Home Blog Page 111

ซีพีเอฟ เปิดกระบวนการผลิตไส้กรอกซีพี ปลอดภัย มาตรฐานระดับโลก

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ย้ำกระบวนการผลิตไส้กรอกซีพี ได้มาตรฐานระดับสากล ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง ตรวจสอบย้อนกลับได้ มั่นใจไส้กรอกซีพีทุกชิ้น มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค

นายเกริกพันธุ์ ดีประเสริฐ ผู้อำนวยการ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป บริษัท ซีพีเอฟ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ จำกัด กล่าวว่า ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตไส้กรอกปลอดภัยควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่อง “คุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร” โดยกระบวนการผลิตใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้มาตรฐานระดับโลก ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต สร้างหลักประกันความปลอดภัย มั่นใจในคุณภาพสินค้าทุกชิ้น สะอาด ปลอดภัย ส่งต่อสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภค

“ไส้กรอกซีพี คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพสูง เนื้อไก่เป็นส่วนอกและเนื้อน่อง ปราศจากฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ส่วนเนื้อหมู คัดเนื้อชิ้นใหญ่แบบเต็มชิ้น ปราศจากสารเร่งเนื้อแดง จัดเก็บรักษาควบคุมอุณหภูมิอยู่ที่ 0-4 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ป้องกันและยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรค และให้คงความสดตลอดการขนส่งจากฟาร์มถึงโรงงานผลิต สู่กระบวนการผลิตอัตโนมัติแบบต่อเนื่องตลอดสายการผลิต และมีการควบคุมอุณหภูมิในทุกขั้นตอน ให้อยู่ในระดับต่ำที่ 0-12 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาคุณภาพสินค้าให้คงสดใหม่และปลอดภัย ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย” นายเกริกพันธุ์ กล่าว

ซีพีเอฟ ยังใช้เทคโนโลยีการเบิกจ่ายเนื้อสัตว์ด้วยระบบ Radio – Frequency Identification ที่สามารถระบุข้อมูลวัตถุดิบเนื้อสัตว์ รวมถึงจัดเรียงลำดับการใช้ก่อนหลัง และตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบตั้งแต่ต้นทางได้ เพื่อนำเนื้อสัตว์เข้าสู่ขั้นตอนตรวจจับโลหะก่อนนำเข้าเครื่องบด เป็นการตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อน แม้เป็นเศษโลหะชิ้นเล็ก พร้อมนำมาผสมกับเครื่องปรุงที่คัดสรรมาอย่างดีเพื่อขึ้นรูปอัดแท่ง และรมควันด้วย “ระบบรมควันแบบปิด” โดยนำเทคโนโลยีในการดักแยกสารทาร์ (TARs) ออกจากไส้กรอกมาใช้ (TARs เป็นสารหนักจากควันที่มีองค์ประกอบของสารก่อมะเร็ง) และตรวจสอบซ้ำในห้องแล็บ สร้างความมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างปลอดจากสารทาร์ 100%

นอกจากนี้ เข้าสู่กระบวนการทำให้ไส้กรอกสุกด้วยเครื่องอบไอน้ำ ที่อุณหภูมิใจกลาง 79 องศาเซลเซียส (อุณหภูมิใจกลาง คืออุณหภูมิจุดกึ่งกลางของชิ้นอาหารซึ่งเป็นจุดที่ร้อนช้าที่สุด) เพื่อให้มั่นใจว่าไส้กรอกจะสุกที่อุณหภูมินี้อย่างทั่วถึง จากนั้นนำไปผ่านน้ำเย็นและลมเย็นลดอุณหภูมิให้เหลือ 0-4 องศาเซลเซียส เพื่อรักษาอุณหภูมิที่ปลอดภัยต่อการบริโภค

“ไส้กรอกซีพี ไม่ใช้สารกันเสีย ไม่ใช้สารไนเตรต สารบอแรกซ์ ดินประสิว และส่วนผสมที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย รวมทั้งควบคุมการใส่ ‘เกลือไนไตรต์’ ให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด โดยกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้เพื่อยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียที่สร้างสารพิษ โดยมีการตรวจสอบในห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากลอย่างเข้มงวด ตลอดจนควบคุมปริมาณโซเดียมให้อยู่ในเกณฑ์ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนด เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค” นายเกริกพันธุ์ กล่าว

สำหรับขั้นตอนการบรรจุไส้กรอกลงบรรจุภัณฑ์ เป็นระบบซีลสุญญากาศแนบกับชิ้นไส้กรอก ด้วยบรรจุภัณฑ์ชนิดเทอร์โมฟอร์มแบบฟิล์มหลายชั้น (Multi-layer thermoform film) ป้องกันการซึมผ่านของออกซิเจน ช่วยรักษาความสดใหม่และคุณภาพของไส้กรอกไว้ได้ตลอดอายุการเก็บรักษา โดยไม่ต้องใช้สารกันเสีย และอุ่นร้อนกับไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้ก่อนส่งผลิตภัณฑ์ไส้กรอกสู่ผู้บริโภคต้องผ่านขั้นตอนตรวจสอบคุณภาพของสินค้าและการตรวจจับโลหะอีกครั้ง

นายเกริกพันธ์ แนะนำว่า การเลือกซื้อไส้กรอกอย่างปลอดภัย ผู้บริโภคควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่บรรจุภัณฑ์ปิดสนิทไม่ฉีกขาด มีฉลากระบุ วันผลิต วันหมดอายุ และสถานที่ผลิตอย่างชัดเจน สังเกตเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น เครื่องหมาย GMP GHP HACCP ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่าโรงงานผ่านการรับรองคุณภาพในการผลิตอาหารมีความปลอดภัย รวมถึงเลขสารบบอาหารและเครื่องหมาย อย.

นอกจากนี้ ขั้นตอนที่สำคัญอีกข้อคือ การเก็บรักษาหลังจากซื้อผลิตภัณฑ์ ควรเก็บรักษาในอุณหภูมิที่มีความเย็นตลอดเวลา ต่ำกว่า 6 องศาเซลเซียส หากยังไม่ได้รับประทานควรปิดให้มิดชิดป้องกันการปนเปื้อนหรือใส่ภาชนะให้สนิทและเก็บในอุณหภูมิดังกล่าว ผลิตภัณฑ์ที่อุ่นร้อนแล้วควรรับประทานในทันที เพื่อป้องกันจุลินทรีย์ก่อโรคที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ ซีพีเอฟให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้บริโภคสูงสุดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

เมืองไทยประกันชีวิต ชวนสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับร่วมกิจกรรม “แลก Smile Point ช้อปฟินเวอร์”

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการส่งมอบความสุขและรอยยิ้มในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญ “แลก Smile Point ช้อปฟินเวอร์” ให้สมาชิกฯ ได้ฟินสุด ๆ  พร้อมความพิเศษรับฟรีคะแนน The1 Point 1,000 คะแนนที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกสาขาทั่วประเทศ  (เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด)

ทั้งนี้ สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถช้อปฟินเวอร์ได้ง่าย ๆ  เพียงร่วมกิจกรรมผ่านการแลกคะแนนบน MTL Click  Application และนำรหัสที่ได้รับจาก Application ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ณ จุดแลกของสมนาคุณศูนย์การค้า ภายในระยะเวลาที่กำหนด  โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. ใช้ 35 Smile Points แลกรับบัตรกำนัล Magic Gift Card มูลค่า 100 บาท  สมาชิก 1 ท่าน แลกรับได้สูงสุด 2 สิทธิ์ / สัปดาห์  จำกัด 6,000 สิทธิ์ ตลอดโครงการ แต่ละสาขามีจำนวนจำกัด ระยะเวลาการใช้สิทธิ์  1 ตุลาคม 2566 – 31 มีนาคม 2567
  2. ช้อปครบรับฟรี คะแนน The1 Point 1,000 คะแนน เฉพาะเดือนธันวาคม 2566 – มกราคม 2567 ทุกวันอังคาร (Pink Day) เมื่อช้อปสินค้าร้านใดๆ ในศูนย์การค้าเซ็นทรัลครบ 1,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ สมาชิก 1 ท่าน แลกรับได้สูงสุด 1 สิทธิ์ / สัปดาห์ / หมายเลข The1 จำกัดสัปดาห์ละ 100 สิทธิ์ระยะเวลาการใช้สิทธิ์ วันที่ 5, 12, 19, 26 ธันวาคม 2566 และ 2, 9, 16, 23, 30 มกราคม 2567

เมืองไทยสไมล์คลับ ยังมีกิจกรรมและสิทธิพิเศษอีกมากมายที่ตั้งใจคัดสรรมาเพื่อให้ตรงตามไลฟ์สไตล์  และความต้องการในปัจจุบันของสังคมตลอดทั้งปี โดยลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิต สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถติดตามกิจกรรม และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ MTL Click Application ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android หรือเว็บไซต์ www.muangthai.co.th ตลอดจนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 1766 กด 4 เมืองไทยประกันชีวิต หรือศูนย์บริการลูกค้าทั่วประเทศ

“ธนูลักษณ์” ปลื้ม​ ยอดจองหุ้นกู้ 500 ล้านบาทขายหมดเกลี้ยง นักลงทุนเชื่อมั่นทิศทางธุรกิจและฐานเงินทุนแกร่ง

0

“ธนูลักษณ์” (TNL) ปลื้ม ยอดจองหุ้นกู้ล้นหลาม ผลตอบรับจากนักลงทุนดีตามคาด ต้องเพิ่มวงเงินหุ้นกู้ อีก 200 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท ขายหมดเกลี้ยง!! หลังนักลงทุนให้ความเชื่อมั่นในทิศทางธุรกิจและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มั่นใจเดินหน้าลุยธุรกิจให้บริการการเงินเต็มพิกัด

น.ส.สุธิดา จงเจนกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนูลักษณ์ จำกัด (มหาชน) (TNL) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2566  ที่ผ่านมา โดยแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ปรากฏว่าได้การตอบรับจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม มีนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ เสนอความต้องการซื้อเข้ามาจำนวนมาก ทำให้บริษัทได้ตัดสินใจ เพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ โดยนำหุ้นกู้สำรองมาเสนอขายเพิ่มจำนวน 200 ล้านบาท รวมเป็น 500 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการการขายเสร็จสิ้นแล้ว

สำหรับวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายพอร์ตสินเชื่อ และใช้ในการจัดหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย จำนวน 400-500 ล้านบาท และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวนไม่เกิน   100 ล้านบาท  

TNL ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่าน ที่ให้ความไว้วางใจจองซื้อหุ้นกู้ TNL ทำให้การระดมทุนออกหุ้นกู้ประสบความสำเร็จอย่างดี โดยสาเหตุที่นักลงทุนให้การตอบรับการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรกของบริษัทในครั้งนี้ เพราะมีความมั่นใจในความน่าเชื่อถือของบริษัท และความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน ที่สำคัญยังมีความมั่นใจในทิศทางธุรกิจของบริษัท หลังมีการปรับโครงสร้างองค์กร และปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ โดยสยายปีกเข้าไปทำธุรกิจให้บริการทางการเงิน และอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ซึ่งเป็นการเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ หรือ New Engines มาเสริมทัพธุรกิจเดิมให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน”

น.ส.สุธิดา กล่าวต่อว่า หลังจากนี้ บริษัทจะเดินหน้ารุกธุรกิจให้บริการทางการเงินอย่างเต็มที่ ทั้งธุรกิจให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่มีหลักประกัน (Secured Lending) และธุรกิจบริหารจัดการสินทรัพย์ (AMC) โดยซื้อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีหลักประกันจากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ รวมทั้งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate for Sale) ที่เป็นการลงทุนในบริษัทร่วมทุน (JV) กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE) ขณะที่ยังคงดำเนินธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญที่ยังสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง

“ปัจจุบัน TNL มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (SPI) และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (BTSG) โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 ราย มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะส่งเสริมให้ TNL เป็นองค์กรที่พร้อมเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในธุรกิจใหม่นี้ ขณะที่บริษัทยังมีทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ยาวนานในกลุ่มธุรกิจการเงินที่เป็นธุรกิจใหม่ ที่จะร่วมเป็นพลังผลักดันให้ TNL เป็นผู้เล่นที่สำคัญในธุรกิจนี้ในอนาคต” น.ส.สุธิดากล่าว 

ทั้งนี้ ณ 30 มิถุนายน 2566  TNL มีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 10,288 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำเพียง 0.18 เท่า การออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ยังอยู่ในวิสัยที่ไม่เกินความสามารถของบริษัท

AIS Go Green สานต่อภารกิจสร้างกำแพงกรองฝุ่นปลูกต้นไม้ล้านต้นกับกรุงเทพฯ ปลูกต้นไม้กว่า 7.5 หมื่นต้น

0

AIS ตอกย้ำเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน มุ่งสร้าง Green Network ในทุกมิติ เพื่อร่วมสร้างสังคมไทยให้น่าอยู่และเป็นพื้นที่แห่งความสุขด้วยสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีและช่วยแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผ่านโครงการ AIS Go Green โดยสานต่อความร่วมมือในการปลูกต้นไม้ร่วมกับกรุงเทพมหานครอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้สนับสนุนการปลูกต้นไม้ให้แก่กรุงเทพมหานครแล้ว 75,000 ต้น กับเป้าหมายการปลูก 100,000 ต้น ภายใน 4 ปี เพื่อเป็นกำแพงกรองฝุ่น ลดมลพิษ ดูดซับกลิ่น เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างความร่มรื่นและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กรุงเทพมหานคร

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “การดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นหนึ่งในเป้าหมายการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนของ AIS เราจึงได้ร่วมภารกิจปลูกต้นไม้ล้านต้น ตามนโยบายของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผ่านโครงการ AIS Go Green โดยปีที่ผ่านมา ได้สนับสนุนการปลูกต้นไม้ไปแล้ว 25,000 ต้นกับเป้าหมายการปลูกต้นไม้ให้ครบ 100,000 ต้นภายใน 4 ปี ซึ่งได้ส่งมอบและปลูกต้นไม้ในพื้นที่เป้าหมายของกทม.แล้วในหลายพื้นที่ ได้แก่ สวนวชิรเบญจทัศ, ศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์โคกหนองนา พุทธมณฑล สาย 3, โรงกำจัดขยะหนองแขม, พื้นที่สวนสาธารณะของสำนักงานเขตพญาไท

สำหรับในปีนี้ AIS ได้ส่งมอบต้นกล้าไม้เพิ่มเติมให้แก่ กรุงเทพมหานคร อีกจำนวน 50,000 ต้น 10 สายพันธุ์ ประกอบด้วย ต้นมะฮอกกานี ต้นแคนา ต้นยางนา ต้นประดู่บ้าน ต้นกระถินพา ต้นกฤษณา ต้นมะค่าโมง ต้นกระโดน ต้นกัลปพฤกษ์ และต้นตะเคียนทอง ซึ่งเป็นต้นกล้าไม้ที่เพาะปลูกโดยกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่สำนักงานเขตหนองจอก จากโครงการผลิตกล้าไม้เพื่อปลูก สู่ล้านต้น โดยจะนำไปปลูกในพื้นที่จัดสรรของกรุงเทพมหานคร ที่โรงกำจัดขยะหนองแขม และที่ศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์โคกหนองนา พุทธมณฑล สาย 3 เพื่อเป็นกำแพงกรองฝุ่น ช่วยลดมลพิษ ดูดซับกลิ่น และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีให้ชุมชนโดยรอบ

สำหรับการร่วมมือกับกรุงเทพมหานครครั้งนี้ นอกจากจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นช่วยลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ และดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร ตามนโยบายด้านเศรษฐกิจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ AIS” นายสมชัย กล่าวทิ้งท้าย

จ.เชียงใหม่ จับมือ องค์กรภาครัฐ และ กรุงเทพโปรดิ๊วส สร้างเครือข่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พิชิตหมอกควัน-ฝุ่น PM 2.5

0

จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับองค์กรภาครัฐ และ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ บีเคพี ภายใต้กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ผู้จัดหาวัตถุดิบหลักทางการเกษตรให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดตัว โครงการ “Partner to Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน” สนับสนุนคู่ค้าผู้รวบรวมและจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เครือข่ายของบีพีเค ในเขตภาคเหนือ ใช้ข้อมูลจากระบบตรวจสอบย้อนกลับและภาพถ่ายดาวเทียมติดตามการเผาแปลง และร่วมดูแลห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ปลอดการเผาตอซัง

โดยได้รับเกียรติจาก นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด และมีนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมทั้ง ผู้บริหารกรมวิชาการเกษตร กรมควบคุมมลพิษ และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และคู่ค้าพันธมิตรในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือ ร่วมงาน ณ โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จังหวัดเชียงใหม่

นายนิรัตน์ กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ให้ความสำคัญสูงสุดหมอกควันแลทุกภาคส่วนอย่างเต็มกำลัง ในการจัดการสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM 2.5 และโครงการ “Partner to Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน” เป็นความร่วมมือขององค์กรเอกชนที่นำเทคโลยีภาพถ่ายดาวเทียมในการตรวจจุดความร้อน เข้ามาช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายในภาคการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อจัดการปัญหาฝุ่นละอองในระยะยาว สอดคล้องกับนโยบายจัดการปัญหาฝุ่นควันในภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนของรัฐบาล และจังหวัดเชียงใหม่

“ปัญหาฝุ่นละออง เป็นปัญหาระดับชาติ ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชนและประชาสังคมผนึกกำลังลงมือทำอย่างจริงจัง อย่างที่บีเคพีริเริ่มโครงการเพื่อลดการเผาในภาคการเกษตร เชื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าว

ด้าน นายไพศาล เครือวงศ์วานิช ประธานคณะผู้บริหาร บีเคพี กล่าวว่า บีเคพีเป็นบริษัทแรกของไทยที่นำระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้ในการจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตั้งแต่ปี 2559 และเพื่อให้ระบบตรวจสอบย้อนกลับของซีพีเป็นต้นแบบอุตสาหกรรม รวมถึงการจัดการกับปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงพ่อค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เข้ามาช่วยดูแลเกษตรกรและแปลงข้าวโพดในห่วงโซ่อุปทานของซีพี โดยใช้ประโยชน์จากข้อมูลจุดความร้อนจากดาวเทียม ช่วยลดปัญหาการเผาตอซัง

“บีเคพีจะขยายผลการดำเนินโครงการฯ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในปี 2566 นี้ โดยบริษัทฯ จะแบ่งปันข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจุดความร้อนในพื้นที่รับซื้อข้าวโพด เพื่อให้คู่ค้าเป็นเครือข่ายติดตามแปลงเพาะปลูกที่ยังมีการเผา หากพบว่าเกษตรกรรายใดมีการเผาแปลง ทางบริษัทและคู่ค้าพร้อมร่วมมือกันเข้าไปดูแล ให้ความรู้และคำแนะนำ เพื่อให้เกษตรกรร่วมมืองดการเผาตอซัง และหาวิธีการจัดการที่เหมาะสมทดแทน” นายไพศาล กล่าว

ภายในงาน บริษัทฯ ยังร่วมมือกับ กรมวิชาการเกษตร กรมควบคุมมลพิษ และ GISTDA จัดอบรมสัมมนา ถึงสถานการณ์ ฝุ่น PM 2.5 ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. … และแนวทางการปรับตัวขององค์กรธุรกิจและภาคประชาชน ตลอดจนการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับควบคู่กับระบบติดตามการเผาแปลง

โครงการ “Partner to Green คู่ค้าข้าวโพดพันธมิตร พิชิตหมอกควัน” เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของเครือซีพีในสร้างความร่วมมือระหว่างคู่ค้าของบริษัทฯ เพื่อร่วมจัดการกับปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง ซึ่งเป็นวาระสำคัญของประเทศ พร้อมกับการพัฒนาขีดความสามารถคู่ค้าพันธมิตรในกระบวนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อโลก และสนับสนุนเครือซีพีและบริษัทในเครือฯ ให้บรรลุเป้าหมาย Net-Zero ในปี 2050

AIS โชว์ผลงานไตรมาส 3/2566 เติบโตแข็งแกร่งทั้ง มือถือ – เน็ตบ้าน – และบริการลูกค้าองค์กร เปิดรายได้ 9 เดือนแรก 1.3 แสนล้านบ.

0

AIS รายงานผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ทำรายได้ 137,555 ล้านบาท โต 0.6% จากปีที่ผ่านมา และมีกำไร 22,084 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% นับเป็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่วันนี้มีผู้ใช้บริการ 5G รวมกว่า 8.5 ล้านราย โตพุ่งถึง 54% ทางด้านธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอย่าง AIS Fibre ก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมสามารถโกยลูกค้ารวมทะลุ 2.38 ล้านราย ในส่วนของธุรกิจบริการลูกค้าองค์กรสามารถส่งมอบนวัตกรรมและโซลูชันที่ตอบโจทย์องค์กรภาคธุรกิจไปจนถึงผู้ประกอบการ SME ทั้งบริการดิจิทัล ICT คลาวด์ Data Center โดยสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระดับ 14% จากไตรมาสที่ผ่านมา โดย AIS ยังคงเดินหน้าลงทุนในการเพิ่มขีดความสามารถของโครงข่ายที่ 27,000-30,000 ล้านบาท เพื่อยกระดับประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุด ให้กับลูกค้าและภาคอุตสาหกรรม พร้อมก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลกทั้งผลกระทบต่อด้านความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้แต่สถานการณ์วิกฤตของภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีนที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการบริโภคและการใช้จ่ายเดินทางของชาวจีนที่ลดลง ทำให้ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเราต้องปรับวิธีการทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยเร่งพัฒนาโครงข่ายให้มีความอัจฉริยะสามารถตอบสนองการใช้งานได้แบบเรียลไทม์ มีความเข้าใจลูกค้าแบบ Personalization มากยิ่งขึ้น ส่งผลทำให้ AIS ทำผลการดำเนินงานออกมาได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ จากตัวเลขรายได้และกำไรที่มีการเติบโตขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

ผลประกอบการของ AIS ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ทำรายได้รวมอยู่ที่ 46,069 ล้านบาท ลดลง 0.4% จากปีก่อน แต่เติบโต 2.9% จากไตรมาสก่อน ทางด้านกำไรสุทธิที่ระดับ 8,146 ล้านบาท เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 35% จากปีก่อน และ 13% จากไตรมาสที่ผ่านมา สำหรับกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เท่ากับ 23,674 ล้านบาท เติบโต 7.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่งวด 9 เดือน AIS ก็ทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมโดยมีรายได้รวม 137,555 ล้านบาท เติบโต 0.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ระดับ 22,084 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18% โดยมีผลการดำเนินงานแยกตามรายธุรกิจดังนี้

• ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำรายได้เติบโตขึ้น 0.7% จากปีก่อน โดยมีผู้ใช้บริการ 5G รวมแล้วกว่า 8.5 ล้านราย เติบโตขึ้นถึง 54% จากปีก่อน อีกทั้งโครงข่าย AIS 5G ยังคงครองตำแหน่งผู้นำเครือข่ายมือถือ 5G ถึงมาตรฐานและคุณภาพสัญญาณของเครือข่ายที่เร็วที่สุดในไทย จาก Ookla® ผู้ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตที่มีผู้นิยมใช้งานทั่วโลก
• ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้ที่ 19% จากปีก่อน และเติบโตต่อเนื่อง 5.8% จากไตรมาสก่อนด้วยเช่นกัน ด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพของโครงข่ายเน็ตบ้านและการให้บริการที่เหนือกว่า ผ่านการส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในบ้านของลูกค้าทุกรูปแบบตามเป้าหมาย Digital Experience for Thais ทำให้ AIS Fibre ได้รับความไว้วางใจมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 52,000 รายต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนและมีฐานลูกค้ารวมกว่า 2.38 ล้านราย
• ธุรกิจบริการลูกค้าองค์กร เติบโต 14% จากไตรมาสก่อน และ 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการนำโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่ง พร้อมโซลูชันและบริการด้านดิจิทัล อาทิ ICT คลาวด์ Data Center เข้าเชื่อมต่อกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมหลักทั้ง Smart Manufacturing, Smart Property & Retails และ Smart Transportation & Logistics ตอกย้ำเป้าหมายสร้างการเติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน

นายสมชัย กล่าวว่า “ภายใต้การขับเคลื่อนเป้าหมาย Cognitive Tech-Co เรายังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนการดำเนินงานที่ 27,000-30,000 ล้านบาท โดยมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างมาตรฐานให้กับโครงข่ายอัจฉริยะ ที่จะเป็นต้นแบบให้กับอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในฐานะผู้นำตลาดตัวจริง ที่จะนำไปสู่การส่งมอบประสบการณ์ดิจิทัลที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และเป็นฟันเฟืองสำคัญที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง”

รู้เก็บรู้ออม : ระวัง! เพจปลอม

0

ทุกวันนี้ การอยู่รอดปลอดภัยจากมิจฉาชีพนั้น “คุณนายพารวย” อยากจะบอกว่า เป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของเหล่ามิจฉาชีพ ภัยอันตรายสารพัดรูปแบบจึงรุกเข้าหาเราแบบไม่ทันตั้งตัว และออกอุบายใหม่มาหลอกให้หลายคนต้องกลายเป็นเหยื่อ จนเสียทรัพย์สินเงินทอง

เดี๋ยวนี้เหล่ามิจฉาชีพปั้นเรื่องเท็จเก่งและแนบเนียน มีทั้งปลอมเสียง ปลอมรูปภาพ ปลอมโปรไฟล์ ปลอมตัวตน จนยากที่จะแยกได้ว่าอันไหนของจริงของปลอม ถ้าเราๆท่านๆ ไม่มีสติ คิดแยกแยะ หรือไม่ติดตามข้อมูลข่าวสาร บอกตรงๆ คงรอดยาก

ตลาดหลักทรัพย์ฯเอง ก็เช่นเดียวกับหลายองค์กรที่โดนแอบอ้างชื่อ โลโก้ และผู้บริหาร ไปใช้หลอกลวงผู้คน จนต้องออกมาเตือนภัยประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงต่างๆ ทั้งดำเนินการเอง และร่วมมือกับองค์กรอื่น

โครงการ “ร่วมมือจับปลอมหลอกลงทุน” เกิดจากความร่วมมือของตลาดหลักทรัพย์ฯกับหลายองค์กรพันธมิตรในแวดวงตลาดทุน คือ ก.ล.ต., สภาธุรกิจตลาดทุนไทย, สมาคมธนาคารไทย, สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย, สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ, สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย, สมาคมบริษัทจัดการลงทุน, กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน และยังร่วมกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย, กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ตรวจสอบและชี้เป้าข่าวปลอม ตลอดจนรณรงค์เตือนประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้วยสติ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกลงทุน

ประชาชนเห็นความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ แบบนี้แล้ว ย่อมรู้สึกสบายใจ แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ “คุณนายพารวย” คงต้องขอให้พวกเราเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะ ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ออกมาเตือนให้ระวังอย่าหลงเชื่อ ขอความร่วมมือไม่ส่ง/แชร์ต่อ เพจปลอมโครงการ “ร่วมมือจับปลอมหลอกลงทุน” ที่มิจฉาชีพได้แอบอ้างชื่อ โลโก้ ภาพสถานที่ ภาพผู้บริหารของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลอดจนภาพบุคคลในตลาดทุนและบุคคลมีชื่อเสียง เพื่อหลอกลวงให้หลงเชื่อและให้ส่งข้อมูลความเสียหายจากการถูกโกง ซึ่งอาจเผลอส่งข้อมูลส่วนตัวให้เพจปลอมนี้

โครงการ “ร่วมมือจับปลอมหลอกลงทุน” ของจริงนั้นเป็นรูปแบบการดำเนินงานด้านการให้ความรู้กับประชาชนให้รู้ทันมิจฉาชีพ ตีแผ่กลโกงรูปแบบต่างๆ และแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเพจปลอม

ดังนั้น หากเราไปเจอเพจที่แอบอ้างถึงโครงการนี้ แล้วพยายามชักชวนให้เรากรอกหรือส่งข้อมูลส่วนตัว ตลอดจนทำธุรกรรม คิดไว้ก่อนเลยว่า เป็นเพจปลอม และเรากำลังโดนหลอกอยู่

ถึงขนาดมิจฉาชีพใช้วิธีปลอมเพจโครงการ “ร่วมมือจับปลอมหลอกลงทุน” มาหลอกกันแล้ว ประชาชนก็คงต้องงัดตำราสู้เพื่อป้องกันตัวเอง ไม่ว่าจะการใช้สติ เช็กให้ชัวร์ก่อนเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตจำนวนคนติดตาม และระยะเวลาที่เปิดเพจ ซึ่งพวกเพจปลอมส่วนใหญ่ จะมีคนติดตามไม่มาก และเปิดเพจมาได้ไม่นาน

มีข้อสงสัยหรืออยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “ร่วมมือจับปลอมหลอกลงทุน” หรือแจ้งเบาะแสเพจโครงการปลอม สามารถติดต่อได้ที่ www.set.or.th หรือช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆของตลาดหลักทรัพย์ฯ และเบอร์ SET Contact Center 0-2009-9999.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

‘ไอซ์ พาดี้’  กับบทบาทของการเป็นคุณแม่มือใหม่ พร้อมเปิดประสบการณ์ผ่านประกันชีวิต

0

เมืองไทยประกันชีวิต รุกแคมเปญ True Story “Whole Life” เมืองไทยประกันชีวิตเข้าใจทุกชีวิต ถ่ายทอดเรื่องจริงจากหลากหลายกลุ่มคนในสังคม ที่พร้อมมาบอกเล่าความประทับใจ ความสุข ความสมหวัง และความรัก  เหตุผลที่อยากส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิตจาก “เมืองไทยประกันชีวิต” ให้กับคนที่รักและห่วงใย   ซื้อประกันชีวิตเพื่ออนาคตมั่นใจ ที่พร้อมให้ครอบครัวเดินหน้าต่อไปได้ แม้ในวันที่เราจากไป เปิดตัวเรื่องแรกประทับใจคุณแม่มือใหม่ ไอซ์ พาดี้

ไอซ์ พาดี้ หรือ ไอซ์ – ภาวิดา ชิตเดชะ Content Creator & Ceo of Happy Sunday ที่ในขณะนี้หลายคนรู้จักเธอกันในหลายบทบาท โดยมีผู้ติดตามจำนวนมากบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง การทำอาหาร การเลี้ยงลูก โดยสไตล์ชีวิตที่เป็นกันเองหลายคนเรียกเธอว่า “ครูไอซ์” เนื่องจากเธอมักแชร์ความรู้เกี่ยวกับความสวยความงาม และประสบการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงาน และการท่องเที่ยว ให้แก่ผู้ติดตามได้เรียนรู้ไปด้วยกัน

แต่ในอีกมุมของไอซ์ พาดี้ตอนนี้มีอีกหนึ่งบทบาทใหม่  ก็คือเป็นคุณแม่ ไอซ์พูดถึงบทบาทนี้ว่า “วินาทีที่คลอดน้องออกมารู้สึกว่าเป็นอะไรที่พิเศษมาก เป็นความรู้สึกอะเมซิ่ง ครั้งแรกที่ได้กอดเขารู้สึกว่าลูกตัวเล็กจังเลย เขาน่าทะนุถนอม นุ่มนิ่มมาก เรารู้สึกว่า เราสามารถทำทุกอย่างเพื่อดูแลเขาให้ดีที่สุด”     ในโอกาสนี้  ไอซ์พาดี้เล่าถึงประสบการณ์ว่า  “ตั้งแต่มีลูกบทบาทในชีวิตเปลี่ยนไปหมดเลย คือเราโฟกัสการเป็นแม่มาก  เป็นตำแหน่งเป็นหน้าที่ใหม่ ยิ่งใหญ่และรู้สึกมีความสุขมากที่ได้เป็นคุณแม่ ไอซ์ทุ่มเทกับการเป็นแม่อย่างเต็มที่  ลูกคือนำทุกอย่างของเรา  ไอซ์รู้สึกว่านี่คือ first priority ของชีวิต ตอนนี้ทุกอย่างของเราคือเราโฟกัสลูกเป็นหลักอันดับหนึ่งเลยค่ะ”   

บทบาทการเป็นคุณแม่มือใหม่  ไอซ์มีปรับเปลี่ยนความคิด “ตั้งแต่มีลูกไอซ์รู้สึกว่าเรารักตัวเองมากขึ้น ต้องบอกว่าตัวเองเป็นคนที่ดูแลตัวเองดีมากอยู่แล้ว เพราะเป็น beauty blogger แต่พอมีลูกมันทำให้เรายิ่งเป็นห่วงตัวเอง เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่แค่เพื่อเราคนเดียวแล้ว แต่ว่าเราต้องดูแลลูก ถ้าไม่มีเราเขาจะอยู่ยังไง คือมันกลายเป็นพะว้าพะวงกังวลไปหมด เราห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด ชีวิตเรามีค่ามาก  ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมาแล้วใครจะดูแลลูก ใครจะดูแลเขา   เราเป็นโลกทั้งใบของเขา ไม่เคยรู้สึกกลัวตายขนาดนี้มาก่อน ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดเลยนะเนี้ย พอเป็นแม่แล้วรู้สึกว่าชีวิตเรามันมีความหมายมาก รู้สึกว่าเราอยากมีชีวิตให้ได้นานที่สุด เพราะเราอยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด คือไม่รู้ว่าต้องกี่ปีหรือเท่าไหร่ แต่รู้สึกว่าอยากอยู่กับเขาให้นานที่สุด”

สำหรับการมองถึงอนาคตและความมั่นคงของลูก  ไอซ์กล่าวว่า “พอถามว่าต่อไปเขาจะเป็นยังไง รู้สึกว่าเราอยากเห็นเขาโต อยากเห็นเขาทำงาน อยากเห็นเขามีแฟน อยากเห็นเขาแต่งงาน อยากเห็นเขามีลูก รู้สึกว่าเราอยากอยู่กับเขาให้ได้นานที่สุด   แต่อนาคตมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะฉะนั้นการวางแผนอนาคตเพื่อลูกเป็นสิ่งที่ไอซ์ไม่ลังเลเลย คือตัดสินใจได้ง่ายมากเลย เพราะว่าเราทำเพื่อเขา”

“ไอซ์ฝากอนาคตของลูกไว้กับเมืองไทยประกันชีวิต ด้วยประกันชีวิตเพื่อที่ว่าในวันที่เราไม่อยู่ เราจากไปแล้วอยากให้เขามีทุนที่จะซัปพอร์ตฝันของเขา หรือถ้าเขาอยากทำอะไรในวันที่เราไม่อยู่ก็อยากให้เขาสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการได้  ไอซ์เลือกฝากอนาคตของลูก เพื่อส่งต่อหลักประกันที่มั่นคงด้วยประกันชีวิตจากเมืองไทยประกันชีวิต”   ไอซ์กล่าวพร้อมรอยยิ้มกับความมั่นคงครั้งนี้กับเมืองไทยประกันชีวิต

ติดตามชม  True Story “Whole Life” เมืองไทยประกันชีวิตเข้าใจทุกชีวิต

EP1: ไอซ์ – ภาวิดา ชิตเดชะ หรือ ICE PADIE   ได้ที่  Facebook https://fb.watch/nO3fWsNf0A/ และ  Youtube https://www.youtube.com/watch?v=VLjpnv6Yq6c

สิงห์อาสา – หน่วยซีล ร่วมสร้างหลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ ปีที่ 6 เพิ่มทักษะการช่วยชีวิตให้ทีมอาสาฯ

0

สิงห์อาสา โดยมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (หน่วยซีล) สร้างหลักสูตรกู้ภัยทางน้ำต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จัดอบรม “หลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ ประจำปี 2566” ต่อเนื่อง 5 วัน 5 คืน เพื่อเพิ่มทักษะและศักยภาพการกู้ภัยทางน้ำให้แก่อาสาสมัครกู้ภัย ที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 40 คน จาก 20 จังหวัด ได้เรียนรู้ ฝึกฝนภายใต้เหตุการณ์จำลองที่มีลักษณะใกล้เคียงกับความจริงมากที่สุด เช่น การจำลองช่วยเหลือตอนกลางคืน ณ ศูนย์ฝึกสงครามพิเศษทางเรือ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ สัตหีบ จ.ชลบุรี

ทั้งนี้ จากสถิติการเสียชีวิตจากการจมน้ำมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยเพาะจากกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปีทั่วโลกที่มีสถิติสูงถึง 236,000 คน สำหรับในประเทศไทย เมื่อรวบรวมข้อมูลย้อนกลับไป 10 ปี พบว่ามี ผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำกว่า 36,403 คน ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่องค์การอนามัยโลก ถึงขั้นระบุว่าเป็นปัญหาสำคัญทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก

นายอรรถสิทธิ์ พรหมสุข ผู้จัดการฝ่ายงานกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า “ในแต่ละปีสิงห์อาสาได้ร่วมงานกับทีมอาสากู้ภัยในหลายจังหวัด ทำให้ทราบว่าหนึ่งในการช่วยผู้ประสบเหตุที่มีความสำคัญมากคือการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทางน้ำ ซึ่งมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าการเกิดอุบัตเหตุทั่วไป การได้เรียนรู้ทักษะการช่วยเหลืออย่างถูกวิธี ไม่เพียงแค่จะเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตให้กับผู้ประสบเหตุ ยังช่วยทำให้ทีมอาสากู้ภัยได้เข้าช่วยเหลือด้วยความปลอดภัยด้วย ในแต่ละปีเราได้มีการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ บนความต้องการจากสถานการณ์จริง ซึ่งในปีนี้ได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 โดยตลอดหลักสูตร ผู้เข้าอบรมทุกคนจะได้เรียนรู้ตั้งแต่การดำน้ำเบื้องต้นไปจนถึงการช่วยเหลือในทะเลที่มีความซับซ้อนของโจทย์ปัญหามากขึ้นเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ทักษะการให้ความช่วยเหลือที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง”

ทั้งนี้ หลักสูตรกู้ภัยทางน้ำ ถือเป็นหลักสูตรเดียวในประเทศไทย ที่ทางหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ(ซีล) จัดอบรมฝึกทักษะให้ทีมอาสาสมัครกู้ภัย ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการอบรมมาแบบเข้มข้น กับ 2 หลักสูตรใหญ่ ประกอบด้วย 1.กู้ภัยทางน้ำขั้นต้น และ 2.กู้ภัยทางน้ำแบบขั้นแอดวานซ์ โดยระดับแอดวานซ์ จะรับเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ผ่านระดับขั้นต้นมาแล้ว

พลเรือตรี อนันท์ สุราวรรณ์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ อธิบายว่า “หลายครั้งที่หน่วยซีลได้เข้าไปมีส่วนร่วมในภารกิจกู้ภัยท่ามกลางสถานการณ์ภัยพิบัติที่รุนแรง โดยใช้ความรู้ความชำนาญที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อดูแลพี่น้องประชาชนให้ปลอดภัย โดยหน่วยซีลได้เก็บข้อมูลและถอดบทเรียนต่างๆ ไว้เป็นแนวทางรับมือหากเกิดเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน และเป็นที่ทราบดีว่าอาสาสมัครกู้ภัยคือบุคลากรสำคัญที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ในทุกพื้นที่ และจะเป็นกลุ่มแรกที่เข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุได้เร็วที่สุด หลักสูตรกู้ภัยทางน้ำปี 6 จึงได้มีการออกแบบหลักสูตรที่จะยกระดับให้อาสาสมัครกู้ภัยมีความพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ซับซ้อน ซึ่งการอบรมในครั้งนี้อาสาสมัครต้องฝึกปฏิบัติท่ามกลางอุปสรรคปัญหาเสมือนจริงที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก เช่น สภาพแวดล้อมวิกฤติรุนแรง น้ำขุ่นบดบังทัศนวิสัย หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางคืนที่มืดมิด โดยการปิดตาดำดิ่งสู่น้ำลึกและหนาวเย็น ซึ่งหน่วยซีลจะสอนประกบอย่างใกล้ชิดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหลักสูตรใด เพื่อให้อาสาสมัครกู้ภัยสามารถเข้าให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยภายในระยะเวลาอันรวดเร็วและปลอดภัย ให้ทุกคนได้มีโอกาสกลับคืนสู่ครอบครัวอีกครั้ง”

นายตะวัน คงบุญวาสน์ ตัวแทนอาสาสมัครจากหน่วยกู้ภัยอโสกร่องคำ จ.กาฬสินธุ์ เล่าว่า “พื้นที่ปฏิบัติงานของผมครอบคลุมทั้งจังหวัดร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ โดยที่ผ่านมามักพบเจอกับผู้ประสบเหตุทางน้ำจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กจมน้ำในช่วงปิดเทอม รวมทั้งในสถานที่เกิดเหตุไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะพบอุปสรรคใด ที่ผ่านมาอาสาสมัครมักบาดเจ็บจากสิ่งที่อยู่ใต้น้ำ ทั้งกิ่งไม้ อวนดักปลา และกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก การที่ได้เข้าอบรมหลักสูตรทางน้ำในครั้งนี้ มีประโยชน์ต่ออาสากู้ภัยอย่างผมมาก เพราะทำให้ได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ ที่สามารถนำไปช่วยเหลือชีวิตคนในการปฏิบัติภารกิจได้โดยตรง เพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ประสบเหตุ และลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บอีกด้วย

ทั้งนี้ สิงห์อาสา ยังมีโครงการอื่นๆ ที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มทักษะให้แก่อาสาสมัครกู้ภัยและกู้ชีพ ได้แก่ โครงการอบรม “กู้ภัยและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไฟไหม้” ร่วมกับ สาขาวิชาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เพื่อพัฒนาทักษะการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุไฟไหม้ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงการเคลื่อนย้าย-นำส่งจนถึงมือแพทย์อย่างถูกวิธี, “หลักสูตรกู้ชีพอุบัติภัย” ร่วมกับศูนย์กู้ชีพนเรนทร โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อเพิ่มทักษะองค์ความรู้ในการดูแลรักษาชีวิตผู้ประสบเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มอัตราการรอดชีวิตและลดผลกระทบด้านสุขภาพระยะยาว และ “หลักสูตรอสรพิษวิทยา” ร่วมกับเพจ Nick wildlife ผู้เชี่ยวชาญด้านงู เพื่อพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างทักษะความรู้ และความปลอดภัยในการจับงูให้กับกลุ่มอาสากู้ภัยในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนและในสถานการณ์น้ำท่วมที่มักพบเจองูตามบ้านเรือนจำนวนมาก

AIS ลงพื้นที่ร่วมกับ กสทช. กทม. กฟน. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำสายสื่อสารลงใต้ดิน ถ.หลังสวนและสารสิน

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ส่งทีมวิศวกร ร่วมกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรุงเทพมหานคร การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ดำเนินงานตามนำสายสื่อสารบริเวณถนนหลังสวนและถนนสารสินลงใต้ดิน

โดย AIS ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล พร้อมสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนการจัดการสายสื่อสาร โดยเล็งเห็นถึงผลประโยชน์เรื่องของความปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุของประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างทัศนียภาพที่ดีให้กับพื้นที่อีกด้วย