Home Blog Page 105

GULF –AIS – สวพส. ร่วมชูพลังงานสะอาด ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ชุมชนห่างไกล​ ผ่านโครงการ “Green Energy Green Network for THAIs”

0

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF องค์กรชั้นนำด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานยั่งยืนในระดับภูมิภาค ผนึกกำลังร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ในฐานะผู้ให้บริการโครงข่ายดิจิทัลชั้นนำของไทย พร้อมด้วย สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือ สวพส. เดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยในพื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงบริการโครงสร้างขั้นพื้นฐาน ชูการนำจุดแข็งของทั้ง 2 องค์กรภาคเอกชน และการผสานกำลังกับภาครัฐอย่าง สวพส. ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่สูงของประเทศ มาร่วมกันส่งมอบพลังงานไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ ที่ผลิตโดยพลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์ให้แก่ชุมชน พร้อมติดตั้งสถานีฐานโดยใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์เชื่อมต่อระบบเครือข่ายสัญญาณดิจิทัลสำหรับชุมชน

ผ่านโครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย นำร่อง 2 พื้นที่ห่างไกล ชุมชนบ้านดอกไม้สด และ ชุมชนมอโก้โพคี ต.แม่อุสุ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก พร้อมตั้งเป้าการทำงานร่วมกันมุ่งขยายผลโครงการต่อเนื่องในพื้นที่ห่างไกล ขาดแคลนสาธารณูปโภคด้านพลังงานไฟฟ้าและระบบสื่อสารโทรคมนาคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างการเติบโตร่วมกันของเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างยั่งยืน

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS อธิบายต่อไปอีกว่า “จากความมุ่งมั่นในการก้าวสู่การเป็นองค์กรเทคโนโลยีโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา AIS เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้มีความแข็งแรง มีความพร้อมมากพอที่จะเชื่อมต่อการทำงานกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจแบบร่วมกัน (Ecosystem Economy) เพราะเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าระบบสื่อสารโครงข่ายดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างโอกาสให้กับผู้คนให้เข้าถึงความรู้ใหม่ๆ ที่สามารถต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อสร้างคุณค่าหลากหลายด้านได้อย่างมากมายภายใต้การเปลี่ยนแปลง

การทำงานร่วมกับ GULF และ สวพส. ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ AIS ในทุกด้าน ทั้งการพัฒนาโครงข่ายดิจิทัลขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน เราทลายข้อจำกัดในการขยายโครงข่ายให้ครอบคลุมการใช้งาน เพื่อสร้างการเข้าถึงดิจิทัลให้คนไทยทุกกลุ่ม โดยใช้เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์มาใช้ในการบริหารจัดการระบบสื่อสารเพื่อส่งมอบโครงข่ายดิจิทัลไปยังชุมชนในพื้นที่เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลสามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสะดวกสบาย เข้าถึงแหล่งความรู้และบริการต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และสาธารณสุข รวมถึงสวัสดิการของภาครัฐ ด้วยโครงข่ายดิจิทัลจากโครงการนี้  โดย AIS และพาร์ทเนอร์จะมีการทำงานและติดตามความเปลี่ยนแปลงในแต่ละชุมชนอย่างต่อเนื่องผ่านการทำ Social Impact Assessment หรือประเมินผลลัพธ์ทางสังคมต่อประโยชน์ของโครงการนี้ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในมิติต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าชุมชนจะได้รับการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับบริบทและภูมิปัญญาของชุมชนนั้นๆอย่างแท้จริงและยั่งยืน ดังเช่น ชุมชนมอโก้โพคี หนึ่งในหลายชุมชนที่ได้เข้าถึงระบบไฟฟ้าโซล่าร์เซลล์และระบบสื่อสารดิจิทัลของโครงการนี้ จะมีโอกาสในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการผลิตเมล็ดกาแฟและการพัฒนาช่องทางการตลาดให้เป็นที่รู้จักได้มากขึ้น ตามเป้าหมายของผู้นำชุมชนที่ได้รวมกลุ่มคนในชุมชนเปลี่ยนจากการปลูกไร่ข้าวโพดมาปลูกเมล็ดกาแฟ โดยหวังให้เมล็ดกาแฟของชุมชนเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพออกสู่ตลาดที่กว้างขวางขึ้น อันจะสร้างรายได้สู่คนในชุมชนได้อย่างมั่นคง”

นางสาวธีรตีพิศา เตวิชพศุตม์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านปฏิบัติการ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชนกล่าวว่า “จุดเริ่มต้นของโครงการนี้ เกิดจากการที่ GULF และ GULF1 บริษัทในเครือ นำร่องติดตั้งชุดอุปกรณ์ระบบโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ทุรกันดารตั้งแต่ปี 2566 ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ บ้านห้วยน้ำไซ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก เกาะทุ่งนางดำ อ.คุระบุรี จ.พังงา และบ้านดอกไม้สด อ.ท่าสองยาง จ.ตาก รวมถึงมีทีมวิศวกรจาก GULF1 ให้ความรู้ด้านการบำรุงรักษาและวิธีการใช้งานชุดอุปกรณ์โซลาร์เซลล์แก่ชุมชน เพื่อให้สามารถใช้งานระบบโซลาร์ได้อย่างยั่งยืน เมื่อได้ลงพื้นที่จริง และพูดคุยกับชุมชนถึงปัญหาในการสื่อสารกับคนภายนอกพื้นที่ จึงเล็งเห็นการต่อยอดโครงการโดยการชักชวนพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง AIS เพื่อผนึกกำลังขยายสัญญาณสื่อสาร มอบโอกาสในการเข้าถึงพลังงานและเทคโนโลยีดิจิทัล มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสทางการศึกษา การพัฒนาอาชีพ และการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข รวมถึงสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของ GULF ในการขับเคลื่อนให้สังคมมุ่งสู่อนาคตคาร์บอนต่ำผ่านการใช้พลังงานสะอาดอีกด้วย

ในปีนี้ ทาง GULF ได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไปแล้วใน 3 พื้นที่ ได้แก่ ดอยมอโก้โพคี อ.ท่าสองยาง จ.ตาก บ้านแม่ตอละ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน บ้านผีปานเหนือ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ สำหรับพื้นที่ดอยมอโก้โพคีนั้น เดิมชาวบ้านมอโก้โพคีประกอบอาชีพปลูกข้าวโพดเป็นหลัก ทำให้มีการทำลายป่าเป็นวงกว้าง และยังทำลายสุขภาพผู้ปลูกเนื่องจากการใช้สารเคมี  นอกจากนั้น การเผาในฤดูเก็บเกี่ยวยังก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 อีกด้วย  ซึ่งทาง GULF ได้ร่วมมือกับผู้นำชุมชนสานต่องานรักษาผืนป่าและพัฒนาอาชีพในการปลูกกาแฟให้กับคนในชุมชน GULF จึงได้เข้าไปสร้างโรงเรือนสำหรับการแปรรูปเมล็ดกาแฟและติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ เพื่อให้กระบวนการล้างทำความสะอาด คัดแยก และสีกาแฟ มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยการใช้พลังงานสะอาด สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นในการปลูกกาแฟมากขึ้น เพิ่มโอกาสที่จะสร้างรายได้แก่ชุมชน และในอนาคตชุมชนจะพัฒนาไปสู่การแปรรูปกาแฟด้วยตนเอง นับว่าเป็นช่องทางการสร้างอาชีพและการรักษาป่าควบคู่กันอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ GULF ยังนำชาวบ้านจากดอยมอโก้โพคี ไปเรียนรู้ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ที่ จ.เชียงราย เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา นับว่าเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนแห่งนี้ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำได้อย่างเป็นอย่างดี”

นายชวลิต ชูขจร ประธานกรรมการ สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ภารกิจสำคัญของ สวพส. คือ การนำความรู้ของโครงการหลวงไปพัฒนาให้ชุมชนบนพื้นที่สูงของประเทศมีความอยู่ดีมีสุข สามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พึ่งพาตัวเองได้ นอกจากนี้ สวพส. ยังช่วยให้ชุมชนบนพื้นที่สูง เข้าถึงบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยร่วมมือกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะโครงการ Green Energy Green Network for THAIs  ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของ GULF และ AIS ในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประชาชนบนพื้นที่สูงสามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานทั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และการสื่อสาร และยังสามารถ
ต่อยอดการทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ทั้งบริการด้านสาธารณสุข การศึกษา การพัฒนาทักษะด้านอาชีพ หรือแม้กระทั่งการตลาด เพื่อให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างประโยชน์ทั้งชุมชน เศรษฐกิจ และยังเป็นการดูแลรักษาฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนด้วย”

นายสมชัยกล่าวในช่วงท้ายว่า “เราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ Green Energy Green Network for THAIs พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย จะเป็นต้นแบบสำคัญของภาคธุรกิจไทยในการนำศักยภาพขององค์กรมาสร้างประโยชน์ที่จะช่วยดูแลด้านสิทธิมนุษยชน แก้ปัญหาทางสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทั้งองค์ความรู้ใหม่ๆ และบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่จะนำมาสู่การเติบโตร่วมกันของผู้คน ชุมชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน”

ผู้เลี้ยงหมู หวั่นหมูเถื่อนตกค้าง แทรกแซงราคาหมูไทย จี้รัฐตรวจค้นซ้ำทั่วประเทศ

0

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ขอรัฐตรวจสอบหมูเถื่อนซ้ำทั่วประเทศและเร่งดำเนินคดี หวั่นยังมีตกค้างพร้อมระบายออกมากดราคาหมูไทยไม่ผ่านเส้นคุ้มทุน เกษตรกรเผชิญปัญหาต้นทุนการผลิตสูงสวนทางกับราคาที่ยังยืนอ่อน กดดันเกษตรกรต้องออกจากอาชีพ

นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า จากการที่สมาคมฯ ได้ร่วมสังเกตการณ์ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง พร้อมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง ซึ่งเป็นตู้ตกค้างล็อตที่ 2 พบ “หมูเถื่อน” ซึ่งเป็นชิ้นส่วนแช่แข็ง ทั้งเนื้อหมูสามชั้นและเครื่องใน จำนวน 460 ตัน และได้ส่งมอบให้กรมปศุสัตว์เพื่อนำของกลางดังกล่าวไปทำลายฝังกลบตามขั้นตอนตามหลักวิชาการ เพื่อป้องกันโรคระบาด

สิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ

การเข้าตรวจค้นซ้ำที่ท่าเรือแหลมฉบัง เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 เป็นการขยายผลจากการจับกุมหมูเถื่อน 161 ตู้ เมื่อปลายปี 2566 ทำให้พบตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างอีก 92 ตู้ ในจำนวนนี้เป็นตู้ต้องสงสัยว่าเป็นหมูเถื่อน 16 ตู้ และมีการตรวจเพิ่มอีก 1 ตู้ รวมทั้งหมด 17 ตู้ ได้ของกลางหมูเถื่อนตามที่คาดการณ์ไว้ โดยในตู้สุดท้ายมีการซุกซ่อนมากับปลาทะเลแช่แข็ง

“หมูเถื่อนที่เข้ามาในประเทศไทยแม้จะจับกุมได้น้อยลงแต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์มยังไม่สามารถปรับขึ้นข้ามเส้นคุ้มทุนไปได้ ซึ่งราคาหน้าฟาร์มขณะนี้อยู่ที่ 68-74 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนยังสูง 80-82 บาทต่อกิโลกรัม สวนทางกับการบริโภคของประชาชนที่ยังชะลอตัวตามเศรษฐกิจ” นายสิทธิพันธ์ กล่าว

นอกจากนี้เกษตรกรยังมีความยากลำบากในการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งวัตถุดิบอาหารสัตว์ ค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และปัจจัยการป้องกันโรค ล้วนทำให้ค่าใช้จ่ายในฟาร์มและต้นทุนการเลี้ยงหมูต่อตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นเฉลี่ยที่ 11.20 – 12 บาทต่อกิโลกรัม และไม่สามารถหาข้าวโพดได้ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาอากาศแปรปรวนผลผลิตมีน้อย โดยปกติไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ปีละ 5 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการสูงถึง 8 ล้านตัน ต้องนำเข้าทดแทนส่วนขาดปีละ 3 ล้านตัน

