Home Blog Page 100

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เดินหน้า “โครงการบ้านชื่นสุข” สร้างสุขผู้สูงอายุ ตอกย้ำ “ความกตัญญู”

0

วันนี้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างสมบูรณ์ จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย หรือผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีจำนวน 13.64 ล้านคน คิดเป็น 19.5% หรือ 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ในจำนวนนี้เป็นผู้สูงอายุที่ยังคงทำงานอยู่จำนวน 5.11 ล้านคน คิดเป็น 37.5% ของผู้สูงอายุทั้งหมด การเผชิญหน้ากับ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ จึงนับเป็นโจทย์ที่ท้าทายเพราะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรครั้งสำคัญ

มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท ตระหนักถึงสถานการณ์ของสังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยมาโดยตลอด จึงได้ขับเคลื่อน “โครงการบ้านชื่นสุข” ต.หัวง้ม อ.พาน จ.เชียงราย เพื่อสนับสนุนเสริมสร้างพลังกายและพลังใจให้กับผู้สูงวัย ควบคู่ไปกับการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้สูงอายุ ให้ก้าวข้ามผ่านความกลัว ความเศร้า และความทุกข์ใจ เกิดความตระหนักและเห็นคุณค่าในตนเอง เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

ธิดา สำราญใจ ผู้บริหารด้านพัฒนาเด็กและเยาวชน มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท กล่าวว่า ผู้สูงอายุถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่าต่อสังคมและประเทศชาติ เพราะเป็นผู้ที่พร้อมไปด้วยความรู้ ประสบการณ์ คุณวุฒิ และภูมิปัญญา การทำให้ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีความสุขในบั้นปลาย โดยต้องมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ได้รับเกียรติ ได้รับการยอมรับ การเห็นคุณค่า ทั้งจากครอบครัวและสังคม ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจ ขณะเดียวกัน “ผู้สูงอายุ” ก็ถือเป็นวัยที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลง เสื่อมโทรมถดถอยในด้านต่างๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ อาจมีโรคภัยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง

“โครงการบ้านชื่นสุข เกิดขึ้นเพื่อพัฒนาฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเพียงลำพัง และมีภาวะเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า แต่ยังสามารถ ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้ ให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด โดยบุคลากรอาสา เพื่อให้ท่านรับรู้ได้ว่าตนเองยังมีความสำคัญ มีคนห่วงใย พร้อมช่วยดูแล สร้างความอบอุ่นใจให้พวกท่าน เพื่อที่จะต่อสู้กับชีวิตในวัยสูงอายุได้ดีขึ้น และยังถือเป็นการตอกย้ำในเรื่อง “ความกตัญญู” รวมถึงการตอบแทนบุญคุณ รู้จักให้ ที่คนรุ่นลูกรุ่นหลานพึงกระทำ” ธิดา กล่าว

ทางด้าน อาจารย์ อัญชลี ไก่งาม อดีตรองผู้อำนวยการโรงเรียนป่าแดงวิทยา ต.หัวง้ม อ.พาน จ.เชียงราย ที่ปัจจุบันได้เข้ามาเป็นบุคลากรอาสา ดูแลโครงการบ้านชื่นสุขร่วมกับมูลนิธิฯ กล่าวว่า โครงการบ้านชื่นสุข เป็นโครงการฯ ที่สร้างความสุขให้แก่ผู้สูงอายุอย่างแท้จริง ทำให้ผู้สูงวัยเข้าใจถึงคำว่า “แก่อย่างสง่า ชราอย่างมีคุณภาพ” เพราะสามารถพึ่งพาตนเองได้ และไม่เป็นภาระของสังคม อย่างน้อยโครงการฯ ก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระทั้งภาครัฐ และลูกหลานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ในการดูแลผู้สูงวัยในครอบครัว

“ถึงแม้ผู้สูงอายุบางคนจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ก็ยังต้องการความรัก การเอาใจใส่จากครอบครัวและลูกหลาน จึงอยากเชิญชวนให้ลูกหลานกลับไปเยี่ยมผู้สูงอายุที่บ้านกันบ้าง ไม่ต้องมีเงินทองมากมายมาให้ เพียงแต่มาเยี่ยม มาพูดคุย ให้กำลังใจ อยู่เป็นเพื่อนท่านบ้าง ก็ถือเป็นการสร้างความสุขในบั้นปลายให้แก่ท่านแล้ว” อาจารย์อัญชลี กล่าว

บุญยนุช จันทร์บุญธรรม หรือ คุณยายญา ตัวแทนผู้เข้าร่วมโครงการฯ บอกนิยามของโครงการฯนี้ว่า “กินอิ่ม นอนอุ่น” เป็นคำพูดที่เข้าใจได้ง่าย และสะท้อนผลสำเร็จ ของโครงการฯ จากสุขภาพร่างกายที่อ่อนแรง และจิตใจที่อ่อนแอ การได้เข้าร่วมโครงการบ้านชื่นสุข ทำให้ได้ศึกษาธรรมะ ฝึกสมาธิ และทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆร่วมกับคนในวัยเดียวกัน คุณยายรู้สึกสนุกและมีความสุขทุกครั้งที่ได้มาเจอเพื่อน ๆ โครงการฯ นี้พลิกฟื้นชีวิตให้กลับมาเป็นปกติ มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง กลับมาทำกับข้าว กวาดบ้านถูบ้านได้ สรุปง่ายๆว่า “ช่วยคืนชีวิต คืนความสุขให้กับผู้สูงอายุได้ 100%”

โครงการบ้านชื่นสุข ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ตอกย้ำความเชื่อของเครือซีพี ในคุณค่า ‘ความกตัญญู’ ที่สามารถบ่มเพาะให้เติบโตในจิตใจของทุกคน ที่จะกลายเป็นการหยั่งรากสร้างพื้นฐานที่มั่นคงและยั่งยืนในสังคม ซึ่งถือเป็นคุณธรรมที่ดีงามของสังคมไทย

เมืองไทยประกันชีวิต ส่งแอปฯ MTL Click คว้ารางวัลสุดยอดสินค้าและบริการแห่งปี “BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024” 4 ปีซ้อน

0

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  (MTL)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยการนำเทคโนโลยีที่เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาช่องทางที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้บริการลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย โดยแอปพลิเคชัน MTL Click คือแพลตฟอร์มสำหรับให้บริการลูกค้าของบริษัทฯ  ให้สามารถเข้าถึงทุกบริการของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นบริการการเช็กกรมธรรม์ เลือกดูผลประโยชน์และความคุ้มครองอื่นๆ  สามารถเข้าถึงกรมธรรม์ของคนในครอบครัว (Shared Policy) เชื่อมข้อมูลรายการกรมธรรม์ประกันชีวิตของคนในครอบครัวได้อย่างสะดวก และยังชำระเบี้ยประกันให้กันได้ผ่านแอปพลิเคชัน (ต้องได้รับการยินยอมจากผู้ถือกรมธรรม์)  มีบริการชำระเบี้ยประกันผ่านระบบออนไลน์ บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (บริการพิเศษสำหรับลูกค้าบริษัทฯ ที่มีความคุ้มครองสุขภาพแบบ OPD) ตลอด 24 ชั่วโมง ให้คำปรึกษาโดยการสนทนากับคุณหมอจากทางโรงพยาบาลผ่านวิดีโอคอล โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และโรงพยาบาลกำหนด   บริการยื่นเอกสารเคลมทางออนไลน์โดยการอัพโหลดเอกสารและดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้อีกทั้งยังสามารถติดตามผลการเคลมสินไหมได้ บริการกิจกรรมเมืองไทยสไมล์คลับตลอดจนสามารถแลกคะแนนสะสมเพื่อร่วมกิจกรรมหรือรับสิทธิประโยชน์ บริการค้นหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด  ค้นหาโรงพยาบาลคู่สัญญาและศูนย์บริการลูกค้าได้อย่างง่ายดายจะอยู่ใกล้ไกลด้วยบริการค้นหาสถานพยาบาลคู่สัญญาของกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ 

นอกจากนี้ MTL Click ยังมีบริการพอร์ตการลงทุนตอบโจทย์ไลฟ์สไลต์คนรุ่นใหม่สามารถตรวจสอบข้อมูลพร้อมเชื่อมโยงผู้ลงทุนให้สามารถเข้าถึงคำแนะนำการลงทุนจากผู้เชี่ยวชาญด้วยคำแนะนำพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม  รวมไปถึง การทำรายการด้านการลงทุนอำนวยความสะดวกในการทำรายการเกี่ยวกับการลงทุน ให้ลูกค้าได้ลงทุนอย่างมั่นใจบรรลุทุกเป้าหมายทางการเงิน  นับได้ว่าแอปพลิเคชัน MTL Click มีการพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน แอปพลิเคชัน MTL Click ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมทุกธุรกรรมและบริการหลังการขายครบจบในแอปเดียว ที่มียอดดาวน์โหลดถึง 1,300,000 ดาวน์โหลด  จนสามารถคว้ารางวัล “สุดยอดนวัตกรรมสินค้าและบริการแห่งปี 2567” หรือ “BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024” มาได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4  จากนิตยสาร BUSINESS+ โดยบริษัท เออาร์ไอพี จํากัด (มหาชน) ได้ร่วมกับวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีนางสาวนาเดีย  สุทธิกุลพานิช รองกรรมการผู้จัดการ Head of Fuchsia Innovation Center เมืองไทยประกันชีวิต เป็นตัวแทนบริษัทฯเข้ารับมอบรางวัลดังกล่าว   ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ  นุรักษ์ มาประณีต องคมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล

“บริษัทฯ มีความยินดีกับความสำเร็จที่ได้รับรางวัล “BUSINESS+ PRODUCT INNOVATION AWARDS 2024” ซึ่งเป็นการยืนยันถึงคุณภาพและความสำเร็จของในการสร้างนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์และบริการ รางวัลนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงประสิทธิภาพการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของผลิตภัณฑ์และบริการของเราที่มีผลในการสร้างสรรค์และตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่มีประสิทธิภาพ” นายสาระกล่าวสรุป

รู้เก็บรู้ออม : บริหารความเสี่ยง

0

การจะเป็นผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการที่ได้รับการยอมรับฝีมือนั้น ต้องผ่านบทพิสูจน์ ซึ่งมีเรื่องของ “ความเสี่ยง” เป็นหนึ่งในบททดสอบที่จะวัดระดับความสามารถของผู้บริหารองค์กรในการจัดการกับความเสี่ยงของกิจการ

ความเสี่ยงในการทำธุรกิจนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และสร้างความเสียหายให้แก่กิจการทั้งแบบตัวเงิน และแบบไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือของกิจการ ผู้บริหารที่ดี จึงควรเรียนรู้และเข้าใจในความเสี่ยงประเภทต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ที่กิจการอาจไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย, ความเสี่ยงด้านการดำเนินงานภายในกิจการเอง, ความเสี่ยงด้านการเงิน เช่นกิจการอาจมีปัญหาสภาพคล่องที่เกิดจากสภาพเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ ซึ่งกิจการอาจต้องประสบ ปัญหาจากข้อบังคับหรือกฎระเบียบของประเทศต่างๆ เพื่อจะได้บริหารจัดการกับความเสี่ยง และนำพาให้องค์กรผ่านพ้นปัญหาไปให้ได้

ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการที่สนใจ ตอนนี้โอกาสดีมาถึงแล้ว “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ขอเชิญชวนบุคลากรองค์กร มาร่วมฟังสัมมนาออนไลน์ หัวข้อ “สร้างมูลค่าองค์กรด้วยการบริหารความเสี่ยง” ในวันอังคารที่ 14 พ.ค.2567 นี้ ตั้งแต่เวลา 13.30 ถึง 16.30 น.

ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้เรียนรู้หลักการบริหารความเสี่ยง กรอบแนวคิดการบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร ผ่านกรณีศึกษาทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งเรียนรู้ปัจจัยสำคัญ เงื่อนไขที่การบริหารความเสี่ยงจะประสบความสำเร็จ จากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ จะมาถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ได้แก่ คุณพันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง และคุณปรีดิ์ ปรีชาบริสุทธิ์กุล ผู้อำนวยการสายงานที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง บริษัท PwC ประเทศไทย

นอกจากผู้ร่วมสัมมนาจะได้รู้จักกับความเสี่ยงประเภทต่างๆ, ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในการทำธุรกิจ และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความเสี่ยงด้วยวิธีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังจะช่วยเปิดมุมมองให้เห็นโอกาสทางธุรกิจที่มาพร้อมกับความเสี่ยงเหล่านั้นซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรอีกทาง

งานนี้เปิดกว้างให้ผู้สนใจทุกคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ, ผู้บริหาร หรือบุคลากรในบริษัทจดทะเบียน และบริษัททั่วไป สามารถเข้าร่วมสัมมนาได้ โดยไม่จำกัดจำนวนคน และพิเศษสำหรับ ผู้ที่ Check in เข้าชมสัมมนาและทำแบบประเมินผลในวันงาน จะได้รับบทสรุปพิเศษเอาไปทบทวนความรู้อีกด้วย

ผู้สนใจ สามารถลงทะเบียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ https://www.setlink.set.or.th/education/detail/course/live–seminar–risk–management โดย Link และ QR Code สำหรับการเข้าชม Live จะถูกส่งไปทางอีเมลของผู้สมัครภายหลังลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถโทร.สอบถามได้ที่ SET contact center เบอร์โทร. 0-2009-9999.


คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง" หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

คนอายุ 40 อัพได้เฮ!!! เงินฝากดอกเบี้ยสูงจากออมสิน จองสิทธิ์ได้แล้ววันนี้ – 30 มิ.ย.67

0

? เปิดลงทะเบียนแล้ว …ออมเงินเตรียมเกษียณให้ชีวิตได้เกษมสำราญ กับเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.84 ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำร้อยละ 3.34 ต่อปี) รับเต็มไม่เสียภาษี … อย่าช้ารีบลงทะเบียนจองสิทธิ์เลย
➡️ สนใจลงทะเบียน คลิก > https://shorturl.asia/cqF76

✨ เริ่มเปิดให้ลงทะเบียนแล้ววันนี้ เพียงทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
? ขั้นตอนที่ 1 ลงทะเบียนจองสิทธิ์ฝากเงิน ตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย. 67 (เวลา 08.30 น.) ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 67 หรือจนกว่าจะครบวงเงิน ผ่าน 3 ช่องทางออนไลน์
1.) เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th
2.) Line Official : GSB Society
3.) แอปพลิเคชัน MyMo
? ขั้นตอนที่ 2 เปิดบัญชีขั้นต่ำ 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท ทั้งนี้ ต้องไม่เกินจำนวนเงินที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์
◾ รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดาอายุ 40 ปี ขึ้นไป (นับตาม พ.ศ.)
◾ ถอนก่อนฝากครบ 10 ปี จำนวนเงินที่ถอนได้ดอกเบี้ยเงินฝากเผื่อเรียก
◾ จ่ายดอกเบี้ยทุกปี
◾ *บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย
◾ ต้องใช้สิทธิ์ฝากเงินที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 30 มิ.ย. 67

ภาวะโลกรวน : วัฎจักรราคาสินค้าเกษตรสูงทั่วโลก บริโภคอย่างเข้าใจ

0
บทความโดย อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ

“ภาวะโลกรวน” เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) และสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ในระยะเวลายาวนาน โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการเกษตร ชี้ว่า ความแปรปรวนของภูมิอากาศจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อผลผลิตทางการเกษตรสำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะข้าว ข้าวโพด อ้อย การเลี้ยงสัตว์ และการประมง เพราะเป็นปัจจัยลบต่อความเพียงพอของอาหาร การเข้าถึงอาหารและคุณภาพของอาหารลดลง ซึ่งจะทำให้แนวโน้มราคาสูงขึ้นต่อเนื่องในอนาคต สั่นคลอนความมั่นคงทางอาหารในทุกระดับ กล่าวคือ  ระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น 

คลื่นความร้อนดังกล่าว ยังทำให้เกิดภัยธรรมชาติหลายด้าน เช่น ภาวะน้ำแล้งรุนแรง (Extreme Drought) และภาวะน้ำท่วมรุนแรง (Extreme Flood) ที่พบบ่อยขึ้น ซึ่งมีผลต่อระบบนิเวศและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเพาะปลูกพืชผลผลิตต่อไร่ลดลง จากน้ำไม่เพียงพอ ดินขาดความชุ่มชื้น ขณะที่ภาคปศุสัตว์ผลผลิตไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อากาศร้อนทำให้พฤติกรรมสัตว์เปลี่ยนแปลง สัตว์เครียด ไม่กินอาหาร โตช้าและผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดตามมา เป็นอีกหนึ่งความท้าทายและความยากลำบากของเกษตรกรในการรักษาประสิทธิภาพการผลิต ทั้งคุณภาพและปริมาณให้เพียงพอต่อความต้องการเพื่อความมั่นคงทางอาหาร ราคาผลผลิตทางการเกษตรจึงจำเป็นต้องปรับขึ้น เพื่อจูงใจให้มีการผลิตอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับผลผลิตภาคการเกษตรและภาคปศุสัตว์ที่ขึ้นกับดินฟ้าอากาศที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว ต้นทุนการผลิตทั้งปุ๋ย อาหารสัตว์ น้ำมัน ค่าขนส่ง การป้องกันโรคระบาดและความต้องการของผู้ซื้อต่อผู้ผลิตด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นต้นทุนสำคัญที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร หากราคาสินค้าเกษตรไม่สามารถปรับขึ้นได้เร็วเท่ากับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น สินค้าเกษตรหลายรายการต้องอยู่ในสถานะขาดทุนสะสมต่อเนื่อง เช่น หมู ไข่ ในขณะนี้ 

นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงกันในระบบเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อสูงและความเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืดยังเป็นปัญหาต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั่วโลก ควบคู่กับความเสี่ยงของสงครามทั้งรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-อิหร่าน หากสงครามปะทุ จะส่งแรงกระเพื่อมต่อต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ราคาพลังงานและปุ๋ย ราคาจะปรับสูงขึ้น ทันที ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมา ประชาคมโลกต่างมีประสบการณ์เดียวกันที่ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น 30% ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% แม้ขณะนี้ต้นทุนดังกล่าวจะลดลงบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง แต่สินค้าไม่อาจปรับราคาได้กลไกตลาด

สำหรับภาคปศุสัตว์ไทย การเลี้ยงสุกรต้องเผชิญปัญหาใหญ่ 2 ด้าน คือ โรคระบาด ASF ผลผลิตหายไป 50% ตามด้วยการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน ทำให้ราคาหมูไทยตกต่ำต่อเนื่องนานกว่า 1 ปี จนถึงปัจจุบันราคาสุกรหน้าฟาร์มยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 72-78 บาทต่อกิโลกรัม (ราคาล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567) ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม ด้านต้นทุนการผลิตไข่ไก่ฟองละ 3.63 บาท/ฟอง ราคาขายเพิ่งปรับขึ้นมาเหนือต้นทุนอยู่ที่ 3.80 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อวันที่ 29 เมษายน ที่ผ่านมา 

ทั้งหมูและไก่ไข่ ยังเจอปัญหาผลผลิตต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากสภาพอากาศร้อนอุณหภูมิสูงเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส กระทบโดยตรงต่อพฤติกรรมการกินอาหารและอารมณ์ของสัตว์ ทำให้สัตว์โตไม่เต็มที่ ผลผลิตลดลง ราคาจำเป็นต้องปรับขึ้นให้สอดคล้องกับต้นทุน แต่ไม่สามารถทำได้มากเพราะกำลังซื้อของประชาชนยังไม่ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ 

เมื่อผู้บริโภคเข้าใจบริบทการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกลไกตลาด (Demand-Supply) ก็จะเข้าใจกลไกราคาที่ปรับขึ้นและปรับลงตามปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดและต้นทุนการผลิต ที่สำคัญภาครัฐยังมีมาตรการกำกับดูแลราคาสินค้าให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้บริโภค ผู้ผลิต รวมถึงเกษตรกร ผ่านคณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ รวมถึงพระราชบัญญัติแข่งขันทางการค้า ซึ่งจะคุ้มครองทุกฝ่ายให้ได้รับราคาที่ยุติธรรม 

เมื่อช่วงฤดูร้อนผ่านไป ผลผลิตหมู ไข่ไก่ และพืชผัก เพิ่มมากขึ้น ประชาชนก็จะเลือกซื้อผลผลิตเหล่านี้ในราคาที่ได้สบายใจขึ้น  ขณะที่ภาครัฐต้องแก้ไขอุปสรรคของภาคการเกษตรที่ส่งผลกระทบทั้งหมดข้างต้น ให้สามารถผลิตอาหารปลอดภัยและเพียงพอต่อความต้องการ ตลอดจนสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว./    

DR และ DRx สร้างพอร์ตลงทุนระดับโลก กระจายการลงทุนอย่างสะดวกสบาย

0

ในยุคที่โลกเชื่อมโยงกันมากขึ้น ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น เป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยจำนวนมากได้ให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นต่างประเทศ ก็อาจมาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความยุ่งยากและขั้นตอนในการทำธุรกรรม ซึ่งรวมถึงการที่ต้องทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินต่างประเทศ การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศ และประเด็นเกี่ยวกับภาษี เป็นต้น

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เรียกว่า DR (Depositary Receipt) และ DRx (Fractional Depositary Receipt) ซึ่งเป็นใบแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่อ้างอิงกับหลักทรัพย์หรือหุ้นของบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุน โดยผู้ลงทุนสามารถซื้อขาย DR และ DRx ได้อย่างสะดวกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยเงินบาท ผ่านบัญชีที่เปิดกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯ คล้ายกันกับการซื้อขายหลักทรัพย์ทั่วไป ไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศหรือสับเปลี่ยนสกุลเงินหรือโอนเงินระหว่างประเทศ ช่วยลดความยุ่งยากและเพิ่มความคล่องตัวในการลงทุน จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

DR และ DRx มีกลไกการอ้างอิงมูลค่ากับหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยที่ผู้ออก DR และ DRx จะไม่ใช่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ในต่างประเทศ แต่จะทำหน้าที่เป็นผู้ที่ถือหลักทรัพย์ต่างประเทศด้วยการซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศมาเก็บไว้ และส่งผ่านสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการลงทุนให้แก่ผู้ถือตราสาร DR และ DRx เนื่องจาก DR และ DRx เป็นใบแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่ง 1 หน่วยของใบแสดงสิทธิอาจเทียบเท่ากับ หน่วยของหลักทรัพย์อ้างอิงหรือน้อยกว่าก็ได้ ขึ้นอยู่กับการกำหนดอัตราแปลงสภาพ เช่น 10 DR: 1 หลักทรัพย์อ้างอิง หมายถึง DR 10 หน่วยเทียบเท่ากับหุ้นอ้างอิง 1 หุ้น หรือ 2,000 DRx: 1 หลักทรัพย์อ้างอิง หมายถึง DRx 2,000 หน่วย เทียบเท่ากับหุ้นอ้างอิง 1 หุ้น เป็นต้น ดังนั้น ผู้ลงทุนควรตรวจสอบอัตราแปลงสภาพเพื่อให้สามารถประเมินราคาซื้อขาย DR และ DRx ที่เหมาะสมโดยเปรียบเทียบกับราคาหลักทรัพย์อ้างอิงได้ การออกแบบดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อทำให้การลงทุนเข้าถึงได้ด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่าการซื้อหุ้นต่างประเทศโดยตรง โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในต่างประเทศที่อาจมีราคาต่อหุ้นค่อนข้างสูง นอกจากนี้ โดยทั่วไป ผู้ออก DR และ DRx หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ของ DR หรือ DRx นั้น ๆ ด้วย เพื่อช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องในการซื้อขายให้แก่ผู้ลงทุนอีกด้วย

จุดเด่นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของ DR และ DRx คือ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก โดยสำหรับ DR สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 1 หน่วย DR ซึ่งปัจจุบันมีราคาเริ่มต้นเพียงไม่กี่บาท และมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายคล้ายกับการซื้อขายหุ้นทั่วไป ในขณะที่ DRx สามารถลงทุนแบบเศษหุ้น (Fractional Share) โดยซื้อขายเป็นจำนวนบาทหรือจำนวนหน่วย DRx ก็ได้ และผู้ให้บริการโดยทั่วไปมักจะเก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายเพียง 0.16% (ไม่รวม VAT) ผู้ลงทุนจึงสามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างสะดวกสบาย แม้มีเงินทุนจำกัด และยังอาจเลือกทยอยสะสมหน่วยลงทุนในระยะยาวแบบถัวเฉลี่ย (Dollar Cost Averaging หรือ DCA) ได้ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มีวินัย โดยเน้นลงทุนเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอแม้สภาวะตลาดอาจมีความผันผวน ซึ่งจะช่วยในการถัวเฉลี่ยต้นทุนของการลงทุนระยะยาว เช่น ลงทุนเป็นจำนวนเงิน 500 บาท เท่า ๆ กันทุกเดือน เพื่อสะสมการลงทุนในหุ้นชั้นนำระดับโลก เป็นต้น (ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนแบบ DCA ได้ที่ https://www.setinvestnow.com/th/beginner/growing-portfolio-dca)

นอกจากความสะดวกสบายแล้ว DR และ DRx ยังเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์การลงทุนที่การออกและเสนอขายถูกกำกับดูแลภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผู้กำกับดูแลมีการออกกฎระเบียบที่ชัดเจนเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้ลงทุน โดยมีแนวทางกำกับดูแล อาทิ ผู้ออก DR และ DRx ต้องเป็นสถาบันการเงินที่มีความมั่นคง ต้องมีหลักทรัพย์อ้างอิงอยู่ครบถ้วนเต็มจำนวนที่ออก DR และ DRx มีการติดตามข่าวสารของหลักทรัพย์อ้างอิงและเผยแพร่ข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ให้ผู้ลงทุนทราบ และมีการระบุข้อกำหนดสิทธิของผู้ลงทุนที่ชัดเจนในกรณีที่ผู้ลงทุนสามารถใช้สิทธิคล้ายคลึงกับการเป็นผู้ถือหุ้นโดยตรง เช่น สิทธิได้รับเงินปันผล สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน เป็นต้น กลไกเหล่านี้มีขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนว่า การลงทุนใน DR และ DRx นั้นมีความน่าเชื่อถือและได้รับการดูแลอย่างครบถ้วนตามสิทธิที่นักลงทุนพึงได้รับ สำหรับภาระภาษีที่เกี่ยวกับการลงทุนใน DR และ DRx นักลงทุนบุคคลธรรมดาจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% จากเงินปันผลที่ได้รับ โดยไม่ต้องนำเงินได้ข้างต้นไปคำนวณรวมเพื่อเสียภาษีอีก

ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมี DR และ DRx จดทะเบียนซื้อขายอยู่จำนวน 24 และ 10 หลักทรัพย์ ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2567) ครอบคลุมดัชนีและหุ้นสำคัญจากหลากหลายประเทศทั่วโลก ทั้งตลาดที่พัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ และตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ อย่างจีนและเวียดนาม โดยมีทั้งผลิตภัณฑ์ DR ที่อ้างอิงกับดัชนีหลักทรัพย์ (Index) ผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงกับหุ้นรายตัว (Single Stock) เช่น Alibaba, Tencent, BYD, XIAOMI, Pingan, Netease, Baidu จากจีน, Singapore Airlines จากสิงคโปร์ และ ASML จากยุโรป และผลิตภัณฑ์ DRx ที่อ้างอิงหุ้นขนาดใหญ่จากสหรัฐอเมริกา เช่น Apple, Tesla, Microsoft, NVIDIA, Alphabet, Meta, Amazon, Starbucks, Netflix และ Booking Holdings ด้วยทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายทั้งในแง่ของประเทศและกลุ่มอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ DR และ DRx จะช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีคุณภาพจากทั่วโลกได้อย่างสะดวกและง่ายดาย เป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีได้

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน DR และ DRx ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจให้ดี คล้าย ๆ กับการพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์อื่น ๆ ทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานและความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อ้างอิง ซึ่งเป็นผลจากผลประกอบการ แผนธุรกิจ คู่แข่ง และความเสี่ยงต่าง ๆ ในระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงิน นอกจากนี้ DR และ DRx ยังมีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากอัตราแลกเปลี่ยนในทำนองเดียวกับการลงทุนต่างประเทศโดยตรง แม้จะมีการซื้อขายด้วยเงินบาทเนื่องจากราคาหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นสกุลเงินต่างประเทศ ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหลักทรัพย์ รวมถึงอาจพิจารณาจัดพอร์ตเพื่อกระจายการลงทุนในหลายประเทศและหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และพิจารณาการดำเนินงานและการให้บริการของผู้ออก DR และ DRx ที่มีความน่าเชื่อถือ ตลอดจนมีรูปแบบ เงื่อนไข และวิธีการในการจัดการสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการลงทุนใน DR และ DRx ตามที่ผู้ออกระบุไว้ สำหรับนักลงทุนที่สนใจ การเริ่มลงทุนใน DR และ DRx นั้นค่อนข้างสะดวก คล้ายคลึงกับการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการ โดยสำหรับ DR สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ทุกช่องทางเช่นเดียวกับการซื้อขายหุ้นทั่วไป และสำหรับ DRx สามารถซื้อขายผ่านช่องทาง Streaming Mobile Application กับโบรกเกอร์ผู้ให้บริการซื้อขาย DRx กว่า 27 แห่ง โดยแจ้งความประสงค์เพื่อซื้อขาย DRx ด้วยตนเอง เพียงกดปุ่ม My Menu ในแอพพลิเคชั่น Streaming เลือกเมนู DRx และกดปุ่ม “Request DRx Trading”

ในโลกยุคปัจจุบัน การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลายเป็นแนวทางที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง DR กับ DRx เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและกระจายการลงทุนไปยังหลายกลุ่มอุตสาหกรรมในหลายประเทศได้อย่างสะดวก ทั้งในตลาดประเทศพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ พร้อมทั้งมีกลไกการกำกับดูแล และความสะดวกในการลงทุน DR และ DRx จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนไทยที่พร้อมจะก้าวไปสู่เวทีการลงทุนระดับโลก ทั้งนี้ สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับ DR และ DRx เพิ่มเติมได้ที่ SET website หรือ www.setinvestnow.com/th/newdr และ www.setinvestnow.com/drx

***ข้อมูลดังกล่าวใช้สำหรับให้ความรู้โดยทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการซื้อขายหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต***

CPF ชูเศรษฐกิจหมุนเวียน ลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร ตลอดห่วงโซ่คุณค่า

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อป้องกันและลดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร (Food Loss & Waste) ตลอดห่วงโซ่คุณค่า โชว์ผลสำเร็จการลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิต ต่อยอดนำขยะอาหารและของเสียกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในรูปของอาหารสัตว์ ปุ๋ย พลังงาน ฯลฯ สนับสนุนการเติบโตยั่งยืน ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

นางกอบบุญ ศรีชัย ผู้บริหารสูงสุด สายงานกิจการองค์กรและลงทุนสัมพันธ์ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการคำนึงถึงการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ดูแลการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การจัดการกระบวนการผลิต เพื่อให้เกิดประโยชน์เต็มประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มของที่เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก รวมถึงการจัดการการสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายลดของเสียจากกระบวนการผลิต รวมไปถึงการลดขยะอาหารจากกิจกรรมของบริษัทที่ถูกนำไปฝังกลบและเผาให้เป็นศูนย์ ในปี 2573

ปัจจุบัน หน่วยธุรกิจต่างๆ ของซีพีเอฟ ได้จัดทำโครงการลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss)ในกระบวนการผลิต ด้วยการปรับปรุงเครื่่องจักรและอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ธุรกิจแปรรูปไข่และขนมปัง มีโครงการปรับปรุงอุปกรณ์การไล่ลมในท่อไข่ที่ไม่สมบูรณ์ ช่วยลดของเสียในกระบวนการผลิตได้มากกว่า 45 ตันต่อปี ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป ทำโครงการปรับปรุงสายพาน Spiral เพื่อลดการตกหล่นของสินค้า ทำให้ลดของเสียในกระบวนการผลิตได้มากกว่า 1.25 ตันต่อปี ธุรกิจสัตว์น้ำ นำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมูลค่าจากผลพลอยได้ (By-product) และนำของเสียที่ไม่สามารถบริโภคได้ กลับมาใช้ประโยชน์ ทำให้ลดของเสียจากกระบวนการผลิตได้มากกว่า 9,100 ตันต่อปี คิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากของเสียที่ต้องนำไปฝังกลบ 2,062 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า นอกจากนี้ ยังมีโครงการวิจัยและพัฒนาร่วมกับคู่ค้าผู้ผลิตปลาป่น โดยนำผลิตภัณฑ์พลอยได้ อาทิ น้ำนึ่งปลา (Fish Soluble) มาเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ชนิดใหม่ที่มีคุณภาพ และสามารถทดแทนวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

สายธุรกิจไก่ มีการพัฒนาประสิทธิภาพการจับและขนส่งไก่ โดยการจัดการสภาพแวดล้อมและใช้วิธีการที่นุ่มนวลตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) ทำให้ปริมาณไก่สูญเสียลดลง การใช้สายพานลำเลียงไข่ เพื่อลดความเสียหายจากการเก็บและลำเลียงไข่ภายในโรงเรือน การสร้างมูลค่าเพิ่มโดยนำชิ้นส่วนเนื้อไก่ที่เหลือจากกระบวนการตัดแต่ง ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของทานเล่นสำหรับสุนัขและแมว นำผลิตภัณฑ์พลอยได้ส่วนที่ไม่บริโภค (Inedible Parts) จากกระบวนการผลิต เช่น ซากไก่ ขนไก่ เครื่องในสัตว์จากกระบวนการแปรรูป และไข่ไก่ที่เสียหาย (Damaged Egg) ไปใช้ประโยชน์เป็นอาหารสัตว์ ฯลฯ

นางกอบบุญ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมถึง แนวนโยบายด้าน Food Waste ของบริษัทฯว่า ได้สานต่อความร่วมมือกับ มูลนิธิสโกลาร์ส ออฟ ซัสทีแนนซ์ (มูลนิธิ SOS สาขาประเทศไทย) พันธมิตรที่ร่วมกันดำเนิน”โครงการ Circular Meal มื้อนี้เปลี่ยนโลก” มาอย่างต่อเนื่อง เข้าสู่ปีที่ 4 ในการนำอาหารส่่วนเกิน ( Surplus Food)จากศูนย์กระจายสินค้าบางน้ำเปรี้ยว จ. ฉะเชิงเทรา และ ศูนย์กระจายสินค้ามหาชัย จ.สมุทรสาคร ของซีพีเอฟ ในรูปแบบอาหารพร้อมปรุงทั้งแบบแช่แข็งและแช่เย็น ส่งมอบให้กับกลุ่มเปราะบางที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆในพื้นที่กรุงเทพฯ เช่น ผู้มีรายได้น้อย เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ซึ่งในปี 2566 ได้ส่งมอบอาหารปรุงสุกพร้อมทาน รสชาติอร่อย ปลอดภัย ไปแล้วกว่า 79,000 มื้อ ลดขยะอาหารได้รวมกว่า 18 ตัน และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 47 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 5,000 ต้น

“ซีพีเอฟดำเนินธุรกิจผลิตอาหาร จึงให้ความสำคัญกับการจัดการการสูญเสียอาหารและขยะอาหารตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อป้องกันและลดการสูญเสียอาหาร ตลอดจนการนำของเสียหรือเหลือทิ้งจากการผลิตและบริโภคมาต่อยอดให้เกิดคุณค่าในรูปแบบต่างๆ เช่น ผลิตก๊าซชีวภาพ(Biogas)จากมูลสัตว์ ผลิตไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว การเพิ่มมูลค่าจาก By-product และของเสีย เช่น ขนไก่ แปรรูปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ จากผลการดำเนินงานในปี 2566 เราสามารถจัดการการสูญเสียอาหารจากกระบวนการผลิตและขยะอาหาร ให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ถึงเกือบ 80% ” นางกอบบุญ กล่าว

5 จุดเปลี่ยน SET ก้าวสู่ปีที่ 50

0

การเดินทางจากวันแรกถึงวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มุ่งมั่นเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอกย้ำบทบาทสำคัญการเป็นแหล่งระดมทุนและแหล่งลงทุน สร้างการเติบโตให้แก่ประเทศ

เส้นทางเดิน 49 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอย่างไร ฟังเรื่องราวผ่านมุมมอง 3 บุคคลสำคัญในตลาดทุน ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบนักลงทุนหุ้นคุณค่า พิเชษฐ สิทธิอํานวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

วันแรงงานแห่งชาติ.. ซีพีเอฟ ชู ศูนย์ FLEC สงขลา ผนึกความร่วมมือรัฐ เอกชน และประชาสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติในภาคประมง

0

ในวันแรงงานแห่งชาติ (National Labor Day) ตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันที่ต้องการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “แรงงาน” รวมถึง แรงงานข้ามชาติ ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย สิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติให้ได้รับตามหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อสนับสนุนให้สังคมไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีในระดับสากล ด้านดูแลแรงงานและการจัดการปัญหาการค้ามนุษย์

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะผู้นำด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก มีนโยบายให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม โดยเฉพาะแรงงานได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และเป็นธรรม ส่งเสริมและสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก การเจรจาต่อรอง และการได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม รวมทั้งให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเพื่อต่อต้าน และยุติการค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ แรงงานเด็ก ตลอดจนมุ่งขจัดการเลือกปฏิบัติและต่อต้านการคุกคามในทุกรูปแบบ

ซีพีเอฟ ยังได้ผนึกพลังกับภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ร่วมดูแลแรงงานข้ามชาติบนเรือประมง ผ่านการจัดตั้ง “ศูนย์สวัสดิภาพและธรรมาภิบาลแรงงานประมงสงขลา” หรือ ศูนย์ FLEC (FLEC: Fishermen Life Enhancement Center) ตั้งแต่ปี 2559 ร่วมกับ 6 องค์กร ได้แก่ องค์กรสะพานปลา กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเลสงขลา (บ้านสุขสันต์) บริษัท จี.อี.พี.พี. สะอาด (เก็บสะอาด) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพื่อปกป้องไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ และพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานข้ามชาติและสมาชิกในครอบครัวในทุกมิติ ทั้งด้านชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน สุขภาพ การศึกษาของบุตรหลาน
ศูนย์ FLEC มีสำนักงานอยู่ในบริเวณท่าเทียบเรือประมงสงขลา 2 (ท่าสะอ้าน) อ.เมือง จ.สงขลา เพื่อให้บริการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติที่ทำงานบนเรือประมง ท่าเทียบเรือสงขลา และครอบครัว เป็นที่ปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแรงงานสามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ ตามหลักสิทธิมนุษยชน มีห้องปฐมพยาบาลให้แรงงานที่มีเวลาค่อนข้างน้อยได้มีทางเลือกในการตรวจรักษา รวมถึงคัดกรองโรคเบื้องต้น ห้องเรียนสำหรับลูกหลานของแรงงานได้มีความรู้อ่านออกเขียนได้ และสามารถเข้าเรียนในระบบการศึกษาของไทย ตลอดจนจัดกิจกรรมฝึกอบรมให้ความรู้ทักษะชีวิตและฝึกอาชีพเสริมให้แรงงานและครอบครัวเพื่อลดค่าใช้จ่ายครอบครัว และส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง รวมทั้งจัดกิจกรรมเก็บขยะแลกของใช้ในครัวเรือนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของแรงงานข้ามชาติในการดูแลสิ่งแวดล้อมทางทะเล เป็นต้น

ตลอดระยะเวลา 8 ปีในการดำเนินงานของศูนย์ FLEC ได้มีส่วนช่วยแรงงานข้ามชาติและครอบครัวในจังหวัดสงขลาได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสมและเป็นธรรม ตลอดจนเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงสิทธิต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข การศึกษาของเด็ก เป็นต้น ช่วยให้แรงงานและครอบครัวสามารถทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยด้วยความมั่นใจ ช่วยลดความเสี่ยงด้านการค้ามนุษย์ ตลอดจนตกเป็นเหยื่อของการใช้แรงงานผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ

นอกจากนี้ ศูนย์ FLEC ได้มีบทบาทสำคัญช่วยส่งเสริมให้แรงงานบนเรือประมงได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว นอกจากมีห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ศูนย์แล้ว เจ้าหน้าที่ของศูนย์ FLEC ยังลงพื้นที่ทำกิจกรรมเชิงรุกบนเรือประมงอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานบนเรือประมงมีความรู้ความเข้าใจเรื่องชีวอนามัยและความปลอดภัยจากการทำงานบนเรือประมง การปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมทั้งสนับสนุนกล่องยาสามัญประจำเรือ อำนวยความสะดวกแก่แรงงานข้ามชาติที่มีปัญหาการสื่อสารได้ใช้ยารักษาโรคเบื้องต้นขณะทำงานอยู่กลางทะเล รวมทั้งมีการอบรมอาสาสมัครคนประจำเรือ เป็นแกนนำของกลุ่มแรงงานข้ามชาติสามารถช่วยปฐมพยาบาลและให้คำแนะนำการทำงานที่ปลอดภัยให้กับเพื่อนที่ทำงานอยู่บนเรือ

ศูนย์ FLEC เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการบูรณาการของซีพีเอฟ กับหน่วยงานรัฐ ประชาสังคม และองค์กรเอกชน เพื่อช่วยกันยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีแก่แรงงานข้ามชาติและครอบครัว ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อความเข้มแข็งของสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนเป็นอีกแนวทางที่ช่วยขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ในอุตสาหกรรมประมงได้อย่างยั่งยืน

เอไอเอส จับมือ กสทช. ดูแลผู้พิการรอบด้าน ตอกย้ำดิจิทัลเป็นหัวใจการสร้างความเท่าเทียมแก่ทุกกลุ่ม

0

นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS กล่าวในโอกาสเข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างกลุ่มเครือข่ายผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ในกลุ่มผู้พิการทางการได้ยิน ซึ่งจัดโดย กสทช. ว่า “ในฐานะ Digital Life Service Provider เป้าหมายของเราคือ นำศักยภาพจากเทคโนโลยี digital มาสร้างประโยชน์ให้แก่คนไทยทุกคน เพราะนี่คือ สิ่งที่ช่วยลดข้อจำกัด สร้างความเท่าเทียมและเข้าถึงโอกาสที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ทุกกลุ่ม หรือ Digital Inclusion โดยเฉพาะกลุ่มผู้พิการ ที่เราให้ความสำคัญตลอดระยะเวลาของการให้บริการกว่า 33 ปี” โดยมี 3 ส่วน ที่สะท้อนถึงนโยบายข้างต้น ประกอบด้วย

วรุณเทพ วัชราภรณ์ หัวหน้าฝ่ายงานธุรกิจสัมพันธ์ AIS

1. เอไอเอส ร่วมกับ กสทช. ออกแพ็กเกจเสริมเพื่อผู้พิการทุกกลุ่ม ในราคาสุดคุ้มเพียงเดือนละ 66 บาท (รวมภาษีแล้ว) โดยมี 2 แพ็กเกจ ให้ลูกค้าสามารถเลือกสมัครได้อย่างตอบโจทย์ ไม่ว่าจะเน้นเล่นเน็ต หรือเล่นทั้งเน็ตและโทรได้แก่

แพ็กเกจเน็ต 5G เต็มสปีด : ใช้งานเน็ตความเร็วสูงสุด 10GB เมื่อใช้ครบตามปริมาณเน็ตที่กำหนด หลังจากนั้นใช้งานต่อเนื่องที่ความเร็ว 128 kbps โดยหักค่าบริการทุก 30 วัน
แพ็กเกจเน็ต 5G เต็มสปีดพร้อมโทร : ใช้งานเน็ตความเร็วสูงสุด 8GB เมื่อใช้ครบตามปริมาณเน็ตที่กำหนด หลังจากนั้นใช้งานต่อเนื่องที่ความเร็ว 128 kbps พร้อมโทรทุกเครือข่าย 100 นาที (ค่าโทรส่วนเกินคิดตามโปรโมชันหลัก) โดยหักค่าบริการทุก 30 วัน
โดยลูกค้าผู้พิการ ทั้งระบบเติมเงิน และรายเดือนสนใจสมัครแพ็กเกจพิเศษนี้ได้ง่ายๆ เพียงโชว์บัตรคนพิการและบัตรประจำตัวประชาชนที่ เอไอเอส ช็อปทุกสาขา หรือติดต่อ AIS Call Center 1175

2. การพัฒนาเครือข่ายและคุณภาพของช่องทางการใช้บริการ ที่เราออกแบบอย่างเป็นเลิศ
ในทุกๆขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการ อาทิ การมีพนักงานที่ใช้ภาษามือในการสื่อสารตามมาตรฐาน รวมถึงสิทธิพิเศษที่จัดเต็ม เพื่อลูกค้าและผู้พิการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

3. การสร้างอาชีพให้แก่ผู้พิการทุกด้าน ด้วยการเปิดโอกาสให้เป็นพนักงานในกลุ่มเอไอเอสอย่างต่อเนื่อง

นายวรุณเทพ กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาบริการในทั้ง 3 ส่วนเพื่อลูกค้าผู้พิการ และจะยังคงเดินหน้านำเทคโนโลยีต่างๆ อาทิ AI, ML มาประยุกต์ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง”