Home Blog Page 11

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลังภาคธุรกิจประกัน จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24

0

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน กองทุนประกันชีวิต และบริษัทประกันชีวิตชั้นนำทั่วประเทศ จัดกิจกรรม “บริจาคโลหิตเพื่อชีวิตเพื่อนมนุษย์” เนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 ประจำปี 2568 เพื่อเชิญชวนบุคลากรในอุตสาหกรรมประกันชีวิต และประชาชนทั่วไป ร่วมกันแสดงพลังความดี ด้วยการแบ่งปันโลหิตซึ่งเป็นของขวัญล้ำค่าต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์

ภายในงาน ได้รับเกียรติจาก นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในธุรกิจประกันชีวิต ร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตอย่างพร้อมเพรียง โดยมี รศ. พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวแสดงความชื่นชม และขอบคุณที่ภาคธุรกิจประกันชีวิตให้การสนับสนุนกิจกรรมอย่างต่อเนื่องโดยเมืองไทยประกันชีวิตได้มอบหมายผู้แทนบริษัทฯ ได้แก่ นายปราโมทย์ ศักดิ์กำจร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และนายศรายุธ  ทินกร ณ อยุธยา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส  พร้อมผู้บริหารฝ่ายขาย ตัวแทน   และพนักงาน เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

กิจกรรมครั้งนี้ตั้งเป้าระดมผู้บริจาคโลหิตทั่วประเทศกว่า 15,000 ราย คาดว่าจะจัดหาโลหิตสำรองได้ไม่น้อยกว่า 6,000,000 ซีซี เพื่อนำไปใช้รักษาผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ที่ต้องได้รับโลหิตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยผ่าตัด อุบัติเหตุรุนแรง และโรคเรื้อรัง เช่น ธาลัสซีเมีย และเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งต้องการโลหิตอย่างทันท่วงทีเพื่อรักษาชีวิต  โดยข้อมูลจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ระบุว่า ในปีงบประมาณ 2567 ประเทศไทยยังมีผู้บริจาคโลหิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยมีผู้บริจาคปีละ 1 ครั้ง ประมาณ      1 ล้านคน และผู้บริจาคปีละ 2 ครั้ง ประมาณ 300,000 คน ส่งผลให้หลายโรงพยาบาลประสบภาวะโลหิตขาดแคลนต่อเนื่อง

ทั้งนี้การบริจาคโลหิตจึงไม่เพียงช่วยชีวิตผู้อื่น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อผู้บริจาค ทั้งในด้านสุขภาพ เช่น การกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดใหม่ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และได้รับการตรวจสุขภาพเบื้องต้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการบริจาคโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ผ่านโครงการ “สุขใจผู้ให้…เติมใจผู้รับ” โดยเปิดพื้นที่รับบริจาคโลหิตทั้งที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ และสาขาภูมิภาค ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ โดยตั้งแต่ปี 2567 จนถึงเดือนมิถุนายน 2568 มีปริมาณโลหิตที่ได้รับรวมกว่า 384,800 ซีซี สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของบริษัทในการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมแห่งการแบ่งปัน ตลอดจนความร่วมมือร่วมใจของผู้บริหาร พนักงาน และผู้มีจิตศรัทธา

กิจกรรมนี้จึงไม่เพียงเป็นการตอบแทนสังคมในเชิงจิตอาสาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนหลักการมิติด้านสังคม “Social” ของแนวคิด ESG (Environmental, Social, Governance) ที่เมืองไทยประกันชีวิตยึดถือมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมให้พนักงาน ตัวแทน และประชาชนทั่วไป มีส่วนร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน

เมืองไทยประกันชีวิตขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมบริจาคโลหิตครั้งนี้ เพราะ “หนึ่งหยดโลหิตของคุณ อาจต่อชีวิตให้ใครอีกหลายคน”  

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับคุมเข้ม DV8 ระดับ 2 ห้าม Net settlement และซื้อขายด้วยวิธี Auction

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยกระดับมาตรการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ DV8 เป็นระดับ 2 ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. – 5 ส.ค. 2568 ส่งผลให้ในช่วงเวลาดังกล่าว หลักทรัพย์ DV8 จะซื้อขายด้วยวิธี Auction และห้าม Net settlement เพิ่มเติมจากเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรการระดับ 1 โดยผู้ลงทุนที่จะซื้อขายหลักทรัพย์ DV8 สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ 3 ช่วง คือ Pre-open 1/ Pre-open 2 และ Pre-close และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสุ่มเวลาจับคู่ (random) วันละ 3 รอบ ดังนี้

หลักทรัพย์ DV8 เริ่มอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 1 ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. 2568 เนื่องจากสภาพการซื้อขายปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้าอย่างมาก โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานและสารสนเทศสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ช่วงที่อยู่ในมาตรการพบว่าปริมาณการซื้อขายลดลงอย่างมาก (เฉลี่ยวันละ 5 ล้านหุ้น) ขณะที่ราคายังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สภาพการซื้อขาย DV8 ในวันนี้ (15 ก.ค. 2568) ปรับตัวสูงมากทั้งราคาและปริมาณ โดยราคาปิด New high ที่ 8.60 บาท (+21.13%) ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 18 ล้านหุ้น ด้วย P/E ขาดทุน และ P/BV ที่ 15.4 เท่า ส่งผลให้ Market Cap ปรับสูงขึ้นเป็น 11,356 ล้านบาท จาก 700 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยพบว่าในช่วงก่อนหน้า (วันที่ 3 ก.ค. และ 11 ก.ค. 2568) บริษัทแจ้งสารสนเทศเกี่ยวกับการทำคำเสนอซื้อ (Tender offer) ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมากที่ราคาหุ้นละ 0.56 บาท โดยหากซื้อได้ไม่ถึง 990 ล้านหุ้น จะยกเลิกการทำ Tender offer และผู้ทำคำเสนอซื้อมีแผนที่จะนำเสนอการขยายธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสและความเป็นไปได้ของธุรกิจ คาดว่าจะได้ความแน่นอนเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนภายในไตรมาส 4 ปี 2568 ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงยกระดับมาตรการกำกับการซื้อขายเป็นระดับ 2 ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. – 5 ส.ค. 2568 และขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและข้อมูลต่างๆ ที่น่าเชื่อถือประกอบให้รอบคอบก่อนการลงทุน 

ไม่หวั่น “ท่วม-แล้ง” มีธนาคารน้ำใต้ดินช่วย … สร้างโมเดลบริหารจัดการน้ำของเกษตรกร

0

เมื่อพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อวิถีเกษตรกรรม “น้ำ” คือปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่หลายชุมชนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม น้ำแล้ง หรือการขาดแคลนแหล่งน้ำสำรอง ยิ่งในยุคที่สภาพอากาศแปรปรวน การบริหารจัดการน้ำจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

“เมื่อปี 2564 หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้าของเรา มีปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก จนต้องซื้อน้ำมาใช้ในการเลี้ยงหมูและปลูกพืช แต่เมื่อฝนตกหนัก กลับมีปัญหาน้ำท่วมขัง จึงนึกถึงแนวคิด “ธนาคารน้ำใต้ดิน” ซึ่งเป็นระบบเติมน้ำฝนหรือน้ำส่วนเกินในฤดูฝน ลงไปเก็บในชั้นหินอุ้มน้ำใต้ดิน เหมือนการออมทรัพยากรธรรมชาติไว้ใช้ยามจำเป็น เราจึงเริ่มทำโครงการนับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมขังอีกเลย” ภักดี ไทยสยาม ประธานกรรมการ หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บอกเล่าถึงที่มา