ผู้เลี้ยงหมูไทยประสบปัญหาขาดทุนสะสมมานานกว่า 1 ปี หลังเผชิญวิกฤตราคาหมูตกต่ำในปี 2566 จากหมูเถื่อนที่ทะลักเข้ามาในประเทศมากกว่า 64,000 ตัน ต้นทางจากประเทศบราซิลและประเทศทางยุโรปที่มีต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 40-50 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาหมูมีชีวิต) ซึ่งต่ำกว่าไทย 50% กดดันให้เกษตรกรไทยต้องยอมขายในราคาขาดทุน จนถึงขณะนี้มีเกษตรกรต้องเลิกอาชีพไปแล้วไม่น้อยกว่า 50,000 ราย

นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า อยากขอให้ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสอบหมูเถื่อนที่ยังตกค้างอยู่ในประเทศทั้งในห้องเย็นและท่าเรือต่างๆ โดยเฉพาะท่าเรือคลองเตย ที่ยังมีตู้คอนเทนเนอร์ตกค้างอีกจำนวนหนึ่ง และเร่งดำเนินคดีกับผู้กระทำตามกฎหมายทุกคน เพราะหมูเถื่อนเป็นปัจจัยทำให้เกิดหมูส่วนเกิน ราคาหมูไทยจึงไม่เป็นไปตามกลไกตลาด เกษตรกรไทยไม่สามารถแข่งขันได้ และจนถึงขณะนี้ หมูเถื่อนที่เข้ามานานกว่า 1 ปี เป็นหมูที่หมดอายุ ไม่เหมาะกับการบริโภค ที่สำคัญไม่ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง สารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะเสี่ยง จึงจำเป็นต้องปราบปรามให้หมดสิ้น เพื่อยกระดับความปลอดภัยทางอาหารของคนไทยและสนับสนุนผู้เลี้ยงหมูไทยมีกำลังใจสานต่ออาชีพเลี้ยงหมูต่อไป

ซีพี-ซีพีเอฟ ขับเคลื่อน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ปีที่ 36 หนุนโภชนาการที่ดี-สร้างแหล่งอาหารยั่งยืนให้เยาวชน

0

เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมกับ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” สู่ปีที่ 36 บรรลุเป้าหมาย “หนุนโภชนาการที่ดี-สร้างแหล่งอาหารยั่งยืน” แก่เด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ปักหมุดขยายโครงการในโรงเรียน 1,000 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2568

นายจอมกิตติ ศิริกุล ผู้บริหารสูงสุด สายงานด้านบริหารกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เครือซีพี ซีพีเอฟ และมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ร่วมกันดำเนิน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนในชนบทห่างไกลทั่วประเทศ ช่วยเสริมสร้างโภชนาการที่ดีและการเติบโตสมวัย ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา โดยมีเป้าหมายขยายโรงเรียนเพิ่มขึ้นปีละ 25 แห่ง

ปัจจุบัน มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ รวม 959 โรงเรียนทั่วประเทศ มีนักเรียน 213,794 คน รวมทั้งครูและบุคลากรทางการศึกษา กว่า 16,086 คน และชุมชน 2,374 แห่ง ได้เรียนรู้ทักษะการเลี้ยงไก่ไข่ ตลอดจนสร้างสมหลักความคิด สุขภาพ การเงิน และการจัดการอาชีพในอนาคต ขณะเดียวกันยังประยุกต์กิจกรรมสู่การเรียนการสอน ส่งผลให้นักเรียนได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร ขณะเดียวกันซีพีเอฟยังได้จัดจ้างผู้พิการช่วยงานในโรงเรียนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ จนถึงปัจจุบันมีการทำสัญญาจ้างงานคนพิการไปแล้วรวม 482 คน

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ร่วมแก้ปัญหาทุพโภชนาการแก่เด็กและเยาวชน พบว่าภาวะทุพโภชนาการของนักเรียนที่ร่วมโครงการฯ จากร้อยละ 25.8 ในปี 2564 ลดลงเหลือร้อยละ 22.8 ในปี 2565 และเป็นการสร้างห้องเรียนอาชีพจากการเรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร นำไปสู่การสร้างคลังเสบียงอาหารในโรงเรียนและชุมชนใกล้เคียง ผลผลิตไข่ไก่ที่จำหน่ายให้แก่ชุมชน ทำให้คนในชุมชนได้บริโภคไข่สดใหม่ในราคาย่อมเยาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เกิดเป็นรายได้หมุนเวียน ต่อยอดโครงการต่อเนื่อง เกิดเป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน” นายจอมกิตติ กล่าว

ทางด้าน นายสมคิด วรรณลุกขี ผู้อำนวยการใหญ่ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟมุ่งสนับสนุนให้โรงเรียนสามารถสร้าง แหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีด้วยฝีมือของนักเรียน เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบการบริหารจัดการผลผลิตนำไปสู่ความยั่งยืนของโครงการฯ โดยบริษัทเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เยาวชน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการฟาร์มขนาดเล็กได้ด้วยตนเอง ด้วยการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี นำระบบการเลี้ยงและองค์ความรู้การจัดการมาตรฐาน พร้อมทั้งส่งนักสัตวบาลเข้าสนับสนุนวิชาการตั้งแต่เริ่มต้นเลี้ยงจนถึงปลดแม่ไก่ไข่ รวมถึงแนะนำการจำหน่ายและตลาด เพื่อให้โครงการฯดำเนินการได้โดยมีผลกำไรเพียงพอสำหรับการบริหารให้มีเงินทุนส่งให้รุ่นต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงเรียนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมด้านการสื่อสารและการจัดการข้อมูล ด้วยการใช้แอปพลิเคชัน LINE เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสาร มีการรวบรวมข้อมูลทางออนไลน์ด้วยกูเกิลฟอร์ม (Google Form) ช่วยให้รับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ทำให้สามารถการวางแผนการผลิตได้อย่างเหมาะสม

“โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน มีเยาวชนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน และเด็กๆยังได้เรียนรู้นอกตำรา เกิดประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง ยังเป็นการสร้างห้องเรียนอาชีพ ให้น้องๆได้เรียนรู้การบริหารจัดการธุรกิจเกษตร ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงการจำหน่าย ที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นวิชาชีพในอนาคต” นายสมคิด กล่าว

สำหรับโรงเรียนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถติดต่อขอข้อมูลได้ที่ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท http://www.cp-foundationforrural.org โทร. 063-871-6545 หรือ 092-870-0783

ซีพีเอฟ ย้ำ เลี้ยงหมูตามม.สากล ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง ปลอดภัยต่อผู้บริโภค

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นผลิตอาหารปลอดภัยตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ ควบคู่การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบและสมเหตุผล ผลิตเนื้อหมูปลอดภัย ผ่านการตรวจสอบสารตกค้าง สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานบริการวิชาการสุกร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยในชีวิตและการมีสุขภาพดีของผู้บริโภคทั่วโลก ตลอดจนมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการตามมาตรฐานสากล ปลอดภัยต่อการบริโภค และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีแนวทางปฏิบัติตลอดห่วงโซ่การผลิตอาหารโปรตีนและดูแลสัตว์ในฟาร์มให้มีความเป็นอยู่สุขสบาย มีอาหารและน้ำพอเพียงตามมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ และได้รับการตรวจประเมิน ทั้งจากหน่วยงานภายในและหน่วยงานอิสระภายนอก เพื่อให้มั่นใจถึงการปฏิบัติต่อสัตว์อย่างเหมาะสมและมีมนุษยธรรม สอดคล้อง ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อกำหนดและข้อบังคับของประเทศผู้ผลิตและประเทศคู่ค้า

น.สพ.ดำเนิน จตุรวิธวงศ์

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์การใช้ยาต้านจุลชีพในสัตว์ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติด้านการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างรับผิดชอบและเหมาะสม ครอบคลุมทั้งฟาร์มของบริษัทและฟาร์มของเกษตรกรในโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของสัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์ม โดยสัตวแพทย์จะต้องมีใบสั่งยาจึงจะทำการร้กษาสัตว์ได้ ไม่มีการใช้สารใดๆ ที่เป็นข้อห้ามทางกฎหมายทั้งหมด และมีการควบคุมกำกับอย่างเข้มงวด มีข้อกำหนด มีระยะหยุดยาที่เหมาะสม และผ่านการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหมูจากฟาร์มสุกรของ ซีพีเอฟ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ปลอดภัยต่อการบริโภค ขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อลดภาวะเชื้อดื้อยา

สำหรับการเลี้ยงสุกร ของ ซีพีเอฟ ให้สุกรมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ตามธรรมชาติ มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ

  • สายพันธุ์สุกรที่ดี แข็งแรงเติบโตได้ดี โดยที่ไม่ต้องใช้สารเร่งการเจริญเติบโต
  • อาหารที่ดี คุณค่าทางโภชนาการตรงตามความต้องการ เหมาะกับแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้สุกรเจริญเติบโตเต็มที่ พร้อมเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับสุกรมีสุขภาพแข็งแรงด้วย โปรไบโอติก
  • โรงเรือนที่ดี โรงเรือนระบบปิด ปรับอากาศให้โรงเรือนเย็นสบายด้วยการระเหยของน้ำ (Evaporative Cooling System : EVAP) พร้อมใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติต่างๆ เข้ามาช่วยในการเลี้ยง เพื่อให้สุกรอยู่อย่างสุขสบาย และมีสุขภาพดี เติบโตเต็มที่ ไม่เครียดไม่เจ็บป่วย
  • การจัดการฟาร์มที่ดี ยึดหลักมาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์ โดยการเลี้ยงดูทุกขั้นตอนมีสัตวแพทย์ และสัตวบาลคอยควบคุมดูแล
  • ระบบการป้องกันโรคในสุกรที่ดี ซีพีเอฟ ใช้ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) ป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค ปลอดจากโรคระบาดสัตว์และโรคระบาดในมนุษย์

“กระบวนการผลิตของ ซีพีเอฟ ทั้งหมด มุ่งเน้นการควบคุมและป้องกันโรคทุกชนิด นอกจากมีสัตวบาลคอยดูแลสุกร ยังมีสัตวแพทย์คอยควบคุมดูแลเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคในฟาร์มทั้งหมด ทุกขั้นตอนควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในทุกส่วน เมื่อสัตว์ไม่มีโรค สุขภาพดี ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฎิชีวนะเพื่อรักษา ซึ่งเป็นผลดีส่งถึงผู้บริโภค” น.สพ.ดำเนิน กล่าว

สำหรับหลักสวัสดิภาพสัตว์ 5 ประการ ประกอบด้วย

  1. ปราศจากความหิว กระหาย และการให้อาหารที่ไม่ถูกต้อง
  2. ปราศจากความไม่สะดวกสบาย อันเนื่องมากจากสภาวะแวดล้อม
  3. ปราศจากความเจ็บปวดและโรคภัย ต้องมีระบบการป้องกันโรคที่เหมาะสม หรือหากได้รับการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยจะได้รับการรักษาที่จำเป็น
  4. ปราศจากความกล้วและความทุกข์ทรมาน และภาวะเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ
  5. มีอิสระในการแสดงออกในพฤติกรรมตามธรรมชาติของสัตว์ เช่น พฤติกรรมการขุดคุ้ย

รู้เก็บรู้ออม : SET IN THE CITY 2024

0

กลับมาแล้วสำหรับงานมหกรรมการเงินการลงทุนที่คอลงทุนถามหาและตั้งตารอกันทุกปี นั่นคือ SET IN THE CITY 2024 ปีนี้มาในธีม “หาโอกาสในตลาดทุน สร้างพอร์ตการลงทุนให้เติบโต” อีเวนต์การเงินการลงทุนที่ครบที่สุดแห่งปี โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีกำหนดจัดงานขึ้นในวันที่ 15 และ 16 มิถุนายน 2567 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ตั้งแต่เวลา 10.00–19.00 น.

ตลอดงานทั้งสองวัน ผู้เข้าร่วมงานจะได้พบกับ 50 หัวข้อสัมมนา และเวิร์กช็อปลงทุนแบบอัดแน่นจัดเต็ม, กูรูตัวจริงเรื่องการลงทุนกว่า 50 ชีวิตมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ ตลอดจนรับบริการและคำแนะนำต่างๆ เช่น เปิดพอร์ตลงทุน, ปรับ-จัดพอร์ตลงทุน, วางแผนลงทุน จาก 50 บูธของโบรกเกอร์ บลจ. และผู้เชี่ยวชาญที่ขนทัพกันมาออกบูธภายในงานนี้

“คุณนายพารวย” เห็นหัวข้อสัมมนาแล้ว ต้องกาปฏิทินรอไว้เลย เพื่อจะได้ไม่พลาด เพราะทุกหัวข้อสัมมนาล้วนน่าสนใจทั้งนั้น เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาโอกาสในตลาดหุ้น เช่น “มองโอกาสของตลาดหุ้นไทย”, “THAI Top Theme เจาะหุ้นไทยกลุ่มไหนที่ได้ไปต่อ”, “ปรับพอร์ตลงทุน คัดหุ้น-ครึ่งปีหลัง” หรือจะเป็นการอัปเดตเทรนด์ และทางเลือกลงทุนใหม่ๆ ในหัวข้อสัมมนา “สร้างโอกาสทำกำไรในหุ้นนอก”, “จัดพอร์ต สร้างกำไร กระจายความเสี่ยงด้วยทอง”, “แก้เกมลงทุน เสริมพอร์ตหุ้นให้แกร่งด้วย TFEX”

ยิ่งเห็นชื่อกูรูที่มาร่วมพูดคุย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีประสบการณ์ตัวจริงเสียงจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “พี่ก้อย” วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ นักวางแผนการเงิน ที่มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ “ทลายความคิด พิชิตเงินล้าน”, “หมอตุ้ย” พญ.อรพรรณ คงพันธุ์วิจิตร เจ้าของเพจหมอยุ่งอยากมีเวลา ในหัวข้อ “Growth Mindset ลงทุนแบบไหน ให้พอร์ตเติบโต” เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีเวิร์กช็อปที่จะมาสอนการใช้เครื่องมือลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมช่วยคัดหุ้น, ใช้ robot ช่วยจัดพอร์ต เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และเก่า และยังมีโปรโมชันมากมาย เตรียมไว้สำหรับผู้มาร่วมงานที่เปิดบัญชีลงทุนใหม่ภายในงาน จะเป็นหุ้น กองทุน หรือ TFEX จะได้รับของสมนาคุณติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอีกด้วย พิเศษเฉพาะงานนี้เท่านั้น

ใครที่ไม่อยากพลาดสามารถลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้แล้วที่ www.setinvestnow.com/setinthecity งานนี้ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย แถมยังได้รับ กระเป๋าผ้า #investnow เอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิก หรือเก็บไว้เป็นของสะสม อย่ารอช้า เพราะของมีจำนวนจำกัด

งานนี้ มือใหม่หัดลงทุน หรือนักลงทุนวัยเก๋า ที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ๆ เพื่อสร้างให้พอร์ตเติบโต ห้ามพลาดเด็ดขาด งานนี้สมการรอคอยแน่นอน หากพลาดไป รออีกทีปีหน้าเลย แถมโอกาสดีๆ ก็จะหลุดลอยไปด้วย!!

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ปิ๊งไอเดีย “สลากเกษียณ” แบบดิจิทัล จูงใจคนไทยออมเพือเกษียณ รางวัลที่หนึ่ง 1 ล.บาท

0

กระทรวงคลัง เตรียมเปิดตัว “สลากเกษียณ” ในรูปแบบสลากขูดดิจิทัล ขายผ่านกอช. ราคาใบละ50 บาท หวังจูงใจให้คนออมเงินเพื่อเกษียณ โดยเงินที่ซื้อสลากจะถูกออมในกอช. และไถ่ถอนได้เมื่ออายุครบ 60 ปี ออกรางวัลทุกวันศุกร์ รางวัลที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท 5 รางวัล คาดเริ่มปีหน้า 2568

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2567 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยมีปัญหาประชาชนเข้าสู่วัยเกษียณ แต่ไม่มีเงินเก็บ ปัญหานี้จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วของไทย และปัญหานี้แก้ไม่ได้ด้วยการอัดงบประมาณในรูปแบบเบี้ยคนชราจำนวนสูงๆ ซึ่งไม่มีทางรับไหว

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

ดังนั้น กระทรวงการคลังกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา “นโยบายสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ” หรือ “สลากเกษียณ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบายที่รวมเอาลักษณะการชอบเสี่ยงดวงของคนไทยมาเป็นแรงจูงใจในการเก็บออมที่สามารถถอนเงินที่ซื้อสลากทั้งหมดออกมาได้ตอนเกษียณ (อายุ 60 ปี) โดยมีรายละเอียดเบื้องต้น คือ

  1. กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ออกสลากขูดแบบดิจิทัล ใบละ 50 บาท ขายให้กับสมาชิก กอช. ผู้ประกันตน ม. 40 และแรงงานนอกระบบ (กลุ่มเป้าหมายจะเพิ่มเติมภายหลัง) ซื้อได้ไม่เกิน 3,000 บาท ต่อเดือน
  2. สามารถซื้อสลากได้ทุกวัน โดยออกรางวัลทุกวันศุกร์เวลา 17.00 น. ผู้ถูกรางวัลจะได้เงินรางวัลทันที โดยที่เงินค่าซื้อสลากถูกเก็บเป็นเงินออม แม้ว่าจะถูกรางวัลหรือไม่ก็ตาม
  3. รางวัลสลากเกษียน เบืื้องต้นกำหนดดังนี้
    • รางวัลที่ 1 จำนวน 1,000,000 บาท จำนวน 5 รางวัล
    • รางวัลที่ 2 จำนวน 1,000 บาท จำนวน 10,000 รางวัล
  4. เงินค่าซื้อสลากทั้งหมดจะเป็นเงินออมของผู้ซื้อสลาก (เงินสะสม) ซึ่งจะนำเงินส่งเข้าบัญชีเงินออมรายบุคคลกับ กอช. โดย กอช. จะเป็นผู้บริหารจัดการ และเมื่อผู้ซื้อสลากอายุครบ 60 ปี จะสามารถถอนเงินทั้งหมดที่ซื้อสลากออกมาได้

ทั้งนี้ นโยบายนี้เพื่อแก้ไขปัญหาคนไทยแก่แต่จน แก่แต่ไม่มีเงินเก็บ เพราะการออมภาคสมัครใจในปัจจุบันไม่ได้ผล ต้องอาศัยการออมที่ผูกกับแรงจูงใจซื้อสลาก ถูกกฎหมาย เงินไม่หาย กลายเป็นเงินออมยามเกษียณ ถูกรางวัลได้เงินเลย ไม่ถูกทุกบาททุกสตางค์จะถูกเก็บเป็นเงินออมยามเกษียณ สำหรับนโยบายนี้อยู่ระหว่างแก้ไขปรับปรุงกฒกหมาย และรับฟังความคิดเห็น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 6 เดือน-1 ปี

อย. ย้ำ ข้อความที่แชร์ในโซเชียลฯ ว่า “ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่วางตากแดดไว้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดเป็นมะเร็ง” ไม่เป็นความจริง

0

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เผยจากการที่มีการแชร์ข้อความผ่านสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ว่าห้ามดื่มน้ำจากขวดน้ำดื่มพลาสติกที่เก็บในรถยนต์ที่จอดตากแดด หรือที่ถูกวางตากแดดไว้เป็นระยะเวลานาน เพราะความร้อนจะทำให้สารเคมีอันตรายที่อยู่ในขวดพลาสติก เช่น สารไดออกซิน (Dioxin) สารบีสฟีนอลเอ (Bisphenol A หรือ BPA) และสารทาเลต (Phthalate) ละลายออกมาปนเปื้อนในน้ำดื่มเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ส่งผลต่อความผิดปกติของพันธุกรรม ทำให้เกิดเป็นโรคมะเร็งได้นั้น

ในความเป็นจริงแล้วในการผลิตขวดน้ำดื่มพลาสติกทั้งชนิดพอลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate; PET) พอลิพรอพิลีน (Polypropylene; PP) และพอลิคาร์บอเนต (Polycarbonate; PC) ไม่ได้มีการใช้สารไดออกซินและสารทาเลต

*** ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสปนเปื้อนสารพิษเหล่านี้ ***

สำหรับสารบีสฟีนอลเอ ถึงแม้ว่าจะมีการใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตพลาสติกชนิดพอลิคาร์บอเนต (polycarbonate; PC) แต่ อย. มีการกำหนดคุณภาพมาตรฐานของภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากพลาสติกชนิดต่าง ๆ ไว้แล้ว ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 435) พ.ศ. 2565 ออกตามความในพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่อง กำหนดคุณภาพหรือมาตรฐานของภาชนะบรรจุที่ทำจากพลาสติก ที่จำเป็นต้องตรวจวิเคราะห์ด้านความปลอดภัย เช่น ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค ไม่มีสีออกมาปนเปื้อนกับอาหาร ควบคุมปริมาณการแพร่กระจายของโลหะหนัก ควบคุมปริมาณการแพร่กระจายของสารตั้งต้นและสารที่ใช้ในการผลิตพลาสติก เป็นต้น ซึ่งผู้ผลิตน้ำบริโภคบรรจุขวด ต้องใช้ภาชนะบรรจุที่มีคุณภาพหรือมาตรฐานเป็นไปตามที่ประกาศกำหนด

อีกทั้ง ปัจจุบันยังไม่มีรายงานการตรวจพบสารไดออกซินในพลาสติก และยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าในที่อุณหภูมิสูงนั้นสารเคมีต่าง ๆ ที่ละลายออกมาจากขวดพลาสติกจะทำปฏิกิริยาจนเกิดเป็นสารไดออกซินได้ ที่ผ่านมาพบเพียงบางงานวิจัยเท่านั้นที่พบว่าขวดน้ำดื่มพลาสติกที่ตั้งไว้ในที่อุณหภูมิสูงเกิน 60 องศาเซลเซียส นานเป็นเวลาเกิน 11 เดือน จะทำให้สารทาเลต ละลายออกมาเกินมาตรฐานที่อียู(EU) กำหนดไว้

*** สรุป ข้อความที่ว่า “ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกที่วางตากแดดไว้เป็นเวลานาน ทำให้เกิดเป็นมะเร็ง” #จึงไม่เป็นความจริง

ดังนั้นผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าการดื่มน้ำจากขวดน้ำดื่มพลาสติกที่เก็บในรถยนต์ที่จอดตากแดด หรือที่ถูกวางตากแดดไว้เป็นระยะเวลานานนั้น ไม่ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ต่อร่างกาย

เมืองไทยประกันชีวิต ดึง “บิวกิ้น-พีพี” ชวนกด Subscribe ‘D Health Plus’ เปลี่ยน ‘ประกันสุขภาพ’ ให้เป็นเรื่องใกล้ตัว

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าตอบโจทย์ความต้องการของคน Gen ใหม่ พร้อมปรับแนวคิดให้ความคุ้มครองสุขภาพเป็นเรี่องใกล้ตัว เพราะหลายคนมองว่า “ประกันสุขภาพ” เป็นเรื่องไกลตัวที่มักมองข้าม เพราะอายุยังน้อย ร่างกายแข็งแรง บางคนก็มีสวัสดิการของบริษัทครอบคลุมอยู่แล้ว เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมเพราะคิดว่าเหมือนจ่ายเงินเสียเปล่ายังไงก็ไม่ได้ใช้ ขอเอาเงินที่ต้องใช้จ่ายตรงนี้ ไปทำกิจกรรมตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบดีกว่า

สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

แต่จริง ๆ แล้วคน Gen ใหม่ที่อายุยังน้อยก็มีความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ และโรคร้ายไม่แพ้คน Gen อื่นเลย เห็นได้จากข่าวที่เดี๋ยวนี้คนอายุน้อยป่วยเป็นโรคร้ายแรงเร็วขึ้น หรือแอดมิตด้วยโรคเล็กๆ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน พอเจ็บป่วยต้องแอดมิต ค่ารักษาอาจมากระทบกับเงินส่วนอื่นได้ ดังนั้นหากมีความคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่ายอย่าง ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus) ไว้ก็ช่วยให้อุ่นใจ คลายกังวัลกับเรื่องค่ารักษาพยาบาลและได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ตามไลฟ์สไตล์ของตนเอง

ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ โดยได้ “บิวกิ้น” พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ “พีพี” กฤษฏ์ อำนวยเดชกร เป็นตัวแทนคนเจนใหม่ชวนเปลี่ยนประกันสุขภาพให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ซื้อง่ายอยู่ที่ไหนก็เข้าถึงได้ โดยโฆษณาชุดนี้เรื่องราวสื่อสารถึงโลกในปัจจุบันที่อยากเอ็นจอยกับอะไร ก็แค่ Subscribe เพื่อติดตามเข้าไปดู ทั้งหนัง ซีรีส์ เกม หรือแอปพลิเคชัน แต่รู้ไหมที่เราทำอะไรเพลิน ๆ กันอยู่ โรคร้ายก็รอซับโดยที่ไม่ทันตั้งตัว และในไลฟ์สไตล์ทุกวันนี้ที่มีความเสี่ยงซ่อนตัวอยู่

โดยในโฆษณามีการนำเสนอให้เห็นภาพมากขึ้น เล่าผ่านตัวมอนสเตอร์ที่เป็นเหมือนตัวแทนโรคต่าง ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกไลฟ์สไตล์ ให้รู้สึกว่าโรคต่าง ๆ อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์โรคทางเดินหายใจที่เกิดจากฝุ่น PM 2.5 มลพิษทางอากาศที่เราต้องเผชิญเมื่อออกจากบ้าน มอนสเตอร์โรคลำไส้ที่เกิดจากการรับประทานอาหาร ถือของหนักหรือท่านั่งไม่ถูกต้องก็จะเป็นมอนสเตอร์โรคกระดูก มอนสเตอร์โรคกล้ามเนื้ออักเสบที่อาจเกิดจากการใช้กล้ามเนื้ออย่างหักโหม ซึ่งมอนเตอร์เหล่านี้คือตัวแทนของโรคเล็ก ๆ ที่กลายร่างเป็นโรคร้ายแรง ๆ ได้ ก่อนที่จะโดนมอนสเตอร์มาซับ เราต้อง Subscribe ความคุ้มครองสุขภาพที่ดีๆ ไว้ซัปพอร์ตก่อน

ก่อนที่โรคร้ายจะเข้ามา Subscribe ตัวแทนคน Gen ใหม่อย่าง “บิวกิ้น-พีพี” ชวนมา Subscribe ความคุ้มครองสุขภาพดี ๆ อย่าง D Health Plus กดซื้อง่ายมาก เพียงแค่ Subscribe ก็ได้ความคุ้มครองที่คิดมาเพื่อซัปพอร์ตไลฟ์สไตล์แบบคน Gen ใหม่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น
• พร้อมซัปพอร์ตค่ารักษา แอดมิตเมื่อไหร่เหมาจ่ายค่ารักษา 5 ล้านบาท(1)
• เบี้ยเดือนละไม่ถึง 1,778 บาท(2) จ่ายเบา ๆๆ สบายกระเป๋า เอาใจคนเจนใหม่
• ครอบคลุมโรคเล็ก ๆ ถึง โรคแรง ๆๆ
• รับส่วนลดเบี้ยสูงสุด 15%(3) สำหรับเบี้ยประกันปีต่ออายุ เพียงทำกิจกรรมผ่าน MTL Fit Application

สำหรับผู้ที่สนใจความคุ้มครองสุขภาพ “ดี เฮลท์ พลัส (D Health Plus)” จากเมืองไทยประกันชีวิต ขั้นตอนการสมัครที่ทำได้ง่าย ๆ ผ่านทุกช่องทางของเมืองไทยประกันชีวิต สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th หรือโทร.1766 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อช่องทางออนไลน์ ตัวแทน สาขา และช่องทางอื่น ๆ จากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ

โดยทุกท่านสามารถติดตามโฆษณาดังกล่าวได้จากช่องทาง ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซต์ www.muangthai.co.th, YouTube, Facebook, Instagram, X, LINE Official Account และ TikTok ของเมืองไทยประกันชีวิต ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

“เรามีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance) ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างได้อย่างเข้าใจ และเข้าถึงได้จริง เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้ มีหลักประกันที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างความสุข และรอยยิ้มแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย” นายสาระ กล่าว

ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาระบบ SET Carbon จับมือพันธมิตร ยกระดับคุณภาพข้อมูลปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2050

0

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก้าวสู่ปีที่ 50 มุ่งพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Commitment) เดินหน้าพัฒนาระบบ SET Carbon เปิดเผยข้อมูลการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของตลาดทุน ตามแผนกลยุทธ์ปี 2567 โดยนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการจัดการข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และเชื่อมต่อข้อมูลกับหน่วยงานด้านพลังงานและทรัพยากร หวังยกระดับข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, Governance: ESG) เพื่อประโยชน์ของการใช้ข้อมูล พร้อมลดกระบวนการทำงานของ บจ. ล่าสุด ร่วมกับ กฟผ. แลกเปลี่ยนข้อมูลการใช้พลังงาน บจ. โดยระบบ SET Carbon เฟสแรกจะเปิดให้บริการสำหรับ บจ. ที่สนใจ ภายในไตรมาสแรกปี 2568

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล และอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจ โดยสาเหตุสำคัญมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมของมนุษย์ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Commitment) ขององค์กรภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) โดยปัจจุบัน อยู่ระหว่างพัฒนาระบบการจัดการข้อมูลก๊าซเรือนกระจก หรือระบบ SET Carbon เพื่อเป็นเครื่องมือจัดการ จัดเก็บ และคำนวณข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมทางธุรกิจ โดยนำเทคโนโลยีและมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ มาจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ

ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

“ระบบ SET Carbon จะยกระดับคุณภาพข้อมูล ESG บจ. เพื่อให้ผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนและติดตามการเปิดเผยข้อมูลของธุรกิจ และธุรกิจใช้วางแผนจัดการก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนลดต้นทุนและกระบวนการของ บจ. โดยข้อมูลจากระบบ SET ESG Data Platform พบว่า ในปี 2567 มี บจ. เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและได้รับการทวนสอบแล้ว 266 บริษัท หรือ 32% ของ บจ.ทั้งหมด ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ บจ. เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวมาจากมาตรการสนับสนุนการลงทุนในกองทุน Thai ESG และการเตรียมพร้อมของ บจ. สำหรับการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบต่างๆ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบ SET Carbon ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน โดยในปีนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นศูนย์กลางข้อมูลพลังงานระดับประเทศ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้ความรู้แก่ บจ. ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบ SET Carbon เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายและแนวทางบริหารจัดการด้านพลังงานที่ตอบโจทย์ทุกภาคส่วน รวมทั้งเปิดรับพันธมิตรอื่น ๆ ในการพัฒนายกระดับคุณภาพและการใช้ข้อมูล ESG เพื่อการเปลี่ยนผ่านประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อไป” นายภากรกล่าว

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านความร่วมมือในการบูรณาการข้อมูลด้านพลังงานและกลไกทางเศรษฐศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการตัดสินใจของผู้ลงทุน ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ที่ผ่านมา กฟผ. ในฐานะผู้ได้รับสิทธิ์จากมาตรฐาน The International Tracking Standard (I-TRACK) หรือชื่อเดิม The International REC Standard (I-REC) ให้เป็นผู้รับรอง (Local Issuer) โดยผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทยได้มีการขอออกใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) แล้วกว่า 20 ล้านใบรับรอง ตามการขยายตัวเพิ่มขึ้นของตลาดการซื้อขาย REC ในทุกปี และความต้องการของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ในการเข้าถึงพลังงานสะอาด เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่สังคมสีเขียวต่อไป

ระบบ SET Carbon จัดการข้อมูลโดยแยกเป็นกลุ่มรายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions Inventory) ครอบคลุมการใช้พลังงานและทรัพยากรในกิจกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ โดยจำแนกข้อมูลตามกลุ่มอุตสาหกรรม และสามารถจัดทำรายงานในรูปแบบ Dashboard ตลอดจนสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น อาทิ SET ESG Data Platform ของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงหน่วยงานที่เป็นเจ้าของข้อมูลการใช้พลังงานและทรัพยากร ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาระบบต้นแบบ (prototype) โดยมี บจ. นำร่อง 20 บริษัทจากทุกกลุ่มอุตสาหกรรมร่วมทดสอบ ก่อนเปิดใช้อย่างเป็นทางการภายในไตรมาสแรกปี 2568 โดยในเฟสแรก เน้น บจ. ที่สนใจใช้เครื่องมือจัดทำและเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากกิจกรรมขององค์กร) และขอบเขตที่ 2 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน) พร้อมทวนสอบข้อมูลก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนดของ 56-1 One Report และจะขยายไปสู่ขอบเขตที่ 3 (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากห่วงโซ่คุณค่า) ของ บจ. ในเฟสต่อไป บจ. ที่สนใจ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายพัฒนาบริการด้านความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โทร 0 2009 9894 หรือ 0 2009 9887

ออมสินชวนโหลดสติกเกอร์ไลน์​ “GSB NOW x น้องออมโม่” ลุ้นรับรางวัลทุกการดาวน์โหลด

0

ทุกการดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุด “GSB NOW x น้องออมโม่” มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล พวงกุญแจ Labubu และ Crybaby สุดปัง มากกว่า 10 รางวัล*

??โหลดเลย! ฟรี >> https://shorturl.asia/16ePu ตั้งแต่ 28 พฤษภาคม – 25 สิงหาคม 2567 เท่านั้น

ติดตามประกาศผลผู้โชคดีผ่านช่องทาง LINE GSB NOW

เงื่อนไขการร่วมกิจกรรม

  • 1. ผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องเป็นเพื่อนกับ LINE Official Account GSB NOW พร้อมตอบแบบสอบถามและดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ชุด GSB NOW x น้องออมโม่ ในระยะเวลาที่กำหนด มีสิทธิลุ้นรับของรางวัล Art Toy สุดปัง ดังนี้ – ตั้งแต่ วันที่ 28 พ.ค.67 – 30 มิ.ย.67 ลุ้นรับ! กล่องสุ่ม LABUBU Macaron (คละสี) จำนวน 10 รางวัลประกาศผลผู้โชคดีวันที่ 20 ก.ค. 67 เวลา 12.00 น. ผ่าน LINE GSB NOW – ตั้งแต่ วันที่ 1 – 31 ก.ค.67 ลุ้นรับ! CRYBABY CHEER UP, BABY! SERIES-Plush Doll Pendant จำนวน 3 รางวัล ประกาศผลผู้โชคดี วันที่ 20 ส.ค. 67 เวลา 12.00 น. ผ่าน LINE GSB NOW
  • 2. ผู้ร่วมกิจกรรมที่มีสิทธิ์รับรางวัลจะต้องเป็นผู้ที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
  • 3. ผู้โชคดีจะได้รับการติดต่อกลับจากตัวแทนของธนาคารออมสินเพื่อยืนยันรับสิทธิ์ หากติดต่อผู้โชคดีไม่ได้ภายใน 3 วัน จะถือว่าสละสิทธิ์ โดยเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด
  • 4. ของรางวัลจะจัดส่งให้ทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่ท่านแจ้งยืนยันสิทธิ์ภายใน 15 วันทำการ หลังจากวันที่ประกาศผลผู้โชคดี ธนาคารจะไม่รับผิดชอบใด ๆ หากสินค้ามีการชำรุด หรือ สูญหายจากการขนส่ง และ สงวนสิทธิ์ในการจัดส่งรางวัลใหม่ในทุกกรณี
  • 5. ผู้ที่ได้รับรางวัลยืนยันสิทธิ์ด้วยข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือ ไม่ถูกต้อง ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ตัดสิทธิ์ในการจัดส่งสินค้า อันอาจเป็นผลทำให้สินค้าสูญหายหรือถูกตีกลับ
  • 6. ของรางวัลไม่สามารถแลกเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงเป็นเงินสด หรือโอนสิทธิ์การรับรางวัลให้แก่ท่านอื่น ๆ ได้ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม
  • 7. ผู้ร่วมกิจกรรมยินดีและตกลงที่จะทำตามข้อกำหนดและเงื่อนไข รวมทั้งการตัดสินของคณะกรรมการการจัดกิจกรรม
  • 8. ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงของรางวัลโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  • 9. ธนาคารขอสงวนสิทธิ์พิจารณารางวัล 1 รางวัล ต่อ 1 ท่าน ตลอดระยะเวลากิจกรรม
  • 10. เงื่อนไขอื่นๆเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด