Home Blog Page 122

เมืองไทยประกันชีวิต จัดสัมมนา “Grasping Investment Opportunities in the Golden Year of 2024”

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนา “Grasping Investment Opportunities in the Golden Year of 2024” มอบประสบการณ์สุด Exclusive แก่ลูกค้าคนสำคัญและร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน พร้อมเปิดมุมมองการลงทุนรับทรัพย์ปีมังกรทองโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ร่วมให้ข้อมูลด้านการลงทุนเพื่อการก้าวเข้าสู่ความมั่งคั่งอย่างมั่นคง 

ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับประโยชน์ต่างๆ มากมาย อาทิ การได้รับข้อมูลข่าวสารการลงทุนที่ทันสมัยในปี 2024 จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน การสร้างความเข้าใจในการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมเข้าใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับโอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน   ตลอดจนยังเป็นการสร้างเครือข่ายการลงทุนซึ่งโอกาสในการเจรจาติดต่อและสร้างเครือข่ายกับผู้ลงทุนและผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนที่เข้าร่วมงานอีกด้วย ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นายปราโมทย์ ศักดิ์กำจร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส นายอลงกรณ์ สวัสดิภาพ  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นายชุณหวัต จิระวิชิตชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน  สายพัฒนาธุรกิจ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  ยูโอบี  (ประเทศไทย)  จำกัด นายรณวร ศุกระกาญจน์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ร่วมในงาน  โดยงานจัดขึ้น ณ โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ

แพทย์ย้ำ”ไข่ไก่” ไม่ใช่สาเหตุของคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

0

แพทย์ แนะคุณประโยชน์ของไข่ไก่ แหล่งโปรตีนชั้นดี ย้ำ คอเลสเตอรอลในไข่แดงไม่ได้ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ผู้ที่มีสุขภาพดี สามารถรับประทานไข่ไก่ได้อย่างน้อยวันละ 1 ฟอง

แพทย์หญิงศศพินทุ์ วงษ์โกวิท ศัลยแพทย์หญิง เพจหมอนุ้ย และ TikTok doctor nuiz กล่าวว่า ไข่ไก่ เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี หาง่าย ราคาถูก มีประโยชน์มาก สามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งคาวหวาน และเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เพียงปรุงด้วยวิธีที่เหมาะสม

แพทย์หญิงศศพินทุ์ วงษ์โกวิท

ไข่ไก่ ประกอบไปด้วย ไข่แดงและไข่ขาว โดยไข่ขาว มีโปรตีนบริสุทธิ์ ชื่อ อัลบูมิน (Albumin) ที่สามารถรับประทานได้ไม่จำกัด ทั้งในผู้ป่วยที่เป็นโรคไม่ติดต่อโรคเรื้อรัง อย่าง ผู้ป่วยโรคไต หรือ โรคมะเร็ง และผู้ที่มีสุขภาพดี

ส่วน ไข่แดง เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบทุกชนิด และมีโคลีน (Choline) สารอาหารในกลุ่มวิตามินบี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่มีส่วนช่วยในเรื่องระบบประสาทและสมอง ช่วยควบคุมการทำงานของความจำและการเรียนรู้ และยังช่วยการทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบการเผาผลาญ การสร้างกล้ามเนื้อ โคลีนยังมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด ช่วยกำจัดไขมันและคอเลสเตอรอลออกจากตับได้ด้วย

นอกจากนี้ในไข่แดงยังมีวิตามิน A D E K B6 B12 แคลเซียม และฟอสฟอรัส ซึ่งวิตามินเหล่านี้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นวิตามินจำเป็นที่ช่วยในเรื่องการมองเห็น บำรุงสายตา สร้างภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ เป็นสารตั้งต้นในการสร้างโปรตีนหรือฮอร์โมน และยังเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาระบบประสาทของเด็กตั้งแต่อยู่ในวัยทารกอีกด้วย

สำหรับความกังวลเรื่องคอเลสเตอรอลในไข่แดงจะทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง และทำให้จำกัดการรับประทานไข่แดง แต่จริงๆ แล้ว คอเลสเตอรอลในอาหารที่รับประทาน ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคอเลสเตอรอลในเลือดโดยตรง โดยปริมาณคอเรสเตอรอลในเลือด ร้อยละ 80-90 ร่างกายสร้างขึ้นจากการทำงานของตับซึ่งไม่ได้สัมพันธ์กับอาหาร หากร่างกายได้รับคอเลสเตอรอลจากอาหารในปริมาณมาก ร่างกายจะปรับตัว โดยตับจะสร้างคอเลสเตอรอลลดลง เพื่อให้เกิดความสมดุล ดังนั้นการรับประทานไข่แดง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องคอเลสเตอรอลมากนัก

คอเลสเตอรอล คือ ไขมันชนิดหนึ่งในร่างกาย แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  1. LDL Cholesterol เป็นคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี โดยไขมันไม่ดีที่รับประทานในชีวิตประจำวัน คือไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์ต่อการเพิ่มขึ้นของปริมาณคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด และส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดตีบตัน โดยปัจจัยที่ทำให้มีผลต่อการที่ทำให้คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีสูงขึ้น คือ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะกระตุ้นให้ตับผลิตไขมันที่ชื่อไตรกลีเซอไรด์ และการรับประทานอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตที่มากเกินไป อาทิ ข้าว แป้ง น้ำตาล รวมถึงบุคคลที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  2. HDL Cholesterol เป็นคอเลสเตอรอลที่ดี สามารถเพิ่มขึ้นให้กับร่างกายได้จากการที่มีสมดุลในการรับประทานอาหารที่ดี การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอ และไม่มีความเครียด

ปัจจุบันมีหลายงานวิจัยที่สรุปว่า การรับประทานไข่ไก่ ไม่มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมด ซึ่งคนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว ปริมาณแนะนำในการรับประทานไข่ไก่อยู่ที่ 1-3 ฟองต่อวัน แต่สำหรับคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูง แนะนำให้รับประทานในปริมาณไม่มากไปกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์

สำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการบริโภคโปรตีนเพิ่มขึ้น แนะนำรับประทานโปรตีนในอาหารตามธรรมชาติจากแหล่งอื่นๆ ที่มีอยู่หลากหลาย เช่น โปรตีนจากพืช โปรตีนจากปลา ซึ่งโปรตีนแต่ละแบบมีประโยชน์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ควรรับประทานไข่ไก่ตามปริมาณที่แนะนำไว้ และควรรับประทานโปรตีนอื่นๆ ให้หลากหลาย เพื่อที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์ได้มากกว่า

คำแนะนำในการเลือกรับประทานไข่ โดยไข่ไก่ 1 ฟอง มีแคลอรี่อยู่ประมาณ 80 กิโลแคลอรี ซึ่งแคลอรี่ในไข่ไก่ปรุงสุกจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีการที่ปรุง เช่น ไข่เค็ม จะมีปริมาณโซเดียมที่มากเกินไป ส่วน ไข่ดาว อาจมีปริมาณไขมันที่มากเกินไป และมีแคลอรี่ที่สูง เพราะมีส่วนประกอบของน้ำมัน รวมถึง ไข่เจียว ที่อาจมีทั้งปริมาณไขมันและโซเดียมที่มากเกินไป ขณะที่ ไข่เยี่ยวม้า อาจมีสารพิษปนเปื้อน โลหะหนักปนเปื้อนมาได้ ฉะนั้นทางเลือกสุขภาพ แนะนำ ไข่ตุ๋น เกลือน้อย หรือ ไข่ต้ม ดีที่สุด

สำหรับไข่ที่ไม่แนะนำให้รับประทาน คือ ไข่ดิบ เพราะ ไข่ขาวดิบ จะมีโปรตีนที่เรียกว่า อะวิดิน ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้เพียง 51% เท่านั้น และไปขัดขวางการดูดซึมของไบโอตินซึ่งเป็นวิตามินบีที่จำเป็นต่อการเผาผลาญและการผลิตพลังงาน ซึ่งถ้าร่างกายดูดซึมไบโอตินไม่ได้ จะทำให้มีอาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า คลื่นไส้ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ผิวแห้งได้ด้วย

นอกจากนี้ ไข่ดิบมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อปนเปื้อนจากแบคทีเรีย เพราะที่ตัวแม่ไก่ จะมีเชื้อซาลโมเนลลาอยู่บริเวณอวัยวะเพศ หากรับประทานไข่ดิบที่มีการปนเปื้อนเชื้อดังกล่าว จะทำให้ผู้ที่รับประทานเกิดการติดเชื้อในทางเดินอาหารได้ นอกจากไข่ดิบแล้ว ไข่ลวก ยังเป็นไข่ที่มีความดิบอยู่บางส่วน อาจทำให้ผู้รับประทานมีอาการดังกล่าวข้างต้นได้

สำหรับวิธีเลือกซื้อไข่อย่างปลอดภัย สังเกตความสะอาดของไข่ เปลือกไข่ไม่เปรอะเปื้อนมูล หรือ อ่านฉลาก วันเดือนปีหมดอายุ ส่วนไข่ที่แนะนำ คือ ไข่ที่ผ่านการพาสเจอไรซ์แล้ว เป็นไข่ที่ปลอดภัยที่สุด

เกษตรกรปลื้ม “ซีพีเอฟปันน้ำปุ๋ย” ช่วยลดต้นทุน-ผ่านพ้นวิกฤตแล้ง

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้า “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” แบ่งปันน้ำปุ๋ยจากระบบบำบัดของฟาร์มสุกรและคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ ส่งให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชในชุมชนรอบสถานประกอบการ บรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง ช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน เพิ่มรายได้

นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า คอมเพล็กซ์ไก่ไข่ของซีพีเอฟ ดำเนินโครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร นับตั้งแต่ปี 2564 ด้วยการนำน้ำจากระบบไบโอแก๊ส (Biogas) ที่ผ่านการบำบัดแล้ว ส่งให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกพืชในพื้นที่ใกล้เคียง ใช้ในสวนปาล์มน้ำมัน ไร่แตงโม ฟักทอง อ้อย ข้าวโพด และหญ้าเนเปียร์ สำหรับปี 2566 คอมเพล็กซ์ไก่ไข่จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ฟาร์มสันกำแพง ฟาร์มจักราช ฟาร์มหนองข้อง ฟาร์มอุดร และฟาร์มจะนะ แบ่งปันน้ำปุ๋ยไปกว่า 181,000 ลูกบาศก์เมตร ให้กับพื้นที่การเกษตรมากกว่า 145 ไร่ ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งแก่พี่น้องเกษตรกร และมีส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางทรัพยากรน้ำให้กับชุมชน

“ซีพีเอฟ มีเป้าหมายในการไม่ปล่อยน้ำทิ้งออกภายนอกฟาร์ม หรือ Zero Discharge โดยน้ำหลังการบำบัดด้วย Biogas และยังคงมีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับพืชที่เรียกว่า “น้ำปุ๋ย” ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์ในฟาร์มทั้งรดต้นไม้ สนามหญ้า และแปลงผักปลอดภัยที่บุคลากรปลูกในพื้นที่ว่างของฟาร์ม เมื่อเกษตรกรรอบฟาร์มเห็นผลสำเร็จพืชพันธุ์เติบโตดี จึงติดต่อขอรับน้ำไปใช้รดพืชผลทั้งในช่วงแล้งและช่วงปกติตลอดปี น้ำปุ๋ยและกากตะกอนที่ส่งต่อสู่เกษตรกรมีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนค่าปุ๋ย ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ช่วยเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี” นายสมคิด กล่าว

ทางด้าน นายหล๊ะ ดุไหน ต้นแบบเกษตรกรที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มจะนะ จ.สงขลา กล่าวว่า ใช้น้ำปุ๋ยรดสวนปาล์ม 10 ไร่ และใช้ในแปลงปลูกฟักทอง 10 ไร่ รอบการผลิตที่ผ่านมาน้ำปุ๋ยซึ่งเป็นปุ๋ยอินทรีย์ชั้นดี ช่วยให้ได้ผลผลิตฟักทองมากถึง 20,000 กิโลกรัม มีกำไร 200,000 บาท ส่วนรอบผลิตปัจจุบันคาดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ล่าสุดขยายความสำเร็จไปใช้กับไร่แตงโมอีก 10 ไร่ ผลผลิตดีมาก เถาแตงแข็งแรง มีดอกมาก ติดผลดก แตงลูกใหญ่น้ำหนักดี น่าจะสร้างกำไรได้อย่างแน่นอน และยังมองหาแนวทางขยายการผลิตในพืชชนิดอื่นๆต่อไป

ส่วน นายวิโรจน์ ใจด้วง เกษตรกรปลูกหญ้าเนเปียร์ ที่รับน้ำปุ๋ยจากฟาร์มสันกำแพง จ.เชียงใหม่ โดยใช้น้ำปุ๋ย 720 ลูกบาศก์เมตรต่อรอบการผลิต ในการรดหญ้าเนเปียร์ 6 ไร่ ใช้เทคนิคผสมน้ำปุ๋ยกับน้ำคลอง ในอัตราส่วน 1:1 สามารถปลูกหญ้าเนเปียร์ได้ 4 รอบต่อปี ช่วยลดค่าปุ๋ยเคมีเฉลี่ย 16,000 บาทต่อปี หลังจากที่ได้ใช้น้ำปุ๋ย พบว่าต้นหญ้าโตเร็วกว่าที่เคยใช้ปุ๋ยเคมี ต้นอวบแน่น ใบใหญ่ ได้ผลผลิตที่ดีมาก ปัจจุบันไม่มีภาระต้นทุนค่าปุ๋ยอีกเลย และขอขอบคุณซีพีเอฟที่จัดโครงการฯนี้ ที่ช่วยให้ผ่านพ้นภัยแล้งและช่วยเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกร

ซีพีเอฟ เดินหน้า “โครงการปันน้ำปุ๋ยสู่เกษตรกร” สู่ปีที่ 23 ทั้งในฟาร์มสุกรและคอมเพล็กซ์ไก่ไข่ ภายใต้การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่การผลิต มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยการหมุนเวียนใช้ทรัพยากรและช่วยลดการใช้น้ำดิบจากแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรม โดยยึดหลัก 3Rs ทั้งการลดปริมาณการใช้น้ำดิบจากธรรมชาติ (Reduce) การนำน้ำที่ผ่านกระบวนการบำบัดแล้วกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) และการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ตามกลยุทธ์และเป้าหมายความยั่งยืน “CPF 2030 Sustainability in Action” สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDGs)

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัว DR น้องใหม่ “STEG19” อ้างอิงหุ้นสิงคโปร์ ST Engineering เริ่มซื้อขาย 19 ก.พ. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับหลักทรัพย์ DR ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่อ้างอิงหุ้น ST Engineering บริษัทนวัตกรรมชั้นนำของสิงคโปร์ ออกโดย บล. หยวนต้า เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 19 ก.พ. นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “STEG19”

DR “STEG19” มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นสามัญของ Singapore Technologies Engineering Ltd. หรือ
ST Engineering Ltd. บริษัทวิศวกรรมเทคโนโลยีด้านอากาศยานและระบบป้องกันทางไซเบอร์ รวมถึงระบบสมาร์ทซิตี้ และดาวเทียม ของประเทศสิงคโปร์ โดย DR “STEG19” จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ DR ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือโครงการ “Thailand-Singapore DR Linkage” ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยและสิงคโปร์

DR เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียด DR “STEG19” ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด www.yuanta.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/th/dr

รู้เก็บรู้ออม : รักดีต้องฟิตสุขภาพการเงิน

0

ตลอดสัปดาห์นี้ เป็นห้วงเวลาที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก หัวใจเบ่งบานเป็นพิเศษ ต้อนรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ แสดงออกความรู้สึกพิเศษที่เรียกว่า “ความรัก” ส่งไปยังคนรัก!!

รักคนอื่นแล้ว อย่าลืมรักและเป็นห่วงตัวเองด้วย เพราะหากไม่รัก ไม่ดูแลตัวเอง จะไปรักคนอื่นให้ดีได้อย่างไร และหากเป็นรักที่ “ถูกที่ถูกเวลา” ด้วยแล้ว ยิ่งน่าส่งเสริม “คุณนายพารวย” เลยอยากแนะนำให้ผู้ที่รักการลงทุน เริ่มต้นดูแลสุขภาพการเงินของตัวเองและของคนที่เรารัก เพราะในชีวิตจริงแล้ว หากเรามีสุขภาพการเงินดีแล้ว สุขภาพหัวใจก็จะสตรองไปด้วย!!

มาเริ่มต้นเรียนรู้เรียนรักตัวเองด้วยหลักสูตร SET e–Learning ของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับหัวข้อ “วางแผนการเงินตามช่วงวัย” ที่จะช่วยทำให้เราวางแผนการเงินให้กับตัวเอง และคนที่เรารัก ให้มีสุขภาพการเงินฟิตปั๋งในแต่ละวัย!!

เนื้อหาแต่ละตอน ตอบโจทย์ชีวิตของคนวัยต่างๆ เริ่มต้นด้วยหลักสูตร “วัย 20+ เริ่มต้นดี… ชีวิตไม่มีติดลบ” เรียนรู้วิธีวางแผนการเงินอย่างง่ายและเป็นระบบ ตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน รวมทั้งเริ่มวางแผนลงทุนและวางแผนภาษี เพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคต เหมาะกับผู้ที่สนใจวางแผน การเงินและวัยเริ่มต้นทำงาน

ต่อด้วยหลักสูตร “วัย 40+ สร้างชีวิตมั่นคง…ลงทุนมั่งคั่ง” เหมาะกับผู้ที่สนใจวางแผนการเงินและผู้เริ่มสะสมความมั่งคั่ง จะเป็นหลักสูตรเพื่อเรียนรู้วิธีวางแผนการเงินอย่างง่าย เพื่อบริหารจัดการหนี้สิน สร้างความมั่งคั่ง และวางแผนออมเงินเพื่อวัยเกษียณที่มั่นคง

ตามด้วยหลักสูตร “วัย 50+ เตรียมชีวิตมั่งคั่ง…รับวันเกษียณ” ว่าด้วยการตระเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับวัยใกล้เกษียณ สำรวจสถานะการเงิน แหล่งเงินออม เทคนิคการจัดการหนี้ และแนวทางการบริหารพอร์ตลงทุนวัยใกล้เกษียณ

สำหรับเหล่า ส.ว. (สูงวัย) ผู้ที่ใกล้เกษียณและผู้ที่เกษียณแล้วต้องลงเรียนหลักสูตรนี้ “วัย 60+ บริหารเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” ไว้เตรียมตัวรับมือหลังเกษียณอายุ เรียนรู้ขั้นตอนการสำรวจสถานะการเงิน ทบทวนแหล่งรายได้หลังเกษียณ เทคนิคการวางแผนใช้จ่าย การบริหารหนี้สิน เพื่อให้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข การบริหารพอร์ตลงทุน และการวางแผนมรดก

ปิดท้ายด้วยเวิร์กช็อป Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้ สำหรับผู้ที่มีอายุ 45-65 ปี เรียนรู้การบริหารเงินหลังเกษียณให้สามารถจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายให้เหมาะสมและเพียงพอใช้สำหรับเลี้ยงดูตนเองไปตลอดชีวิต พร้อมรับคู่มือ Happy Money, Happy Young Old วางแผนชีวิตวัยเกษียณ โดยผู้ที่เข้าร่วมเวิร์กช็อปต้องผ่านการเรียน SET e-Learning หลักสูตร “วัย 50+ เตรียมชีวิตมั่งคั่ง…รับวันเกษียณ” และ “วัย 60+ บริหารเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” มาแล้วเท่านั้น ดูรายละเอียดเวิร์กช็อปได้ที่ https://www.set.or.th/th/education-research/education/happymoney/happy-young-old 

ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนทุกหลักสูตรได้ฟรี ที่ https://elearning.set.or.th/SETGroup/playlists/45 

เรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาเรียนจบรับรองว่า เราจะรักดี…รักเป็น และรักแบบสร้างสรรค์ ดีแท้แน่นอน!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

CPF ใช้บล็อกเชน ตรวจสอบย้อนกลับสินค้า สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ลดโลกร้อน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)มาใช้ ตรวจสอบย้อนกลับสินค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับผู้บริโภค ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร แหล่งที่มาของสินค้า ข้อมูลการได้รับรองมาตรฐานสากลด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร และข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ยั่งยืน นำร่องติดคิวอาร์โค้ดผลิตภัณฑ์กลุ่มไก่สดและหมูสด ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ ผลิตภัณฑ์กุ้งสด ผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุก ผลิตภัณฑ์ไส้กรอก

นางสาวอรพรรณ มั่งมีศรี ผู้อำนวยการสำนักระบบมาตรฐานสากล ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการส่งมอบอาหารปลอดภัยและมีคุณภาพสู่ผู้บริโภค ด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีความถูกต้องแม่นยำและรวดเร็ว มาใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด(QR Code) ที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์ สามารถตรวจสอบที่มาของผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารได้อย่างถูกต้อง อาทิ แหล่งที่มาของสินค้า ข้อมูลการได้รับรองมาตรฐานสากลด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ยั่งยืน ปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

“บริษัทฯ ได้จัดทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับในผลิตภัณฑ์ไก่สดและหมูสด ตั้งแต่ ปี 2565 ขยายสู่ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้งสด ในปี 2566 และมีเป้าหมายภายในปี 2567 ขยายไปยังผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุก ผลิตภัณฑ์ไส้กรอก โดยมีแผนขยายครอบคลุมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในระยะต่อไป” นางสาวอรพรรณ กล่าว

ระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าแบบดิจิทัล ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ด้วยข้อมูลที่โปร่งใส สอดรับกับเป้าหมาย
การปรับองค์กรสู่ธุรกิจแบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีบล็อคเชน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ

ซีพีเอฟกำหนดนโยบายการตรวจสอบย้อนกลับการผลิตอาหาร เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการยกระดับการดำเนินกิจการของซีพีเอฟทั่วโลก ด้านคุณภาพ อาหารปลอดภัย โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลได้อย่างโปร่งใสในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม การแปรรูปอาหาร ระบบขนส่งและคลังสินค้า และครอบคลุมไปถึงวัตถุดิบ วัตถุเจือปนอาหาร ส่วนประกอบอาหาร และบรรจุภัณฑ์

กรุงเทพโปรดิ๊วส ชูระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด-เทคโนโลยี พิชิตฝุ่น PM 2.5

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือ ซีพีเอฟ ได้พัฒนาและใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาตั้งแต่ปี 2559 นับเป็นบริษัทแรกของไทยที่นำระบบนี้มาใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการจัดหาวัตถุดิบหลักทางเกษตรสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า และการเผา ตามนโยบายของเครือซีพี “ไม่รับและไม่นำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากพื้นที่รุกป่า และพื้นที่ที่มาจากการเผา” เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมแก้ปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5

ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด (Corn Traceability) ช่วยให้บริษัททราบถึงข้อมูลสำคัญของเกษตรกรและที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงพื้นที่ปลูกที่ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึง วิธีการปลูก ตลอดจนสามารถติดตามการเผาแปลง ซึ่งปัจจุบัน ปัจจุบัน มีเกษตรกรปลูกข้าวโพดกว่า 40,000 ราย และพ่อค้าพืชไร่ อีกกว่า 600 ราย เป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกษตรกร ลงทะเบียนซื้อขายผลผลิตผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ ครอบคลุมพื้นที่ปลูก กว่า 2 ล้านไร่

ปัจจุบัน การจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สำหรับกิจการในประเทศไทยของซีพีเอฟ สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน กรุงเทพโปรดิ๊วส ยังขยายผลการนำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดไปใช้ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ฟิลิปปินส์ อินเดีย และบังคลาเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างรับผิดชอบของกรุงเทพโปรดิ๊วส และซีพีเอฟที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้มาจากแหล่งผลิตที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า
กรุงเทพโปรดิ๊วส ใช้ เทคโนโลยีบล็อกเชน เพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของข้อมูล สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและใช้ เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม ติดตามการเผาแปลงแบบวันต่อวัน หากพบจุดความร้อนตรงกับแปลงปลูกของเกษตรกรที่จำหน่ายผลผลิตให้ เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ให้แนะนำและส่งเสริมวิธีการไถกลบแทนการเผา
ทั้งนี้ กรุงเทพโปรดิ๊วส ยังสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน Public-Private Partnership ป้องกันการเผาแปลงข้าวโพด ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 สร้างห่วงโซ่การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รับผิดชอบต่อโลก โดยสนับสนุนให้คู่ค้าได้ใช้ข้อมูลจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อตรวจจับการเผาแปลงแบบระบุเป็นรายแปลง และกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รับผิดชอบ ตามเป้าหมายของโครงการ “Partner To Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน รวมถึงพัฒนาขีดความสามารถคู่ค้าพันธมิตรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก้าวสู่เป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050

กรุงเทพโปรดิ๊วสยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ชวนคนไทยร่วมยุติการเผาแปลง พิชิตปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้เข้ามามีส่วนช่วยเฝ้าระวังการเผาแปลงของเกษตรกร เปิดช่องทางการร้องเรียนพบการเผาแปลงข้าวโพด ผ่านแอปพลิเคชั่น “ฟ.ฟาร์ม” เจอเผาแปลง แจ้งแอป ฟ.ฟาร์ม หรือแจ้งผ่านเว็บไซต์ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด ชวนเกษตรกรและประชาชนทั่วไปร่วมมือป้องกันเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

สามารถชมคลิปได้ https://youtu.be/z7Qa3uZK7bM?si=NFbpakIMN8izuy2g

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร “Best Life Insurance CEO” เวที International Finance Magazine ประเทศอังกฤษ

0

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล “Best Life Insurance CEO – Mr. Sara Lamsam” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2  จากงานประกาศรางวัลInternational Finance Awards 2023  จัดโดยนิตยสาร International Finance นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มอบให้แก่สุดยอดผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ทางธุรกิจ มีการบริหารงานที่เป็นเลิศและโดดเด่นที่สุด

และในงานมอบรางวัลเดียวกันนี้ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ยังได้รับรางวัล  Best New Life Insurance Initiative – Silver Readiness by MTL  โดยมีนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข  รองกรรมการผู้จัดการ เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล  ซึ่งรางวัลดังกล่าวตอกย้ำถึงความสำเร็จขององค์กรในการมุ่งเน้นการตอบโจทย์ที่หลากหลายรอบด้านเพื่อการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุยุคใหม่ (Silver Age) ให้มีความสุขและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ด้วยการช่วยสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตสมาร์ทของวัยซิลเวอร์อย่างครบถ้วน ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตที่สามารถดูแลลูกค้าครบวงจร  โดยงานจัดขึ้น ณ โรงแรม Waldorf Astoria กรุงเทพฯ.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนร่วมงาน “Green Economy: Next growth and survive” เดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) และ The Gold Standard Foundation จัดงาน “Green Economy: Next growth and survive” ? เพื่อรับฟังวิสัยทัศน์ นโยบายจากรัฐในการมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว และรับฟังเสวนาแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิดและรับทราบถึง โมเดลและรูปแบบนวัตกรรมทางสังคมที่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมกัน รวมถึงการนำกลไกคาร์บอนเครดิตมาร่วมพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษาให้ภาคเอกชนร่วมขับเคลื่อนการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว

โดยงานจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนตอบรับร่วมงานได้ที่ https://forms.office.com/r/3FWjjkcu24?origin=lprLink ภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์เปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% เริ่ม 19 ก.พ. 67

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนครบถ้วนยิ่งขึ้น จากเดิมที่กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์รายใหญ่หรือผู้ถือหลักทรัพย์ 10 รายแรก เป็นให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% ของทุนชำระแล้ว แต่ไม่น้อยกว่า 10 ราย ทั้งนี้ ให้ใช้กับบริษัทจดทะเบียน ทรัสต์เพื่อการลงทุน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์เปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน” ทั้งนี้ สามารถติดตามการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ของแต่ละบริษัทตามเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ โดยพิมพ์ชื่อย่อหลักทรัพย์ และเลือกเมนู “ข้อมูลผู้ถือหุ้น” เริ่มตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์ 2567