โครงการเริ่มต้นด้วยการร่วมมือกันของเกษตรกรในหมู่บ้านฯ และทีมงานซีพีเอฟที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสนับสนุนหมู่บ้านฯ มาตลอด 48 ปี ควบคู่กับการถ่ายทอดความรู้อย่างลึกซึ้ง จากสถาบันน้ำนิเทศศาสนคุณ โดยผนวกความรู้ทางธรณีวิทยา การไหลของน้ำ และแนวคิดพึ่งพาตนเอง จนสามารถพัฒนาระบบธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งแบบเปิดและแบบปิดได้อย่างครบวงจร ช่วยหล่อเลี้ยงทั้งการเลี้ยงหมูและการปลูกพืชซึ่งเป็นอาชีพหลักของชุมชนได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่น้ำที่เพียงพอ แต่ยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำได้ถึงปีละ 1 ล้านบาท แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง น้ำเน่าเสีย เพิ่มความชุ่มชื้นในดิน ยกระดับสุขอนามัยในชุมชน จนทำให้หมู่บ้านฯ แห่งนี้กลายเป็น “ศูนย์เรียนรู้ธนาคารน้ำใต้ดิน” ที่หลายชุมชนเข้ามาศึกษาและนำไปปรับใช้

จากความสำเร็จของหนองหว้า ที่เป็นต้นแบบของการ “ฝากน้ำไว้กับดิน” ขยายผลสู่ หมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ซึ่งประสบปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูฝนและขาดแคลนน้ำหน้าแล้งมายาวนาน

“ชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น และซีพีเอฟ ร่วมมือกันภายใต้แนวคิด “ขีด คิด ร่วม ข่าย” ริเริ่มโครงการธนาคารน้ำใต้ดินอย่างเป็นระบบ โดยศึกษาดูงานจากหมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า มีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ ไปจนถึงการขุดบ่อธนาคารน้ำแบบเปิดและปิดภายในพื้นที่ รวม 10 บ่อ ชาวชุมชนสามารถนำพื้นที่เดิมที่ถูกน้ำท่วมขังกลับมาใช้ประโยชน์ทางเกษตรได้มากกว่า 50 ไร่ มีน้ำใช้ในการเลี้ยงหมูและปลูกพืชได้ตลอดปี พร้อมต่อยอดสู่โครงการ “1 บ้าน 1 บ่อ” ให้ครอบคลุมครบ 40 ครัวเรือนภายในปี 2569” พิเชษฐ์ ใหญ่แก่นทราย ประธานหมู่บ้านเกษตรกรรมกำแพงเพชร บอกอย่างภูมิใจ

ที่นี่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การจัดการน้ำ แต่ยังพัฒนาเป็นศูนย์เรียนรู้ ที่เปิดให้ชุมชนอื่นๆ เข้ามาศึกษาดูงาน ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่คนรุ่นใหม่ หน่วยงานท้องถิ่น และเกษตรกรจากทั่วประเทศ สิ่งที่น่าทึ่งไม่ใช่แค่เทคโนโลยีหรือโครงสร้างของบ่อธนาคารน้ำ แต่คือ “กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน” ที่ทำให้คนในชุมชนเชื่อมั่นว่า พวกเขาสามารถดูแลทรัพยากรของตนเองได้จริง

วันนี้ ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ ต่อยอดความสำเร็จของโครงการธนาคารน้ำใต้ดินทั้งสองหมู่บ้าน สู่สถานประกอบการของบริษัทอีก 8 แห่ง ทั้งที่ ฟาร์มสุรินทร์ ฟาร์มยโสธร ฟาร์มจอมทอง ฟาร์มวังชมภู ฟาร์มอุดมสุข ฟาร์มราชบุรี รวมถึงที่โรงชำแหละสุกรจันทบุรีและยโสธร ให้หันมากักเก็บน้ำไว้ใช้เอง ลดการพึ่งพาน้ำดิบจากธรรมชาติ

โครงการธนาคารน้ำใต้ดิน ทั้งที่หนองหว้า กำแพงเพชร รวมถึงฟาร์มและโรงชำแหละของซีพีเอฟ สะท้อนให้เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีราคาแพง แต่เป็นการผสานพลังของชุมชน ภาคเอกชน และองค์ความรู้ท้องถิ่นเข้าด้วยกัน ธนาคารน้ำใต้ดินจึงไม่ได้เป็นแค่บ่อเก็บน้ำใต้ดิน แต่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการ “คิดอย่างเป็นระบบ ทำอย่างมีส่วนร่วม และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” ที่ช่วยให้ชุมชนมีทรัพยากรน้ำเพียงพอ รองรับวิถีชีวิตเกษตรกรรม และสร้างความมั่นคงทางน้ำในระยะยาว เพราะการฝากน้ำไว้กับดิน คือการวางรากฐานเพื่อความมั่นคงในอนาคต.


ชวนฟังสัมมนา SET Sustainability Forum หัวข้อ Claims, Consequences, and Credibility: Capital Market for Climate Action 16 ก.ค. นี้

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอเชิญผู้ประกอบการและผู้สนใจร่วมงานสัมมนา SET Sustainability Forum ครั้งที่ 2/2025 หัวข้อClaims, Consequences, and Credibility: Capital Market for Climate Action” รับฟังแนวทางและการดำเนินการของภาคส่วนต่าง ๆ พร้อมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างมีประสิทธิภาพ เน้นการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนในการจัดการปัญหาสภาพภูมิอากาศที่โปร่งใสและวัดผลได้ โดยมี ดร. ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ปาฐกถาพิเศษ  “Proof Your Climate Pledges as Grounded Governance” ถึงการเชื่อมโยงระหว่างคำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี สู่การปฏิบัติจริงที่วัดผลได้ในระดับองค์กร และ ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บรรยายถึงบทบาทตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนของตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย

นอกจากนี้ ยังมีเสวนาอีก 2 ช่วง โดยช่วงแรก “Multi-Regulatory Approach: Enabling Thailand’s Climate Transition” ชี้ถึงกรอบการดำเนินการและเครื่องมือสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และเตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงรอบด้านในอนาคต ร่วมด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานหลักของประเทศ ทั้งภาคการคลัง การเงิน ตลาดทุน และประกันภัย และช่วงที่สอง “Investment Consequences: Allocating Capital for Credible Transition” เจาะลึกมุมมองและหลักเกณฑ์ของผู้จัดสรรเงินทุน ในการนำข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศไปใช้ประเมินมูลค่าและตัดสินใจลงทุน ร่วมด้วยวิทยากรผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุน การเงิน และการวิจัยเชิงนโยบาย จากองค์กรชั้นนำของประเทศ

งานสัมมนา SET Sustainability Forum 2/2025 หัวข้อ “Claims, Consequences, and Credibility: Capital Market for Climate Action กำหนดจัดขึ้นวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เวลา 13.00-17.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://s.setth.org/x99 ไม่มีค่าใช้จ่าย

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมกับ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม มอบ “เครื่องดูดเสมหะ” เพื่อฝึกอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุ พัฒนาคุณภาพชีวิตในชุมชน

0

เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ร่วมมอบเครื่องดูดเสมหะ จำนวน 11 เครื่อง แก่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อใช้ในการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริบาลคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่มุ่งสร้างอาชีพและพัฒนาทักษะให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มสตรีและครอบครัวกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) ได้อย่างมีคุณภาพ

โครงการนี้จัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 11 ปีของมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม โดยร่วมกับเมืองไทยประกันชีวิต เพื่อต่อยอดการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนขององค์กรในมิติสิ่งแวดล้อม  สังคม บรรษัทภิบาลและเศรษฐกิจ (ESG)  โดยเฉพาะมิติสังคมที่มุ่งส่งเสริมคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มที่ขาดโอกาส พร้อมสนับสนุนบทบาทของภาครัฐในการยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุในสังคมไทย  ซึ่งเครื่องดูดเสมหะที่มอบให้ในครั้งนี้ เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นสำหรับการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง โดยจะนำไปใช้เป็นสื่อฝึกปฏิบัติจริงในหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ (care giver) เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีทักษะที่ถูกต้องและพร้อมนำไปใช้งานจริงภายหลังสำเร็จการอบรม

การอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุถือเป็นการดูแลด้านสังคมที่ให้ผลตอบแทนอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาวะของประชาชน โดยประโยชน์ทางตรง คือ การสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ ในขณะที่ประโยชน์ทางอ้อม คือ การยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชน ช่วยลดภาระของระบบสาธารณสุข และส่งเสริมให้สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน   ทั้งนี้ผู้สนใจเข้าอบรมสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ กลุ่มส่งเสริมและพัฒนา กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว  โทร. 02-306-8767  โดยมีศูนย์ฝึกอาชีพบริการในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ จำนวน 12 แห่ง

สำหรับกิจกรรมนี้ได้รับเกียรติจาก นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และ   นางพรนิภา มาสิลีรังสี  รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ  เป็นผู้รับมอบ โดยมี นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นางพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ รองประธานกรรมการมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และ นายปราโมทย์ ศักดิ์กำจร                 รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ร่วมมอบเครื่องดูดเสมหะ จำนวน 11 เครื่อง

ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ยังคงเดินหน้าส่งเสริมโอกาสทางสังคม ผ่านการสนับสนุนกิจกรรมด้านสาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาอาชีพ ภายใต้แนวคิด “การให้ที่ยั่งยืน” เพื่อสร้างประโยชน์ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคมโดยรวม อันเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญขององค์กรในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป ตลอดจนตอกย้ำสโลแกนของมูลนิธิเมืองไทยยิ้มตลอดระยะเวลา 11 ปี คือ ร่วมสร้างรอยยิ้มให้สังคมไทย #เมืองไทยประกันชีวิต #มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม #muangthailife

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชวนอุดหนุนผลไม้ช่วยเหลือเกษตรกรไทย กับแคมเปญ “รวมพลังอุดหนุนผลไม้ไทยยกกำลัง 2”

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จับมือกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ร่วมสนับสนุนผลไม้ไทย กระตุ้นการบริโภคและช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปิดด่านชายแดน และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้ผลผลิตออกมาจำนวนมาก จนทำให้มีปริมาณล้นตลาด

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้จัดแคมเปญภายในองค์กร “รวมพลังอุดหนุนผลไม้ไทยยกกำลัง 2” เชิญชวนพนักงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมอุดหนุนมังคุดจากจังหวัดชุมพร บรรจุในตะกร้า ขนาด 4.5 กิโลกรัม ราคา 150 บาท โดยเมื่อพนักงานซื้อผลไม้ 1 ตระกร้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะซื้อเพิ่มอีก 1  ตระกร้า เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มผู้เปราะบางผ่านเครือข่ายพันธมิตรของตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สนับสนุนเกษตรกรชาวสวนมังคุดภาคใต้ โดยมียอดซื้อรวมทั้งสิ้น 5,400 กิโลกรัม  โดยยอดสั่งซื้อมังคุดของพนักงาน รวมทั้งสิ้น 2,700 กิโลกรัม และตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งซื้อเพิ่มอีก 2,700 กิโลกรัม เพื่อส่งมอบแก่ศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่โดยรอบตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข 4 ดินแดง ศูนย์บริการสาธารณสุข 52 สามเสนนอก ศูนย์บริการสาธารณสุข 26 ห้วยขวาง และสถานพยาบาล ได้แก่ สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลราชวิถี (หอผู้ป่วยยากไร้)

พร้อมเชิญชวนภาคธุรกิจและองค์กรในตลาดทุน ร่วมอุดหนุนผลไม้ไทยช่วยเหลือเกษตรกร โดยสั่งซื้อได้ที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ที่ ID Line @ditthaifruits  หรือโทร. 098-8935699, 092-5139944

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มอบรางวัลประกวดคลิปความรู้ทางการเงิน Happy Money Content Creator

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มอบรางวัลประกวดคลิปความรู้ทางการเงินแก่อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่เข้าร่วมแคมเปญ “Happy Money Content Creator” โดยมี ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ พรรณวดี ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ อัยยา ตันติเสรีรัตน์ บ. เทลสกอร์ (Tellscore) ร่วมมอบรางวัล เมื่อ 17 มิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา

แคมเปญนี้เป็นความร่วมมือระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บ. เทลสกอร์ ชวนเหล่าอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ยุคใหม่เรียนรู้และเข้าใจเรื่องการเงินการลงทุนที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเองพร้อมเป็นสื่อกลางส่งต่อความรู้ มีผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศ รวม 10 รางวัล หวังเป็นพลังสำคัญในการบอกต่อความรู้ผลักดันสังคมไทยไปสู่ความสุขทางการเงินได้อย่างยั่งยืน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามคอนเทนต์จากเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ได้ที่ www.set.or.th/happymoneycontentcreator

รู้เก็บรู้ออม : ธุรกิจสาย Green สร้างโลก Clean

0
ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ หลายคนอาจมองว่าการไปเที่ยวเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย แต่จริงๆแล้วการได้ออกเดินทางไปเปิดหูเปิดตา ถือเป็นการชาร์จแบตฯ เติมพลังชีวิตให้สู้กันต่อไป และหากเที่ยวไปด้วยได้ความรู้ไปด้วย ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี

“คุณนายพารวย” แนะนำพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY ให้เป็นตัวเลือกการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนอกจากเป็นการเที่ยวพักผ่อนแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับความรู้ด้านการเงินการลงทุนที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง และเป็นสถานที่เที่ยวที่ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล อยู่ในเมือง ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย

ตอนนี้ INVESTORY กำลังจะจัดกิจกรรม Plearn Talk & TOUR หัวข้อ “ธุรกิจ สาย Green สร้างโลก Clean เพื่อเราทุกคน” ในวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2568 นี้ ตั้งแต่เวลา 14.00-16.00 น. ที่บริเวณชั้นใต้ดิน อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ อยากชวนผู้สนใจ มาร่วมฟังเรื่องเล่าจากผู้ประกอบธุรกิจสาย Green ที่เปลี่ยนความใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นพลังสร้างโลกอย่างยั่งยืน

พบกับวิทยากรรับเชิญ คุณดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า และ คุณณัฐพล คำถาเครือ ผอ.อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์การทำธุรกิจสาย Greenดำเนินรายการโดย คุณขวัญชนก วุฒิกุล ผู้ร่วมก่อตั้งเพจเรียลลงทุน

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีโครงการ New Life Bra CYCLE ที่ชวนให้ผู้ร่วมงานช่วยกัน SAVE โลกกับซาบีน่า โละชุดชั้นในเก่าหรือที่ไม่ใช้แล้ว ไม่จำกัดยี่ห้อ สามารถนำมาเข้าสู่กระบวนการทำลายอย่างถูกวิธี เพื่อเป็นพลังงานสะอาดต่อไป

สำหรับคนที่มีเวลาว่างทั้งวัน สามารถมาเดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์ INVESTORY ก่อนก็ได้ เพราะจะมีการจัดวอล์กทัวร์เดินเที่ยวพิพิธภัณฑ์ และเยี่ยมชมนิทรรศการชุดพิเศษ INVESTOPIA หรือนครหุ้นยั่งยืน ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งใจจัดแสดงขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างยั่งยืน  ผู้ชมนิทรรศการจะได้สำรวจโลกของการลงทุนผ่านแนวคิด ESG (Environmental, Social, and Governance) และทำความรู้จักหุ้นยั่งยืนมากขึ้น

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรี ได้ที่ https://s.setth.org/htu “คุณนายพารวย” อยากชวนให้มาลองใช้เวลาว่างในวันหยุดให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ พร้อมฟังเสวนาที่จะทำให้เราแค่ “เปลี่ยนมุมคิด” ก็ช่วยโลกได้มากกว่าที่คิด!

พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน Investory แหล่งเรียนรู้ด้านการเงินการลงทุนแห่งแรกของไทย พร้อมต้อนรับทุกคนที่ต้องการเติมเต็มความรู้ด้านการลงทุน สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน และเปิดโลกการเรียนรู้ไปด้วยกัน เปิดให้บริการทุกวัน (ยกเว้น วันจันทร์) ตั้งแต่เวลา 09.30–18.00 น.

คุณนายพารวย

เมืองไทยประกันชีวิต ให้ลูกค้า “ยื่นเคลมผู้ป่วยนอก (OPD)” แบบไม่ต้องสำรองจ่าย ผ่านระบบเครดิตคู่สัญญากับสถานพยาบาลชั้นนำ

0

เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งมั่นยกระดับประสบการณ์การดูแลสุขภาพลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดให้บริการ “ยื่นเคลมผู้ป่วยนอก (OPD)” แบบไม่ต้องสำรองจ่าย ผ่านระบบเครดิตคู่สัญญา (Cashless Claim) กับสถานพยาบาลชั้นนำ เพื่อมอบความสะดวกสบาย อุ่นใจกับค่ารักษาพยาบาล พร้อมเปิดตัว 3 พันธมิตรใหม่ เพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกค้าทุกช่วงเวลาของการดูแลสุขภาพ

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในยุคที่สุขภาพเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญอันดับต้นของชีวิต เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับการบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เราให้ความสำคัญกับการส่งเสริมคุณภาพการเข้าถึงบริการสุขภาพ ที่ทั้งสะดวก รวดเร็ว และลดภาระทางการเงิน อันเป็นหัวใจของการสร้างความอุ่นใจให้แก่ลูกค้าทุกคน

ดังนั้น เมืองไทยประกันชีวิต จึงเดินหน้า สร้างสรรค์บริการที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าให้มากที่สุด บริการยื่นเคลมการรักษาแบบผู้ป่วยนอก (OPD) ผ่านระบบเครดิตคู่สัญญา (Cashless Claim) โดยไม่ต้องสำรองจ่ายที่เรานำมาให้บริการในครั้งนี้ คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความตั้งใจในการใส่ใจดูแลลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของการจ่ายค่าสินไหมเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของ ‘ประสบการณ์ของลูกค้า’ ที่เราพยายามเติมเต็มให้ดีที่สุดในทุกจุดสัมผัสของการบริการ” โดยลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตสามารถใช้บริการยื่นเคลม OPD แบบไม่ต้องสำรองจ่ายตามสิทธิความคุ้มครองของกรมธรรม์ ได้แล้ววันนี้ ณ สถานพยาบาลชั้นนำที่เข้าร่วมโครงการ โดยล่าสุดมีสถานพยาบาลพันธมิตรใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง ได้แก่

  1. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (อาคารนวัตบริบาล) สำหรับลูกค้าที่มีประกันสุขภาพรายบุคคลและรายกลุ่ม เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ (เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 08.00 – 16.00 น. ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูล และนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ โทร. 02 256 4000 เพื่อเข้ารับบริการตามนัดหมาย ณ จุดตรวจสอบสิทธิ ชั้น 1 อาคารนวัตบริบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
  2. ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต (SIRIRAJ H SOLUTIONS) สำหรับลูกค้าที่มีประกันสุขภาพรายบุคคลและรายกลุ่ม เปิดให้บริการ วันจันทร์ – วันอาทิตย์ เวลา 07.00-22.00 น. สอบถามข้อมูลได้ที่โทรศัพท์ 02 414 1144 และเข้ารับบริการได้ ณ ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต (SIRIRAJ H SOLUTIONS) ชั้น 5 ICS Lifestyle Complex (ตรงข้าม ICONSIAM)
    1. ศูนย์บริการสุขภาพรามาธิบดี พาราไดซ์พาร์ค ซึ่งให้บริการสำหรับประกันสุขภาพรายกลุ่ม เปิดให้บริการวันจันทร์ – วันอาทิตย์ เวลา 08.00-20.00 น. ยกเว้นช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ โดยสอบถามข้อมูล โทร. 02 201 0640 – 45 หรือติดต่อผ่าน Line Official : @ramaparadise และเข้ารับบริการได้ ณ ศูนย์บริการสุขภาพรามาธิบดี พาราไดซ์พาร์ค ชั้น 3 ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการจะต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ ตามเบอร์ติดต่อของสถานพยาบาลแต่ละแห่ง และเงื่อนไขการให้บริการเป็นไปตามที่บริษัทฯ และสถานพยาบาลกำหนด

“เมืองไทยประกันชีวิต มุ่งมั่นพัฒนาบริการและนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อดูแลลูกค้าในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ การเงิน หรือการบริการ ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด เพราะเรารู้ว่า…ความมั่นใจในวันนี้ คือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่มั่นคงในวันข้างหน้า และเราพร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่คุณไว้วางใจได้เสมอ เพื่อให้ทุกจังหวะชีวิตของคุณ เต็มไปด้วยความอุ่นใจ ห่วงใยจากเรา” นายสาระ กล่าวสรุป

ต้องการเงินก้อน บ้านช่วยได้ ! กับ ‘สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน’

0

“บ้าน” หรือ ที่อยู่อาศัย เป็น 1 ในปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคน  หลายคนนิยามความหมายของบ้าน มากกว่าการเป็นเพียงที่อยู่อาศัยหรือสิ่งปลูกสร้าง แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เราอยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย มีความสุข และความมั่นคง การมีบ้านจึงเป็นเป้าหมายสำคัญในชีวิตของคนที่ฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง

บ้านนอกจากจะแสดงถึงความมั่นคงในชีวิตแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นความมั่นคงทางการเงินของเจ้าของบ้านอีกด้วย เพราะถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้น  จึงสามารถใช้เป็นทางออกทางการเงิน ช่วยคลี่คลายปัญหาในยามที่เจ้าของบ้าน หรือสมาชิกในครอบครัวต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นความต้องการเงินก้อนมาใช้จ่ายอุปโภคบริโภค, เสริมสภาพคล่อง   ถือว่าเป็นการใช้สินทรัพย์ของเราให้เกิดประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า

ธนาคารออมสิน เข้าใจคนมีบ้านเวลาที่มีปัญหาทางการเงิน ออกโปรโมชัน “สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน”  เปลี่ยนบ้านเป็นเงินก้อนฉุกเฉิน ช่วยตอบโจทย์สำหรับเจ้าของบ้านที่ปลอดชำระหนี้ที่มีความต้องการใช้เงินในยามจำเป็น

ผู้ที่กำลังมองหาทางออกทางการเงิน ต้องการเงินก้อนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์ เช่น ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล หรือจะนำไปชำระหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคล รวมทั้งจะรีไฟแนนซ์สินเชื่อบ้านแลกเงินจากสถาบันอื่น ก็ได้เช่นกัน“สินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน” โดยธนาคารออมสิน เป็นทางออกที่ช่วยแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ให้บ้านช่วยเรา ด้วยการเปลี่ยน “บ้าน” เป็น “เงินก้อน”  โดยเจ้าของและสมาชิกครอบครัว ยังสามารถใช้ชีวิต ทำกิจวัตรประจำวันอยู่ในบ้านได้ตามปกติ

จุดเด่นของสินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน คือ วงเงินกู้สูงสุดถึง 10 ล้านบาท และผ่อนนานสูงสุด 30 ปีด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ 6 เดือนแรก เริ่ม 3.590%   นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่กู้เงินตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ธนาคารออมสินจะช่วยสนับสนุนค่าประเมินหลักทรัพย์ สูงสุด 5,000 บาทอีกด้วย

ผู้สนใจสามารถตรวจสอบเงื่อนไขคุณสมบัติผู้กู้ ดังต่อไปนี้ คือ 1. เป็นบุคคลที่มีอาชีพและรายได้แน่นอน, 2. มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ ต้องไม่เกิน 70 ปี. 3. ผู้มีรายได้ประจำ ต้องมีอายุงานตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป  ส่วนผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของกิจการ ต้องมีอายุงานหรือดำเนินกิจการมาแล้ว ตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป, 4. กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ เภสัชกร และได้รับใบประกอบโรคศิลปะ ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม และไม่ถูกเพิกถอนใบประกอบโรคศิลปะ, ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม  และ  5. เป็นผู้ฝากเงินประเภทเผื่อเรียกของธนาคารออมสิน

เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติเรียบร้อย จากนั้นจัดเตรียมเอกสารประกอบการกู้ยืมให้พร้อมและครบถ้วน แล้วยื่นสมัครเพื่อขอสินเชื่อ GSB บ้านแลกเงิน ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. 68 จนถึง 15 ส.ค. 68  สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ https://to.gsb.or.th/VfCSCQf4  หรือติดต่อที่ธนาคารออมสินได้ทุกสาขา  ทั้งนี้ ผู้กู้ควรให้ความสำคัญกับเรื่องหลักการของการกู้  คือ รู้ก่อนกู้ กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือ GSB Contact Center โทร. 1115 และติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook: GSB Society

เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด

*รู้ก่อนกู้…กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว