Home Blog Page 122

ไฟเขียว ขยับฐานะ KCC เป็นโฮลดิ้ง ประมูลหนี้ Non bank

0

ผู้ถือหุ้น KCC อนุมัติแผนปรับโครงสร้าง ตั้ง “ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง” เดินหน้าแลกหุ้น 1 หุ้น KCC ต่อ 1 หุ้น โฮลดิ้ง คาดกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นหุ้นโฮลดิ้งกลับเข้าเทรด mai ประมาณไตรมาส 2 ปี 67

นายทวี กุลเลิศประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ ไนท คลับ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ KCC ผู้ดำเนินธุรกิจจัดหาและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขายและการปรับปรุงทรัพย์สินรอการขายเพื่อจำหน่าย เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2566 มีมติอนุมัติแผนปรับโครงสร้างการถือหุ้น และการจัดการของบริษัทฯ (แผนปรับโครงสร้างฯ) และการดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัทฯ โดยจัดตั้ง “บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)” (Knight Club Capital Holding Public Company Limited) (บริษัทโฮลดิ้ง)

ทวี กุลเลิศประเสริฐ

ทั้งนี้ หลังได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทจะดำเนินการตามเกณฑ์และขั้นตอนต่างๆ ของทางการ เช่น เดือนมี.ค. 2567 จะสามารถยื่นแบบคำขออนุญาตและแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์พร้อมกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามแบบ 69/247-1 หลัง ก.ล.ต. อนุมัติคำขอและหลังจากนั้นบริษัทโฮลดิ้งเริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ จากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท โดยมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 620 ล้านหุ้น มีราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท คิดเป็น 310 ล้านบาท โดยวิธีแลกหุ้นในอัตรา 1 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทโฮลดิ้ง และคาดว่า บริษัท ไนท คลับ แคปปิตอล โฮลดิ้ง  จะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2567

นายทวี  กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้ง คือ 1.เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขยายธุรกิจ ลดข้อจำกัดด้านการลงทุน โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทฯ เพิ่มผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว 2.เพื่อให้สามารถแบ่งแยกขอบเขตการบริหารธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน โดยจะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจบริหารสินทรัพย์เดิมซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทฯ 3.เพื่อให้สามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจใหม่ได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสายธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลให้แต่ละธุรกิจสามารถเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีให้กับกลุ่มบริษัทในอนาคต และ 4.เพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจเนื่องจากแต่ละธุรกิจสามารถกำหนดขอบเขต หน้าที่ ความรับผิดชอบของบุคลากรในแต่ละสายงานได้อย่างชัดเจน

“ การยกฐานะขึ้นเป็นโฮลดิ้งจะทำให้มีความคล่องตัว  สามารถลงทุนซื้อหนี้ที่ไม่ใช่เฉพาะหนี้จากหนี้สถาบันการเงินได้เท่านั้น เช่น เข้าไปซื้อหนี้ที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้หรือหนี้ที่เข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ หนี้การค้าและหนี้หุ้นกู้ต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจขยายฐานได้กว้างมากขึ้น เพราะบริษัทมีความชำนาญในเรื่องของการซื้อหนี้อยู่แล้ว ชึ่งการที่  KCC ดำเนินธุรกิจภายใต้ใบอนุญาต AMC จะซื้อได้เฉพาะหนี้จากสถาบันการเงินเท่านั้น”  นายทวีกล่าว

 นายทวี กล่าวว่า ในส่วนการทำธุรกิจของ KCC ช่วงครึ่งแรกปี 2566 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย บริษัทมีส่วนของเจ้าของหรือส่วนของผู้ถือหุ้นก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,131.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 จำนวน 36.40 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน โดยงวด 6 เดือน และไตรมาส 2 ของปี  2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ  49.53  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ  20.62  ล้านบาทตามลำดับ ขณะเดียวกันบริษัทก็เห็นโอกาสจากการเข้าไปประมูลหนี้ที่อยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้ศาลล้มละลายที่เริ่มมีเพิ่มมากขึ้นในระบบขณะนี้

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเจ้าภาพจัดประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ครั้งที่ 36 ร่วมกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืน ยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียน

0
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ครั้งที่ 36 โดยตลาดหลักทรัพย์อาเซียนทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และไทย ร่วมกำหนดตัวชี้วัดด้านความยั่งยืนตามมาตรฐานและแนวปฏิบัติในระดับสากล รวมถึงหารือแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้าน ESG ในภูมิภาคเพิ่มเติม เพื่อยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและการลงทุนที่ยั่งยืน เมื่อ 8 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเจ้าภาพการประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ครั้งที่ 36 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2566 ระหว่างตลาดหลักทรัพย์อาเซียน 6 แห่ง จาก 6 ประเทศ เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันในด้านต่างๆ อาทิ การขับเคลื่อนความยั่งยืน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่อขยายโอกาสการลงทุน พร้อมยกระดับตลาดหลักทรัพย์อาเซียนและการลงทุนที่ยั่งยืน

“จากการเติบโตของภูมิภาค ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสการลงทุนต่อเนื่อง โดยในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้หารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกัน (cross-border products) รวมถึงการขยายการรับรู้ถึงศักยภาพของตลาดหลักทรัพย์อาเซียนแก่ผู้ลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ ประเด็นด้าน ESG ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนจึงได้จัดทำตัวชี้วัดร่วม เพื่อเป็นแนวทางให้บริษัทจดทะเบียนได้เปิดเผยข้อมูล และให้ผู้ลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงข้อมูล พร้อมช่วยส่งเสริมการไหลเข้าของเงินทุนสู่ภูมิภาค” นายภากรกล่าว

ในการประชุม ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้ร่วมกำหนด 10 ตัวชี้วัดด้านบรรษัทภิบาล  (Governance) เพิ่มเติมจากการประชุมก่อนหน้านี้ ที่ตลาดหลักทรัพย์อาเซียนได้ประกาศตัวชี้วัดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental) และสังคม (Social) ไปแล้ว เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แต่ละแห่งนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาเซียน โดยส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ครอบคลุมหัวข้อที่มีความสำคัญ เป็นการสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืนในภูมิภาค และสอดคล้องกับเทรนด์สากลที่ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การประชุมครั้งนี้ทำให้มีการกำหนดตัวชี้วัดครบถ้วนทั้ง 3 มิติของ ESG ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ

สำหรับ 10 ตัวชี้วัดด้านบรรษัทภิบาลที่กำหนดร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่

ลำดับที่ประเด็นด้านบรรษัทภิบาลตัวชี้วัด
1ความหลากหลายของคณะกรรมการร้อยละของจำนวนกรรมการชายและกรรมการหญิง
2ความเป็นอิสระของคณะกรรมการร้อยละของจำนวนกรรมการอิสระ
3ความเป็นอิสระของคณะกรรมการประธานกรรมการและผู้บริหารสูงสุดไม่เป็นบุคคลเดียวกัน (ใช่/ไม่ใช่)
4การเลือกตั้งกรรมการใหม่และกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งกลับมาใหม่หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกกรรมการใหม่ (มี/ไม่มี)
5การประชุมคณะกรรมการร้อยละการเข้าประชุมคณะกรรมการของกรรมการแต่ละคนในรอบปี
6การประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปีของคณะกรรมการการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการและการเปิดเผยหลักเกณฑ์และกระบวนการจัดการภายหลังประเมิน (มี/ไม่มี)
7การพัฒนาและอบรมคณะกรรมการนโยบายบริษัทเกี่ยวกับการส่งเสริมให้กรรมการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง (มี/ไม่มี)
8จริยธรรมธุรกิจการเปิดเผยรายละเอียดจริยธรรมธุรกิจและ/หรือคู่มือจรรยาบรรณ (มี/ไม่มี)
9การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกันนโยบายบริษัทเกี่ยวกับการป้องกันการใช้ข้อมูลภายในของกรรมการ ผู้บริหารและพนักงาน (มี/ไม่มี)
10การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกันนโยบายบริษัทเกี่ยวกับการรายงานการมีส่วนได้เสียและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของกรรมการ (มี/ไม่มี)

การประชุม ASEAN Exchanges CEOs Meeting ร่วมด้วยผู้บริหารระดับสูงจากตลาดหลักทรัพย์อาเซียน 6 แห่ง จาก 6 ประเทศ ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย (Bursa Malaysia) ตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย (Indonesia Stock Exchange) ตลาดหลักทรัพย์ฟิลิปปินส์ (Philippine Stock Exchange) ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Singapore Exchange Group) ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม (Vietnam Exchange) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand) นอกจากนี้ ยังมีตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (Cambodia Stock Exchange) และ ตลาดหลักทรัพย์ลาว (Lao Securities Exchange) เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย

ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลตลาดหลักทรัพย์อาเซียน ข้อมูลการซื้อขาย บริษัทจดทะเบียน ได้ที่ www.aseanexchanges.org

กว่า 4 ทศวรรษ ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมเกษตรยั่งยืน สู่ความสำเร็จ “3 หมู่บ้านเกษตรกรรม”

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เผยความสำเร็จ “หมู่บ้านเกษตรกรรม” 3 แห่ง ตลอด 46 ปี สร้างความมั่นคงในอาชีพแก่เกษตรกร ลดความเสี่ยงตลาดผันผวน สร้างรายได้แน่นอน ปีละกว่า 1 ล้านบาทต่อครอบครัว มุ่งยกระดับภาคเกษตรไทยต่อเนื่องทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผลักดันสู่ ‘เกษตรยั่งยืน’

นายสมพร เจิมพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์และซีพีเอฟมุ่งสนับสนุน อาชีพเกษตรกรรมแก่เกษตรกรรายย่อย ผ่านการส่งเสริมการรวมกลุ่มในรูปแบบ “หมู่บ้านเกษตรกรรม” มาตั้งแต่ปี 2520 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการแก่เกษตรกร ด้วยการนำขีดความสามารถของบริษัทมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเลี้ยงสัตว์ ผสานกับการมีส่วนร่วมของเกษตรกร เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ เพิ่มรายได้ และพัฒนาสู่สังคมพึ่งพาตนเอง ตลอดระยะเวลา 46 ปี ที่บริษัทร่วมกับเกษตรกรไทยพัฒนาอาชีพ ไปพร้อมกับการสร้างความเข้มแข็งในชุมชน นับจากโครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา โครงการหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร และต่อยอดสู่โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี จนถึงปัจจุบันทำให้เกษตรกรกว่า 140 รายและครอบครัว มีความมั่นคงในอาชีพ มีรายได้ที่แน่นอน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสืบทอดอาชีพเกษตรกรรมสู่ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่น มุ่งเป็นสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) เพื่อผลักดันสู่ ‘เกษตรยั่งยืน’

“ซีพีเอฟ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมส่งต่อความสำเร็จสู่พี่น้องเกษตรกร ในรูปแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ทั้ง 3 แห่ง ที่สามารถวัดความสำเร็จได้ในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สะท้อนผ่านรายได้เกษตรกรปีละกว่า 6 แสน ถึงมากกว่า 1 ล้านบาทต่อครอบครัว ตามประเภทสุกร ปริมาณการผลิต และอาชีพเสริมของแต่ละคน พร้อมส่งเสริมการจ้างงานในชุมชนเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ และบริษัทยังร่วมกับเกษตรกรพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง นำไปสู่สังคมที่พึ่งพาตนเองได้ พร้อมต่อยอดสู่การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ตามนโยบายฟาร์มสีเขียว (green farm) ด้วยการพัฒนาพื้นที่ว่างในฟาร์มสุกรเป็นป่านิเวศในชุมชน เพื่อการอยู่ร่วมกับชุมชนรอบข้างอย่างมีความสุข สอดคล้องกับกลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่” นายสมพร กล่าว

สำหรับ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2520 ถือเป็นต้นแบบเกษตรผสมผสานยั่งยืน ด้วยแนวคิด 4 ประสาน คือ ภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกร โดยการพลิกฟื้นผืนดินทรายที่เสื่อมสภาพ เพาะปลูกไม่ได้ผล จำนวน 1,253 ไร่ มาจัดรูปที่ดินใหม่ แบ่งเป็นแปลงละ 24 ไร่ พร้อมสร้างบ้านพัก 1 หลัง และโรงเรือนเลี้ยงสุกร 1 หลัง ให้แก่เกษตรกร 50 ครอบครัว ที่มีฐานะยากจน ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง โดยเลี้ยงสุกรเป็นอาชีพหลัก และมีอาชีพเสริมที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและวิถีชุมชน อาทิ ทำสวนมะม่วง ปลูกยางพารา เลี้ยงไก่ไข่ออร์แกนิค เพาะเห็ดฟาง ปลูกผักปลอดสารพิษ ด้วยระบบการบริหารจัดการที่อาศัยกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการมีส่วนร่วม ช่วยให้ชุมชนเข้มแข็งและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า คือ รายได้ จากเริ่มต้นที่มีรายได้เฉลี่ย 2,000 บาทต่อครอบครัวต่อเดือน ปัจจุบันเพิ่มเป็นประมาณปีละ 960,000 – 1,800,000 บาทต่อครอบครัว และกลายเป็นชุมชนเลี้ยงสุกรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่เป็นต้นแบบด้านการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร ที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทุกคนมีที่ดิน ทรัพย์สิน มีความเป็นอยู่ที่ดี บุตรหลานมีโอกาสได้ศึกษาในระดับสูงเท่าที่ตนเองต้องการ ขณะเดียวกัน เกษตรกรยังมุ่งจัดการสภาพแวดล้อมและทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการป่าเชิงนิเวศเฉลิมพระเกียรติ ร.๙ และโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ที่พัฒนาสู่แหล่งเรียนรู้เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน

ส่วน หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2522 ด้วยความมุ่งหวังที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทย ด้วยการจัดสรรพื้นที่ดินกว่า 4,000 ไร่ สู่การเกษตรผสมผสานแบบทันสมัย โดยนำแนวคิด 4 ประสานมาใช้ เพื่อให้เกษตรกร 64 ครอบครัว ได้ร่วมกันพัฒนาอาชีพ นำวิชาการทางการเกษตรสมัยใหม่ นวัตกรรมเครื่องจักรกล และระบบการจัดการครบวงจรมาใช้ในกระบวนการผลิต ปัจจุบันมีเกษตรกรรวมทั้งสิ้น 81 ราย มีรายได้จากการเลี้ยงสุกรพันธุ์และสุกรขุน ซึ่งเป็นอาชีพหลักประมาณ 600,000 – 1,800,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี และมีรายได้จากอาชีพเสริม ทั้งการเลี้ยงปลาดุก การปลูกผักกระเฉดน้ำ การปลูกผักสวนครัว และจำหน่ายปุ๋ยมูลสุกรราว 60,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ ยังมุ่งดูแลสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างกลไกความร่วมมือกับชุมชน สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าไม้ ผ่านศูนย์เรียนรู้สวนป่ารักษ์นิเวศ บนพื้นที่ 30 ไร่ ปลูกต้นไม้กว่า 18,000 ต้น มีพันธุ์ไม้กว่า 220 ชนิด ช่วยอนุรักษ์พันธุ์ไม้ท้องถิ่น สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของชุมชน และเตรียมขยายเพิ่มอีก 27 ไร่ ในพื้นที่ข้างเคียง วันนี้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเอง มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี กลายเป็น หมู่บ้านสามัคคี เทคโนโลยีทันสมัย และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ เกิดขึ้นจากการตระหนักถึงความสำคัญของอาชีพตำรวจและคุณภาพชีวิตหลังเกษียณอายุราชการ เครือซีพีและซีพีเอฟจึงได้ริเริ่มโครงการฯ ในปี 2549 ด้วยการจัดสรรที่ดินกว่า 230 ไร่ พร้อมสนับสนุนองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเลี้ยงสัตว์ แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว จำนวน 31 ราย เพื่อให้มีรายได้เสริมและมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยอาชีพหลักคือการเลี้ยงสุกรที่มีซีพีเอฟเข้าไปบริหารจัดการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพการผลิตที่ดี โดยมีอาชีพเสริมอื่นๆตามความถนัดของแต่ละบุคคล ปัจจุบันมีการบริหารจัดการในรูปแบบ “บริษัท หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ จำกัด” ถือหุ้นโดยข้าราชการตำรวจทั้ง 31 ครอบครัว และเมื่อปี 2561 ทุกรายได้รับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว

รู้เก็บรู้ออม : SET SOURCE ดูได้ดูดีทุกที่ทุกเวลา

0

คุณผู้อ่านแฟนคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมฯ” เคยเจอปัญหานี้แบบคุณนายพารวยมั้ยคะ ตั้งใจจะค้นคว้าหาข้อมูล ศึกษาความรู้ในอินเตอร์เน็ต พอกดค้นหาเจอหัวข้อที่ต้องการ ก็ต้องพบกับ ปริมาณข้อมูลมากมายก่ายกอง พอคลิกเข้าไปอ่าน ก็เจอเนื้อหาตรงบ้างไม่ตรงบ้างกับเรื่องที่อยากรู้ ข้อมูลไม่อัปเดตกับสถานการณ์ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการ จนทำให้ตัวคุณนายเอง หลายครั้งหลายหนต้องปวดหัวปวดตา แถมหมดเวลาไปเยอะแต่ไม่ได้อะไรเลย

บางเว็บไซต์ที่เคยเข้าไป แม้ว่าจะมีข้อมูลที่ใช่ เนื้อหาที่ชอบ แต่ก็ดันมาเจอกับปัญหาเรื่องการจัดการข้อมูล หรือไม่ก็หน้าตาเว็บที่ใช้งานยาก คนเข้าไปดูเว็บก็งง ไม่รู้ว่าจะไปค้นหรือกดดูหัวข้อที่อยากรู้ตรงไหน จนรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนตัวเองติดอยู่ในห้องสมุดที่ไม่ได้จัดเรียงหนังสือขึ้นชั้นวาง

จนคุณนายได้ลองเข้าหน้า SET SOURCE บนเว็บตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th/setsource อยากบอกแฟนๆ ว่า เจอของดีแล้วต้องขอบอกต่อ เพราะหน้านี้เค้ารวบทุกอย่าง ทั้งข่าวสารของตลาดหลักทรัพย์ฯ ความรู้การเงิน การลงทุน และความยั่งยืน มาไว้ที่เดียวกัน โดยจัดเรียงอย่างเป็นหมวดหมู่ ง่ายต่อการค้นหา และเปิดอ่าน

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อธิบายว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯจัดทำหน้า SET SOURCE ขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวมคอนเทนต์ข่าวสารความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ฯ และข่าวเศรษฐกิจ การเงินการลงทุน ความยั่งยืน แบบเข้าใจง่ายสำหรับผู้ลงทุนและประชาชนที่จับมือกูรูแวดวงลงทุน และสื่อพันธมิตรร่วมกันสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อเป็นประโยชน์กับการลงทุน

เนื้อหาก็เข้าใจง่าย มีทั้งคลิปวิดีโอ อินโฟ-โมชันกราฟิก บทความ สามารถเปิดดูย้อนหลังได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกอุปกรณ์ จะมือถือ แท็บเล็ต พีซี เปิดดูได้หมด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนักลงทุนและคนรุ่นใหม่

“SET SOURCE” ประกอบไปด้วยเนื้อหา 3 หมวดหลัก ได้แก่ 1.Insights เจาะลึกพัฒนาการ ความเคลื่อนไหวตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านบทความ บทสัมภาษณ์ และวิดีโอ เช่น ‘ภาวะตลาดหลักทรัพย์ประจำเดือน’ ‘รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์’ และชวนกูรูการลงทุนมาแบ่งปันความรู้เทคนิคการวางแผนการเงิน สิทธิผู้ลงทุน นอกจากนี้ ยังมีคอนเทนต์ ‘แยกแยะ’ ชวนให้ฉุกคิด และนำทักษะวิเคราะห์แยกแยะไปใช้ในชีวิตประจำวัน

2.SET SOURCE VDO รวมวิดีโอคอนเทนต์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ และสื่อพันธมิตรไว้ในที่เดียว สามารถดูย้อนหลังได้ทุกเวลา ทั้งข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุน รู้จักหุ้น IPO ความยั่งยืน บทความสร้างแรงบันดาลใจในการวางแผนการเงิน เป็นต้น

และ 3.SET SOURCE Release อัปเดตข่าวสาร ไฮไลต์ พัฒนาการสำคัญ ความเคลื่อนไหวล่าสุดจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และข่าวสำคัญเตือนผู้ลงทุนในภาวะต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน

เรียกได้ว่า ดูได้ ฟังดี เข้าใจง่าย ทุกที่ ทุกเวลา ข้อมูลก็อัปเดต ทันโลกปัจจุบัน และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป คลิกเดียวจบค่ะ!

“SET SOURCE” พร้อมให้บริการนักลงทุนและคนที่สนใจอัปเดตข่าวสารตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการเงินการลงทุน สามารถเข้าดูและอ่านคอนเทนต์ดีๆ ได้แล้วที่ www.set.or.th/setsource

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับรอรับขนมไหว้พระจันทร์ เมืองไทยประกันชีวิต จัดส่งแบบพรีเมี่ยมถึงบ้าน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTLเปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต โดยเมืองไทยสไมล์คลับ ส่งต่อพรจากพระจันทร์ เสริมความสิริมงคล มอบความสุข ความโชคดีในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยการมอบชุดขนมไหว้พระจันทร์ จากโรงแรม เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ (The St. Regis Bangkok) แด่สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ “ระดับสถานะ The Ultimate” จำนวน 1 ชุด/ท่าน ภายใต้ธีม Mythical Mooncake กล่องหนังเทียมสีครีมทองพร้อมด้วยลายดอกไม้ตกแต่งสวยงามบนกล่องอย่างปราณีต ที่เป็นได้ทั้งกล่องใส่ขนม และกล่องเครื่องสำอางค์สุดหรูในชีวิตประจำวัน หรือพกพาเมื่อเดินทาง

สาระ ล่ำซำ
สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

โดยภายในบรรจุด้วยขนมไหว้พระจันทร์ที่คัดสรรมาด้วยกันทั้ง 4 รสชาติ ได้แก่ รสทุเรียนพันธุ์หมอนทอง นับเป็นรสมงคลเนื่องจากคนจีนเชื่อว่าการได้รับผลไม้สีเหลืองทองเสมือนกับการได้รับโชคลาภ รสถั่วแดง ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักอันบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและความอบอุ่น รสโหงวยิ้ง เป็นธัญพืชรวม และ รสชาไทยผสมถั่วแมคคาเดเมีย ชาถือเป็นการอวยพรให้ผู้รับมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และยังส่งเสริมมิตรภาพให้มั่นคง ด้วยการส่งต่อความสุขความโชคดี ในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ผ่านบริการจัดส่งแบบพรีเมี่ยมถึงบ้านโดย White Glove Delivery By Silver Voyage Club ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลและ Courier Service (Inter Express) ในเขตต่างจังหวัด

ทั้งนี้ เมืองไทยสไมล์คลับให้ความสำคัญกับทุกเทศกาลพร้อมทั้งยินดีในการดูแลและยืนอยู่เคียงข้างสมาชิกฯ ในทุกวันสำคัญ โดยสมาชิกฯ สามารถติดตามกิจกรรมรวมถึงสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ที่เมืองไทยสไมล์คลับคัดสรรมาพิเศษแบบครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ และตอบโจทย์ทุก Gen ได้ที่ MTL Click Application สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

“เมืองไทยประกันชีวิต เรายังเดินหน้าการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มให้แก่ลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านกลยุทธ์ “Happiness Reinvented” เพราะความสุขคือทุกอย่าง…ร่วมสร้างความสุขสไตล์คุณไปกับเมืองไทยประกันชีวิตอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม รวมไปถึงสิทธิพิเศษและกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านเมืองไทยสไมล์คลับ ซึ่งเราได้คัดสรรมาเป็นอย่างดี พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกบทบาทของชีวิต” นายสาระ กล่าว

สรุปภาพรวมภาวะตลาดหลักทรัพย์เดือนส.ค. 2566

0

สุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในการประชุมวิชาการของ FED ที่เมือง Jackson Hole เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งสัญญาณว่ายังคงยืนยันเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวที่ 2% (จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.2%) ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดแรงงานยังคงชะลอตัวช้ากว่าคาด ทำให้ผู้ลงทุนคาดว่าอาจเห็น FED คงดอกเบี้ยที่ 5.25 – 5.50% ไปจนถึงปลายปีนี้ อีกทั้งผู้ลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีบริษัทใหญ่บางแห่งในอุตสาหกรรมส่งสัญญาณว่ามีปัญหาด้านสภาพคล่อง ทำให้ sentiment ผู้ลงทุนโดยรวมในตลาดโลกอยู่ในเชิงลบ

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าสภาพัฒน์ฯ รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 1.8% ชะลอลงจาก 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้าโดยเป็นผลมาจากการส่งออกที่หดตัว อย่างไรก็ดี ในเดือนสิงหาคม 2566 หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2566 ส่งผลให้ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 6 วันติดต่อกันอยู่ที่ 1,576.67 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 โดย SET Index ปรับลงไปจุดต่ำสุดที่ 1,466.93 จุด และหากพิจารณาจากอัตราส่วน Forward PE ของ SET Index ค่อนข้างต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ผู้ลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 7 เดือนต่อเนื่อง

ภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย

  • ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 SET Index ปิดที่ 1,565.94 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับดัชนีหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค และปรับลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
  • ในเดือนสิงหาคมปี 2566 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการเงิน กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
  • ในเดือนสิงหาคม 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai อยู่ที่ 58,579 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 21.1% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 8 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 57,904 ล้านบาท      ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่เจ็ด โดยในเดือนสิงหาคม 2566 ผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 14,755 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16
  • ในเดือนสิงหาคม 2566 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ.พี.เอส.พี.          สเปเชียลตี้ส์ (PSP) และ บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ไอ ทู เอ็นเตอร์ไพรซ์ (I2)
  • Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 17.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.9 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 23.8 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.4 เท่า
  • อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 2.99% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.55%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

  • ในเดือนสิงหาคม 2566 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 528,209 สัญญา เพิ่มขึ้น 11.2% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 544,291 สัญญา ลดลง 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures

แม็คกรุ๊ป มั่นใจปีหน้านิวไฮต่อเนื่อง หลังปิดปีบัญชี 66 กำไร 644 ล.

0
“แม็คกรุ๊ป” มั่นใจผลงานปีบัญชี 2567 นิวไฮต่อเนื่อง หลังปิดปีบัญชี 2566 โชว์กำไร 644 ล้าน เพิ่มขึ้น 32.5% ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ เดินหน้ากลยุทธ์จับมือพันมิตรสร้างความแข็งแกร่ง

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปีบัญชี 2567 จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา บริษัทฯ จะดำเนินกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้สามารถเติบโตได้ในเลขสองหลัก อีกทั้งการที่ประเทศไทยมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เรียบร้อยแล้ว คาดว่ารัฐบาลจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายจุดจำหน่ายเพื่อให้แบรนด์แม็คยีนส์ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด

“บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายว่าในปีบัญชี 2567 ผลประกอบการจะเติบโตจากปีก่อน 10-17% ผ่านกลยุทธ์ทางธุรกิจที่วางไว้ รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรในการทำธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และถือเป็นโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ เช่น การจับมือกับขายหัวเราะ นำเสนอคอลเลกชั่นสุดพิเศษหลังออกวางจำหน่ายได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลงานไตรมาสแรกของปีบัญชี 2567 ออกมาสดใส”

สำหรับผลการดําเนินงานของบริษัทฯ ปีบัญชี 2566 (1 กรกฎาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2566) ถือว่าเป็นปีที่ประสบความสำเร็จ เติบโตเกินเป้าหมายที่วางไว้ที่จะโต 20% และยังคงทำสถิติสูงสุด โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 644 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 158 ล้านบาท หรือ 32.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 486 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิ 17.4% สูงกว่าปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 16.5% รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงที่ระดับ 64.8% บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้ารวม 3,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 747 ล้านบาท หรือ 25.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

นายเจมส์ ริชาร์ด กล่าวว่า MC ยังคงสถานะบริษัทฯ ที่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในอัตราที่สูงกว่านโยบาย หรือจ่ายเกือบ 100 % ของกำไรสุทธิมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ถือหุ้นที่ลงทุนหุ้น MC จะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราเกิน 5-6% มาต่อเนื่อง โดยในปีบัญชี 2566 คณะกรรมการ (บอร์ด) มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งหลังอีกหุ้นละ 0.36 บาท ทำให้ทั้งปีบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 0.81 บาท โดยในงวดครึ่งแรกของปีจ่ายปันผลไปแล้ว หุ้นละ 0.45 บาท หรือจ่ายปันผลในอัตราเกือบ 100% ของกำไรสุทธิ และจะขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล) ในวันที่ 2 พ.ย. 2566

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2566 กลุ่มบริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวรวม 1,727 ล้านบาท ลดลง 269 ล้านบาท เนื่องจากมีกิจกรรมการลงทุนของบริษัทฯ และการสร้างศูนย์กระจายสินค้า Mc Fulfillment Center

คาราวานซีพีเอฟ ยกขบวนสินค้าคุณภาพ ส่งถึงมือชาวเชียงใหม่ ร่วมเฮ! ‘เพชร ซีพีเอฟ’ รักษาแชมป์ ชนะน็อกคู่ท้าชิงจากเวียดนาม

0

จ.เชียงใหม่ ร่วมกับ ซีพีเอฟ จัดมหกรรม “คาราวานซีพีเอฟ ลดค่าครองชีพแก่ประชาชน” จำหน่ายสินค้ามากกว่า 200 รายการ ทั้งอาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมรับประทาน ในราคาพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 กันยายน 2566 เวลา 10.00 – 21.00 น.

จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ จัดมหกรรม “คาราวานซีพีเอฟ ลดค่าครองชีพแก่ประชาชน” นำทัพสินค้าจากบริษัทในกลุ่มซีพีและซีพีเอฟ อาทิ ห้าดาว (FIVE STAR) Hi-Pork เชสเตอร์ มากกว่า 200 รายการ ทั้งอาหารสด อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมรับประทาน อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารกินเล่น ขนม และทรู มาจำหน่ายในราคาพิเศษ เพื่อให้ชาวเชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงได้เข้าถึงอาหารคุณภาพดี สะอาด ปลอดภัย ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 กันยายน 2566 เวลา 10.00 – 21.00 น. โดยมี นายวีรพงษ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายจิโรจน์ โรจนเสาวภาค รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และนายพงษ์ วิเศษไพฑูรย์ ประธานกรรมการ ธุรกิจสัตว์น้ำ เขตประเทศอินเดีย ซีพีเอฟ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิด

บรรยากาศบริเวณ โครงการ More Space (ไร่ฟอร์ด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) เต็มไปด้วยประชาชนที่มาร่วมช้อปและชิมอาหารคุณภาพตลอดทั้งวัน พร้อมทั้งร่วมสนุกกับกิจกรรมนาทีทอง ที่นำสินค้าต่างๆ มาจำหน่ายในราคาพิเศษ อาทิ ไข่ไก่สดซีพี ถาด 30 ฟอง ราคาเพียง 60 บาท (จำกัดคนละ 1 ถาด เริ่มจำหน่าย 17.00 น.) เนื้อหมูสดหั่นชิ้น กิโลกรัมละ 79 บาท (ปกติ 150 บาท) ไส้กรอก ซีพี 3 แพ็ก ราคา 100 บาท เกี๊ยวซ่าหมู เกี๊ยวซอสญี่ปุ่น 5 แพ็ก ราคา 100 บาท เกี๊ยวกุ้งจักรพรรดิ 2 แพ็ก ราคา 90 บาท สปาเก็ตตี้ ซีพี 2 แพ็ก ราคา 100 บาท และผลิตภัณฑ์เนื้อจากพืช แบรนด์ MEAT ZERO แพ็กละ 40 บาท ทั้งนี้หากซื้อสินค้าครบ 500 บาท สามารถนำใบเสร็จมาที่บูธทรู เช็คดวงจากเบอร์โทรศัพท์กับหมอเจี๊ยบ ฟรี!

ขณะที่ การแข่งขัน “ศึกซีพีเอฟ มวยมันส์ สนั่นโลก” ผลปรากฏว่า ‘เพชร ซีพีเอฟ’ ชนะน็อก ‘พิ วินท์ โท’ ผู้ท้าชิงชาวเวียดนาม พร้อมเสียงระฆังยกที่ 4 ป้องกันแชมป์แบนตัมเวต ABCO หรือ WBC ASIA ได้สำเร็จ ณ สนามมวยชั่วคราว ลานกิจกรรมมอร์ สเปซ (ไร่ฟอร์ด)

อดีตหนุ่มวิศวะ สู่นักธุรกิจแฟรนไชส์ “อาร์ม-ธนะวิทย์ พุฒิเชาว์วัฒน์” ชู “ห้าดาว” เส้นทางสร้างอาชีพมั่นคง

0

หลังจากเรียนจบคณะวิศวกรรมสารสนเทศและการสื่อสาร (ICE) จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เมื่อปี 2552 “อาร์ม-ธนะวิทย์ พุฒิเชาว์วัฒน์” ก็เริ่มต้นทำงานในสายอาชีพที่ได้เรียนมา ด้วยการรับวางระบบไอที ควบคู่ไปกับการทำร้านเกมส์ จากนั้นด้วยพื้นฐานที่ชอบการทำธุรกิจเป็นทุนเดิม จึงริเริ่มทำธุรกิจเล็กๆร่วมกับฝาแฝด “โอม-ธนะโรจน์ พุฒิเชาว์วัฒน์” ด้วยการเปิดแฟรนไชส์ร้านสเต็กและอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่น และเปิดร้านอาหารไทยเพิ่มอีก จนสุดท้ายเปิดแฟรนด์ไชส์น้ำอิตาเลียนโซดา โดยเน้นเปิดร้านในย่านโรงเรียนและสถานศึกษา มีนักเรียนเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก แต่เมื่อต้องพบกับวิกฤติโควิด-19 โรงเรียนถูกสั่งปิดการเรียนการสอน จึงส่งผลกระทบต่อยอดขาย ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจหยุดทำแฟรนไชส์นี้

จนเมื่อสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ผู้คนเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอย ทั้งอาร์มและโอมจึงมองหาแฟรนด์ไชส์ ที่ไม่ต้องทำเองหรือเสียเวลากับเรื่องการตลาดที่เป็นเรื่องท้าทายมากในภาวะเช่นนี้ ตอนนั้นพวกเขาพิจารณาหลายธุรกิจ และตกผลึกกันว่า “ธุรกิจห้าดาว” ตอบโจทย์ความต้องการที่สุด ทั้งเรื่องการส่งของ การสั่งสินค้าจากบริษัทโดยตรง ทำให้ไม่ต้องซื้อของและไม่ต้องปรุงเอง เรื่องนี้ถือว่าได้ใจทั้งสองคนที่เป็นผู้ประกอบการที่เคยลองผิดลองถูกกับธุรกิจแฟรนไชส์มาตลอด โดยเฉพาะประสบการณ์ที่ผ่านมาจากการทำร้านอาหาร ที่จะเป็นต้องมีสต๊อกวัตถุดิบ ต้องมีคนดูแลจัดซื้อ การคำนวณและควบคุมสต๊อกค่อนข้างยุ่งยาก

“เราเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ก่อนเรียนจบ เรียกว่าผ่านประสบการณ์มาเยอะ ทั้งสำเร็จและล้มเหลว เมื่อศึกษาห้าดาวพบว่ามีโอกาสโตและไป ต่อได้ เพราะแบรนด์ห้าดาวเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว และยังมีระบบบริหารจัดการที่ดี ทีมงานใส่ใจในการสร้างแบรนด์สินค้าและจับมือผู้ประกอบการให้เติบโตไปพร้อมๆกัน โดยมีห้าดาวเป็นหลังบ้านให้ ด้วยการจัดหาวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ผ่านการคิดสูตรและปรุงอย่างใส่ใจ มีการโปรโมทแนะนำสินค้าใหม่ๆ ทำให้เราไม่ต้องคิดโปรโมชั่นเอง สินค้าก็ได้รับการพัฒนาแล้วและมีสินค้าใหม่ๆออกมาตลอด รสชาติดี ตรงตามความต้องการลูกค้า เราจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ จึงง่ายต่อการขยายสาขาใหม่ๆ ยิ่งร้านเราเน้นเรื่องการขายหน้าร้าน การบริการลูกค้า บริหารจัดการพนักงานให้ดี ก็ทำให้สามารถเปิดได้หลายสาขาในระยะเวลาไม่นาน” อาร์ม กล่าว

อาร์มร่วมกับทีมห้าดาวในการพิจารณาทำเลร้าน ที่อยู่หน้าตลาดซึ่งมีกลุ่มลูกค้าค่อนข้างมาก จึงตัดสินใจเปิดร้าน Five Star สาขาหนองกระทุ่ม จังหวัดนครราชสีมา ในรูปแบบกลาสเฮาส์เป็นสาขาแรก เมื่อช่วงปลายปี 2565 เสียงตอบรับดีมาก เพราะสินค้าเป็นมาตรฐานและลูกค้าเห็นความแข็งแรงของแบรนด์ จากสาขา 1 ขยายสู่สาขา 2 Five Star ปตท.สวนสัตว์ ใช้เวลาเพียง 1 เดือน โดยสาขาแรกคืนทุนภายใน 3 เดือน ส่วนสาขาที่สองคืนทุนในเวลาเพียง 2 เดือน ต่อมาจึงขยายร้านสาขา 3 Five Star ถนนสืบสิริ และสาขา 4 Five Star โรงพยาบาลลพบุรี ในระยะเวลาใกล้ๆกัน และวางแผนว่าภายในปีนี้จะเปิดให้ได้ 10 ร้าน อาร์มบอกว่า ความสำเร็จนี้เกิดจากระบบที่แข็งแรงของธุรกิจห้าดาว มีระบบสต๊อก มีโค้ดขายที่รัดกุมและง่ายต่อการตรวจสอบ ที่สำคัญคือการสนับสนุนที่ดีของบริษัท ที่ส่งทีมงานมาตรวจสอบมาตรฐานแบบสุ่มตรวจอย่างสม่ำเสมอ ส่วนสินค้าก็มีทีมซัพพอร์ตตลอดเวลา มีการขนส่งที่เข้มงวด

เมื่อถามถึงเทคนิคการบริหารร้านหลายๆสาขา อาร์มเล่าว่า เขามีผู้จัดการหนึ่งคนเป็นผู้ช่วยบริหารแต่ละร้าน และดูแลทีมงานทั้ง 11 คน ทำให้เขามีเวลาในการมาบริหารร้านอาหารกิจการของตนเอง ที่ทำการขยายใหม่ได้อีก ซึ่งความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความขยัน อดทน บางอย่างต้องใช้เวลา รอเวลาที่เหมาะสม โดยเน้นระบบและทีมงาน “ระบบที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” เพราะเคยลองทำร้านแบบที่ไม่ต้องวางระบบสุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้ แม้บางคนมองว่าระบบยุ่งยาก แต่การที่จะทำธุรกิจสักอย่างต้องเขียนแผนธุรกิจ คนซื้อเป็นใคร มีระบบตรวจสอบย้อนกลับอย่างไร เขาเป็นฝ่ายบริหารก็ต้องทำระบบให้แข็งแรงก่อน

“ห้าดาวตอบโจทย์ เรื่องการสร้างงานสร้างอาชีพ เพราะใช้เงินลงทุนไม่มาก แต่ผลตอบแทนกลับมาถือว่าน่าพอใจ เป็นแฟรนด์ไชส์ที่ ไม่แพง เมื่อขายไปสักพักเราจะรู้หลักการบริหารจัดการที่ดี บริษัทมีทีมงานซัพพอร์ท มีการพัฒนาสินค้า ตอบรับกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็ว การขายต้องตามเทรนด์ โดยมีการฝึกอบรมทั้งเถ้าแก่และทีมงานก่อน เพื่อให้ได้มาตรฐานเดียวกัน วันนี้ผมและฝาแฝดที่ได้เริ่มต้นธุรกิจห้าดาวไปพร้อมๆกัน ต่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะรายได้ที่มั่นคงจากการขายห้าดาว ทีมงานของเราก็มีอาชีพที่มั่นคง ได้แบ่งปันรายได้ไปถึงครอบครัวของพวกเขาเช่นกัน” อาร์ม กล่าว

อาร์ม-ธนะวิทย์ คืออีกหนึ่งตัวอย่างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ที่เชื่อมั่นในระบบการทำงานที่เข้มแข็ง และมั่นใจแฟรนไชส์ห้าดาวที่ตอบโจทย์คนอยากมีอาชีพ และเป็นอีกเส้นทางสร้างอาชีพมั่นคง

เมืองไทยประกันชีวิต สุดปลื้ม คว้า 3 รางวัลใหญ่ สูงสุดเหนือเกียรติยศ รายเดียวของวงการประกันภัย

0

เมืองไทยประกันชีวิต สร้างประวัติศาสตร์แห่งเกียรติยศและความภาคภูมิใจครั้งสำคัญ คว้า “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” รางวัลสูงสุดของอุตหกรรมประกันภัย ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากสำนักงาน คปภ. สะท้อนการบริหารงานดีเด่น สร้างสรรค์นวัตกรรม และใส่ใจความยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมคว้าอีก 2 รางวัลใหญ่ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 และ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2566

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL สร้างประวัติศาสตร์วงการประกันภัยครั้งสำคัญ เข้ารับ 3 รางวัลเกียรติยศแห่งความภาคภูมิใจและความเชื่อมั่น ประจำปี 2565 ประกอบด้วย “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในภาคอุตสาหกรรมประกันภัยและเป็นเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 และ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 จากพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร ประจำปี 2566 (Prime Minister’s Insurance Awards 2023) ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดยมีนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธีเป็นผู้มอบ และ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ร่วมแสดงความยินดี งานจัดขึ้น ณ ห้องประชุม ฟีนิกซ์ 1-6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี

โดย “รางวัลบริษัทประกันภัยเกียรติยศสูงสุด (Hall of Fame)” ประจำปี 2565 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 นี้ ถือเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจ เพราะเป็นรางวัลสูงที่สุดในอุตสาหกรรมประกันภัย ที่สำนักงาน คปภ. มอบให้แก่บริษัทที่มีผลงานการบริหารดีเด่นและมีความแข็งแกร่งรอบด้าน ซึ่งเมืองไทยประกันชีวิตเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่สามารถคว้ารางวัลนี้มาได้ จากความโดดเด่นด้านการบริหารงานในทุกมิติ ที่มุ่งมั่นตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า พร้อมมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ และบริการด้านต่าง ๆ ตลอดจนช่องทางจำหน่ายที่หลากหลาย รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ พร้อมการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่โดดเด่นด้วยการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เดินหน้าควบคู่ไปกับความรับผิดชอบในด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) การจัดการด้านสังคม (Social) และการจัดการด้านธรรมาภิบาล (Governance) หรือ ESG จนทำให้ได้รับรางวัลเกียรติคุณบริษัทประกันภัยดีเด่น รางวัลเกียรติยศบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น ติดต่อกัน 4 ครั้ง และรางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการบริหารงานดีเด่น อันดับที่ 1 ต่อเนื่อง 17 ปีซ้อน ซึ่งถือเป็นบริษัทที่มีผลงานด้านการบริหารงานที่โดดเด่นสูงสุดในอุตสาหกรรมประกันภัย

สำหรับ “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชนดีเด่น ประจำปี 2565” ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 จากคุณสมบัติในด้านการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อประชาชน การส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีการทำกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน การส่งเสริมสนับสนุนให้มีการขยายช่องทางการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน การส่งเสริมการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ กรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน และส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้า ด้านการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจของเมืองไทยประกันชีวิตที่ต้องการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงประกันภัยได้มากขึ้น เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทุกคน

นอกจากนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ยังสามารถคว้า “รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยดีเด่น ประจำปี 2565” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แสดงให้เห็นถึงความโดดเด่นด้านนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ของบริษัทฯ ในการมุ่งมั่นคิดค้น พัฒนา นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์และบริการ รวมถึงส่งเสริมให้การนำระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการทำงาน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน ทุกไลฟ์สไตล์ และสอดรับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ตัวแทนของบริษัทฯ นางสาวสุมาณี กิจบุญชัย และนางสาวกรวรรณ คงด้วง ยังได้รับ “รางวัลตัวแทนประกันชีวิตคุณภาพดีเด่น ประจำปี 2565” สุดยอดตัวแทนที่มีผลงานโดดเด่น ทั้งในด้านผลงานการขาย การเข้าอบรม และทำกิจกรรมได้ตามเงื่อนไขที่ คปภ.กำหนดไว้ได้อย่างครบถ้วน รวมถึงการปฏิบัติอยู่ในกรอบมาตรฐานจรรยาบรรณของวิชาชีพ และกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับของ คปภ.อย่างเคร่งครัด นับเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ และสะท้อนถึงความโดดเด่นในด้านการพัฒนาคุณภาพตัวแทนอย่างต่อเนื่อง