Home Blog Page 123

เกษตรกร กระทุ้งกรมปศุสัตว์กวาดล้างหมูเถื่อนด่วน หวั่นคนเลี้ยงเจ๊งทั้งประเทศ

เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูทั่วประเทศ หวั่น “ขบวนการลักลอบนำเข้าหมู” ที่กำลังแพร่ระบาดทั่วประเทศ กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมหมูไทยให้สำเร็จภายในปีนี้ เหตุกระทบความเชื่อมั่นผู้เลี้ยงจนชะงักการเข้าเลี้ยงหมูรอบใหม่ เร่งรัดกรมปศุสัตว์ จริงจังจริงใจแก้ปัญหา ตรวจ-จับ-ดำเนินคดีถึงที่สุด อย่าให้เนื้อหมูเถื่อนเข้ามาแย่งตลาดผู้เลี้ยงหมูไทย ซ้ำเติมทุกข์เกษตรกร และเสี่ยงนำเข้าหมูปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงอันตรายต่อสุขภาพผู้บริโภค

นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยว่า ภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่ปริมาณเนื้อสุกรไม่เพียงพออยู่แล้ว เนื่องจากเป็นพื้นที่แรกที่เสียหายจากการระบาดของโรค ASF ในสุกร จากปกติปริมาณสุกรเข้าโรงฆ่าในพื้นที่อยู่ที่ 2,000-3,000 ตัวต่อวัน โดยปี 2564 มีการนำเข้าซากสุกรที่เชือดแล้วจากพื้นที่อื่นของประเทศ ประมาณ 2-3 ล้านกิโลกรัมต่อเดือน แต่ปรากฎว่าเดือนมกราคม ปีนี้ มีซากสุกรที่เชือดแล้วเข้ามาในพื้นที่มากถึง 8 ล้านกิโลกรัม ส่งผลกระทบต่อยอดขายสุกรมีชีวิตในฟาร์มเริ่มออกช้าลงประมาณ 30-50% เกษตรกรต้องเลี้ยงสุกรต่อไปทำให้มีน้ำหนักมากขึ้น ราคาหน้าฟาร์มมีทิศทางที่จะอ่อนตัว

“วันนี้แม้ผู้เลี้ยงเริ่มกลับเข้าเลี้ยงสุกรขุนใหม่แต่ผลผลิตยังไม่มาก ซึ่งคาดว่าปริมาณจะพอเพียงในพื้นที่ภายในสิ้นปีนี้ แต่กลับมีปริมาณเนื้อหมูในตลาดเพิ่มขึ้นอย่าง ‘ผิดปกติ’ จึงเป็นข้อสงสัยว่า ในเมื่อหมูเกือบจะไม่เหลือแล้ว แต่ทำไมในตลาดจึงมีเนื้อหมูจำนวนมาก พบว่าเมื่อ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีร้านจำหน่ายปลีกหมูของโบรกเกอร์รายหนึ่ง โฆษณาขายเนื้อหมูส่วนสะโพกราคากิโลกรัมละ 150 บาท หัวไหล่ 135 บาท เมื่อตรวจที่บรรจุภัณฑ์กลับพบว่าผลิตเมื่อปี 2020 เท่ากับเป็นหมูตกค้าง จึงเกรงว่าจะมีเชื้อโรคปนเปื้อน หรือที่ร้ายที่สุดคือเป็นหมูจากประเทศที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงในการเลี้ยงได้ แต่สารนี้ผิดกฎหมายไทยห้ามใช้เลี้ยงหมูเด็ดขาด นั่นคือผู้บริโภคต้องเสี่ยงกับสารอันตรายนี้ ขอให้กรมปศุสัตว์เร่งปราบปรามขบวนการนี้โดยด่วนที่สุด”

ด้านนายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และชมรมผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ร่วมจัดสัมมนาสัญจรใน 10 จังหวัด ทั้งอีสานเหนือและอีสานใต้ เพื่อให้เกษตรกรที่กำลังจะกลับมาเลี้ยงใหม่ได้รู้วิธีการเลี้ยงอย่างถูกวิธี หากภาครัฐยังปล่อยให้มีการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรผิดกฎหมาย ไม่มีแหล่งที่มา และอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้ามาทำลายอุตสาหกรรมสุกรไทย โดยปัจจุบันประเมินว่ามีเกษตรกรกลับมาเลี้ยงใหม่ประมาณ 10% แม้ต้องอยู่ในวิกฤติและภาระต่างๆ ที่หนักหนามาก ทั้งค่าพันธุ์ ค่าวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ ค่าพลังงาน ค่าการป้องกันโรค ฯลฯ แต่กลับต้องเจอวิกฤติซ้อนวิกฤติจากเนื้อสุกรลักลอลนำเข้า

“ภาคอีสานเป็นตลาดที่มีหมูลักลอบสูง เนื่องจากมีตลาดการแปรรูปถนอมอาหารที่ใหญ่มาก ถ้าเนื้อหมูดังกล่าวปนเปื้อน ASF ยิ่งเป็นการทำร้ายเกษตรกรผู้เลี้ยงในพื้นที่ระลอกใหม่ สำหรับแนวทางแก้ไขทางสมาคมเคยชี้แนะให้กระทำในลักษณะ 3 ประสาน ทั้งกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมการค้าภายใน กับการจำหน่ายเนื้อหมูราคาถูกเกินจริง ก็ถือว่าเป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการเช่นกัน เพราะเป็นการกระทำความผิดต่อผู้เลี้ยงและผู้ค้า ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานสามารถประสานงานกันได้ เพื่อไม่ให้ประเทศเสียหาย เพราะการลักลอบนำเข้าเนื้อหมูที่อาจปนเปื้อนเชื้อไวรัส รวมถึงสารเร่งเนื้อแดงที่ผิดกฎหมายไทย” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

นายสัตวแพทย์วรวุฒิ ศิริปุณย์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวเสริมว่า จากการตรวจสอบพบว่าเนื้อสุกรที่ลักลอบนำเข้าในช่วงนี้ มีราคาที่ต่ำกว่าราคาเนื้อสุกรไทยมาก แต่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งโลกแพงพอๆ กัน ยกเว้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไทยที่ยังแพง ราคาอยู่ที่ 12-13 บาทต่อกิโลกรัม โดยข้าวโพดในต่างประเทศรวมต้นทุนค่าขนส่งแล้วต่ำกว่าไทยไม่มาก ส่วนข้าวสาลีเริ่มย่อตัวเล็กน้อย ดังนั้นเนื้อสุกรที่ลักลอบหรือที่ตลาดเรียก “หมูกล่อง” มีราคาเสนอขายต่ำมากนั้น มั่นใจว่าเป็นสุกรติดเชื้อ ASF ทั้งหมด ถ้ายังจำกันได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดย ส.ส.ภาคเหนือท่านหนึ่ง ได้นำหลักฐานผลการตรวจจากหน่วยชันสูตรโรคสัตว์กลาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบเชื้อ ASF ในเนื้อสุกรทั้งหมดจาก 3 ตัวอย่าง จากที่ขายลดราคาในตลาดองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (ตลาด อ.ต.ก.) ในช่วง 12-19 กุมภาพันธ์ 2565 และเก็บตัวอย่างห้างชานเมือง กรุงเทพฯ ตรวจพบ 3 จาก 4 ตัวอย่าง ในช่วงเดือนเมายน 2565 และครั้งที่ 3 เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสุกรจากห้างย่านสุขุมวิท ตรวจพบ 8 จาก 20 ตัวอย่าง มายืนยันในสภา จึงเป็นหลักฐานที่ค่อนข้างเชื่อได้ว่า เนื้อสุกรลักลอบนำเข้ามาจำหน่าย เป็นเนื้อที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ASF เกือบทั้งหมด

“หมูกล่องที่เก็บตามห้องเย็นต่างๆ เสมือนระเบิดเวลาของประเทศ ที่จะทำให้เกิดการระบาดไม่สิ้นสุด และเชื่อว่ากลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู กลุ่มแปรรูปถนอมอาหารก็น่าจะสำรองเนื้อหมูเหล่านี้ไว้เช่นกัน โดยใช้เหตุผลที่ว่า “ไวรัสไม่ติดต่อสู่คน” มาเป็นประโยชน์ในการรับซื้อของขบวนการลักลอบนำเข้าหมูกล่องเหล่านี้ วันนี้ทุกภาคส่วนจึงต้องระดมสมองและสรรพกำลังในการหาทางจัดการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด” น.สพ.วรวุฒิ กล่าว

ซีพีเอฟ เปิดกระบวนการผลิตไส้กรอกปลอดภัย ย้ำสุขภาพผู้บริโภคสำคัญสูงสุด

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ผู้นำด้านการผลิตอาหารครบวงจร ชูจุดแข็ง “เบอร์ 1 ผู้ผลิตไส้กรอกที่ดีที่สุด” ทั้งรสชาติและคุณภาพ ย้ำมาตรฐานการผลิตระดับโลกเพื่อความปลอดภัยอาหารตลอดห่วงโซ่การผลิต ตอกย้ำความมั่นใจ “ไส้กรอก CP ปลอดภัย 100%”

นายณฤกษ์ มางเขียว รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก การผลิตอาหารของบริษัทจึงมุ่งเน้นการควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เริ่มจากอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงงานผลิต บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการขนส่ง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทันสมัย จนได้อาหารปลอดภัย สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ “ไส้กรอก” ซึ่งเป็นอาหารยอดนิยมของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ด้วยรสชาติที่อร่อย และให้คุณค่าทางโภชนาการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ทั้งยังสะดวกและง่ายต่อการรับประทาน ตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน

สำหรับวัตถุดิบเนื้อสัตว์ที่ใช้ในการผลิต เป็นเนื้อสัตว์คุณภาพดีเต็มชิ้น เนื้อหมูปราศจากสารเร่งเนื้อแดง เนื้อไก่ปราศจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต เป็นเนื้อสัตว์ที่ได้จากการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้ในยุโรป โดยนำเนื้อสัตว์มาบด ผสมกับเครื่องปรุงรสชั้นดี จึงได้ไส้กรอกที่อุดมไปด้วยแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์เต็มคำ และมีรสชาติอร่อยถูกปากผู้บริโภค

“กระบวนการผลิต ตั้งแต่ขั้นตอนการรับวัตถุดิบและจัดเก็บในห้องเย็นซึ่งเป็นห้องจัดเก็บและเบิกจ่ายวัตถุดิบแบบอัตโนมัติ หรือ ASRS (Automated Storage & Retrieval System) ช่วยให้คุณภาพสินค้าสดใหม่เสมอ จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการทำให้สุกด้วยการอบและรมควัน โดย ‘ระบบรมควัน’ ใช้เทคโนโลยีในการดักแยกสารทาร์ (TARS) ที่มีองค์ประกอบของสารก่อมะเร็งออกจากไส้กรอกได้ 100% จากนั้นสินค้าที่แยกสารทาร์ออกแล้วจะถูกนำมาตรวจอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อการบริโภค” นายณฤกษ์ กล่าว

ที่สำคัญผลิตภัณฑ์ไส้กรอก CP อยู่ภายใต้การควบคุมการผลิตตามมาตรฐานการส่งออกของกรมปศุสัตว์ และหลักเกณฑ์สุขลักษณะที่ดีในการผลิตของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผลิตภัณฑ์ก่อนส่งมอบเพื่อจำหน่ายต่อผู้บริโภค ต้องผ่านการตรวจจับการปนเปื้อนโลหะ และตรวจวิเคราะห์ส่วนผสมที่สำคัญในห้องปฏิบัติการอย่างเข้มงวด ไม่มีการใช้สารกันเสีย ดินประสิว และสารไนเทรต สำหรับสารโซเดียมไนไทรต์มีความจำเป็นในการช่วยตรึงสภาพสีของเนื้อไส้กรอกให้คงอยู่ จึงมีการใช้ในปริมาณต่ำกว่าที่ อย. กำหนด ซึ่งเป็นการยืนยันว่า “ไส้กรอก CP ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ”

ในส่วนของบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ เป็นชนิดเทอร์โมฟอร์มแบบฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer thermoforming film) เป็นวัสดุเฉพาะป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ช่วยรักษาความสดของอาหาร ร่วมกับกระบวนการบรรจุอัตโนมัติ ช่วยลดการปนเปื้อนระหว่างบรรจุ ทำให้สามารถรักษาคุณภาพไส้กรอกได้ตลอดอายุการเก็บรักษา โดยไม่ต้องใช้สารกันเสีย นอกจากนี้ บรรจุภัณฑ์ยังทนความร้อน สามารถนำเข้าในไมโครเวฟได้ โดยมีผลจากห้องปฏิบัติการรับรองความปลอดภัย ผลิตภัณฑ์มีการระบุข้อมูลที่จำเป็นสำหรับผู้บริโภคอย่างชัดเจนและโปร่งใสบนฉลากอาหาร ได้แก่ เลขสารบบอาหาร สถานที่ผลิต ส่วนผสมที่สำคัญ ข้อมูลสำหรับผู้แพ้อาหาร วันผลิตและวันหมดอายุ

นายณฤกษ์ ให้คำแนะนำในการเลือกซื้อไส้กรอกแก่ผู้บริโภคว่า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสีธรรมชาติ บรรจุภัณฑ์ต้องปิดสนิท มีฉลากระบุ วันผลิต วันหมดอายุ และสถานที่ผลิตอย่างชัดเจน มีเลขสารบบอาหารและมีเครื่องหมาย อย. ที่สำคัญขั้นตอนการเก็บรักษาหลังจากซื้อผลิตภัณฑ์ ควรเก็บรักษาในอุณหภูมิที่มีความเย็นตลอดเวลา ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 6 องศาเซลเซียส ผลิตภัณฑ์ที่อุ่นแล้วควรรับประทานให้หมดในครั้งเดียว ผลิตภัณฑ์ที่เหลือจากการแบ่งอุ่นนั้น ควรมีการจัดเก็บในอุณหภูมิที่มีความเย็นและปิดปากถุงหรือภาชนะให้สนิท และควรรับประทานให้หมดภายใน 1–2 วัน

TIP Smart Assist คว้ารางวัลราชสิงห์ บุคคลต้นแบบแห่งปี 2565

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายอรรถพล ท้วมเจริญ, นายธัชพล วรรณสุกใส, นายฐานิต นุตโร, นายทรัพย์ทวี อิทธิสุภรณ์รัตน์ และนายณปวริศร์ จนานันท์พงศ ทีม Tip Smart Assist ของ บริษัท ทิพยประกันภัย ได้รับเลือกเข้ารับรางวัล ราชสิงห์ บุคคลต้นแบบแห่งปี 2565 ในสาขาผู้ทำคุณประโยชน์ด้านจิตอาสา จาก ฯพณฯพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งให้เกียรติมาเป็นประธานมอบรางวัล ราชสิงห์ บุคคลต้นแบบแห่งปี 2565 ที่จัดโดยสมาคมวีรบุรุษไทยอาสา

รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลเกียรติยศที่มอบให้แก่บุคคลที่ทำประโยชน์เพื่อคนไทยและสังคมไทย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าบุคคลเหล่านี้คือ บุคคลต้นแบบ ของสังคมและเป็นตัวอย่างที่ดีในการยึดถือและเดินตามได้อย่างสง่างาม ซึ่งมีผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม เข้ารับรางวัลมีหลากหลายสาขาอาชีพ รวมถึงศิลปิน นักร้อง นักแสดง เข้ารับรางวัลดังกล่าวด้วย ณ อาคารพุทธวิชชาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

สำหรับทีม TIP Smart Assist เป็นทีมสำรวจภัย (Surveyor) ของบริษัท ทิพยประกันภัย ที่มีหน้าที่ในการสำรวจภัย ดูแลลูกค้า ภายใต้คอนเซ็ปท์ “มาไวใส่ใจ ไม่มากเรื่อง” และอีกหนึ่งสิ่งที่ ทีม TIP Smart Assist ทุกคนมีและได้ทำควบคู่ไปกับการทำงานนั่นคือการทำจิตอาสาดูแลช่วยเหลือประชาชนบนท้องถนน หรือผู้ประสบภัยต่างๆที่ได้รับความเดือดร้อน โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นลูกค้าของทิพยประกันภัยหรือไม่ ซึ่งปัจจุบัน ทีม TIP Smart Assist กว่า 250 คน ปฏิบัติหน้าที่อยู่ทั่วประเทศ

รมว.เกษตร ป่าไม้ และประมง ชมฟาร์มผลิตสุกรขุนและโรงงานอาหารของ “CP กัมพูชา” ต้นแบบการผลิตอาหารคุณภาพเพื่อผู้บริโภค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฯพณฯ เวง สาขน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตร ป่าไม้ และประมง พร้อมด้วย ฯพณฯ อูสเพีย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาแก้ว และผู้แทนรัฐบาลกัมพูชา อธิบดีกรมปศุสัตว์ เกษตรจังหวัดตาแก้ว เข้าเยี่ยมชม ฟาร์มผลิตสุกรขุนและโรงงานอาหาร บริษัท ซี.พี. กัมพูชา จำกัด ที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย ได้มาตรฐานคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล โดยมี นายวิทยา เกรียงไกรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ และ นายไพทูรย์ วงษ์กตเวทิน รองกรรมการผู้จัดการ ซี.พี. กัมพูชา ร่วมให้การต้อนรับ

ฟาร์มผลิตสุกรขุนดังกล่าว เป็นการผนึกกำลังระหว่าง ซี.พี.กัมพูชา และ นางเงิน กุนเทีย ชาวชุมชน โดยตั้งอยู่ในหมู่บ้านรือไซมวยกุม ต.โอสาราย อ.ตรัมเกาะ จ.ตาแก้ว ประเทศกัมพูชา บนพื้นที่ 12 เฮกตาร์ ซึ่งปัจจุบันมีโรงเลี้ยงสุกร 20 หลัง จำนวนสุกรขุน 14,000 ตัว ภายใต้ระบบคอนแทรคฟาร์มมิ่ง ประเภทประกันรายได้ สัญญาการเลี้ยง 8 ปี โดยบริษัทฯ สนับสนุนพันธุ์สุกร อาหารสัตว์ ยา วัคซีน ตลอดจนเทคนิคการเลี้ยงที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ส่วนที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง พนักงาน และผู้ดูแล ดำเนินการโดยเจ้าของฟาร์ม

จากนั้น ฯพณฯ เวง สาขน รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตร ป่าไม้ และประมง และคณะผู้บริหาร ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงานอาหารของ ซี.พี. กัมพูชา อ.ชุมคีรี จ.กำปอต พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลกัมพูชามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อเสริมศักยภาพการผลิตปศุสัตว์ที่ได้มาตรฐานการผลิตอาหารปลอดภัย สู่ผู้บริโภคชาวกัมพูชา พร้อมขยายการตลาดท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง

ซี.พี. กัมพูชา ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารแบบครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์ และธุรกิจอาหาร ในกัมพูชามากว่า 26 ปี ด้วยวิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” มุ่งมั่นที่จะมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ถูกสุขอนามัย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยยึดมั่นในหลักปรัชญา “3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน” ในการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงประโยชน์ของแต่ละประเทศที่บริษัทเข้าไปลงทุน ประโยชน์ของประชาชน และบริษัทเป็นลำดับสุดท้าย ปัจจุบัน ซี.พี. กัมพูชา มีพนักงานมากกว่า 2,000 คน ผลิตและส่งมอบอาหารคุณภาพปลอดภัยให้แก่ชาวกัมพูชาใน 25 จังหวัดทั่วประเทศ

พีทีที ลูบริแคนท์ส เปิดตัวผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า “EV DRIVE D1” และ “EV COOLANT P”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพศาล อุดมกุลวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจหล่อลื่น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) พร้อมด้วยผู้บริหาร โออาร์ ร่วมเปิดตัวผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Fluids ได้แก่ EV DRIVE D1 และ EV COOLANT P ภายใต้แบรนด์ พีทีที ลูบริแคนท์ส (PTT Lubricants) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปที่ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ เท่านั้น

นายไพศาล เปิดเผยว่า จากแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด พีทีที ลูบริแคนท์ส ได้พัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ 2 ชนิดที่สามารถรองรับและปกป้องระบบต่าง ๆ ในรถยนต์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี ได้แก่ “EV DRIVE D1” SAE 75W-90 น้ำมันเกียร์สังเคราะห์ 100% มีฟิล์มน้ำมันที่แข็งแรง ช่วยปกป้องชุดเกียร์ได้อย่างยอดเยี่ยม รองรับแรงบิดสูง ช่วยให้รถออกตัวได้ดี ลดการกัดกร่อนเครื่องยนต์ คงความใหม่ให้กับเครื่องยนต์ได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานยาวนาน และ “EV COOLANT P” น้ำยาหล่อเย็นสีชมพูเรืองแสงคุณภาพสูงสูตรผสมเสร็จ น้ำ-ไกลคอล ผ่านมาตรฐาน ASTM D3306 , ASTM D6210, JIS K2234 รองรับการใช้งานในระบบหล่อเย็นด้วยของเหลวแบบอินไดเรก ของแบตเตอรี่แรงดันสูง ชุดควบคุมกำลังไฟฟ้า และมอเตอร์ขับเคลื่อน ช่วยลดการเกิดตะกรัน คราบสนิม ไม่ให้กัดกร่อนชิ้นส่วนโลหะในหม้อน้ำและชิลเลอร์ในรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้การระบายความร้อนและควบคุมอุณหภูมิดียิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ Fast Charge ของรถยนต์ไฟฟ้าให้ทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ

สำหรับผลิตภัณฑ์ EV DRIVE D1 ถูกออกแบบและพัฒนามารองรับการใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เช่น Neta V รุ่นปี 2022 ส่วนผลิตภัณฑ์ EV COOLANT P สามารถใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้า ได้หลากหลายรุ่นอาทิ Neta V รุ่นปี 2022, MG ZS EV รุ่นปี 2019, MG EP รุ่นปี 2020, BYD e6 รุ่นปี 2018 ,BYD M3 รุ่นปี 2019 ,BYD T3 รุ่นปี 2019 และ Lexus UX300e รุ่นปี 2020

นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ โออาร์ ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนวงการยานยนต์­­อย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามพันธกิจของ OR ในการสร้าง Seamless Mobility ให้การเปลี่ยนถ่ายการใช้พลังงานในการเคลื่อนที่หรือการเดินทางเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ

เชิญพิสูจน์คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ใหม่คุณภาพสูงจาก พีทีที ลูบริแคนท์ส EV DRIVE D1 และ EV COOLANT P ได้ที่ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ จำนวน 5 สาขา ได้แก่

  1. FIT Auto สาขา วิภาวดี
  2. FIT Auto สาขา กาญจนาภิเษก-ตลิ่งชัน
  3. FIT Auto สาขา The Crystal PTT
  4. FIT Auto สาขา พหลโยธิน กม.25
  5. FIT Auto สาขา ประชาอุทิศ-ลาดพร้าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1365 Contact Center

ระเบิดศึกสวิงอาชีพ “ไทยแลนด์ โอเพ่น ครั้งที่ 50” ชิงถ้วยพระราชทาน รัชกาลที่ 9 พร้อมเงินรางวัล 8 ล.

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 ที่คลับเฮาส์ สนามริเวอร์เดล กอล์ฟคลับ จ.ปทุมธานี นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ นายกสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ และ ผู้ช่วยประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด พร้อมด้วย นายเกษมสุข จงมั่นคง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจกอล์ฟ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน), นายณัฐพล อันตรเสน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมพัฒนากีฬาอาชีพ การกีฬาแห่งประเทศไทย และพันธมิตร ร่วมเป็นประธานในงานแถลงข่าวจัดการแข่งขันกอล์ฟระดับอาชีพรายการที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย “ไทยแลนด์ โอเพ่น ครั้งที่ 50” ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พร้อมเงินรางวัลรวม 8 ล้านบาท ชิงชัยระหว่างวันที่ 1-4 ก.ย.2565 ณ สนามริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ สนามระดับแชมเปียนชิพคอร์ส ระยะ 7,095 หลา พาร์ 72 จ.ปทุมธานี โดยจัดภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด

นายรังสฤษดิ์ เปิดเผยว่า ไทยแลนด์ โอเพ่น ถือการเป็นแข่งขันกอล์ฟอาชีพรายการที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย และแน่นอนว่าถ้วยพระราชทาน รัชกาลที่ 9 นั้นเป็นความใฝ่ฝันของนักกอล์ฟไทยทุกคน โดยในปีนี้สมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับ ออล ไทยแลนด์ กอล์ฟ ทัวร์ พร้อมด้วยผู้สนับสนุน อาทิ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา, การกีฬาแห่งประเทศไทยและกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ, บริษัท สิงห์คอร์เปอเรชั่น จำกัด, ,บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด(มหาชน), สนามริเวอร์เดล กอล์ฟคลับ, บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน), บริษัท ซิกซอนสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ซีซีเค กรุ๊ปจำกัด (เทย์เลอร์เมด กอล์ฟ), ออโต้ซคิน, PG Performance Gear, บริษัท ริโก้ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ทรูวิชั่น จำกัด (มหาชน),กอล์ฟแชลแนลไทยแลนด์ และบริษัท สปอร์ตแมนเนจเม้น กรุ๊ป จำกัด (SMG) ร่วมกันจัดการแข่งขันภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 จากทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด

ด้านนายเกษมสุข กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อม ของสนามกอล์ฟริเวอร์เดล ซึ่งเป็นสนามระดับ Championship Course แห่งนี้ ประกอบด้วย คอร์ส 18 หลุม พาร์ 72 ระยะ 7,095 หลา โดยในปีนี้เราเพิ่มความท้าทายที่ หลุม 8 พาร์ 3 ซึ่งเป็นหลุมซิกเนเจอร์ ของสนามกอล์ฟริเวอร์เดล โดยในปี 2564 เราเลือกใช้กรีนล่างซึ่งลักษณะเป็นเกาะ แต่ในปีนี้เราเลือกใช้กรีนบน ระยะ 182 หลา ซึ่งถูกออกแบบขึ้นเพื่อทดสอบความแม่นยำในสไตล์ภูเขาจำลองเนินสูง และหุบเขาลึกต่างระดับ ในขณะเดียวกันหลุม 13 ได้ถูกปรับจากพาร์ 5 เป็น พาร์ 4 ระยะ 504 หลา ซึ่งก็ถือว่าเป็นหลุมยาก และท้าทายสำหรับนักกอล์ฟที่เข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ เชื่อว่านักกอล์ฟจะได้ประสบการณ์ในแข่งขันที่น่าประทับใจ อย่างแน่นอน

นอกจากการสนับสนุนพื้นที่ในการแข่งขัน ปัจจุบัน สนามริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ ยังได้ร่วมมือกับ All Thailand Golf Tour และ สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ในการร่วมพัฒนาพื้นที่บริเวณสนามไดร์ฟให้กลายเป็นศูนย์ฝึกกีฬากอล์ฟระดับมาตรฐาน ภายใต้ชื่อโครงการ “All Thailand Golf Training Center”  โดยเป็นศูนย์ฝึกกีฬากอล์ฟแบบครบวงจร รองรับทั้งนักกอล์ฟอาชีพและนักกอล์ฟเยาวชน  โดยเป้าหมายสำคัญเพื่อการสนับสนุนและพัฒนาวงการกอล์ฟและนักกอล์ฟอาชีพของไทย ให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น และผลิตโปรกอล์ฟไทยไปสู่การแข่งขันระดับโลกและสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับรายชื่อนักกอล์ฟที่ยืนยันเข้าร่วมการแข่งขันไทยแลนด์ โอเพ่น ครั้งที่ 50 นำโดย รฐนน วรรณศรีจันทร์ อดีตแชมป์เมื่อปี 2560 และนักกอล์ฟทำเงินสูงสุดของออลไทยแลนด์ทัวร์อย่าง ปวิธ ตั้งกมลประเสริฐ และ อิทธิพัทธ์ บูรณธัญรัตน์ ส่วนอดีตแชมป์สิงห์ ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส หรือ ออลไทยแลนด์ แชมเปียนชิพ นำทีมโดย พรหม มีสวัสดิ์ ลูกชายคนเดียวของ สุเทพ มีสวัสดิ์ นักกอล์ฟไทยคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์รายการนี้มาครองเมื่อปี 2534 รวมถึง 3 นักกอล์ฟจากซีรีส์ โรด ทู ไทยแลนด์ โอเพ่น 2022 ของออลไทยแลนด์กอล์ฟทัวร์ ประกอบด้วย ฉ่างไท้ สุดโสม, เอกปริษฐิ์ หวู่ และ ภัทรพล ขันทะชา นอกจากนั้น ยังมีนักกอล์ฟสมัครเล่นโครงการทีมชาติไทย จากสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย หรือ สกท.ร่วมชิงชัยด้วย

ไทยแลนด์ โอเพ่น นับเป็นการแข่งขันกอล์ฟอาชีพรายการแรกของประเทศไทย เริ่มต้นจัดการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปี 2508 ในอดีตที่ผ่านมามีนักกอล์ฟไทยทั้งหมด 6 คนที่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้รวม 7 สมัย โดย สุเทพ มีสวัสดิ์ เป็นนักกอล์ฟไทยคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์รายการนี้มาครองเมื่อปี 2534 จากนั้น บุญชู เรืองกิจ ทำได้อีกสองสมัยในปี 2535 และ 2547, ประหยัด มากแสง ปี 2556, รฐนน วรรณศรีจันทร์ ปี 2560, ภาณุพล พิทยารัฐ ปี 2561 และแชมป์คนล่าสุดเมื่อปี 2664 ที่ผ่านมา สดมภ์ แก้วกาญจนา นักกอล์ฟหนุ่มจากนราธิวาส

AIS ผนึก Cisco เปิดให้บริการ Cloud Security ระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์เต็มรูปแบบ

นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมกับ Cisco ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยระดับโลก เปิดตัวความร่วมมือในฐานะผู้ให้บริการด้านการจัดการระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (Cloud Security Managed Service Provider) แบบครบวงจร ทั้งนี้ AIS ถือเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่จะมาส่งมอบบริการระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ของระบบคลาวด์แบบครบวงจร เพื่อให้องค์กรภาคธุรกิจไทยมีขีดความสามารถในการรับมือกับภัยด้านไซเบอร์ในองค์กร รวมถึงลดต้นทุนการดำเนินการและค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ทั้งเรื่องบุคลากร การบริหารจัดการ การออกแบบระบบ ติดตั้งพร้อมกับตั้งค่าการใช้งานอุปกรณ์ ตรวจสอบเฝ้าระวังการทำงานของระบบ

“การทำงานร่วมกับ Cisco ผู้นำในด้าน Cyber Security ชั้นนำระดับโลก จะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ AIS เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายที่มีความพร้อมในการส่งมอบโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์แบบครบวงจรให้กับองค์กรภาคธุรกิจ โดยไม่ต้องสูญเสียงบประมาณมหาศาลในการลงทุนระบบ การบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยไซเบอร์”

ด้าน นายทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย กล่าวว่า ยินดีที่ได้ร่วมงานกับ AIS ในการนำเสนอบริการและโซลูชันด้านความปลอดภัยในการใช้งานให้กับองค์กรภาคธุรกิจของประเทศ ซึ่งมีความสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของ ซิสโก้ ที่ต้องการสร้างความปลอดภัยให้แก่องค์กรในการเชื่อมต่อการทำงานบนโลกอินเทอร์เน็ต และปกป้องระบบคลาวด์ของผู้ใช้งานภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์และแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อให้ตอบสนองต่อองค์กรภาคธุรกิจที่มีรูปแบบการทำงานยุคใหม่ที่ทุกคนสามารถทำงานได้ทุกที่ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถขับเคลื่อนการเติบโตได้ตามเป้าหมาย และยังมีความปลอดภัยด้านไซเบอร์สูงสุดตามมาตรฐานสากล ความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ ซิสโก้ ในฐานะผู้นำด้านระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กรให้มีความชัดเจนขึ้นไปอีกขั้น

สำหรับการเป็นผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์เต็มรูปแบบ หรือ Cloud Security Managed Service Provider ของ ซิสโก้ โดยมี AIS เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายแรกและรายเดียวในไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพร้อมของการมีโครงข่ายสื่อสาร และสามารถในการให้บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เหนือกว่า ตั้งแต่การออกแบบระบบ ติดตั้ง ตั้งค่าการใช้งานอุปกรณ์ ตรวจสอบเฝ้าระวังการทำงานของระบบ ดูแลให้คำปรึกษา และแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้กับองค์กร ด้วยทีมบริการหลังการขายตลอด 24 ชั่วโมง สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ Cloud Security ร่วมกับ Cisco และบริการอื่นๆ จาก AIS Cyber Secure ได้ที่ https://business.ais.co.th/solution/security.html

OR คว้ารางวัล Techsauce Awards 2022 ตอกย้ำองค์กรต้นแบบส่งเสริม Startup ไทยเติบโตไปด้วยกัน

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ได้รับรางวัล Techsauce Awards 2022 ซึ่งเป็นรางวัลด้านเทคโนโลยีชั้นนำแห่งปี ในสาขา The Sauciest Company ซึ่งมอบให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการเทคโนโลยี ธุรกิจและนวัตกรรม ที่มีผลงานโดดเด่นนับตั้งแต่ปี 2020 – 2022 ในเวที Techsauce Awards Night ที่จัดขึ้นภายใต้งาน Techsauce Global Summit 2022 โดยมีนายวิศน สุนทราจารย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน โออาร์ เป็นตัวแทนรับมอบรางวัลดังกล่าว ณ ศูนย์การค้า ICONSIAM จาก บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce)

วิศน สุนทราจารย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน โออาร์

ทั้งนี้ โออาร์ ได้รับรางวัลใน สาขา The Sauciest Company หรือองค์กรต้นแบบสำหรับความโดดเด่นในด้านวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้าและไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อสร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจ พร้อมทั้งวิสัยทัศน์ด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนและแผนกลยุทธ์ด้านนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง เป็นองค์กรที่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อรองรับกับเหตุการณ์ Digital Transformation ได้อย่างเท่าทัน มีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญคือการส่งเสริมธุรกิจของ Startup ให้มีโอกาสเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ โออาร์ คือ “เติมเต็มโอกาสเพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน”

Techsauce Awards 2022 เป็นการมอบรางวัลด้านเทคโนโลยีชั้นนำแห่งปี จำนวนทั้งสิ้น 6 รางวัล ให้กับ Startup Investor บุคลากร และบริษัทต่าง ๆ ในวงการเทคโนโลยีที่มีผลงานโดดเด่นนับตั้งแต่ปี 2020 – 2022 เพื่อสนับสนุน Tech Ecosystem ในประเทศไทย โดยประกาศรางวัลในเวที Techsauce Awards Night ที่จัดขึ้นภายใต้งาน Techsauce Global Summit 2022 งานประชุมด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวได้รับการตัดสินจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากทุกภาคส่วนใน Tech Ecosystem การได้รับรางวัลในครั้งนี้ถือเป็นอีกความภาคภูมิใจในความสำเร็จของ โออาร์ ที่มุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ และความโดดเด่นทางด้านนวัตกรรมขององค์กร

ตามไปดู CPF Greenfarm เลี้ยงหมูปลอดสาร เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม สร้างสุขชุมชนอย่างยั่งยืน

การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นนโยบายหลักของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันให้ฟาร์มสุกรทุกแห่งของบริษัทฯ และฟาร์มของเกษตรกรในโครงการคอนแทรคฟาร์มมิ่ง เป็น “กรีนฟาร์ม” ที่นอกจากผลิตเนื้อหมูปลอดสาร ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นตัวอย่างของภาคปศุสัตว์ที่อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

มาตรฐานฟาร์มสีเขียว หรือ กรีนฟาร์ม (CPF Greenfarm) ฟาร์มสุกรรักษ์โลกของบริษัท เริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน มุ่งเน้นให้กระบวนการเลี้ยงไม่กระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน และสามารถประหยัดพลังงานได้ โดยซีพีเอฟได้ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีการเลี้ยงหมูในโรงเรือนระบบปิดปรับอากาศ ด้วยการระเหยของน้ำ หรือ Evaporative Cooling System (EVAP) ที่นอกจากจะช่วยลดผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกที่ออกสู่ชั้นบรรยากาศ ช่วยลดกลิ่นเหม็นและแมลงวันได้แล้ว ยังควบคุมสภาพแวดล้อมภายในโรงเรือนให้เหมาะกับความต้องการของหมู ทำให้อยู่สบาย จึงมีสุขภาพดี อัตราการเจริญเติบโตและผลผลิตดีขึ้น ที่สำคัญยังป้องกันโรคจากภายนอกเข้าสู่พื้นที่เลี้ยงได้

นอกจากนี้ ยังนำนวัตกรรมส้วมน้ำ ที่ช่วยลดกลิ่น ลดการใช้น้ำจากธรรมชาติ รวมทั้งระบบฟอกอากาศท้ายโรงเรือน ที่ช่วยลดกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการปลูกไม้ยืนต้นในบริเวณฟาร์มและพื้นที่ว่างระหว่างโรงเรือน เพิ่มความร่มรื่น ลดความร้อน และลดการใช้พลังงานในระบบ EVAP สำหรับทำความเย็นในโรงเรือนด้วย

จากนั้นของเสียทั้งหมด จะเข้าสู่ระบบการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสุกร หรือ ไบโอแก๊ส (Biogas) ที่ CPF พัฒนาขึ้น เพื่อจัดการของเสียจากการเลี้ยงหมูอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะนอกจากลดปัญหาเรื่องกลิ่น ยังเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในฟาร์ม ช่วยลดต้นทุนได้ 50-80% ของค่าไฟฟ้าทั้งหมด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศได้ 370,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ช่วยประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อน

บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ต่อยอดความสำเร็จจากระบบ Biogas สู่การใช้ระบบโซล่าเซลล์ ผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม และขยายผลสู่โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ในรูปแบบ “โซลาร์ฟาร์ม” โดยมี 5 ฟาร์มนำร่อง รวมกำลังผลิตไฟฟ้า 1.3 เมกะวัตต์ และขยายสู่เฟส 2 อีก 6 ฟาร์ม รวมกำลังผลิตไฟฟ้า 1.25 เมกะวัตต์ ซึ่งในอนาคตจะขยายไปยังฟาร์มอื่นๆ ต่อไป

ฟาร์มสุกรของ CPF ทุกแห่ง มุ่งพัฒนากระบวนการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ตลอดห่วงโซ่การผลิต ด้วยหลักการ 3Rs คือ “Reduce” ลดปริมาณการใช้น้ำ “Recycle” นำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งผ่านกระบวนการบำบัดแล้ว และ “Reuse” นำน้ำมาใช้ซ้ำ โดยนำน้ำจากระบบ Biogas ที่ผ่านการบำบัดจนเป็นน้ำที่มีคุณภาพำกลับมาใช้ ช่วยลดการใช้น้ำดิบจากแหล่งธรรมชาติ สำหรับน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” นำไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น รดสนามหญ้า ต้นไม้ และแปลงปลูกผักปลอดสาร ตลอดจนนำน้ำมาผ่านการฆ่าเชื้ออีกครั้งเพื่อล้างโรงเรือน

นอกจากนี้ ยังจัด “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่ชุมชน” มาเป็นเวลากว่า 20 ปี เพื่อแบ่งปันให้เกษตรกรบริเวณใกล้เคียง ช่วยให้พืชเจริญเติบโตเร็ว ผลผลิตดี มีปริมาณเพิ่มขึ้น และลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ CPF ที่ร่วมเป็นหนึ่งในสังคมช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มุ่งรักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นมิตรกับชุมชนอย่างยั่งยืน

ซีพี ออลล์ จัด “Creative AI Club Hackathon” ประชันไอเดียเยาวชน

ซีพี ออลล์ จัดกิจกรรมเพื่อเยาวชนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เข้าสนับสนุนการสร้างเวทีให้เยาวชนจากโครงการค่าย CAI CAMP รุ่นที่ 3 ในการจัดกิจกรรม Creative AI Club Hackathon ครั้งแรก ประชันไอเดียเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย-ระดับอุดมศึกษา ปีที่ 1 ชูแนวคิด AI For Youth ปั้นผลงานที่ “คิดโดยเยาวชน ทำโดยเยาวชน เพื่อเยาวชน” มีเยาวชนจากจังหวัดต่างๆ ตบเท้าเข้าร่วมงานเกินคาด!!! ทีมชนะเลิศ “เคี้ยงเครียด” ระเบิดไอเดียเจ๋งสร้างแอพ AI ช่วยดูแลสุขภาพจิตเยาวชน คว้ารางวัลที่ 1 ไปครอง

นายป๋วย ศศิพงศ์ไพโรจน์ Assistant Chief Information Technology Officer (ACIO) สำนักปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ กล่าวว่า ได้จัดงาน Creative AI Camp ค่ายพัฒนาทักษะเยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและ ปวช.ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่องมาแล้วถึง 4 ปี ล่าสุด บริษัท และ 9 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท คลาวด์ เอชเอ็ม จำกัด, บริษัท ซันฟู้ดส์ เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท เมคเกอร์โรโบติกส์ จำกัด, บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด, บริษัท แลคตาซอย จำกัด, เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และ สำนักเคเอกซ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตลอดจนกลุ่มเยาวชนผู้จัดงานจากมหาวิทยาลัยต่างๆ และศิษย์เก่า Creative AI Camp ภายใต้ Creative AI Club ได้ร่วมกันจัดอีกกิจกรรมหนึ่งเพื่อเยาวชน ภายใต้ชื่อ “Creative AI Club Hackathon” ขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นเวทีระยะสั้นแบบ 2 วัน 1 คืน ให้เยาวชนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษา ปีที่ 1 ที่ผ่านการคัดเลือกจากทั่วประเทศ เข้ามารวมกลุ่ม และร่วมกันสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ด้าน AI ภายใต้แนวคิดที่กำหนด

“แนวคิดในปีแรกนี้ คือ AI for Youth เรามองว่าที่ผ่านมา ผู้คนมักจะคิดถึงแต่ AI ที่เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาใหญ่ๆ ระดับมหภาค แต่ไม่ค่อยมี AI ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของเยาวชนโดยตรง จริงๆ แล้ว AI for Youth เป็นเรื่องที่มีคุณค่า แต่ยังไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจ เราจึงคาดหวังว่าแนวคิดของการจัดงานครั้งแรกนี้ จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงาน ที่คิดโดยเยาวชน ทำโดยเยาวชน เพื่อประโยชน์ของเยาวชนจริงๆ” นายป๋วย กล่าว

ทั้งนี้ ผลของการจัดงานในปีแรก พบว่า เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม ล้วนมีความสามารถในการมองเห็นปัญหา (Pain Point) ที่เป็นของเยาวชนอย่างแท้จริง ทำให้ได้เห็นหลากหลายปัญหาที่ผู้ใหญ่อาจนึกไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ทั้งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนออนไลน์ ปัญหาการแต่งกาย ปัญหาสิวในวัยรุ่น ปัญหาการเลือกอาชีพและคณะที่เรียนในอนาคต และยังได้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนในการนำ AI มาแก้ปัญหาเหล่านั้น สิ่งสำคัญที่คณะกรรมการใช้ในการตัดสินคือ แนวทางที่นำเสนอมานั้น สามารถแก้ไข Pain Point ได้จริงแค่ไหน มีความเป็นไปได้จริงทั้งทางเทคนิคและต้นทุนการดำเนินการมากน้อยเพียงใด

หลังจากนี้ บริษัทจะเดินหน้าจัดงานทั้ง Creative AI Camp และ Creative AI Club Hackathon อย่างต่อเนื่อง โดยกำลังเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าร่วม Creative AI Camp รุ่นที่ 5 แล้วในวันนี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.caicamp.com/camp หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร 0-2071-4509

สำหรับรางวัลชนะเลิศ จาก Creative AI Club Hackathon ครั้งที่ 1 ได้แก่ ผลงาน “เคี้ยงเครียด” ผลงาน AI แก้ปัญหาสุขภาพจิตของเยาวชน (สมาชิกในทีม : นางสาวชญาดา ม่วงบุญศรี, นายพงศพัศ เมธเศรษฐ, นายศิรวิญญ์ นิรนาทล้ำพงศ์, นางสาวเจนตา วงศ์เลิศสกุล และนายธีรภัทร รัฐวิบูลย์) รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ผลงาน “Vio-Protego” เว็บแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ทำงานควบคู่กับกล้องวงจรปิด เพื่อตรวจจับปัญหาความรุนแรงในห้องเรียน (สมาชิกในทีม : นางสาวบัซลาอ์ ศิริพัธนะ, นางสาวศิรภัสสร รัตนาศิริภิรมย์, นางสาววีริสรา พันธ์วิริยะภากร, นายโฮเซ่ โกฮ์, และนายอมร พันธุรัตน์) และรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ผลงาน “Ling Jak Jak” LINE-Bot ที่ใช้ AI ช่วยตรวจสอบและให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยโรคฝีดาษลิง (สมาชิกในทีม : นายฑิณภัทร กันจินะ, นายภานุรุจ ศิริณาไพศาล, นางสาวปุณยนุช ใจชอบงาม, นางสาวอัญธิดา จักสาร, และนายบอลตัน อาทิตย์ เดวิส)