Home Blog Page 111

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดตัว DR น้องใหม่ “STEG19” อ้างอิงหุ้นสิงคโปร์ ST Engineering เริ่มซื้อขาย 19 ก.พ. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รับหลักทรัพย์ DR ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่อ้างอิงหุ้น ST Engineering บริษัทนวัตกรรมชั้นนำของสิงคโปร์ ออกโดย บล. หยวนต้า เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 19 ก.พ. นี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “STEG19”

DR “STEG19” มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้นสามัญของ Singapore Technologies Engineering Ltd. หรือ
ST Engineering Ltd. บริษัทวิศวกรรมเทคโนโลยีด้านอากาศยานและระบบป้องกันทางไซเบอร์ รวมถึงระบบสมาร์ทซิตี้ และดาวเทียม ของประเทศสิงคโปร์ โดย DR “STEG19” จะเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป ทั้งนี้ DR ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือโครงการ “Thailand-Singapore DR Linkage” ระหว่างตลาดหลักทรัพย์ไทยและสิงคโปร์

DR เป็นตราสารที่ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์เสมือนการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินบาท ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียด DR “STEG19” ได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. www.sec.or.th หรือบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์คือ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด www.yuanta.co.th หรือศึกษาผลิตภัณฑ์ DR เพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/th/dr

รู้เก็บรู้ออม : รักดีต้องฟิตสุขภาพการเงิน

0

ตลอดสัปดาห์นี้ เป็นห้วงเวลาที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความรัก หัวใจเบ่งบานเป็นพิเศษ ต้อนรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ แสดงออกความรู้สึกพิเศษที่เรียกว่า “ความรัก” ส่งไปยังคนรัก!!

รักคนอื่นแล้ว อย่าลืมรักและเป็นห่วงตัวเองด้วย เพราะหากไม่รัก ไม่ดูแลตัวเอง จะไปรักคนอื่นให้ดีได้อย่างไร และหากเป็นรักที่ “ถูกที่ถูกเวลา” ด้วยแล้ว ยิ่งน่าส่งเสริม “คุณนายพารวย” เลยอยากแนะนำให้ผู้ที่รักการลงทุน เริ่มต้นดูแลสุขภาพการเงินของตัวเองและของคนที่เรารัก เพราะในชีวิตจริงแล้ว หากเรามีสุขภาพการเงินดีแล้ว สุขภาพหัวใจก็จะสตรองไปด้วย!!

มาเริ่มต้นเรียนรู้เรียนรักตัวเองด้วยหลักสูตร SET e–Learning ของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับหัวข้อ “วางแผนการเงินตามช่วงวัย” ที่จะช่วยทำให้เราวางแผนการเงินให้กับตัวเอง และคนที่เรารัก ให้มีสุขภาพการเงินฟิตปั๋งในแต่ละวัย!!

เนื้อหาแต่ละตอน ตอบโจทย์ชีวิตของคนวัยต่างๆ เริ่มต้นด้วยหลักสูตร “วัย 20+ เริ่มต้นดี… ชีวิตไม่มีติดลบ” เรียนรู้วิธีวางแผนการเงินอย่างง่ายและเป็นระบบ ตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน รวมทั้งเริ่มวางแผนลงทุนและวางแผนภาษี เพื่อสร้างความมั่งคั่งในอนาคต เหมาะกับผู้ที่สนใจวางแผน การเงินและวัยเริ่มต้นทำงาน

ต่อด้วยหลักสูตร “วัย 40+ สร้างชีวิตมั่นคง…ลงทุนมั่งคั่ง” เหมาะกับผู้ที่สนใจวางแผนการเงินและผู้เริ่มสะสมความมั่งคั่ง จะเป็นหลักสูตรเพื่อเรียนรู้วิธีวางแผนการเงินอย่างง่าย เพื่อบริหารจัดการหนี้สิน สร้างความมั่งคั่ง และวางแผนออมเงินเพื่อวัยเกษียณที่มั่นคง

ตามด้วยหลักสูตร “วัย 50+ เตรียมชีวิตมั่งคั่ง…รับวันเกษียณ” ว่าด้วยการตระเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับวัยใกล้เกษียณ สำรวจสถานะการเงิน แหล่งเงินออม เทคนิคการจัดการหนี้ และแนวทางการบริหารพอร์ตลงทุนวัยใกล้เกษียณ

สำหรับเหล่า ส.ว. (สูงวัย) ผู้ที่ใกล้เกษียณและผู้ที่เกษียณแล้วต้องลงเรียนหลักสูตรนี้ “วัย 60+ บริหารเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” ไว้เตรียมตัวรับมือหลังเกษียณอายุ เรียนรู้ขั้นตอนการสำรวจสถานะการเงิน ทบทวนแหล่งรายได้หลังเกษียณ เทคนิคการวางแผนใช้จ่าย การบริหารหนี้สิน เพื่อให้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข การบริหารพอร์ตลงทุน และการวางแผนมรดก

ปิดท้ายด้วยเวิร์กช็อป Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้ สำหรับผู้ที่มีอายุ 45-65 ปี เรียนรู้การบริหารเงินหลังเกษียณให้สามารถจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายให้เหมาะสมและเพียงพอใช้สำหรับเลี้ยงดูตนเองไปตลอดชีวิต พร้อมรับคู่มือ Happy Money, Happy Young Old วางแผนชีวิตวัยเกษียณ โดยผู้ที่เข้าร่วมเวิร์กช็อปต้องผ่านการเรียน SET e-Learning หลักสูตร “วัย 50+ เตรียมชีวิตมั่งคั่ง…รับวันเกษียณ” และ “วัย 60+ บริหารเงินหลังเกษียณ สไตล์วัยเก๋า” มาแล้วเท่านั้น ดูรายละเอียดเวิร์กช็อปได้ที่ https://www.set.or.th/th/education-research/education/happymoney/happy-young-old 

ผู้สนใจลงทะเบียนเรียนทุกหลักสูตรได้ฟรี ที่ https://elearning.set.or.th/SETGroup/playlists/45 

เรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาเรียนจบรับรองว่า เราจะรักดี…รักเป็น และรักแบบสร้างสรรค์ ดีแท้แน่นอน!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

CPF ใช้บล็อกเชน ตรวจสอบย้อนกลับสินค้า สร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ลดโลกร้อน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ นำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain)มาใช้ ตรวจสอบย้อนกลับสินค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหารให้กับผู้บริโภค ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหาร แหล่งที่มาของสินค้า ข้อมูลการได้รับรองมาตรฐานสากลด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร และข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ยั่งยืน นำร่องติดคิวอาร์โค้ดผลิตภัณฑ์กลุ่มไก่สดและหมูสด ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ ผลิตภัณฑ์กุ้งสด ผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุก ผลิตภัณฑ์ไส้กรอก

นางสาวอรพรรณ มั่งมีศรี ผู้อำนวยการสำนักระบบมาตรฐานสากล ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการส่งมอบอาหารปลอดภัยและมีคุณภาพสู่ผู้บริโภค ด้วยการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีความถูกต้องแม่นยำและรวดเร็ว มาใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด(QR Code) ที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์ สามารถตรวจสอบที่มาของผลิตภัณฑ์ตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารได้อย่างถูกต้อง อาทิ แหล่งที่มาของสินค้า ข้อมูลการได้รับรองมาตรฐานสากลด้านคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร ข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ยั่งยืน ปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

“บริษัทฯ ได้จัดทำระบบการตรวจสอบย้อนกลับในผลิตภัณฑ์ไก่สดและหมูสด ตั้งแต่ ปี 2565 ขยายสู่ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์กุ้งสด ในปี 2566 และมีเป้าหมายภายในปี 2567 ขยายไปยังผลิตภัณฑ์ไก่ปรุงสุก ผลิตภัณฑ์ไส้กรอก โดยมีแผนขยายครอบคลุมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในระยะต่อไป” นางสาวอรพรรณ กล่าว

ระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าแบบดิจิทัล ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ด้วยข้อมูลที่โปร่งใส สอดรับกับเป้าหมาย
การปรับองค์กรสู่ธุรกิจแบบดิจิทัลด้วยเทคโนโลยีบล็อคเชน ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ

ซีพีเอฟกำหนดนโยบายการตรวจสอบย้อนกลับการผลิตอาหาร เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการยกระดับการดำเนินกิจการของซีพีเอฟทั่วโลก ด้านคุณภาพ อาหารปลอดภัย โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลได้อย่างโปร่งใสในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ในฟาร์ม การแปรรูปอาหาร ระบบขนส่งและคลังสินค้า และครอบคลุมไปถึงวัตถุดิบ วัตถุเจือปนอาหาร ส่วนประกอบอาหาร และบรรจุภัณฑ์

กรุงเทพโปรดิ๊วส ชูระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด-เทคโนโลยี พิชิตฝุ่น PM 2.5

0

บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด หรือ ซีพีเอฟ ได้พัฒนาและใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาตั้งแต่ปี 2559 นับเป็นบริษัทแรกของไทยที่นำระบบนี้มาใช้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการจัดหาวัตถุดิบหลักทางเกษตรสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งปลูกที่ไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า และการเผา ตามนโยบายของเครือซีพี “ไม่รับและไม่นำเข้าผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากพื้นที่รุกป่า และพื้นที่ที่มาจากการเผา” เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมแก้ปัญหาหมอกควัน และฝุ่น PM 2.5

ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด (Corn Traceability) ช่วยให้บริษัททราบถึงข้อมูลสำคัญของเกษตรกรและที่มาของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงพื้นที่ปลูกที่ไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึง วิธีการปลูก ตลอดจนสามารถติดตามการเผาแปลง ซึ่งปัจจุบัน ปัจจุบัน มีเกษตรกรปลูกข้าวโพดกว่า 40,000 ราย และพ่อค้าพืชไร่ อีกกว่า 600 ราย เป็นผู้รวบรวมข้อมูลเกษตรกร ลงทะเบียนซื้อขายผลผลิตผ่านระบบตรวจสอบย้อนกลับ ครอบคลุมพื้นที่ปลูก กว่า 2 ล้านไร่

ปัจจุบัน การจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สำหรับกิจการในประเทศไทยของซีพีเอฟ สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ทั้งหมด ขณะเดียวกัน กรุงเทพโปรดิ๊วส ยังขยายผลการนำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดไปใช้ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ฟิลิปปินส์ อินเดีย และบังคลาเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการจัดหาวัตถุดิบทางการเกษตรอย่างรับผิดชอบของกรุงเทพโปรดิ๊วส และซีพีเอฟที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้มาจากแหล่งผลิตที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่บุกรุกพื้นที่ป่า
กรุงเทพโปรดิ๊วส ใช้ เทคโนโลยีบล็อกเชน เพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของข้อมูล สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและใช้ เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม ติดตามการเผาแปลงแบบวันต่อวัน หากพบจุดความร้อนตรงกับแปลงปลูกของเกษตรกรที่จำหน่ายผลผลิตให้ เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่ให้แนะนำและส่งเสริมวิธีการไถกลบแทนการเผา
ทั้งนี้ กรุงเทพโปรดิ๊วส ยังสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน Public-Private Partnership ป้องกันการเผาแปลงข้าวโพด ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 สร้างห่วงโซ่การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รับผิดชอบต่อโลก โดยสนับสนุนให้คู่ค้าได้ใช้ข้อมูลจุดความร้อนจากภาพถ่ายดาวเทียม เพื่อตรวจจับการเผาแปลงแบบระบุเป็นรายแปลง และกำกับดูแลห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่รับผิดชอบ ตามเป้าหมายของโครงการ “Partner To Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน รวมถึงพัฒนาขีดความสามารถคู่ค้าพันธมิตรข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก้าวสู่เป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050

กรุงเทพโปรดิ๊วสยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ชวนคนไทยร่วมยุติการเผาแปลง พิชิตปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้เข้ามามีส่วนช่วยเฝ้าระวังการเผาแปลงของเกษตรกร เปิดช่องทางการร้องเรียนพบการเผาแปลงข้าวโพด ผ่านแอปพลิเคชั่น “ฟ.ฟาร์ม” เจอเผาแปลง แจ้งแอป ฟ.ฟาร์ม หรือแจ้งผ่านเว็บไซต์ระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด ชวนเกษตรกรและประชาชนทั่วไปร่วมมือป้องกันเผาแปลงเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

สามารถชมคลิปได้ https://youtu.be/z7Qa3uZK7bM?si=NFbpakIMN8izuy2g

“สาระ ล่ำซำ” คว้ารางวัลสุดยอดผู้นำองค์กร “Best Life Insurance CEO” เวที International Finance Magazine ประเทศอังกฤษ

0

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล “Best Life Insurance CEO – Mr. Sara Lamsam” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2  จากงานประกาศรางวัลInternational Finance Awards 2023  จัดโดยนิตยสาร International Finance นิตยสารด้านธุรกิจและการเงินชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ รางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่มอบให้แก่สุดยอดผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีกลยุทธ์ทางธุรกิจ มีการบริหารงานที่เป็นเลิศและโดดเด่นที่สุด

และในงานมอบรางวัลเดียวกันนี้ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ยังได้รับรางวัล  Best New Life Insurance Initiative – Silver Readiness by MTL  โดยมีนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข  รองกรรมการผู้จัดการ เป็นตัวแทนขึ้นรับรางวัล  ซึ่งรางวัลดังกล่าวตอกย้ำถึงความสำเร็จขององค์กรในการมุ่งเน้นการตอบโจทย์ที่หลากหลายรอบด้านเพื่อการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุยุคใหม่ (Silver Age) ให้มีความสุขและใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ด้วยการช่วยสร้างความอุ่นใจและเติมเต็มชีวิตสมาร์ทของวัยซิลเวอร์อย่างครบถ้วน ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ บริการ นวัตกรรม และเครือข่ายพันธมิตรที่ครอบคลุมทุกรูปแบบการใช้ชีวิตที่สามารถดูแลลูกค้าครบวงจร  โดยงานจัดขึ้น ณ โรงแรม Waldorf Astoria กรุงเทพฯ.

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนร่วมงาน “Green Economy: Next growth and survive” เดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) และ The Gold Standard Foundation จัดงาน “Green Economy: Next growth and survive” ? เพื่อรับฟังวิสัยทัศน์ นโยบายจากรัฐในการมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว และรับฟังเสวนาแลกเปลี่ยนข้อมูล แนวคิดและรับทราบถึง โมเดลและรูปแบบนวัตกรรมทางสังคมที่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมไปพร้อมกัน รวมถึงการนำกลไกคาร์บอนเครดิตมาร่วมพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นตัวอย่างหรือกรณีศึกษาให้ภาคเอกชนร่วมขับเคลื่อนการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว

โดยงานจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนตอบรับร่วมงานได้ที่ https://forms.office.com/r/3FWjjkcu24?origin=lprLink ภายในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเกณฑ์เปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% เริ่ม 19 ก.พ. 67

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปรับปรุงเกณฑ์การเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนครบถ้วนยิ่งขึ้น จากเดิมที่กำหนดให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์รายใหญ่หรือผู้ถือหลักทรัพย์ 10 รายแรก เป็นให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วนการถือครองหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% ของทุนชำระแล้ว แต่ไม่น้อยกว่า 10 ราย ทั้งนี้ ให้ใช้กับบริษัทจดทะเบียน ทรัสต์เพื่อการลงทุน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

ผู้ลงทุนและผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเกณฑ์เปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ตั้งแต่ 0.5% ได้ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th ภายใต้หัวข้อ “กฎเกณฑ์/การกำกับ” และ “กฎเกณฑ์ – หนังสือเวียนส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์จดทะเบียน” ทั้งนี้ สามารถติดตามการเปิดเผยรายชื่อผู้ถือหลักทรัพย์ของแต่ละบริษัทตามเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ โดยพิมพ์ชื่อย่อหลักทรัพย์ และเลือกเมนู “ข้อมูลผู้ถือหุ้น” เริ่มตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์ 2567

เดินทอดน่องเที่ยว 3 วัดงามเลียบคลองผดุงกรุงเกษม

0

“บิ๊กเกรียน” มีโอกาสติดสอยห้อยตามคณะผู้จัดทำเพจ รัตนโกสิเนหา ซึ่งขยันคลอดทริปท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ออกมาเป็นระยะๆ และแต่ละทริปที่จัดนั้น จะร้อยเรียงสถานที่ที่มีความเป็นมาเกี่ยวเนื่องกันในแง่มุมประวัติศาสาตร์ไว้อย่างน่าสนใจ เช่นเดียวกับทริปล่าสุดที่ตั้งชื่อชวนให้ต้องติดตามมาร่วมทริปว่า “สีมากรุงเกษม

ทริปที่พาเราชมความงดงามของวัดอารามหลวงเก่าแก่ 3 แห่ง ที่ตั้งอยู่แนวคลองผดุงกรุงเกษม โดยแต่ละวัด สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกอบไปด้วย วัดเทพศิรินทราวาส, วัดโสมนัสราชวรวิหาร และ วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งล้วนเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5

เราเริ่มต้นทริปท่องเวลาหาวัดงามครั้งนี้กันที่ วัดเทพศิรินทราวาส ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ซึ่งสำหรับตัวแอดมินแล้ว มีโอกาสมาที่วัดนี้บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการมาเพื่อร่วมงานขาวดำเสียมากกว่า ไม่เคยมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมความงามอย่างจริงจัง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวชมวัดเทพศิรินทราวาสแห่งนี้ จากข้อมูลประกอบกับการบรรยายที่ได้อรรถรสยิ่งของ อาจารย์ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์ วิทยากรรับเชิญ ทำให้ทราบว่า วัดเทพศิรินทร์ฯ เป็นวัดที่ร.5 ทรงสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระราชมารดา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งได้เสด็จสวรรคตตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ โดยออกแบบสร้างให้พื้นที่ตรงส่วนกลางเป็นส่วนของพุทธาวาสมีเพียงพระอุโบสถ ไม่มีการสร้างวิหาร และเจดีย์ ภายในวัด ขนาบข้างด้วยส่วนที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์ หรือ สังฆาวาส นอกจากนี้ พื้นที่ด้านหลัง ยังโปรดให้สร้างสุสานหลวงไว้ภายในวัด เพื่อใช้เป็นฌาปนสถานสำหรับพระราชวงศ์ซึ่งไม่ได้สร้างพระเมรุฯ ที่ท้องสนามหลวงและสำหรับชนทุกชั้นด้วย

พระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ฯ มีความงดงามทางสถาปัตยกรรม และมีขนาดที่ใหญ่มาก ภายในอุโบสถ เราจะถูกสะกดสายตาด้วยฉากความงามตรงหน้าของพระประธานที่ประดิษฐานอยู่ในพลับพลา บนฐานชุกชีสูงครึ่งหนึ่งของพระอุโบสถ ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในประเทศ จึงทำให้ชุดเครื่องตั้งพระประธานทั้งหมดสูงเทียมเพดาน อันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่พบในที่อื่นใด และไม่อาจละสายตาเมื่อแหงนหน้าขึ้นไปพบกับความวิจิตรตระการตาของเพดานที่ประดับลายสลักเป็นรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์แบบเต็มเพดาน ขณะที่ผนังก็ประดับเป็นลวดลายดอกรำเพยไว้อย่งางงดงามตา ซึ่งคล้องกับชื่อที่ร.4 โปรดใช้เรียกสมเด็จพระเทพศิรินทราฯ ว่า “แม่รำเพย” นั่นเอง

จากนั้น เราเดินทางต่อไปยังวัดโสมนัสราชวรวิหาร และวัดมกุฏกษัตริยาราม วัดเก่าแก่ทั้งสองแห่งนี้ถูกสร้างเคียงคู่กันในสมัยรัชกาลที่ 4 เดิมมีพื้นที่ติดกัน แต่ในภายหลังมีการตัดถนนราชดำเนินกลาง คั่นแยกพื้นที่ของวัดทั้งสองแห่งออกจากกัน สำหรับการออกแบบก่อสร้างวัดทั้งสองนี้ก็เป็นไปตามรูปแบบนิยมกัน คือ มีการสร้างครบทั้งพระวิหาร เจดีย์ และอุโบสถ โดยพื้นที่ส่วนของพระอุโบสถ พระวิหาร และ พระเจดีย์ และระเบียงคดของทั้งสองวัด ปกติจะไม่เปิดโดยทั่วไป นอกจากเวลาทำวัตร หรือ มีกิจกรรมวันพระ หรือ พิธีสำคัญเท่านั้น ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เดินชมความงามของวัดทั้งสองนี้กันอย่างเต็มที่

วัดโสมฯ ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม แขวงโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ เป็นวัดที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างเพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแก่ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระอัครมเหสีพระองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ต้นรัชกาล ภายในพระอุโบสถ ตกแต่งฝาผนังเป็นลวดลายภาพจากเรื่องอิเหนา และเป็นที่ประดิษฐานของ พระสัมพุทธโสมนัสวัฒนาวดีนาถบพิตร พระประธานที่มีความงดวามยิ่ง นอกจากนี้ยังมี พระพุทธรูปยืนทรงเครื่องประดิษฐานคู่กัน 2 องค์ คือ พระพุทธรูปฉลองพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และ พระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี ตั้งอยู่บริเวณผนังด้านหลังพระวิหารอีกด้วย และอีกความโดดเด่น่ของวัดนี้ คือ เจดีย์ทองขนาดใหญ่สูง 55 เมตร ปิดกระเบื้องโมเสคสีทองทั้งองค์ รูปทรงแบบลังกา ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย

อีกจุดเด่นของวัดโสมฯ คือ ส่วนของระเบียงคด ที่สร้างทอดยาวล้อมรอบเจดีย์ทอง ซึ่งมีความเป็นระเบียบ สบายตายิ่ง โดยจะมีพระพุทธรูปปางสมาธิตั้งคั่นระหว่างพระพุทธรูปปางอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ตลอดทาง ใช้เป็นสถานที่สำหรับเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือเดินเวียนเทียนในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

และส่งท้ายทริปที่ประทับใจนี้ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ กับการเปิดให้เข้าชมพระตำหนักพิพิธภัณฑ์แบบเอ็กคลูซีพ จนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่ในท่ามกลางกรุสมบัติ ของล้ำค่านับไม่ถ้วน พร้อมฟังการบรรยายของอ.ไพศาลย์ ซึ่งเป็นนักสะสมของเก่าตัวยงคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เทคนิคภาพพิมพ์หิน สภาพสมบูรณ์มาก, พระบรมรูปหล่อร. 5 ทั้งแบบฐานเหลี่ยม และฐานกลม ที่หายาก และมีราคา ซึ่งหล่อจากโรงงานในฝรั่งเศสแห่งเดียวกับที่หล่อพระบรมรูปทรงม้า , กรุตาลปัดสำคัญในโอกาสพิธีต่างๆ ของทางราชสำนัก, ถ้วย จานชามโบราณ และวัตถุมีค่าอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งปกติแล้ว พิพิธภัณฑ์ที่นี่ ยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ ต้องทำเรื่องขออนุญาตเป็นครั้งๆไป

หลังจากนั้น เราใช้เวลาที่เหลือกับการชมความงามของพระวิหาร ที่มีลายพระมหามงกุฏอันเป็นตราประจำรัชกาลที่ 4 ประดับอยู่ที่หน้าบันและด้านบนของซุ้มประตูและหน้าต่าง และเดินชมระเบียงคต ซึ่งใต้ฐานพระพุทธรูปรอบระเบียง เป็นที่บรรจุอัฐิของราชสกุลที่สืบเนื่องมาจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

จบทริปไปด้วยความอิ่มเอมใจ พร้อมกับความประทับใจในเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของเนื้อหาความเป็นมาของวัดทั้งสามที่มีความเกี่ยวโยงกัน และถ่ายทอดออกมาได้ดีและน่าสนใจยิ่ง

ขอบคุณ ข้อมูลจาก เพจรัตนโกสิเนหา

TB-CERT ยืนยัน ไม่สามารถใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน

0

ศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ออกหนังสือชี้แจงกรณีที่มีข่าวการดูดเงินเพียงการโทรพูดคุย 2 นาที โดยไม่ต้องกดลิงก์ว่า ปัจจุบันธนาคารไม่มีการใช้เสียงในการยืนยันตัวตนเพื่อโอนเงิน ดังนั้นเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงและยังไม่พบเหตุการณ์ความเสียหายเกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก

ระบบของธนาคารมีการป้องกันและพัฒนาการพิสูจน์ยืนยันตัวตนอย่างต่อเนื่อง เช่น มาตรการให้ยืนยันตัวตนผ่านการสแกนหน้า ควบคู่กับข้อมูลส่วนบุคคล และรวมถึงการกำหนดวงเงินในการทำธุรกรรม

นอกจากนี้ TB-CERT ภายใต้สมาคมธนาคารไทย รวมถึงธนาคารสมาชิก ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection) ของลูกค้าทุกคน พร้อมปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการธนาคาร และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและประชาชน

อย่างไรก็ดี ประชาชนต้องพึงระวัง

1. ไม่ดาวน์โหลด รวมถึงกดลิงก์ใด ๆ โดยเฉพาะจากบุคคลที่ไม่รู้จัก

2. ไม่สแกนหน้ากับโปรแกรมจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากแหล่งที่ได้รับการควบคุมและรับรองความปลอดภัยจากผู้พัฒนาระบบปฏิบัติการที่เป็น Official Store

3. เมื่อรู้ตัว หรือสงสัยว่ากำลังคุยกับมิจฉาชีพ ไม่แนะนำให้คุยต่อ เพราะอาจจะหลงเชื่อมิจฉาชีพ เนื่องจากมิจฉาชีพอาจจะมีข้อมูลจริงทำให้พูดคุยแล้วยิ่งหลงเชื่อ

4. หากสงสัย ให้โทรสอบถามที่เบอร์ทางการของหน่วยงานโดยตรง

หากลูกค้าธนาคารพบธุรกรรมผิดปกติเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว หรือมีข้อสงสัย ขอให้ติดต่อคอลเซ็นเตอร์ หรือสาขาของธนาคารที่ลูกค้าใช้งานทันที หรือ ติดต่อ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของการทำธุรกรรม โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

ตลท. จัดสัมมนา “SET Sustainability Forum1/2024: Grounding Greater Governance for Good” 15 ก.พ.นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญผู้ประกอบการและผู้สนใจร่วมสัมมนา  SET Sustainability Forum 1/2024 หัวข้อ “Grounding Greater Governance for Good” รับฟังมุมมองความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดีอันเป็นรากฐานสำคัญทั้งต่อการพัฒนาธุรกิจและการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานอนุกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน และอนุกรรมการกฎหมาย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปาฐกถาพิเศษ  “Grounding Greater Governance for Good” และการบรรยายโดย Helena Fung Head of Sustainable Finance and Investment, Asia Pacific, London Stock Exchange Group (LSEG)  หัวข้อ “Re-examining the Importance of Governance in Corporate Sustainability and ESG Investing” ถึง  Global Sustainable Investment Trend ในปีนี้

นอกจากนี้ ยังมีเสวนาอีก 2 ช่วง โดยช่วงแรก “Rebuilding Trust: The Rise of Governance in Investment Decisions and Corporate Sustainability ” แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ในการลงทุนอย่างยั่งยืน ผ่านมุมมองผู้ใช้ข้อมูล และช่วงที่สอง “Communicating Greater Governance through Responsible Data ” แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ผ่านมุมมองผู้ให้ข้อมูล ผู้ลงทุนรุ่นใหม่ หน่วยงานกำกับดูแล รวมถึงแนวทางการตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสียในทุกมิติ งานสัมมนา SET Sustainability Forum 1/2024 หัวข้อ “Grounding Greater Governance for Good”กำหนดจัดขึ้นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.00-17.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://shorturl.at/pzO48  ไม่มีค่าใช้จ่าย