 พ.ย. เปิดให้บริการเวลา 15.00-22.00 ที่ ICONSIAM Park ชั้น 2 ไอคอนสยาม

กสทช. ไฟเขียว AIS ซื้อหุ้น 3ฺฺBB ผ่านฉลุย

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ได้รับการแจ้งจาก กสทช. อย่างเป็นทางการในการพิจารณาอนุญาตให้ AWN  เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB  (TTTBB) เข้ามาเป็นบริษัทในกลุ่มของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เพื่อเสริมศักยภาพ และยกระดับการให้บริการอินเทอร์เน็ต ให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS  เปิดเผยว่า “จากการที่ AIS โดย AWN ได้ยื่นรายงานการขอรวมธุรกิจระหว่าง AWN และ 3BB ไปยัง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)  เพื่อขออนุมัติการเข้าซื้อหุ้นของ 3BB ในช่วงที่ผ่านมาล่าสุด เราได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการแล้วว่า กสทช. ได้พิจารณาอนุญาตให้ AWN เข้าซื้อหุ้นของ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB  (TTTBB) มาเป็นบริษัทในกลุ่มของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส โดยการเข้าลงทุนของเอไอเอสในครั้งนี้ จะสร้างประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเน็ตบ้านทั้งในปัจจุบันและในระยะยาว ช่วยทำให้คนไทยทุกพื้นที่ ทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ต่างจังหวัด เข้าถึงบริการดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากเทคโนโลยีไฟเบอร์ออปติก พร้อมนวัตกรรมล่าสุดจากการผนึกกำลังของทีม AIS, AIS Fibre และ 3BB ทำให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีที่ครอบคลุมการใช้งาน อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณการลากสายไฟเบอร์ที่ทับซ้อนเกินความจำเป็น พร้อมยกระดับอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศในทุกรูปแบบธุรกิจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

ทั้งนี้  ผู้สนใจใช้บริการเน็ตบ้านยังสามารถเลือกใช้บริการจาก AIS Fibre และ 3BB ได้ด้วยมาตรฐานบริการคุณภาพ พร้อมเพิ่มเติมด้วยประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น  ทั้งความครอบคลุมของเครือข่าย, นวัตกรรมทันสมัยตอบโจทย์การใช้งานแต่ละกลุ่ม รวมถึงบริการดิจิทัล คอนเทนต์ และสิทธิพิเศษที่คุ้มค่าและหลากหลายมากขึ้นอันเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่าง AIS Fibre และ 3BB”

ซึ่งนอกเหนือจากประโยชน์ของลูกค้าดังกล่าวแล้ว เรายังมองถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตบ้านที่ยังต้องอาศัยผู้เล่นที่มีความพร้อมในการพัฒนาโครงข่ายไฟเบอร์ในประเทศไทย เพื่อให้เกิดการขยายการลงทุนไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยทุกกลุ่มได้รับบริการอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดและพื้นที่ห่างไกล ซึ่งจะเป็นการผลักดันให้ตลาดเกิดการแข่งขัน สร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้บริโภค จากบริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว ครอบคลุม

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดซีอีโอด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการองค์กร​ ​เวที​ Bangkok Post CEO of the Year 2023

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ “Best CEO in Innovation and Management Excellence 2023”  สุดยอดซีอีโอด้านนวัตกรรมและความเป็นเลิศในการบริหารการจัดการองค์กร ในงาน Bangkok Post CEO of the Year 2023  โดยมีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติมอบรางวัล ซึ่งรางวัลสะท้อนถึงความสำเร็จและความเป็นเลิศในการบริหารจัดการที่เป็นเอกลักษณ์ในตำแหน่งซีอีโอขององค์กร รวมถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความชำนาญในด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการองค์กร โดยงานจัดขึ้น  ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

สำหรับรางวัลอันทรงเกียรตินี้  แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการกำหนดกลยุทธ์ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพในการนำองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน  โดยการนำนวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและ        การให้บริการแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการองค์กรที่เป็นเลิศและมีคุณภาพ  โดยส่งผลที่มีประสิทธิภาพขององค์กรไปยังลูกค้าทุกคน  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการองค์กรขณะเดียวกันความเป็นเลิศในการบริหารจัดการและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญสำหรับการพัฒนาธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่   และการสร้างองค์กรที่มีความยั่งยืนในอนาคต

TNL ไตรมาส 3/66 กำไรสุทธิพุ่ง 653% โตก้าวกระโดด เดินหน้าลุยธุรกิจปล่อยสินเชื่อ-บริหารสินทรัพย์

0

นางสาวสุธิดา จงเจนกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) หรือ TNL เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 842 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท เติบโตขึ้น 235 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 653% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จาก 3 ธุรกิจใหม่ในปี 2566 สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือน ปี 2566 บริษัทฯ รายได้รวมที่ 2,186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 730 ล้านบาท หรือโตขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 501 ล้านบาท เติบโตขึ้น 422 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 534%                 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเสริมทัพด้วย 3 Growth Engine ใหม่ โดยสามารถเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 23% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ 5% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

สำหรับธุรกิจ 3 Growth Engine ใหม่ที่ผลักดันรายได้และกำไรสุทธิให้แก่บริษัทฯ ประกอบด้วย ธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน ผ่าน บริษัท ออกซิเจน แอสเซ็ท จำกัด (Oxygen) ในไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้ 141 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยปัจจุบัน Oxygen   มีพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 5,193 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 1,604 ล้านบาท หรือ 45% จากวันที่ 31 ธันวาคม 2565 สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 Oxygen มีรายได้รวมที่ 358 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 Oxygen ยังคงบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อได้ดี โดยลูกหนี้ทั้งหมดของ Oxygen มีสถานะปกติ ไม่มีลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)

ธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายผ่าน บริษัท บริหารสินทรัพย์ ออกซิเจน จำกัด (OAM) เริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 หลังจากประมูลพอร์ต NPL ได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 โดยมีหนี้ที่บริหารรวมมูลค่า 1,621 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปี 2566 OAM มีรายได้รวม 46 ล้านบาท

และ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ผ่าน บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด (TNLA)  ในไตรมาส 3 ปี 2566 มีรายได้ 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 199 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยหลักๆ  มาจากการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนทั้งหมดของ 2 Joint Ventures ได้แก่ บริษัท พระราม 9  อัลไลแอนซ์ จำกัด และบริษัท คูคต สเตชัน อัลไลแนซ์ จำกัด ให้แก่ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) (PROUD) สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2566 TNLA มีรายได้ 415 ล้านบาท

นางสาวสุธิดา กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 บริษัทฯ ยังคงมุ่งขยายธุรกิจทั้ง 4 ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้อย่างสม่ำเสมอ โดยมี 3 ธุรกิจใหม่ที่เป็น New Growth Engine ที่จะช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไรให้เติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความไม่แน่นอนสูง บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตพอร์ตสินเชื่อ และพอร์ตลงทุน NPLs อย่างมีคุณภาพและระมัดระวัง และเน้นการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อ Oxygen และใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพของ AMC

ทั้งนี้ ตอกย้ำด้วยผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ประจำปี 2566 ล่าสุดที่จัดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ภายใต้การสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ ได้รับการประเมินในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) โดยได้คะแนนสูงถึง 108% ซึ่งตอกย้ำศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท ที่มุ่งเน้นพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดี และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน

ล่าสุด บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการออกหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัทฯ โดยได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยมีนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ เสนอความต้องการซื้อเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งได้ดำเนินการการขายเสร็จสิ้นแล้ว โดยวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้  เพื่อเตรียมเป็นเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ ทั้งธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) ในอนาคต

นางสาวสุธิดากล่าวว่า บริษัทฯ เป็นหนึ่งบริษัทในเครือสหพัฒน์ที่มีประวัติยาวนาน โดยก่อตั้งมาแล้ว 48 ปี ที่ผ่านมาสามารถสร้างผลประกอบการและผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง และในปี 2566 ถือเป็นปีแรกที่บริษัทฯ ได้ปรับโฉมธุรกิจใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นและยั่งยืนให้กับบริษัทด้วยการปรับเปลี่ยนใน 2 ด้าน ได้แก่ 1.โครงสร้างธุรกิจ โดยการเพิ่ม 3 ธุรกิจใหม่ที่จะมาเป็น New Growth Engine แก่บริษัท และ 2. โครงสร้างองค์กร โดยมี Strategic Partner บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เข้ามาร่วมถือหุ้นในบริษัทฯ เพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตไปด้วยกัน

ปัจจุบัน บริษัทฯ ดำเนินงานใน 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่เดิม และเสริมทัพด้วยธุรกิจใหม่จากผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง BTS ได้แก่ ธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจการเงินประเภทธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจการลงทุนในบริษัทร่วมทุนเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เพื่อเติมเต็ม Ecosystem ของธุรกิจสู่การเป็นผู้นำอย่างครบวงจร

ผู้เชี่ยวชาญ ย้ำกระบวนการผลิตอาหารแปรรูป สะอาด ปลอดภัย ผู้บริโภคมั่นใจได้

0
บทความ​โดย​ รองศาสตราจารย์ ดร.อินทาวุธ สรรพวรสถิตย์ รองคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิถีชีวิตที่เร่งรีบแข่งกับเวลาในปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ในร้านสะดวกซื้อ ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคได้ดี เพราะช่วยตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา กระบวนการผลิตได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองอย่างถูกต้อง มีความสะอาด ปลอดภัย อีกทั้งอาหารยังคงคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไว้อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป เป็นอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น เนื้อสัตว์ พืชผัก ผลไม้ ที่นำมาผ่านกระบวนการแปรรูปด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าการให้ความร้อน ความเย็น หรือวิธีใดก็ตาม เปลี่ยนเป็นอาหารปรุงรสสำเร็จ พร้อมรับประทาน เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาให้นานขึ้น และอาหารมีความปลอดภัยมากขึ้น โดยยังคงคุณค่าทางโภชนาการไว้ ทำให้ผู้บริโภครับประทานง่าย สะดวก และได้รับคุณค่าทางอาหารที่ร่างกายต้องการ

ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร ผู้ผลิตที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน Good Manufacturing Practice หรือ GMP ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติที่ดีในการผลิตอาหาร นอกจากกระบวนการผลิตจะได้รับมาตรฐานแล้ว ยังต้องมีความปลอดภัยสูงสุด มีการควบคุมหลายด้าน เช่น ควบคุมแมลง หรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค ควบคุมอุณหภูมิ ทั้งในกระบวนแปรรูป กระบวนการทำให้สุก และอุณหภูมิการเก็บรักษา มีการตรวจสอบทุกขั้นตอนการผลิต ซึ่งจะมีการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์อยู่เป็นประจำตามข้อกำหนด หรือตามระยะเวลาที่กำหนด ให้มั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งที่เป็นอันตรายมาถึงผู้บริโภค

ผู้บริโภคควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์แปรรูป จากผู้ผลิตที่มั่นใจได้ว่ามีมาตรฐาน สังเกตจากตราสัญลักษณ์ข้อกำหนดมาตรฐานที่ผู้ผลิตใช้รับรอง อาทิ ระบบมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม GMP HACCP หรือ มาตรฐานอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงพิจารณาสลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะ วันเดือนปีที่หมดอายุ หรือวันเดือนปีที่ผลิต รวมถึงล็อตการผลิต ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปได้ถึงตั้งแต่วันผลิต หรือใช้เนื้อสัตว์ล็อตใด โดยมีการบันทึกไว้ตลอดทุกขั้นตอน หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะทำให้ตรวจสอบได้ว่าเกิดขึ้นที่ขั้นตอนใด นอกจากนี้สลากยังระบุถึงองค์ประกอบต่างๆ ของอาหาร รวมถึงคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์จากสารอาหารที่จะได้รับ ผู้บริโภคควรพิจารณาเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าอาหารที่รับประทานเป็นประโยชน์ และเหมาะต่อสุขภาพร่างกายของผู้บริโภค

“ผู้บริโภคที่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปจากผู้จำหน่ายในตลาดสด หรือสตรีทฟู้ด ให้สอบถามผู้จำหน่ายว่า ผลิตภัณฑ์เป็นของผู้ผลิตใด หากไม่ทราบ หรือมีแหล่งที่มาไม่ชัดเจน ขาดความน่าเชื่อถือ ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัย”

ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและเนื้อสัตว์แปรรูป แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการทำให้สุกแล้ว รับประทานได้ทันที แต่ต้องเก็บแบบแช่เย็นไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิต่ำ เพื่อป้องกันทั้งจุลินทรีย์ที่ก่อโรค และจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อโรคที่จะทำให้เกิดการเสื่อมเสียที่ตัวของผลิตภัณฑ์ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่อุ่นแล้ว เปิดแล้ว แนะนำให้รับประทานในทันที หากเก็บไว้มีโอกาสที่จะเกิดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ สัตว์เลื้อยคลาน แมลง หรือไข่แมลงต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมโดยรอบ จึงต้องระมัดระวัง ดังนั้นหากยังไม่รับประทานควรเก็บในอุณหภูมิแช่เย็นเพื่อป้องกันปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว

สำหรับปริมาณในการรับประทานเนื้อสัตว์แปรรูปในกลุ่มไส้กรอก อาจต้องคำนึงว่าข้างในมีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมันเป็นหลัก ควรพิจารณาจำกัดปริมาณให้พอเหมาะ เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับพลังงานที่มาจากไขมันมากจนเกินไป เพราะร่างกายต้องการสารอาหารที่หลากหลายครบหมู่ ไม่ใช่เฉพาะโปรตีน ไขมัน หรือ คาร์โบไฮเดรตเท่านั้น รวมถึงเกลือแร่และวิตามินด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารตามที่ต้องการอย่างครบถ้วนเพียงพอ

รู้เก็บรู้ออม : SET ESG Ratings

0

ถึงตอนนี้ คงไม่มีนักลงทุนคนไหนส่ายหน้าไม่รู้จัก “หุ้นยั่งยืน” อีกต่อไป เพราะปัจจุบัน การลงทุนในหุ้นยั่งยืน ถือเป็นเทรนด์การลงทุนของโลกยุคใหม่ โดยถูกใช้เป็นเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้น ควบคู่ไปกับผลประกอบการทางธุรกิจ

ขณะที่ผู้ประกอบการ เจ้าของบริษัทเองก็เพิ่มน้ำหนักและความสำคัญกับเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล เห็นได้จากมีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ผ่านเกณฑ์ได้รับคัดเลือกอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน เพิ่มจำนวนสูงขึ้นทุกปี

ส่วนสำคัญมาจากการผลักดันอย่างต่อเนื่องของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่สนับสนุนให้ บจ.ทำธุรกิจแบบมีความรับผิดชอบ สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ผ่านการประกาศรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่จัดขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา

และในปีนี้เช่นกันที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำการประกาศรายชื่อ แต่มีความพิเศษตรงที่มีการเปลี่ยนชื่อเรียกใหม่จากเดิม THSI มาเป็น “SET ESG Ratings” และยกระดับการประกาศผลในรูปแบบของการจัดเรตติ้ง แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ AAA, AA, A และ BBB

คุณ “ภากร ปีตธวัชชัย” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยว่า ปี 2566 นี้ มีบจ. ได้รับการประกาศผล SET ESG Ratings ทั้งหมด 193 บริษัท แบ่งเป็น ระดับ AAA (คะแนนรวม 90-100) จำนวน 34 บริษัท, ระดับ AA (คะแนนรวม 80-89) จำนวน 70 บริษัท, ระดับ A (คะแนนรวม 65-79) จำนวน 64 บริษัท และระดับ BBB (คะแนนรวม 50-64) จำนวน 25 บริษัท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai

พบว่า บจ.ส่วนใหญ่มีการเปิดเผยข้อมูลได้ดีขึ้น ทั้งนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม การลดการใช้พลังงาน, ไฟฟ้า และน้ำ, การจัดการของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ, การเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และข้อมูลที่เกี่ยวกับการจัดการความปลอดภัยอาชีวอนามัย

แต่ บจ.ยังต้องปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องการบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน, ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการจัดการประเด็นสิทธิมนุษยชนในองค์กรและห่วงโซ่อุปทาน และการวัดผลสำเร็จที่ได้จากโครงการพัฒนาชุมชนและสังคม

นอกจากนี้ ผลประเมิน SET ESG Ratings ยังจะถูกนำมาใช้เป็นเกณฑ์คัดเลือกสมาชิกในดัชนี SETESG เพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน และการคัดเลือกรางวัล SET Awards กลุ่ม Sustainability Excellence เพื่อเฟ้นหา บจ.ต้นแบบด้านความยั่งยืนอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถติดตามกระบวนการและวิธีการประเมิน รวมทั้งผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ได้ที่ SET ESG Ratings.

คุณนายพารวย

ที่มา่ คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

MC ประเดิมปีบัญชี 67 ไตรมาสแรกโชว์กำไร 129 ล้านบาท โชว์สถานะบริษัท เงินสดแน่น ไม่มีหนี้

0

“แม็คกรุ๊ป” เดินหน้าโชว์กำไรติดต่อกันทุกไตรมาส ประเดิมไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 อวดกำไร 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.6% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน ย้ำการบริหารที่มีประสิทธิภาพ ดันมาร์จิ้นขยับแตะ 66% ยังคงสถานะบริษัทไร้หนี้ เงินสดแน่นไม่กระทบดอกเบี้ยขาขึ้น

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผย ถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปีบัญชี 2567 (1 ก.ค. 2566 – 30 ก.ย. 2566) ว่าบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 129 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 11.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท

“ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ ไม่ได้ฟื้นตัวตามที่คาดเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ลดลงมาอยู่ที่ 55.7 ในเดือนกันยายน จาก 56.1 ในเดือนมิถุนายน ซ้ำยังเจอกับปัญหาเรื่องสงครามและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่ แม็คกรุ๊ปฯ ยังสามารถสร้างผลงาน และมีกำไรสุทธิติดต่อกันทุกๆ ไตรมาส เนื่องจากมีการบริหารจัดการและมีกลยุทธ์ส่งเสริมการขายและการบริหารสินค้าที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งการจับมือกับพันธมิตร และนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนรายได้ของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 882 ล้านบาท เพิ่มขึ้น16.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 759 ล้านบาท” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป กล่าว

ทั้งนี้รายได้ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกำลังซื้อที่กลับมา ทั้งในช่องทางออฟไลน์ได้ แก่ร้านค้าปลีกของตนเอง(Free-standing Shop)ที่เป็นช่องทางหลัก มีสัดส่วนกว่า 66% มีรายได้ 585 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%, ช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) สัดส่วน 11% มีรายได้ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54.1%และห้างสรรพสินค้า (Department Store) สัดส่วน 19% มีรายได้ 170 ล้านบาทลดลงเล็กน้อย จากมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจของภาครัฐและลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน การเปิดประเทศ รวมไปถึงการขยายช่องทางขายอย่างต่อเนื่อง

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GP) ให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1 ปีนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 66% ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 64.6% สืบเนื่องจากประสิทธิภาพการบริหารและการจัดการค่าใช้จ่ายในการขายที่ดี
ทั้งนี้ฐานะการเงินของบริษัทฯ ล่าสุด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 มีเงินสดรวมทั้งสิ้น 1,675 ล้านบาท และยังคงเป็นบริษัทที่มีสถานะไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผลักดันภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิงวดปี 2567 ให้เติบโตต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้

ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 กลุ่มบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30 มิถุนายน 2566 ที่มีส่วนของผู้ถือหุ้น 3,721 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132 ล้านบาทจากผลประกอบการที่เพิ่ม 129 ล้านบาท

เมืองไทยประกันชีวิต จัดผลิตภัณฑ์-โปรโมชันเด่น ร่วมงานมหกรรมการเงิน Money Expo 2023 ที่เชียงใหม่

0

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิตเข้าร่วมงานมหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 18 “Money Expo 2023 Chiangmai” ระหว่างวันที่ 10-12 พฤศจิกายน 2566 ณ เชียงใหม่ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต โดยบริษัทได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ การบริการและโปรโมชันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าอย่างครบถ้วน พร้อมด้วยกิจกรรมมากมาย โดยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นไฮไลท์ในงาน ดังนี้            

แบบประกันภัยเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ โปร 10/1 (Global) และ เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/3 (Global) เหมาะสำหรับลูกค้าที่อยากเริ่มลงทุนผ่านประกันชีวิตชูจุดเด่นมีเงินคืนทุกปี และเปิดโอกาสรับผลตอบแทน (Upside gain) ผ่านดัชนีที่ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลก สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่มากกว่า อีกทั้งยัง   การันตีเงินที่จ่ายไม่สูญหาย ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจะยังอยู่ครบเมื่อครบกำหนดสัญญา จ่ายเบี้ยสั้น และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 100,000 บาท(1) สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน ถึง 80 ปี โดยไม่ต้องตรวจ และไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ(2)

แบบประกันโครงการเมืองไทย ยูแอล พลัส มีจุดเด่นในเรื่องของการการันตีอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 4% ต่อปี ในปีกรมธรรม์แรก และ 1% ต่อปี ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 2 เป็นต้นไป สำหรับมูลค่าการลงทุน ลูกค้ายังสามารถเลือกความคุ้มครองชีวิตได้สูงโดยกำหนดสัดส่วนความคุ้มครองชีวิตเอง และการลงทุนได้ตามต้องการ เพิ่มเบี้ยประกันภัยส่วนออมเพิ่มเติม เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ อีกทั้ง สามารถถอนเงินลงทุนออกบางส่วนจากกรมธรรม์ เพื่อตอบโจทย์ทุกช่วงชีวิต เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้สูงสุด 100,000 บาท(1)

สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) เหมาจ่ายตามจริง 1-5 ล้านบาท     ต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ คุ้มครองตอนแอทมิท  รวมถึงการรักษาฟื้นฟูต่อเนื่องกรณีผู้ป่วยนอก ทั้งค่าห้องเดี่ยวมาตรฐาน ค่าห้อง ไอ.ซี.ยู ค่าหมอ ค่ายา  ค่าตรวจ ค่าผ่าตัด  ค่ากายภาพบำบัด อีกทั้งจะผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ หรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ภายใน 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องนอนก็คุ้มครอง เบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(1)  

สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส (Elite Health Plus) ความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย สามารถเลือกวงเงินเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงถึง 20 -100 ล้านบาทต่อปี คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคทั่วไป โรคระบาด และอุบัติเหตุ ครอบคลุมการรักษาทั้งการรักษาแบบผู้ป่วยใน (IPD) ที่คุ้มครองห้องเดี่ยวมาตรฐานได้ทุกโรงพยาบาล(3) และห้องผู้ป่วยหนัก (I.C.U.) เหมาจ่ายตามจริงรวมสูงสุด 365 วัน หรือ   ถ้านอนห้องเดี่ยวพิเศษ คุ้มครอง 10,000 -25,000 บาทต่อวัน และการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD)(4) ตามแผนความคุ้มครองที่ลูกค้าเลือก รวมถึงการฟอกไต การรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีการเคมีบำบัด และแบบ Targeted Therapy รวมถึงการรักษาแบบนวัตกรรมใหม่ Immunotherapy ให้คุณมั่นใจในการเข้าถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย การวินิจฉัยโรคแบบ CT Scan และ MRI  โดยไม่ต้องแอดมิท นอกจากนี้ยังสามารถเลือกประเทศที่ต้องการรักษาได้ และเบี้ยประกันภัยยังสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา(1)  

ทั้งนี้ อีลิท เฮลท์ พลัส และ ดี เฮลท์ พลัส สมัครได้ตั้งแต่อายุ 11 ปี – 90 ปี คุ้มครองยาว ๆ ถึงอายุ 99 ปี และสามารถเลือกพลัสความคุ้มครองเพิ่มได้ตามความต้องการ เช่น ความคุ้มครองการคลอดบุตร พลัส (Maternity Plus) หรือ สุขภาพดี พลัส (Well-Being Plus) ที่ให้ความคุ้มครองเพิ่มค่าตรวจสุขภาพประจำปี ค่าฉีดวัคซีน ค่ารักษาทางทันตกรรม และค่ารักษาทางสายตา

บริษัทฯ ยังได้จัดเตรียมโปรโมชันสำหรับลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในงานไว้มากมาย โดยมีโปรโมชันสำหรับผลิตภัณฑ์ที่ชำระเบี้ยประกันภัยตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป ที่ชำระเบี้ยประกันภัยงวดแรกต่อกรมธรรม์ตั้งแต่ 50,000 บาท จนถึง 4,000,000 บาทขึ้นไป (ยกเว้น mDesign และ mGrow615) สำหรับแบบประกันเมืองไทย ยูแอล พลัส ไม่นับรวมเบี้ย Top Up  รวมทั้งมี Special Promotion สำหรับผลิตภัณฑ์เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ โปร 10/1 (Global) เมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/3 (Global) โครงการเมืองไทยยูแอล พลัส  สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ  ดี เฮลท์ พลัส  และ อีลิท เฮลท์ พลัส  ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดโปรโมชันได้ ภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต

สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ที่มาร่วมกิจกรรมภายในบูธสามารถเช็คสิทธิพิเศษ เช็คข้อมูลกิจกรรมต่าง ๆ เช็คข้อมูลสไมล์พ้อย เพื่อแลกรับสินค้าหรือบัตรกำนัลภายในบูธกิจกรรม และหากยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถสอบถามและสมัครสมาชิกฯ ได้ที่จุดบริการสไมล์คลับโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ        โดยสมาชิกฯ สามารถแลกคะแนนลุ้นโชคง่าย ๆ เพียง 2 Smile Points ต่อ 1 คูปอง ลุ้นสร้อยคอทองคำ และ      บัตรแทนเงินสดโลตัส ได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 31 มกราคม 2567 (จับรางวัลวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567)

สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถเปลี่ยน Smile Point เป็นกองทุนรวม เพียงใช้คะแนนสะสมแลกรับส่วนลดแทนเงินสดในการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม โดยใช้คะแนนสะสมจำนวน 160 Smile Points แลกรับส่วนลดซื้อกองทุนรวมผ่าน MTL MyFund มูลค่า 500 บาท หรือใช้คะแนนสะสมจำนวน 320 Smile Points แลกรับส่วนลดซื้อกองทุนรวมผ่าน MTL MyFund มูลค่า 1,000 บาท พิเศษ… สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ   ที่เปิดบัญชีกองทุนและแลกคะแนนเพื่อซื้อหน่วยลงทุน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 – 29 ธันวาคม 2566    รับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (สำหรับผู้เข้าร่วมรายการสูงสุด     1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์ตลอดรายการ) 

นอกจากนี้ยังแลกคะแนนเข้าร่วมกิจกรรม Smile Morning Check up ณ โรงพยาบาลกรุงเทพเชียงใหม่ เข้ารับการตรวจสุขภาพ ใช้คะแนนสะสมจำนวน 450 Smile Points  และ กิจกรรมสุด Exclusive เมืองไทย Smile Exclusive Dining : ร้านหลังบ้านเชฟ X อันจะกินวิลล่า”  ครั้งแรกกับการคอลแลปส์กันระหว่างร้านอาหารชื่อ ดัง 2 ร้านในเชียงใหม่ ที่จะมารังสรรค์มื้อพิเศษต้อนรับเดือนแห่งความรัก ร้านหลังบ้านเชฟ ร้านเชฟส์เทเบิลชื่อดังย่านสันกำแพง โดยเชฟนิว ธัญญะ ผลธัญญา ร่วมกับ อันจะกินวิลล่า ร้านอาหารในบ้าน ที่มีคอนเซปต์ ‘วันละโต๊ะ’ โดยพี่ก้อย (กนิษฐกา ลิมังกูร) สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับใช้คะแนนสะสม 2,000 คะแนน ต่อ 1 สิทธิ์ (2 ท่าน)

ภายในบูธ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ยังสามารถใช้คะแนนสะสม แลกของที่ระลึก และบัตรกำนัลต่างๆ อีกมากมายอีกด้วย แล้วพบกันที่ บูธเมืองไทยประกันชีวิต  มหกรรมการเงินเชียงใหม่ ครั้งที่ 18  “Money Expo 2023 Chiangmai”

เมืองไทยประกันชีวิต-มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ผนึกกำลังกรมกิจการผู้สูงอายุ​ จัดอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver

0

เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มจับมือกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  จัดอบรม โครงการ การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver  หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  เพื่อจัดฝึกอบรมให้กับประชาชนทั่วไปหรือผู้ที่สนใจให้มีทักษะความรู้ที่จำเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ ตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)   กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์  ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง  กับประเทศไทยที่จะต้องท้าทายในหลายด้าน อาทิ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการจัดการทางการเงินและการออม การจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีจำนวนบุคลากรที่มีความรู้และความเข้าใจในการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้องไม่เพียงพอต่อการดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนขาดการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพในหลายชุมชนและหลายระดับในสังคม

บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในประเด็นดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน โดยจัดโครงการสร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นการจัดฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีทักษะความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีมาตรฐาน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชนได้อย่างมีคุณภาพ และป้องกันปัญหาการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ ส่งผลให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในสังคมอยู่ในขณะนี้

สำหรับการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น  จำนวน 18 ชั่วโมง เป็นมาตรฐานหลักสูตรกลางของประเทศไทยในการจัดอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุสำหรับสมาชิกในครอบครัว อาสาสมัคร ประชาชนทั่วไป หรือผู้ที่สนใจ ซึ่งถูกกำหนดโดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยหลักสูตรดังกล่าวมีกรมกิจการผู้สูงอายุ  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบทำหน้าที่ในการกำกับดูแลหลักสูตร โดยเมื่ออบรมผ่านตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในหลักสูตร ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับ
ประกาศนียบัตร สำหรับการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชน  

โครงการดังกล่าวได้จัดฝึกอบรมให้กับประชาชนทั่วไป หรือผู้ที่สนใจ รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่
ของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับทักษะความรู้ที่จำเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ อาทิเช่น การจัดการเวลาและการวางแผนทางการเงินสำหรับผู้สูงอายุ ความรู้ทั่วไปของผู้สูงอายุ สิทธิสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ จิตวิทยาการดูแลสุขภาพใจผู้สูงอายุ การส่งเสริมสุขภาพ การปฐมพยาบาลผู้สูงอายุเบื้องต้น โรคที่พบบ่อยและกลุ่มอาการผู้สูงอายุ อาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึง ทักษะพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งหัวข้อการอบรมครอบคลุมในทุกมิติของการดูแลผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ การจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุดังกล่าว จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับ
ตัวผู้สูงอายุเอง สมาชิกในครอบครัวผู้สูงอายุ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งอาสาสมัครที่เป็นจิตอาสาดูแลผู้สูงอายุในชุมชนในด้านของการเพิ่มพูนทักษะความรู้และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการดูแลผู้สูงอายุในสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุ โดยหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุจะช่วยให้สามารถดูแลผู้สูงอายุ
ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งในด้านของการป้องกัน ส่งเสริม และดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในภาวะปกติและฉุกเฉิน การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในผู้สูงอายุ การส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการทางสังคม
และการสร้างเจตคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันกับผู้สูงอายุในสังคม เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ลดปัญหาการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงในระยะยาว และมีความสุขในการดำเนินชีวิต ตลอดจนช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามาร่วมรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุและสร้างสังคมที่น่าอยู่

การจัดอบรมฯ  ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับเกียรติจาก นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง รุ่นที่ 1 ซึ่งกรมกิจการผู้สูงอายุ ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ช่วยส่งเสริมการจัดอบรม
สร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชน โดยมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับผู้สูงอายุ 

ในโอกาสนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นเดินหน้าสนับสนุนการจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง ในรุ่นต่อไป ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด  เพื่อขยายโอกาสในการเสริมสร้างทักษะความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชนต่าง ๆ  และพร้อมสร้างความร่วมมือในการรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกันของการดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน  

และนอกจากนี้บริษัทฯ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นสูง จำนวน 420 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ช่วยสร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นมาตรฐานทางวิชาชีพ​ ทำให้เกิดบุคลากรในสาขาอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุ
ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสาขาอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและให้เกิดรายได้ที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับบุคลากรเหล่านี้ รวมทั้งส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่มีถูกต้องและเหมาะสม  โดยจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ มีหลักประกันคุณภาพและการได้รับบริการที่เป็นมาตรฐาน 

“การจัดฝึกอบรมและการพัฒนาศักยภาพทักษะในด้านการดูแลผู้สูงอายุมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
ทั้งส่วนบุคคล ครอบครัว และสังคม สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่มีคุณภาพและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข สุขภาพร่างกายจิตใจแข็งแรง เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็ง และช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้สูงอายุ นับได้ว่าเป็นความร่วมมืออันดีระหว่างกรมกิจการผู้สูงอายุ​ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับบริษัท​ เมืองไทยประกัน​ชีวิต​ จำกัด​ (มหาชน​) และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ในการร่วมกันสร้างสรรค์สังคมคุณภาพให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน​ต่อไป”  นายสาระ กล่าวสรุป

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนตุลาคม 2566

0

ในเดือนตุลาคมปี 2566 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยในปี 2566 อยู่ที่ 2.7% จากเดิม 3.4% และในปี 2567 อยู่ที่ 3.2% จากเดิม 3.6% สาเหตุหลักมาจากการเติบโต GDP ในไตรมาส 2/2566 ที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่ล่าช้าและการส่งออกที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี IMF คาดว่าสถานการณ์ของไทยจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2566 ผู้ลงทุนมีความกังวลจากการปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield สหรัฐฯ ทำให้ส่วนต่างของผลตอบแทนในหุ้นกับพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลง อีกทั้งราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและอาจขยายความรุนแรงมากขึ้นจนเข้าสู่ระดับภูมิภาค ส่งผลให้เกิดความผันผวนต่อราคาน้ำมันและสภาวะการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก แต่หากสถานการณ์ยังจำกัดอยู่ในอิสราเอลและสิ้นสุดลงในเวลาอันสั้นนักวิเคราะห์ยังคาดว่าไม่น่ากระทบต่อไทยมาก ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ยังคงรอการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 3/2566 ซึ่งน่าจะรายงานครบในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2566 และแม้มีการปรับคาดการณ์ EPS Growth ของทั้ง SET Index ลงจากช่วงต้นปี 2566 แต่หากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมพบว่ายังมีบางกลุ่มที่ยังเติบโตได้ดี และ มี Valuation ที่ต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 SET Index ปิดที่ 1,381.83 จุด ปรับลดลง 6.1% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยปรับลดลง 17.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
ในเดือนตุลาคมปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
ในเดือนตุลาคม 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 47,213 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 26.3% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 10 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 55,331 ล้านบาท
ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิเป็นเดือนที่เก้า โดยในเดือนตุลาคม 2566 ผู้ลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 15,649 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18
ในเดือนตุลาคม 2566 มีบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ซื้อขายใน SET 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น (TAN) บมจ. วินโดว์ เอเชีย (WINDOW) บมจ. อรสิริน โฮลดิ้ง (ORN) และ บมจ. นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น (NAM) และใน mai 4 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เจนก้องไกล (JPARK) บมจ. สิริซอฟต์ (SRS) บมจ. เอสเตติก คอนเนค (TRP) และ บมจ. มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (MCA)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 15.9 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.3 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 21.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.2 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 3.29% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.53%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

ในเดือนตุลาคม 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 512,333 สัญญา ลดลง 12.2% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 545,176 สัญญา ลดลง 2.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures