Home Blog

ลุ้นเงินรางวัลใหญ่สุด ! 111 ล้านบาท ออมเงินกับสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ฉลองครบรอบ 111 ปี ธนาคารออมสิน

การเก็บเงินด้วยการเปิดบัญชีออมเงินให้กับตัวเอง หรือคนสำคัญในครอบครัว  เป็นของขวัญที่หลายคนนิยมทำในโอกาสพิเศษอย่างเช่นวันเกิด ตลอดจนวันและเดือนสำคัญต่างๆ   แม้จะดูเหมือนเป็นของขวัญที่เรียบง่าย แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่า เมื่อได้เห็นรอยยิ้มและสัมผัสความสุขของผู้ให้และผู้รับ 

เช่นเดียวกันกับธนาคารออมสิน ธนาคารที่ส่งเสริมการออมมาอย่างยาวนาน ซึ่งที่ปีนี้ครบรอบ 111 ปี ออมสินขอใช้โอกาสพิเศษนี้เป็นผู้ส่งต่อความสุข มอบให้กับลูกค้าคนสำคัญของธนาคาร ด้วยการจัดโปรโมชันพิเศษ แจกรางวัลใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์กับรางวัลที่หนึ่ง 111 ล้านบาท !!! กับ สลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งใบสลาก และ ดิจิทัล  

คนที่อยากลุ้นเป็นเศรษฐีใหม่ร้อยล้าน ต้องไม่พลาดโอกาสนี้  กับการออมเงินที่มีแต่ได้กับได้ เพราะนอกจากลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาทที่จะทำการออกรางวัลวันที่ 16 พฤษภาคม 67 นี้แล้ว ยังได้ลุ้นเงินล้านกันได้อีกทุกเดือนทำให้มีโอกาสได้ลุ้นติดต่อกันกันไปยาวๆ ตลอด 12 เดือน พร้อมกับเงินรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย  นอกจากนี้เมื่อถือสลากจนครบอายุยังได้รับดอกเบี้ย 0.35 % ต่อปี ที่สำคัญดอกเบี้ยและรางวัลที่ได้รับ ก็ไม่ต้องหักภาษีบุคคลธธรมดาอีกด้วย

ใครที่อยากมีสิทธิลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท ต้องรีบหน่อย เพราะต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ทั้งแบบใบสลากและดิจิทัลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 15 พ.ค. 67 เท่านั้น   สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://shorturl.asia/CdTDK

งานนี้ขอให้รวยขอให้ปัง แค่กำเงินร้อยเดียวก็มีสิทธิลุ้นโชคใหญ่  โดยธนาคารออมสินเปิดให้ผู้สนใจฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี  สามารถฝากขั้นต่ำ 100 บาทต่อหน่วย และไม่จำกัดวงเงินรับฝากสูงสุดอีกด้วย

มาร่วมฉลองครบรอบ 11 ปี ธนาคารออมสิน พร้อมมอบของขวัญพิเศษให้กับตัวเองหรือคนสำคัญ ด้วยการออมเงินผ่านสลากออมสินพิเศษ 1 ปี พร้อมกับลุ้นเงินรางวัลใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 111 ล้านบาท โดยสามารถฝากแบบใบสลากได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา และแบบดิจิทัล ที่แอปพลิเคชัน MyMo 

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook  : GSB Society

# # #

เที่ยวคลองบางกอกใหญ่ ชมอันซีนแบบจุกๆ บนสายน้ำแหล่งพหุวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวนั่งเรือล่องคลอง ชมวิถีชีวิตชาวบ้าน และแวะเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่อยู่ริมคลองนั้น ถือเป็นกิจกรรมที่สนุก และใช้เวลาไม่นาน เหมาะกับผู้ที่ต้องการเที่ยวแบบวันเดย์ทริป เพราะเป็นการเดินทางที่ไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก ระหว่างนั่งโดยสารบนเรือ ก็สามารถนั่งทอดสายตา ชมดูสิ่งต่างๆ ตลอดทางที่เรือแล่นผ่าน นอกจากนี้ ในบางเส้นทางสัญจรโบราณ อย่างเช่น คลองบางกอกใหญ่ หรือ คลองบางหลวง เราจะมีโอกาสได้ชมบ้านเก่าที่เป็นของบรรดาเจ้าขุนมูลนายสม้ยก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ และสถานที่สำคัญอย่างวัดวาอารามที่พบเห็นอยู่มากมาตลอดเส้นทางคลอง

เกรียนพาเที่ยว” มีโอกาสได้ท่องเที่ยวชมคลองอีกครั้ง โดยครั้งนี้ ได้มาสัมผัสกับความเสน่ห์ของคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งแตกต่างกับทริปก่อนหน้านี้ที่เราไปชมสวนมะพร้าวในคลองบางประทุนอย่างชัดเจน เห็นได้จากจำนวนของเรือที่สัญจรไปมาบนคลองบางกอกใหญ่นี้ ดูคึกคัก และหนาแน่นกว่าทริปก่อนอย่างมาก เพราะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะวิวไฮไลท์ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ คือพระพุทธธรรมกายเทพมงคล องค์พระขนาดใหญ่ ตั้งตระหง่านเด่นชัดของคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้ ยิ่งเวลาใกล้ช่วงสายของวัน เราก็ยิ่งเห็นเรือนักท่องเที่ยวลำยาวหลายต่อหลายลำแล่นสวนตลอดทาง พร้อมกับเสียงม้คคุเทศก์บนเรือส่งเสียงภาษาจีนบรรยายให้นักท่องเที่ยวดังให้ได้ยินแบบไม่ขาดสายเลยทีเดียว

เรือนักท่่องเที่ยวแล่นไปมาตลอดลำคลองบางกอกใหญ่

สำหรับทริปล่องคลองบางกอกใหญ่ครั้งนี้ เราเดินทางไปกับคุณอาณัติ นักเล่าเรื่องท้องถิ่น ซึ่งจัดทริปเที่ยวคลองเส้นทางต่างๆ อยู่ โดยมีจุดนัดพบที่ท่าเรือวัดใหม่ยายนุ้ย ส่วนเรือที่ใช้เดินทางครั้งนี้ เป็นเรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ขนาด 10 ที่นั่ง บนหลังคาเรือติดตั้งแผงโซลาเซล ทำให้การเดินเรือครั้งนี้ ดำเนินไปอย่างสบายๆ เพราะเรือไฟฟ้าเดินเครื่องเงียบมาก ไม่ส่งเสียงดังรบกวน และไม่สร้างมลพิษให้กับคลองอีกด้วย

เรือแท็กซี่พลังงานไฟฟ้า ทำความเร็วได้ประมาณ 10 กม./ชม.

จุดหมายแรก หลังจากแล่นเรือไปตามคลองด่าน เราจอดเรือเทียบที่ท่าวัดอินทารามวรวิหาร เพื่อแวะทานอาหารเช้า โดยคุณอาณัติพาเราไปที่ร้านสุริยากาแฟ ร้านกาแฟเก่าแก่คู่ตลาดพลูอายุกว่า 100 ปี ปัจจุบัน รุ่นลูกรุ่นหลานก็กระจายกันเปิดเป็นสาขาต่างๆ แต่ร้านแรกดั้งเดิมจะตั้งอยู่ในตลาดวัดกลาง (วัดจันทาราม) สำหรับแอดมิน มีโอกาสมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านดั้งเดิมนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่จะสะดวกแวะซื้อที่ร้านตรงใต้สะพานตลาดพลู เมนูเครื่่องดื่มที่อยากแนะนำ คือ ชาซีลอน จะเป็นชาดำเย็น หรือ ชานม ขอบอกว่า หอมอร่อยชื่นใจดีนัก น่าเสียดายที่วันที่เราไป เมนูปาท่องโก๋ ซาลาเปาทอด หมดเสียก่อน เลยไม่ได้สั่งมาทานคู่กัน

หลังจากเติมพลังจนอิ่มท้อง เราเดินย้อนกลับมาที่วัดอินทารามวรวิหาร เข้าชมความงามของพระอุโบสถ และไหว้สักการะพระพุทธชินวร พระประธาน และที่สำคัญ ยังได้มีโอกาสชมพระพุทธรูปปางถวายพระเพลิง อยู่ในวิหารด้านหน้าพระอุโบสถ พระพุทธรูปปางนี้ถือเป็นปางที่หาชมได้ยาก และพบได้ในวัดเพียงไม่กี่แห่ง ลักษณะเป็นการจำลองภาพหีบพระศพ และมีพระบาทของพระพุทธเจ้ายื่นออกมาจากหีบ มีพระภิกษุ 3 รูป พนมมือไหว้พระบาทที่ยื่นออกมา นอกจากนี้ ผนังด้านข้างยังมีภาพวาดจิตรกรรมเป็นรูปพระสงฆ์กำลังยิ้มหัวเราะโดยคุณอาณัฐเล่าให้ฟังว่า เป็นภาพวาดรูปพระสุภัททะ พระชราที่บวชตอนแก่ โดยตามพระสูตรกล่าวว่าเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระสุภัททะกลับบอกแก่หมู่ภิกษุว่า “หยุดเถิด หยุดเถิด ท่านอย่าร่ำไรไปเลย พระสมณะนั้นพ้น (ปรินิพพาน) แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ตามพอใจ ไม่ต้องเกรงบัญชาใคร” อันเป็นสาเหตุให้ต่อมามีการสังคายนาพระธรรมขึ้นในภายหลัง

จากนั้น เราขึ้นเรือเพื่อล่องออกสู่คลองบางกอกใหญ่จนเกือบถึงประตูน้ำบริเวณวัดกัลยาณมิตร แวะจอดเทียบท่าเพื่อขึ้นไปไหว้สักการะหลวงพ่อโตซำปอกง และ พระปางป่าเลไลย์ ในพระอุโบสถ รวมทั้งชมความงามของภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ทั้งในวิหาร และอุโบสถ ซึ่งพบว่า มีภาพวาดหลายจุดที่ชำรุดเสียหาย มีสภาพหลุดร่อนจากความชื่้น ก็คงต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลรักษาต่อไป สำหรับจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถแห่งนี้ จะเป็นการวาดเล่าเหตุการณ์สำคัญในอดีต เช่น ภาพวาดคดีการลักเด็กที่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัย ร.3

ประตูเรือบริเวณหน้าวัดกัลยาณมิตร ทำหน้าที่เปิดปิดการสัญจรของเรือที่เข้าออกระหว่างคลอง-แม่น้ำเจ้าพระยา
ภาพวาดจิตรกรรมเล่าเรื่องคดีลักเด็กใ เหตุการณ์จริงในสมัยรัชกาลที่ 3

จากที่วัดกัลย์ฯ เราสามารถเดินเท้าไปยังทางเดินเท้าเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อไปยังศาลเจ้าเกียงอันเกง ขอพรต่อองค์เจ้าแม่กวนอิม ที่แกะสลักจากไม้จันทร์หอมอายุกว่า 200 ปี ซึ่งวันที่เราไป มีนักท่องเที่ยว ผู้คนที่ศรัทธา และสายมู จำนวนมาก มาแน่นขนัดทั้งที่หลวงพ่อโต วัดกัลย์ และศาลเจ้าแห่งนี้

จากนั้น เราเดินย้อนกลับมาที่วัด เพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก คือ มัสยิดบางหลวง หรือ สุเหร่ากุฎีขาว ศาสนสถานของชาวมุสลิม หนึ่งเดียวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดไทย คือ หากเดินผ่าน แล้วไม่สังเกตเห็นป้ายที่บอกว่าเป็นมัสยิดแล้ว เชื่อว่าทุกคนต้องเห็นเป็นวัดไทยแห่งหนึ่งอย่างแน่นอน

มัสยิดกุฎีขาว

และเราก็เดินเท้ากลับมาลงเรือ เพื่อล่องกลับคลองบางกอกใหญ่ และแวะสถานที่ต่อไป นั่นคือ วัดหงส์รัตนาราม อุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ “หลวงพ่อแสน” นอกจากนี้ยังมีตำนานว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มักจะเสด็จมานั่งวิปัสสนากรรมฐานภายในพระอุโบสถนี้ด้วย ภายในวัดหงส์ยังมีสถานที่สำคัญ คือ วิหารพระทองคำสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นสมัยเดียวกับพระพุทธรูปทองคำที่วัดไตรมิตร จากน้้นพวกเราก็เดินทางต่อไปแวะคลายร้อนกันที่ร้านคาเฟ่อู่เรือ ไฮไลท์คือ จุดชมองค์พระใหญ่ วัดปากน้ำ เก็บภาพเป็นที่ระลึกได้แบบสวยงามสุดๆ เลยทีเดียว

จุดชมวิวองค์พระใหญ่ ของร้านคาเฟ่อู่เรือ

เมื่อพักจนหายเหนื่อย และได้ถ่ายรูปองค์พระใหญ่จนพอใจแล้ว ก็ถึงเวลาตอ้งเดินทางไปยังสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ นั่นคือ วัดนางชี เพื่อชมงานประดับมุกบานหน้าต่างและประตูอุโบสถ ศิลปะชั้นยอดของเมืองนากาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพบได้ที่วัดนางชี และวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยสภาพส่วนใหญ่ชำรุดจากการถุกปลวกกิน รอการบูรณะซ่อมแซมจากทางญี่ปุ่นต่อไป

ก่อนจะปิดท้ายทริปนี้ ด้วยการกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งที่วัดนางชีนี้จะการจัดงานบุญประจำปีที่ปฏิบัติกันมาช้านาน คือ “งานชักพระวัดนางชี” หรือ “งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ” โดยจัดในวันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 ของทุกปี

จบทริปนี้ไปด้วยประทับใจท่ามกลางอากาศอันแสนร้อนอบอ้าวในเดือนมีนาคม แต่ต้องขอบอกว่า แม้แอดมินจะเกิดและใช้ชีวิตที่ฝั่งธนฯ มาครึ่งชีวิต แต่นี่เป็นครั้งแรกๆ ที่ได้มีโอกาสสัมผัสความ “อันซีน” ที่พบเห็นได้แบบไม่จำกัด ตลอดแนวคลองบางกอกใหญ่แห่งนี้

ออมสิน ตอบทุกความต้องการเรื่องบ้านด้วย “สินเชื่อเคหะ”

การมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง นับเป็นความใฝ่ฝันของคนจำนวนไม่น้อย ซึ่งการจะเป็นจริงได้นั้น ต้องอาศัยความตั้งใจ ความอดทน และระยะเวลา เพราะบ้าน ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในชีวิต การตัดสินใจซื้อ หรือปลูกสร้างบ้าน ย่อมต้องเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่และสำคัญของชีวิตเลยทีเดียว อีกทั้ง การดูแลรักษา ซ่อมแซม และต่อเติมบ้านที่อยู่อาศัย ถือเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่สูงของเจ้าของบ้าน ทำให้ ต้องมีการวางแผนบริหารจัดการเงินให้ดี เพื่อไม่ให้กระทบกับการสถานะทางการเงิน จนเกิดเป็นปัญหาทางด้านการเงินตามมา

นับเป็นโอกาสดีของ เจ้าของบ้าน และคนรักบ้าน ที่ปัจจุบันนี้ได้รับประโยชน์จากเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ที่เข้ามาเป็นทางเลือก ช่วยทำให้ความต้องการมีบ้านเป็นของตัวเอง ตลอดจนการซ่อมแซม ต่อเติมบ้าน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น

เช่นเดียวกับ “สินเชื่อเคหะ” ของธนาคารออมสิน ซึ่งเข้าใจคนรักบ้าน และตระหนักดีถึงภาระทางการเงินจากบ้าน จึงออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบครบทุกความต้องการเรื่องบ้าน โดยเป็นสินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งซื้อ / ปลูกสร้าง / ต่อเติมซ่อมแซม ด้วยเงื่อนไขพิเศษให้ผ่อนต่ำ ล้านละ 3,555 บาท/เดือน ระยะเวลานาน 6 เดือนแรก พร้อมอัตราดอกเบี้ยปีแรก 3.140% (MRR-3.855%)

สำหรับผู้กู้ต้องมีคุณสมบัติ คือ มีอายุครบ 20 ปีขึ้นไป และเมื่อรวมอายุผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี ประกอบอาชีพและมีรายได้แน่นอน กรณีกู้ร่วมกับบุคคลอื่น มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดังนี้ คือ หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์เป็นคู่สมรส บุตร บิดา มารดา หรือ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคนก็ได้ แต่หากกู้ร่วมกับบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากข้างต้นแล้ว ต้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมในหลักประกันทุกคน

สามารถติดต่อยื่นกู้สินเชื่อเคหะได้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 15 ตุลาคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/43Pd008 ติดต่อสอบถาม และสมัครขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือทาง www.gsb.or.th

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ www.gsb.or.th และ Facebook: GSB Society

รู้เก็บรู้ออม : ลงทุนหุ้น ESG แล้วได้อะไร!!

คอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง” พูดถึงหุ้นยั่งยืน (ESG) มาแล้วหลายครั้ง จนถึงตอนนี้นักลงทุนน่าจะรู้จักหุ้นประเภทนี้เป็นอย่างดีแล้วว่า บริษัทจดทะเบียนที่เป็นเจ้าของหลักทรัพย์ หรือหุ้น ESG นี้ จะประกอบกิจการแบบไม่ได้มองแค่กำไรเป็นตัวเลขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและหลักธรรมาภิบาล ด้วย

ทีนี้ หลายคนคงมีคำถามอยู่ในใจว่า นักลงทุนเอง เมื่อลงทุนก็ต้องหวังว่าจะได้เห็นหุ้นที่ตัวเองซื้อ ราคาปรับเพิ่มขึ้น จึงเกิดคำถามว่า การลงทุนในหุ้น ESG จะตอบโจทย์เรื่องผลตอบแทนหรือไม่ เพราะติดภาพว่า หุ้น ESG เป็นหุ้นโลกสวย ราคาหุ้นไม่หวือหวา

มีรายงานของฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทดลองจัดพอร์ตลงทุนหุ้นไทยในกลุ่ม ESG เพื่อศึกษาผลตอบแทนรวมสะสมย้อนหลัง 5 ปี ตั้งแต่ พ.ศ.2559-2564 พบว่า ให้ผลตอบแทนรวมสะสมถึง 51% และยังพบว่า หุ้นที่อยู่ในกลุ่มยั่งยืนนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทในตลาดหุ้นไทยให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG มากขึ้น

เพราะการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืน จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบด้านลบต่อผลการดำเนินงานด้านการเงินของบริษัท เมื่อความเสี่ยงลดลง นักลงทุนก็จะกล้าซื้อหุ้น ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น

เว็บไซต์ SETINVESTNOW โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้เผยแพร่บทความที่ตอกย้ำแนวคิดดังกล่าว โดยยกตัวอย่างหุ้นสองตัว คือ หุ้น CPF ของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) อยู่ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และหุ้น CPN ของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เพื่อให้แสดงตัวอย่างด้านผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมจากการลงทุนในหุ้น ESG

หุ้นทั้งสองตัวนี้มีชื่อติดอันดับรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯประกาศทุกปี ทำให้เห็นได้ว่า ผู้ประกอบการต่างให้ความสำคัญกับประเด็น ESG อย่างมาก

ยิ่งให้ความสำคัญมากเท่าไร ก็ต้องมีความพยายามดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษามาตรฐาน และระดับความน่าเชื่อถือของธุรกิจตัวเอง

ยกตัวอย่างเช่น การให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของอาหารของ CPF, การจัดการของเสียจากการใช้งานอาคารที่ CPN ตั้งเป้าลดปริมาณขยะที่ส่งไปหลุมฝังกลบให้เท่ากับศูนย์, การลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อม ที่ทั้งสองบริษัทกำหนดไว้เป็นนโยบายเช่นกัน

นโยบายแต่ละเรื่องล้วนเป็นการลดความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการสร้างรายได้ ตลอดจนผลดำเนินงานด้านการเงินของบริษัท นักลงทุนที่เลือกซื้อหุ้นกลุ่มนี้ จึงจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการลงทุนแน่นอน

สำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน สามารถเรียนฟรีกับ หลักสูตร “ถอดแนวคิดการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน” https://elearning.set.or.th/SETGroup/courses/534/info หรือดูรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment: THSI) ปีล่าสุด ได้ที่นี่ รายชื่อ Thailand Sustainability Investment (THSI) ปีล่าสุด.

คุณนายพารวย

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

โออาร์ เชิญร่วมงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” สร้างโอกาสเติบโตร่วมกันกับธุรกิจทุกขนาดและสตาร์ตอัป

โออาร์ เชิญชวนผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาด สตาร์ตอัป และผู้สนใจร่วมเส้นทางเติมเต็มโอกาสเพื่อการเติบโตไปด้วยกันในงานเสวนาและโชว์เคสธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “Inclusive Growth Days empowered by OR” ระดม 50 ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักธุรกิจชั้นนำ ร่วมเจาะลึกโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตที่จะมาช่วยต่อยอดการลงทุน ผู้เชี่ยวชาญวงการสตาร์ตอัปมาไขรหัสแห่งความสำเร็จ พร้อมทั้งการจัดแสดงสินค้า นวัตกรรม และเทคโนโลยีจากพันธมิตรของ โออาร์ ที่จะยกระดับธุรกิจให้เติบโตไปพร้อมกับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมโอกาสในการสรรหาพันธมิตร สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อร่วมเติมเต็มศักยภาพและก้าวสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน เพลิดเพลินกับการชอปปิงสินค้าไทยเด็ด อิ่มอร่อยกับอาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงความบันเทิงจากศิลปินนักร้อง นักแสดงชั้นนำ และแขกรับเชิญเซเลบริตี้มากมาย ตั้งแต่วันที่ 22 – 24 กรกฎาคม 2565 ที่ ชั้น 22 บางกอก คอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีที่ https://www.zipeventapp.com/e/Inclusive-Growth-Days

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ กล่าวว่า “โออาร์ ได้เดินหน้าวิสัยทัศน์ใหม่ “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” ด้วยความเชื่อว่า ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของโลก องค์กรธุรกิจต้องปรับตัวและพลิกโฉม นำโมเดลทางธุรกิจและนวัตกรรมใหม่มาใช้ และประสานความร่วมมือกัน เพื่อเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมที่จะส่งเสริมผู้คนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างสรรค์ชุมชนที่น่าอยู่ และรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยังคงอุดมสมบูรณ์สำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต เราจึงจัดงาน “Inclusive Growth Days empowered by OR” ขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะขับเคลื่อนโอกาสและสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินธุรกิจสู่อนาคต ผู้ประกอบการธุรกิจทุกรูปแบบ ทุกขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ รวมถึงสตาร์ตอัป จะได้รับประโยชน์โดยตรงเมื่อมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงมองหาพันธมิตรและช่องทางธุรกิจ ตลอดจนสร้างความร่วมมือซึ่งกันและกันระหว่างธุรกิจต่าง ๆ”

“คุณค่าและสาระประโยชน์จากเวทีเสวนาและโชว์เคสครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้นได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจจากผู้บริหารจากองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็น เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนนักธุรกิจและผู้บริหารองค์กรธุรกิจชั้นนำจากหลากหลายภาคอุตสาหกรรม รวมกว่า 50 ท่าน ที่ให้เกียรติมาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ แลกเปลี่ยนมุมมอง และประสบการณ์ ด้วยความตระหนักดีว่า การดำเนินธุรกิจแบบเดิมที่มุ่งเน้นเพียงการแสวงหาผลกำไร ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในระยะยาวอย่างยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาร่วมสร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth” นางสาวจิราพร กล่าวเสริม

นอกเหนือจากสร้างโอกาสให้ทุกคนในสังคมเติบโตร่วมกันแบบ Inclusive Growth ไฮไลต์ของงานเสวนา สอดคล้องกับพันธกิจทั้ง 4 ของ โออาร์ ประกอบด้วย
Seamless Mobility – EV พลิกโฉมธุรกิจพลังงานและการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ
All Lifestyles – ตอบโจทย์ทางเลือกการใช้ชีวิตในอนาคต ทั้งอาหาร สุขภาพ และการท่องเที่ยว รวมถึงช็อปผลิตภัณฑ์ชุมชนจากโครงการไทยเด็ดทั่วประเทศ
Global Market – โอกาสของธุรกิจไทยในต่างแดน และหลากหลายสูตรสำเร็จเพื่อการเติบโตในต่างประเทศ รวมถึงเคล็ดวิชาของ Café Amazon และ PTT Station ในตลาดโลก
OR Innovation – นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน สร้างตลาดใหม่ด้วยการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม ไขรหัสความสำเร็จของ Flash Express สตาร์ทอัประดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย และอีกหลากหลาย Solution ล้ำยุค

โออาร์ ทุ่มเทความตั้งใจจัดงานนี้เพื่อให้ผู้เข้าชมงาน ทั้งนักธุรกิจ นักลงทุน พนักงาน ตลอดจนประชาชนทั่วไปได้เห็นถึงโมเดลทางธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะต้องสานพลังและประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อการเติบโตแบบ Inclusive และยังมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมจากพันธมิตรของ OR ทั้งตัวแทนจำหน่าย ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ทอัป และ แบรนด์ต่าง ๆ รวมกว่า 100 บูธ ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้า นวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในโลกยุคใหม่ ผลิตภัณฑ์และสินค้าอาหารจากธุรกิจในเครือและพันธมิตรของ OR และ Café Amazon ผลิตภัณฑ์และอาหารจากโครงการไทยเด็ด และเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มหลากหลายจาก Café Amazon ที่มาจำลองบรรยากาศ Green Oasis ขึ้นภายในงาน รวมถึงเมนูพิเศษที่มีจำหน่ายเฉพาะ Café Amazon ในต่างประเทศเท่านั้น พร้อมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดัง อาทิ นนท์ ธนนท์, เอ๊ะ จิรากร, เจ๋ง บิ๊กแอส,โต้ง ทูพี และกิจกรรมสนุกสนานจากดารา นักแสดง และแขกรับเชิญเซเล็บคนดังมากมายที่มาร่วมงาน อาทิ ไบร์ท นรภัทร, ตรี ภรภัทร, ฟิล์ม ธนภัทร, ตงตง กฤษกร, เน๋ง ศรัณย์, กระทิง ขุนณรงค์, ภณ ณวัสน์

สำหรับหัวข้อการบรรยายและการเสวนาบนเวทีที่น่าสนใจ ประกอบด้วย

Start-Up Sharing Session: 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 10:00 น. – 12:30 น.
• แนะนำธุรกิจ โดย 11 สตาร์ทอัปและธุรกิจร่วมลงทุน (VC) ที่มาร่วมงาน

Inclusive Growth Theme: 22 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:00 น. – 17:30 น.
• กล่าวเปิดงานในหัวข้อ “Inclusive Growth ทิศทางธุรกิจแห่งอนาคต” โดย จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR
• “Inclusive Economy ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจที่เติบโตร่วมกับสังคม” โดย ดนุชา พิชยนันน์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
• “Inclusive Business Model โมเดลธุรกิจแห่งอนาคต โมเดลธุรกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด และ จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR
• “Inclusive Finance โมเดลการเงินแห่งอนาคต เพื่อการเติบโตร่วมกัน” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ธนา โพธิกําจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กสิกร ไลน์ จำกัด และ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ประธานทีมเศรษฐกิจ (Group Chief Economist) และกรรมการผู้จัดการ ซีกรุ๊ป
• ปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก เอ๊ะ-จิรากร สมพิทักษ์

Seamless Mobility Theme: 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 9:00 – 14:00 น.
• “From Gas to Green พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) สมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR
• “The World of EV ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อโลกเพื่อเรา” โดย รศ.ดร. ยศพงษ์ ลออนวล หัวหน้าศูนย์วิจัย Mobility and Vehicle Technology Research Center (MOVE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) และ นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย
• “EV Moments ช่วงเวลาที่ดีต่อใจ ดีต่อโลก” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศิวภูมิ เลิศสรรค์ศรัญย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คาร์ซัม (ประเทศไทย) จำกัด เอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด และวริศร เรียงประยูร กรรมการผู้จัดการ เอ มอเตอร์ส กรุ๊ป
• “The World of Seamless Mobility โลกแห่งการเคลื่อนที่อย่างไร้รอยต่อ” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย สุรเดช ทวีแสงสกุลไทย ประธานกรรมการ บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง จำกัด (เคเคทีที) พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ธารินี สุทธิปริญญานนท์ นายกสมาคมการค้าผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันพลังไทย PTT และบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน OR
• พักครึ่งด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก นนท์ – ธนนท์ จำเริญ

All Lifestyles Theme: 23 กรกฎาคม 2565 เวลา 14:00 – 16:30 น.
• “Taste of Happiness รสชาติแห่งความสุข” โดย ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการบริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์กรุ๊ป จํากัด (มหาชน)
• “Wellness Destination จุดหมายที่ร่างกายได้ยิ้ม” โดย ฐิติพัฒน์ ศุภภัทรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธัญ-ออริซ่า จำกัด ผู้ก่อตั้ง THANN Wellness Destination
• “Beyond Food มากกว่าอาหารแต่คือสุขภาพที่ดีขึ้น” ร่วมเสวนาโดย ชลากร เอกชัยพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด (โอ้กะจู๋) กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด แดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) และสมยศ คงประเวช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจไลฟ์สไตล์ OR
• “All Lifestyles for Good Health ตอบโจทย์การใช้ชีวิตกับสุขภาพดีที่คุณเลือกได้” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย นพ. ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) วิภาวี วงศ์สิริศักดิ์ CCO และผู้ร่วมก่อตั้งโกวาบิ และ นพ. สุทธิชัย โชคกิจชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท กู๊ด ด็อกเตอร์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย)

Global Market Theme: 24 กรกฎาคม 2565 เวลา 9:00 – 13:30 น.
• “Borderless Fashion แฟชั่นไร้พรมแดน” โดยเดวิด โจว ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) และผู้ร่วมก่อตั้ง โพเมโล แฟชั่น
• “Thai Brands to Global Market สร้างแบรนด์ไทยสู่แบรนด์โลก” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) วีรพลน์ เตชะผาสุขสันติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด และรชา อุทัยจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจต่างประเทศ OR
• “Thai Business in Global Arena ธุรกิจไทยไม่แพ้ใครในเวทีโลก” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย กฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มมิตรผล ดร. เกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด และชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด
• “Global Opportunities for Thai Businesses โอกาสการเติบโตของธุรกิจไทยในต่างแดน” โดย สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
• พักครึ่งด้วยมินิคอนเสิร์ตจาก เจ๋ง-เดชา โคนาโล และทูพี-พิทวัส พฤกษกิจ

New Innovation Theme: 24 กรกฎาคม 2565 เวลา 13:30 – 17:00 น.
• “Impact Innovation สตาร์ตอัปยุคต่อไป สร้างตลาดใหม่โดยแก้ปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อม” โดย กระทิง พูนผล ผู้ก่อตั้งกองทุน 500 TukTuks และผู้บริหารกองทุน ORZON Ventures
• การสัมภาษณ์พิเศษ “The Journey of Thailand’s 1st Unicorn กว่าจะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกของเมืองไทย” คมสันต์ ลี ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจแฟลช (โดยรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด ผู้ก่อตั้งเพจ Mission to the Moon เป็นผู้สัมภาษณ์)
• “Technology for a Sustainable Future เทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย ธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด ธมลวรรณ วิโรจน์ชัยยันต์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มอร์ลูป จำกัด แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และ นพ. ศุภชัย ปาจริยานนท์ กรรมการ บริษัท ไรส์ อินโนเวชั่น ฮับ จำกัด
• “New Innovation toward Sustainable Society นวัตกรรมสู่สังคมที่ยั่งยืน” โดยผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย พงษ์ลดา พะเนียงเวทย์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง เฟรชเก็ต สมศักดิ์ บุญคำ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Local Alike หลุยส์ อัลบาน บาทาร์ด ดูเปร ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่น “ยินดี (Yindii) และราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการโครงการ ORion
• ปิดท้ายด้วย “Together toward Inclusive Growth เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโต ร่วมกัน” โดยจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR

ออมสิน รับปีขาล ออก “สลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ฉลองปีใหม่ 2565” ลุ้นรางวัลใหญ่ 1 ล้าน รวม 20 รางวัล

ธนาคารออมสิน ต้อนรับปีขาล มอบของขวัญปีใหม่ 2565 ให้ลูกค้าสุดพิเศษ!

ซื้อสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ผ่าน MyMo ได้ลุ้นโชคต่อที่ 2 เพิ่ม! รางวัลพิเศษ จำนวน 20 รางวัล ๆ ละ 1 ล้านบาท มูลค่ารวม 20 ล้านบาท

กำหนดออกรางวัล 2 ครั้ง
• ครั้งที่ 1 วันที่ 16 มีนาคม 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
• ครั้งที่ 2 วันที่ 16 เมษายน 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
(กำหนดงวดและหมวดอักษรของรางวัลพิเศษ ทั้ง 20 รางวัล)

เปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565 (วงเงินรับฝาก 24,000 ล้านบาท)

หลักเกณฑ์รายละเอียด
ระยะเวลารับฝากตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
ผู้มีสิทธิเปิดบัญชีบุคคลธรรมดา อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
อายุ1 ปี (สิทธิการถูกรางวัล 12 ครั้ง)
ราคาต่อหน่วย20 บาท
รายละเอียดดอกเบี้ยฝากครบ 1 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยกรณีผิดเงื่อนไขการฝากฝากไม่ครบ 3 เดือน หักส่วนลด 0.50 บาทต่อหน่วย
วงเงินในการรับฝาก 1. สามารถเลือกทำรายการฝากตามจำนวนเงินที่กำหนดได้ ดังนี้ จำนวนเงิน 200 /400 /1,000 /2,000 /10,000 /20,000 /100,000 และ 200,000 บาท
2. สามารถระบุจำนวนเงินที่ต้องการฝากด้วยตนเองตั้งแต่ 1,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 10,000,000 บาท โดยระบุได้เฉพาะจำนวนเงินที่หารด้วย 1,000 ลงตัว
3. วงเงินการทำรายการสูงสุด 10,000,000 บาทต่อวัน (วงเงินรวมกับการโอนเงินภายในบัญชีตนเอง)4. ธนาคารไม่ออกใบสลากให้ แต่สามารถตรวจสอบรายการฝากได้ในบริการMobile Banking (MyMo)5. สามารถฝากเพิ่มในทะเบียนสลากเดิมได้โดยเป็นรายการฝากใหม่
ระยะเวลาจ่ายดอกเบี้ย
การออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน* หยุดจำหน่ายทุกวันที่ 16 ของเดือน *
การรับเงินรางวัลโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอนในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล
เงื่อนไขหลัก1. ผู้ฝากต้องมีบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกเป็นบัญชีคู่โอนสำหรับรับโอนเงินต้นและดอกเบี้ยเมื่อสลากครบอายุ และเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝาก2. ต้องสมัครใช้บริการ Mobile Banking (MyMo) สำหรับทำรายการฝาก-ถอน ผ่านบริการ Mobile Banking (MyMo)3.  ไม่รับฝากบัญชีร่วมและบัญชีเพื่อประโยชน์ของผู้เยาว์
สลากครบอายุโอนเงินสลากครบอายุและดอกเบี้ย(ถ้ามี) เข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน

สิทธิพิเศษของโครงการ 

ระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565
วงเงินโครงการ24,000 ล้านบาท
เงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการ1.     ต้องเป็นผู้ฝากสลากออมสินดิจิทัล 1 ปี ในระหว่างวันที่ 17 ธันวาคม 2564 – 15 มีนาคม 2565 เท่านั้น
2.     ไม่จำกัดวงเงินรับฝากต่อราย
สิทธิพิเศษของโครงการเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จำนวน 20 รางวัล รวมเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น 20 ล้านบาท โดยกำหนดงวดและหมวดอักษรของรางวัลพิเศษ ทั้ง 20 รางวัล
การออกรางวัลพิเศษออกรางวัลจำนวน 2 ครั้งครั้งที่ 1 วันที่ 16 มีนาคม 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาทครั้งที่ 2 วันที่ 16 เมษายน 2565 จำนวน 10 รางวัล รวม 10 ล้านบาท
การรับเงินรางวัลพิเศษโอนเงินรางวัลเข้าบัญชีเงินฝากประเภทเผื่อเรียกที่เป็นบัญชีคู่โอน ในวันถัดจากวันที่ออกรางวัล

ดูรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ >https://bit.ly/3sAm4pW

OR สนับสนุนพื้นที่ใน พีทีที สเตชั่น 17 แห่ง ตั้งจุดกระจายยาเพื่อผู้ป่วยโควิด-19

ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด – 19 จำนวนมาก กระจายไปทั่วประเทศ  บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ได้เข้าไปมีบทบาทในการสนับสนุนโครงการ Primary Care Hub – “ComCOVID-19 – FM CoCare  ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง พริบตาคลินิกของสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี  โดยการสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบัน มีผู้ป่วยอยู่ในความดูแลของโครงการนี้ กว่า 20,000 ราย

OR จัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 17 แห่ง เป็นจุดกระจายยา เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โออาร์ ยังมอบบัตรน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พริวิเลจการ์ด มูลค่า 270,000 บาท เพื่อสนับสนุนดำเนินงานของไรเดอร์อาสาสมัคร จาก บริษัท ดิจิตอล อีร่า กรุ๊ป (UFU) ที่รับส่งยาให้กับผู้ป่วย

การจัดตั้งจุดกระจายยาในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ส่งกำลังใจ..สู้ไปด้วยกัน” #ORStayStrongTogether ซึ่ง OR ได้ดำเนินการช่วยเหลือหน่วยงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง ร่วมส่งกำลังใจให้ทุกคนสามารถก้าวต่อไปได้ดีดังเดิม

OR ร่วมส่งกำลังใจ สู้โควิดไปด้วยกัน ผ่านกล่อง tOgetheR Box

ในวันที่หลายคนตั้งคำถามว่า เราจะผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้อย่างไร จำนวนผู้ติดเชื้อแตะระดับสูงสุดหรือยัง และจะลดลงเมื่อไหร่ วัคซีนป้องกันจะได้คิวฉีดวันไหน  เด็กจะได้ไปใช้ชีวิตวัยเรียนที่โรงเรียนได้เมื่อไร และ เราต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ต้องทำงานอยู่กับบ้าน  ลดกิจกรรมนอกบ้าน  กันแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร

ความจริงที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ คือ เราต้องอยู่กับสภาพเช่นนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง  และต้องอยู่อย่างมีความรับผิดชอบต่อคนรอบข้าง  สมาชิกครอบครัว และสังคม  เราต้องอยู่อย่างมีสติ  อยู่อย่างระแวดระวังแต่ไม่ใช่หวาดระแวงต่อกัน

แม้ว่า สถานการณ์โควิด-19 ระลอกนี้ จะสร้างความหวาดหวั่นใจให้กับผู้คนมากขึ้น  ตัวเลขการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 20,000 กว่าคนต่อวัน   ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดรายวัน จนถึงวันนี้ เราได้เห็นตัวเลข 300 กว่าคนแล้ว

จำนวนผู้ป่วยโควิดที่สูงมากขนาดนี้ มากกว่าเกินกว่าระบบการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ทั้งจำนวนสถานพยาบาล  จำนวนบุคลากรทางการแพทย์ จะสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง จึงทำให้ภาครัฐ ต้องออกแนวทางการรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หรือ Home Isolation เพื่อแบ่งเบาภาระของด่านหน้า และรักษาให้ระบบสาธารณสุขของเรายังสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้

รูปแบบความช่วยเหลือที่จะได้ผลและรวดเร็ว  จึงต้องเป็นการส่งความช่วยเหลือแบบส่งตรงถึงมือผู้ป่วยที่รักษาตัวหรือกักอยู่ที่บ้าน   กระจายความช่วยเหลือผ่านหน่วยงานต่างๆ  เพื่อครอบคลุมจำนวนผู้ที่กำลังเดือดร้อน ให้ได้เข้าถึงความช่วยเหลือนั้นอย่างรวดเร็วและมากที่สุด

tOgetheR Box

จากแนวคิดดังกล่าวนี้ ทาง บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR  จึงได้มีแนวคิดจัดทำ “tOgetheR Box”  ซึ่งเป็นชุดยาและเวชภัณฑ์ จำนวน 1.5 หมื่นกล่อง คิดเป็นมูลค่ารวม 7.5 ล้านบาท  โดยกระจายส่งมอบ “tOgetheR Box” ไปให้โรงพยาบาล และหน่วยงานอาสาต่างๆ เพื่อส่งต่อให้ผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านต่อไป  ไม่ว่าจะเป็น สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง  กรมควบคุมโรค จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กรมการแพทย์ โรงพยาบาลพระราม 9 กาญจนาภิเษก โรงพยาบาลธัญญารักษ์ จ.ปัตตานี โรงพยาบาลชัยบาดาล จ.ลพบุรี รวมไปถึงเพจ เราต้องรอด, อีจัน, โครงการตัวเล็ก ใจใหญ่ และ หมอแล็บแพนด้า

จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR

คุณ จิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ OR  พูดถึงแนวคิดของการจัดทำกล่อง “tOgetheR Box”  ว่า  เกิดจากการที่ OR  ได้ริเริ่ม โครงการ ส่งกำลังใจ .. สู้ไปด้วยกัน #ORStayStrongTogether   เพื่อมอบความช่วยเหลือให้แก่หน่วยงานและชุมชนที่ประสบความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19   และต่อมา เมื่อภาครัฐมีนโยบายให้ผู้ป่วยโควิด- 19 ที่อาการไม่รุนแรง และสามารถให้แยกกักตัวที่บ้านได้  OR จึงได้จัดทำกล่อง “tOgetheR Box”  ซึ่งประกอบไปด้วย ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว ยาพาราเซตามอล ยาฟ้าทะลายโจร หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ รวมทั้งระบบติดตามอาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของแต่ละหน่วยงาน เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ดูแลผู้ป่วยที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน

เริ่มแรก ได้มอบให้กับสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง เพื่อนำ “tOgetheR Box”  ไปมอบให้กับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ทราบผลจากการตรวจเชิงรุกของรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน (Express Analysis Mobile Unit) สำหรับใช้ดูแลรักษาตนเองที่บ้านขณะรอเตียง รวมทั้งช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่คลองเตยและชุมชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหน่วยงานแรก

นอกจากนี้ โออาร์  ได้ทยอยส่งมอบ “tOgetheR Box”  ให้กับโรงพยาบาล และหน่วยงานจิตอาสาต่าง ๆ ที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยที่กักตัวที่บ้านต่อไปโดยเร็ว

คุณ จิราพร  กล่าวอีกว่า  ก่อนหน้านี้  OR  ได้ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ชุมชนและสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินและสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ให้กับทั้งหน่วยงานและชุมชนโดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีสถานประกอบการของ โออาร์ ตั้งอยู่, การจัดพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พระราม 2 (ขาออก) เป็นจุดฉีดวัคซีน, การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนไปฉีดวัคซีน, การร่วมกับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลในแต่ละจังหวัด  ทั้ง 77 จังหวัด

ตลอดจนการช่วยซื้อมังคุดจากเกษตรกรภาคใต้ที่ประสบปัญหาราคาสินค้าตกต่ำและล้นตลาด แล้วนำมามอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและศูนย์พักคอยของ กทม. รวมไปถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานจิตอาสาด่านหน้า   นอกจากนี้ OR ยังได้ช่วยเหลือคู่ค้า ลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย และพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

จะเห็นได้ว่า ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ที่ผ่านมา  OR ถือว่า เป็นภารกิจสำคัญที่สุดขององค์กร เพื่อแสดงถึงความมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบต่อสังคม โดย OR ยังยืนยันที่จะเดินหน้าช่วยเหลือสังคมไทยต่อไป จนกว่าทุกคนจะกลับมายืนได้อย่างปลอดภัย และก้าวต่อไปได้ดีดังเดิม.

ตามติดภารกิจของกรมชลประทาน แก้ปัญหาภัยแล้งที่จ.ลพบุรี

ตามติดการแก้ปัญหาภัยแล้งของกรมชลประทาน กับ ปฏิบัติการเติมน้ำให้ลุ่มน้ำบางขามจังหวัดลพบุรี

ลุ่มน้ำบางขาม ที่หล่อเลี้ยงวิถีชุมชนหลายพื้นที่ ครอบคลุม ตำบลมหาสอน, ตำบลบางพึ่ง, ตำบลบ้านชี, ตำบลบางขาม อำเภอบ้านหมี่ และตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี หลังเกิดวิกฤตน้ำแห้งขอด จากปริมาณฝนตกน้อยและฝนทิ้งช่วง กรมชลประทาน จึงเร่งระดมนำเครื่องจักร เครื่องมือ ทำการสูบน้ำอย่างเร่งด่วน

พร้อมแจ้งให้ชาวบ้านรับรู้ถึงสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง ตามที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ กำชับให้แก้ปัญหาน้ำอุปโภคบริโภคให้มีเพียงพอ เป็นธรรม รวมถึงการรักษาระบบนิเวศ 

ส่วนภาคเกษตรกรรมให้ขอความร่วมมือชะลอการเพาะปลูกออกไปก่อน จนกว่าจะมีฝนตกในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ

กรมชลประทาน ยืนยันจะผลักดันการส่งน้ำไปสู่พื้นที่ปลายน้ำ รวมระยะทาง 47 กม. เพื่อให้ชาวบ้านได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ซึ่งหลังจากการเติมน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการผลิตประปาของการประปาส่วนภูมิภาคได้แล้ว สำนักงานชลประทานที่ 10 จะเร่งดำเนินการตามแผนระยะยาว โดยจะทำการขุดลอกระยะทาง 14 กิโลเมตร กว้าง 40 เมตร ลึก 3 เมตร พร้อมจัดทำแก้มลิง 3 แห่ง

คาดการดำเนินการตามแผนงานทั้งเร่งด่วนและระยะยาว จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลุ่มน้ำบางขามได้กว่า 2,000,000 ลูกบาศก์เมตร

เปิดตัวโครงการ AOM YOUNG สร้างวินัยการออมการลงทุนให้นศ.ที่กู้ยืมกยศ.

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ บลจ.กรุงไทย เปิดตัวโครงการ “AOM YOUNG” ส่งเสริมวินัยการออมการลงทุนด้วยกองทุนรวมแก่นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ทั่วประเทศ เพื่อสร้างอนาคตที่ดีทางการเงิน รวมทั้งสามารถชำระเงินคืนกองทุนได้เมื่อครบกำหนด เปิดรับนักศึกษาร่วมโครงการ 28 มิถุนายน 2564

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ “AOM YOUNG” เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างตลาดหลักทรัพย์ฯ กยศ. และ บลจ.กรุงไทย เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. มีการวางแผนเพื่อการออมและลงทุนอย่างต่อเนื่องผ่านกองทุนรวม เพื่อเสริมสร้างวินัยและความมั่นคงทางการเงิน โดยโครงการนี้ยังเป็นการต่อยอดความร่วมมือในการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ดำเนินงานร่วมกับ กยศ. อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งการรณรงค์ให้เกิดวินัยการออมผ่านโครงการ “AOM YOUNG” จะช่วยสร้างประสบการณ์ให้นักศึกษามีความเข้าใจการลงทุนและรู้จักทางเลือกการออมที่ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี มีเงินออมตั้งต้นพร้อมสำหรับเป้าหมายในอนาคต สอดคล้องกับพันธกิจของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการพัฒนาตลาดทุนเพื่อทุกคน

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีนักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืม ได้รับความรู้ผ่านหลักสูตร e-Learning แล้วกว่า 560,000 ราย โครงการนี้จึงจะมาช่วยต่อยอดให้ผู้กู้ยืมที่มีความรู้ทางการเงินมีช่องทางในการออมเงินสม่ำเสมอได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกองทุนเห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติจริง จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้กู้ยืมได้เรียนรู้การลงทุนผ่านกองทุนรวมในรูปแบบการออมสม่ำเสมอขั้นต่ำ 100 บาทต่อเดือน โดยเริ่มจาก KTAM เป็นที่แรก ซึ่งนอกจากผู้กู้ยืมจะมีเงินเก็บและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นแล้ว ยังนับเป็นจำนวนชั่วโมงจิตสาธารณะได้อีกด้วย โดยกองทุนมุ่งหวังว่า โครงการ “AOM YOUNG” จะช่วยให้นักศึกษามีเครื่องมือทางการเงินที่ทำให้การเริ่มต้นออมเพื่อเป้าหมาย ในระยะยาวเป็นจริงได้ ตลอดจนสามารถนำเงินที่ออมได้มาชำระคืนเงินกู้ยืมให้กองทุนเมื่อถึงกำหนดต่อไป

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า KTAM มีความยินดีในการร่วมส่งเสริมวินัยการออมผ่านกองทุนรวมให้แก่นักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. โดยจะส่งเสริมความรู้ด้านผลิตภัณฑ์การลงทุน เปิดโอกาสให้นักศึกษาสามารถเลือกผลิตภัณฑ์การลงทุนให้กับตนเองได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ KTAM ยังได้คัดเลือกกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงในระดับต่ำถึงปานกลางให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในการออมและเริ่มต้นลงทุนของนักศึกษา โดยมีกองทุนให้เลือกหลากหลายประเภทตามความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) กองทุนตลาดเงิน: KTSS 2) กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น: KT-STPLUS ซึ่งนักศึกษาเริ่มต้นลงทุนขั้นต่ำได้เพียงเดือนละ 100 บาท ผ่านทาง บลจ.กรุงไทย หรือธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา ทั้งนี้ KTAM เชื่อมั่นว่าโครงการ “AOM YOUNG” จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้เยาวชนรุ่นใหม่เห็นความสำคัญของการออมตั้งแต่อายุยังน้อยได้มากขึ้นนักศึกษาผู้กู้ยืม กยศ. ทุกสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ สามารถเริ่มต้นออมสม่ำเสมอผ่านโครงการ “AOM YOUNG” ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2564 โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.setinvestnow.com, www.studentloan.or.th และ www.ktam.co.th

‘เจ้าสัวธนินท์’ ทุ่ม 200 ล้าน หนุนรพ.สนาม สู้โควิดรอบใหม่

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 วันนี้เป็นตัวเลขที่สูงสุดอีกวันหนึ่ง ที่มีผู้ติดเชื้อถึง 1,767 คน ทำให้ผู้ป่วยสะสมในโรงพยาบาลสูงถึง 13,568 ราย ซึ่งโรงพยาบาลก็เริ่มประสบปัญหาเตียงไม่เพียงพอ ปัจจุบันมีผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลสนาม 571 ราย ซึ่งต่อไปจะมีตัวเลขสูงมากขึ้น เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เตรียมงบประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเรื่องโรงพยาบาลสนามของโรงพยาบาลต่างๆ โดยเน้นไปที่สิ่งที่ซีพีทำได้ เช่น อาหาร เครื่องดื่ม และเสริมอุปกรณ์การแพทย์ที่ขาด บริษัททุกบริษัทในเครือจะมาช่วยผนึกกำลังเพื่อช่วยเสริมบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละเป็นอย่างมาก โดยเริ่มต้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อยอดไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ อาทิ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลตำรวจ  โรงพยาบาลของทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เป็นต้น

ตนเองมีความห่วงใยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทั้งนี้ในฐานะที่เป็นคนไทย  และเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้ดำเนินธุรกิจอยู่บนแผ่นดินไทยมาเป็นเวลา 100 ปี จึงตระหนักดีว่านี่คืออีกสถานการณ์หนึ่งที่สำคัญซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์จะต้องเข้ามาช่วยเหลือตามสรรพกำลังที่มีอยู่ และเห็นว่าการรับมือด้านสาธารณสุขมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงร่วมมือกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 พร้อมกันนี้จะจัดส่งอาหารครบ 3 มื้อให้กับโรงพยาบาลสนามของรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ รวมถึง Hospitel อีก 4 แห่งในความรับผิดชอบของรพ.จุฬาลงกรณ์ฯ และจะให้กลุ่มทรูจัด ไวไฟบริการฟรีในโรงพยาบาลสนามของจุฬาลงกรณ์ที่จะเปิดใหม่นี้ด้วย  และหากรัฐบาลเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้กับพนักงาน ก็จะถือว่าเป็นการลดภาระภาครัฐ โดยเอกชนออกค่าใช้จ่ายในการดูแลจัดหาวัคซีนสำหรับพนักงาน ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ทั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องคนไทยจะก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างปลอดภัย

นายธนินท์ กล่าวอีกว่า เชื่อมั่นว่าคนไทยและประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตโควิด-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน ขอเพียงทุกคนและทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันตามกำลังความสามารถ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็ววันนี้

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผอ.โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยกล่าวว่า ตอนนี้สถานการณ์รุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง  คนไข้มีจำนวนมากขึ้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้เตรียมการโรงพยาบาลสนาม เพื่อรองรับบุคลากร และนิสิตที่มีการติดเชื้อรวมถึงการเปิดให้กับผู้ป่วยต่อไปด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยอาการปานกลางและอาการหนัก มีพื้นที่เพียงพอในโรงพยาบาล ทั้งนี้ต้องขอบคุณท่านประธานธนินท์ และบริษัทในเครือซีพี ที่เป็นองค์กรเอกชนที่มีความตั้งใจดี ในการเข้ามาสนับสนุนดำเนินโครงการทั้งเรื่องโรงพยาบาลสนาม และ Hospitel ให้ประสบความสำเร็จและผ่านวิกฤตไปด้วยกัน

ศ.ดร.นพ.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนายการโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ฯ  กล่าวว่า สถานการณ์ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น มีแนวโน้มที่โรงพยาบาลจะรองรับได้ไม่ครบถ้วน ทำให้โรงพยาบาลได้ประชุมเพื่อร่วมกันต่อสู้กับวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยจับมือกันเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยจะเริ่มให้บริการได้ในสัปดาห์หน้า

คนใช้รถเฮ โออาร์ประกาศไม่ขึ้นราคาน้ำมัน เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โออาร์ จัดแคมเปญ “โออาร์สร้าง ความ สุข” มอบของขวัญให้แก่ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ โดย สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น จะไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดตลอด 9 วันในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2564 (ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 63 – 3 ม.ค. 64) แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกผู้เดินทาง ทั้งเดินทางท่องเที่ยวและเดินทางกลับภูมิลำเนา

นอกจากนี้ เมื่อเติมน้ำมันในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 – 1 มกราคม 2564 ครบ 500 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าไทยเด็ด 1 ชิ้น ส่งต่อรอยยิ้มจากชุมชนให้ผู้ใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เป็นของขวัญปีใหม่อีกด้วย

สำหรับผู้ใช้บริการที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน เมื่อซื้อเครื่องดื่มหรือสินค้าคาเฟ่ อเมซอน ชนิดใดก็ได้ ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 20 สาขาบนเส้นทางสายหลักขาออกจากกรุงเทพมหานครที่ร่วมรายการ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 – 3 มกราคม 2564 รับฟรีทันทีกาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน (รสออริจินัล) 1 ซอง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อสาขาที่ร่วมรายการได้ที่ เฟสบุ๊คแฟนเพจ :  Café Amazon

ด้านศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ได้จัดโปรโมชั่น “FIT สุดเฟี้ยวเที่ยวไปด้วยกัน” รับสิทธิพิเศษมากมาย ซื้อน้ำมันหล่อลื่นและยางราคาพิเศษ และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2564

แคมเปญ “โออาร์ สร้าง ความ สุข” นอกจากจะเป็นการมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้บริโภค ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่แล้ว ร้านค้าในเครือโออาร์ ยังมีบริการต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกผู้บริโภคทั้งก่อนเดินทางและระหว่างเดินทาง โดยผู้บริโภคสามารถเข้าใช้บริการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ที่ศูนย์บริการยานยนต์ฟิต ออโต้ ก่อนเดินทาง และสามารถแวะพักผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าระหว่างการเดินทางได้ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น และร้านคาเฟ่ อเมซอนทุกสาขาที่พร้อมให้บริการตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่

โออาร์ ทุ่ม 30 ล. รวมพลังร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 ทั่วประเทศ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในไทย แม้ว่าปัจจุบันจะเริ่มมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น จากตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดน้อยลง และตัวเลขผู้ที่ได้รับการรักษาจนหาย นำไปสู่การผ่อนปรนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งได้ดำเนินไปเป็นระยะที่สองแล้ว ไม่ว่าจะการอนุญาตให้ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการได้ โดยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลที่รัดกุม เพื่อป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดกลับมาหนักอีก

หากมองย้อนกลับไปประมาณเดือนมีนาคม ซึ่งเริ่มมีการออกมาตรการควบคุม สั่งปิดร้าน ปิดสวนสาธารณะ ปิดสถานประกอบการต่างๆ รณรงค์ให้คนอยู่กับบ้านเพื่อชาติ และหลายบริษัทก็ให้ความร่วมมือโดยให้พนักงานที่สามารถทำงานอยู่ที่บ้านได้ โดยไม่ต้องมาที่ที่ทำงาน และหลายภาคส่วนเริ่มเอาจริงเอาจังกับการคัดกรองคนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้กรอกข้อมูลก่อนเข้าอาคาร, การให้ใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า, การติดตั้งแอลกอฮอล์ เจลล้างมือ ตามจุดต่างๆ, การทำความสะอาดจุดหรือบริเวณที่มีการสัมผัสร่วม

แน่นอนว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ก็เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทั้งในส่วนที่ต้องดูแลสวัสดิภาพของพนักงานบริษัท และการขับเคลื่อนธุรกิจของ โออาร์

ด้านการรับผิดชอบต่อผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการต่าง ๆ ของธุรกิจของ โออาร์ ทั้งสถานีบริการน้ำมัน PTT Station และร้านค้าต่าง ๆ ของ โออาร์  ได้มีนโยบายเพิ่มมาตรการด้านสุขอนามัย และปรับรูปแบบการให้บริการ เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่น เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอล์ ให้พนักงานทุกคนล้างมือและสวมหน้ากากอนามัยระหว่างปฏิบัติหน้าที่ การติดตั้งเจลแอลกอฮอล์สำหรับลูกค้าไว้ล้างมือ

ทุกธุรกิจของ โออาร์  เปิดดำเนินการตามปกติ เพื่ออยู่เคียงข้างคนไทยทุกคน และพร้อมผ่านวิกฤตไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken, ร้านฮั่วเซ่งฮง ติ่มซำ, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy, ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto เพียงแต่ต้องปรับรูปแบบการบริการให้เข้ากับระเบียบต่าง ๆ ที่ทางภาครัฐออกมา

นอกจากนี้ โออาร์ ยังช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของคนไทย ผ่านมาตรการความช่วยเหลือต่างๆ ทั้งในส่วนของโออาร์ เอง ไม่ว่าจะเป็น

  • การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์มอบให้รพ.ราชวิถี
  • มอบแอลกอฮอล์ทำความสะอาดให้โรงพยาบาล 44 แห่งทั่วประเทศ
  • มอบหน้ากากผ้ามัสลินให้กับสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย

และ ธุรกิจต่าง ๆ ของโออาร์ ก็ร่วมแรงกัน ออกมาช่วยเหลือเช่นกัน

  • สถานีบริการน้ำมัน PTT Station แจกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ 1 ล้านชิ้น จัดหาแอลกฮอล์ ขวด 1 ลิตร มาจำหน่ายในราคาพิเศษ, เปิดพื้นที่ในสถานีให้เกษตรกรนำมะม่วงน้ำดอกไม้มาขาย, แจกน้ำดื่มให้เดลิเวอรี่แมน 1 ล้านขวด

  • ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้าน Texas Chicken ช่วยสนับสนุนอาหาร เครื่องดื่ม ให้กับบุคคลากรการแพทย์
  • ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto พ่นยาฆ่าเชื่อทำความสะอาดห้องโดยสารรถยนต์ให้บุคลากรทางการแพทย์ ฟรี
  • บัตร Blue Card เปลี่ยนคะแนนสะสมเป็นเงินบริจาค ยอดรวมกว่า 1 ล้านบาท

และ ล่าสุด โออาร์ มีโครงการสมทบทุนให้กองทุนชัยพัฒนาสู้โควิด-19 และโรคระบาดต่าง ๆ ผ่าน 2 กิจกรรม คือ

1. ซื้อเครื่องดื่มร้านกาแฟ Café Amazon ทุกแก้ว หัก 1 บาทให้กองทุนนี้ ซึ่งสามารถเปลี่ยนพลังใจเป็นเงินสมทบทุนเข้ากองทุน

2. สมัครสมาชิก Blue Card โออาร์ บริจาคให้เลย 10 บาทต่อราย ให้กองทุนนี้ ตั้งแต่ 1 พ.ค.- 30 มิ.ย. นี้

ไม่เพียงแต่ความช่วยเหลือในประเทศเท่านั้น อย่างที่ทราบ โออาร์ เอง มีธุรกิจในต่างประเทศด้วย ซึ่งทาง โออาร์ ได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือผ่านบริษัทในเครือด้วยเช่นกัน

  • Brighter Energy, Brighter Energy Brighter PTT Oil and Retail Business และ PTT Oil Myanmar แจกเจลแอลกอฮอล์ ให้กับลูกค้า Café Amazon ที่เมียนมาร์ 1,500 ชิ้น
  • PTT Cambodia แจกเจลแอลกอฮอล์ให้กับผู้มาใช้บริการที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station, ร้านกาแฟ Café Amazon, ร้านค้าสะดวกซื้อ Jiffy ในกัมพูชา รวม 1.4 แสนชิ้น
  • PTT Philippines แจกหน้ากากอนามัย และเฟซชิลด์ ให้บุคคลากรทางแพทย์ และตำรวจฟิลิปปินส์ 9,000 ชิ้น แอลกอฮอล์น้ำ 70% กับเครื่องดื่ม Café Amazon ให้กับบุคคลากรแพทย์ของฟิลิปปินส์

ถือเป็นการรวมพลังครั้งยิ่งใหญ่ทุกธุรกิจและทุกภาคส่วนของ โออาร์ เพื่อกระจายและส่งต่อความช่วยเหลือสู่วงกว้างให้ได้มากที่สุด และการร่วมใจ สู้วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ของ โออาร์ ใช้งบรวมกว่า 30 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนไทยผ่านวิฤกตครั้งนี้ไปด้วยกัน

เงินทองต้องวางแผน!!

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบให้คนตกงานฉุกเฉิน.. ไม่ทันตั้งตัวจำนวนมาก!!

​ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ คนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้วันต่อวัน แม้กระทั่งคนมีเงินเดือน แต่ไม่มีเงินเก็บเงินออมต้องเดือดร้อนถึงขั้น ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน  บางคนถึงขั้นไม่มีเงินซื้ออาหารประทังชีวิตในแต่ละวัน

ตอกย้ำให้เห็นถึงสุขภาพทางการเงินของคนไทย ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ คือ ไม่มีเงินเก็บ-เงินออมเพื่อสำรองไว้ใช้หรือแก้ปัญหาในยามฉุกเฉิน!!

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ที่ได้สำรวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานรากทั่วประเทศ คือกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000  บาท  พบว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ออมเงินไม่ได้ ส่วนใหญ่  82.7% ให้เหตุผลว่า ไม่มีเงินเหลือให้ออม ถัดมาคือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน และมีภาระหนี้สิน 

เมื่อถามว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ มีเงินสำรองไว้ใช้แค่ไหนพบว่ามากกว่า  33.7% ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน!!   อีก 33.3% บอกว่ามีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1เดือนและอีก 28.5% ระบุว่า มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือนหมดจากนี้ก็หมดกันเลยชีวิต!!

ดังนั้นยามเมื่อวิกฤติโควิดมาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนส่วนใหญ่ของประเทศจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เพียงแต่ประชาชนฐานรากเท่านั้น คนชั้นกลางที่มีรายได้สูงกว่าก็เดือดร้อนหนักเช่นกัน

บทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้  ทำให้พวกเราจำเป็นต้องลุกขึ้นมาปฎิวัติ ปรับมุมคิด วางแผนชีวิตการเงินกันใหม่ทั้งหมด  โดยเมื่อโควิด-19 คลี่คลายกลับมาทำงานมีรายได้ มีเงินเข้ามือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ  “ออมก่อนใช้” ขอให้ท่องเป็น “คาถากันจน” กันไว้เลย!!

ข้อมูลจาก เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง “เงินทองต้องวางแผน” ที่รวบรวมเทคนิค แนวคิด ความรู้ข้อแนะนำและวิธีการ ในเรื่องการวางแผนการเงินการออม จากกูรูนักวางแผนการเงินไว้มากมาย ให้ข้อแนะนำว่า อาจเริ่มจากการออม 10-20% ของรายได้ก่อน โดยทันทีที่ได้เงินมา ให้กันเงินออมแยกบัญชีออกไปต่างหากเป็นอันดับแรก  และหากมีหนี้สินก็ต้องกันเงินไว้ใช้หนี้ด้วย

วางเป็นสมการได้อย่างนี้  รายได้-เงินออม-หักภาระหนี้(ถ้ามี) = เงินใช้จ่าย

และต้องวางแผนใช้จ่ายเงินให้ได้ทั้งเดือน เช่น มีรายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายแน่ๆ ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์-ค่าเช่าบ้านต้องกันไว้ก่อน  เงินที่เหลือหาร 30 วัน เพื่อให้รู้ว่า ภายในเดือนนี้จะมีเงินใช้จ่ายค่าอาหาร3 มื้อ ค่าเดินทางและค่าอื่นๆ เฉลี่ยวันละกี่บาท

หากวันไหนใช้จ่ายเกิน วันรุ่งขึ้นก็ต้องใช้น้อยลง หรือหากวันไหนใช้จ่ายน้อยกว่าที่คำนวนไว้ ก็ให้กันเงินที่เหลือใส่กระปุก  เก็บไว้เป็นเงินออมเพิ่ม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแอปทำบัญชีรายรับรายจ่าย ชื่อว่า SET Happy Money จดอย่างมีวินัย แล้วกลับมาวางแผนปรับลดค่าใช้จ่ายและจัดการหนี้สิน ก็มีเงินออมไปต่อยอดสร้างสุขทางการเงินในปัจจุบันและอนาคตได้ไม่ยาก

คาถาอีกบท จำไว้ให้ขึ้นใจ “ออมก่อน…รวยกว่า..ออมเร็ว..รวยเร็ว..ออมมาก..รวยมาก” ถ้าเริ่มทำได้เร็ว  ความมั่งคั่งก็จะมาหาเราเร็วขึ้น ที่สำคัญต้องลืมและเลิกไปเลยกับพฤติกรรมเดิมๆ ที่ “ใช้ก่อน..เหลือเท่าไหร่..ค่อยออม”

ในบทความครั้งหน้า จะเล่าให้ฟังว่าจะแบ่งและจัดสรรเงินออมไว้เพื่อเป้าหมายอะไรกันบ้าง   

                                                   ​​​​คุณนายพารวย

ไขข้อข้องใจ ทำไมแอลกอฮอล์ล้างมือถึงแพงกว่าน้ำมันเติมรถ

อ่านหัวข้อแล้ว อย่าเพิ่งงง เพราะมีคนตั้งประเด็น สงสัยเรื่องนี้จริงๆ ประเด็นนี้เริ่มต้นตอนที่บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ มีโครงการจะช่วยแก้ปัญหาแอลกอฮอล์ล้างมือขาดแคลน และราคาแพง เลยมีแนวคิด จัดหาแอลกอฮอล์ล้างมือ ทำความสะอาด มาวางขายราคาพิเศษ เท่าทุน ขวดลิตร ขวดละ 110 บาท

ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ ดราม่าก็บังเกิด เพราะมีคนตั้งคำถามว่า ทำไมบ.น้ำมันถึงขายแอลกอฮอล์ราคาแพงกว่าน้ำมัน ทั้งที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ เหมือนกัน บริษัทจะค้าขายเอากำไรเกินไปหรือเปล่า

แม้จะมีความพยายามที่จะอธิบายแล้ว แต่หลายคนก็ยังคงคาใจ ขณะที่โออาร์ ก็เดินหน้าโครงการต่อ ขายไปโดนต่อว่าไป ทั้งที่ราคาขายถูกกว่าในตลาดมาก ลองสำรวจราคาที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลนโพสขายกัน ราคาขวดลิตรจะอยู่ระหว่าง 250-450 บาททีเดียว แถมยังต้องมาลุ้นเรื่องความเน่าเชื่อถือของสินค้าอีกต่างหาก

กลับมาที่คำถาม “ทำไมราคาแอลกอฮอล์ล้างมือ มันแพงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ได้ไง?”   คำตอบก็คือ ถึงจะเป็นเอทิลแอลกอฮอล์เหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติบางอย่างไม่เหมือนกัน นำมาใช้ทดแทนกันไม่ได้

แอลกอฮอล์ที่เอาไปผสมน้ำมัน กับที่เอามาทำแอลกอฮอล์ล้างมือ มีกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน แน่นอน ต้นทุนก็ต้องแตกต่างกัน

แอลกอฮอล์ที่นำไปใช้สำหรับล้างมือ จะมีความเข้มข้น 70-90% (มีน้ำเป็นส่วนผสม 10-30% แล้วแต่สูตร เพื่อให้เจือจางไม่ระคายผิว ไม่ระเหยเร็วเกินไป มีประสิทธิภาพฆ่าเชื้อโรค)  ต้องผ่านกระบวนการกลั่นหลายขั้นตอนเพื่อดึงเอาสิ่งที่ปนเปื้อนอยู่ออก เพื่อให้ได้ค่าความบริสุทธิ์ที่สูงเพียงพอสำหรับมาตรฐานที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ที่เรียกว่า Food Grade หรือ สำหรับอุตสาหกรรมยา Pharmaceutical  Grade พูดง่ายๆ เป็นแอลกอฮอล์เกรดดี จึงมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าเกรดที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงมาก  

แถมยังมีต้นทุนในเรื่องของสารที่ใส่เพิ่ม ทั้งถนอมผิว กลิ่นหอม แล้วไหนจะต้นทุนค่าบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง การกระจายสินค้า และค่าการตลาด แล้วเมื่อต้องผ่านบรรดาพ่อค้าส่ง พ่อค้าขายปลีกหลายทอด ราคาก็จะถูกบวกเพิ่มขึ้นไปอีก

ขณะที่แอลกอฮอล์ที่ผสมในน้ำมัน จะมีความเข้มข้นมากถึง 99.5% (คือมีน้ำเป็นส่วนประกอบเพียง 0.5% เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เสียหาย) แต่ความบริสุทธิ์มีน้อยกว่าแอลกอฮอล์ที่ใช้ทำความสะอาด ยังมีสารปนเปื้อน สารตกค้าง โลหะ หรือ สารพิษเจือปน ซึ่งอาจเป็นอันตราย หรือ เกิดการระคายเคืองหากนำมาใช้กับคน  ไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค เพราะมีความเขัมข้น ระเหยไว แต่ไม่มีปัญหากับการนำไปใช้ผสมในน้ำมันเผาไหม้เป็นเชื้อเพลิง

อีกเหตุผลนึงที่ราคาน้ำมันถูกกว่าแอลกอฮอล์ล้างมือ คือ มีการอุดหนุนราคาจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาชดเชย ตามนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทน และนโยบายส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นคำอธิบายที่ว่า ราคาแอลกอฮอล์ล้างมือ ถึงไม่เท่ากับ ราคาน้ำมันเชื้อเพลง ซึ่งจริงๆแล้ว ไม่สามารถเอามาจับคํู่เปรียบเทียบกันเลย

จริงๆแล้ว การที่บ.น้ำมันอย่างโออาร์ ออกมาขายแอลกอฮอล์ทำความสะอาดในราคาพิเศษ แล้วโดนบ่นว่า ของมีไม่พอความต้องการ ยังพอเข้าใจได้ ซึ่งก็ต้องเห็นใจทางบริษัท เพราะโออาร์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง ต้องไปจัดหาซื้อมาจากผู้ผลิตและแบ่งไปจำหน่ายยังสถานีบริการต่างๆ  และก็ได้ของมาจำนวนจำกัด

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด โออาร์เองก็มีการปรับแผนใหม่ โดยเพิ่มการวางขายแบบเป็นถุง ขนาด 500 มล. ให้เป็นอีกทางเลือก ที่จะช่วยกระจายสินค้าให้กับผู้ที่ต้องการได้ทั่วถึงมากขึ้น

ขณะที่ ภาครัฐก็ออกโยบายผ่อนคลายเรื่องแอลกอฮอล์ และความร่วมมือของภาคเอกชนที่เร่งผลิตแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือออกสู่ตลาด เช่น กระทรวงคลัง มอบหมายให้องค์กรสุราผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือเพื่อแจกจ่ายประชาชน หรือกระทรวงพลังงานมอบหมายให้ปตท. และกฟผ. จัดหาแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมอบให้กับรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศ ก็น่าจะช่วยให้ปัญหาการขาดแคลนแอลกอฮอล์ทางการแพทย์สำหรับทำความสะอาดมือ และแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดพื้นผิว และส่งผลให้ราคาจำหน่ายถูกลงได้ในเร็วๆนี้

กนง.มีมติ 4-2 เสียง คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.75% ต่อปี

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ในวันที่ 25 มีนาคม 2563

คณะกรรมการฯ มีมติ 4 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.75 ต่อปี ขณะที่ 2 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี

ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

คณะกรรมการฯ เห็นว่าการระบาดของ COVID-19 จะยังมีความรุนแรง และต้องอาศัยระยะเวลากว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กนง.สนับสนุนมาตรการดูแลผู้ได้รับ ผลกระทบอย่างตรงจุดของรัฐบาลที่ได้ประกาศไปแล้ว รวมทั้งจะต้องดำเนินการช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่องและเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ โดยเฉพาะครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ให้เกิดผลชัดเจนเป็นรูปธรรมเพิ่มเติมจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงเห็นพ้องว่า ต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ตรงจุด กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ อย่างไรก็ดี กรรมการ 2 ท่านเห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกร้อยละ 0.25 เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มหดตัวแรง

ทั้งนี้ ที่ประชุม เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 63 มีแนวโน้มหดตัวแรง เนื่องจากการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบรุนแรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตในหลายประเทศ ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจและครัวเรือนได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างขึ้น เป็นผลให้อุปสงค์ภายในประเทศทั้งการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัว มาตรการด้านการคลังจึงต้องเป็นกลไกหลักในการบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจและดูแลผู้ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับลูกหนี้ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในปี 2564 หากสถานการณ์ระบาดคลี่คลายลง สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2563 มีแนวโน้มติดลบตามราคาพลังงานที่ลดลงและเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัว

เสถียรภาพของตลาดการเงินไทยโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ปรับดีขึ้น หลัง ธปท. ออกมาตรการสนับสนุนสภาพคล่องในตลาดการเงิน แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด ด้านอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดลงหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมาซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งโดยเฉพาะสกุลเงินหลักและมีแนวโน้มผันผวน ทั้งนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในเกณฑ์เข้มแข็งสะท้อนจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องและใกล้ชิดท่ามกลางความไม่แน่นอนที่มีอยู่สูง

ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง อย่างไรก็ดี ระบบการเงินมีความเปราะบางมากขึ้นในบางจุด โดยเฉพาะความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs ที่อาจด้อยลงในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวแรง จำเป็นต้องประสานมาตรการทั้งทางการเงินและการคลังเพื่อดูแลครัวเรือนและธุรกิจ SMEs

         

โออาร์ ร่วมสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยโรงพยาบาลราชวิถี รับมือโควิด -19

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) มอบเงินบริจาค  3,000,000 บาท  ให้แก่ นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี  ณ ห้องกมล สินธวานนท์ ตึกสิรินธร โรงพยาบาลราชวิถี เพื่อสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 อาทิ เครื่องช่วยหายใจชนิดอัตราการไหลสูง เครื่องช่วยหายใจชนิดเคลื่อนย้าย เครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกสองระดับ เครื่องช่วยหายใจสำหรับผู้ป่วยหนัก เครื่องเฝ้าระวังและติดตามสัญญาณชีพผู้ป่วย เครื่องอุปกรณ์พ่นยา เป็นต้น รวมถึงเพื่อเป็นกองทุนส่วนกลางในการบริหารจัดการการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

และได้มอบ กาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน  5,000 ซอง พร้อมด้วยขนมปั้นขลิบ และขนมปังกรอบ ซึ่งเป็นสินค้าโอทอป จาก เอสเอ็มอี ไทย รวม 480 ชุด รวมถึงคลาสสิคเบอร์เกอร์และเทนเดอร์แร็พ อย่างละ100 ชิ้น จากร้านเท็กซัส ชิคเก้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถอีกด้วย

โดยโออาร์ ขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนคนไทย เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน

AIS ปักหมุดผู้นำทะเลอ่าวไทย ยืนหนึ่งตัวจริงภาตตะวันออก ตอบโจทย์ครบทั้งภาคอุตสาหกรรม เกษตรฯ ท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและทั่วโลกในช่วงไฮซีซัน

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ปักหมุดผู้นำตัวจริงฝั่งทะเลอ่าวไทย เป็นผู้ให้บริการที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง และมีความครอบคลุมมากสุดในพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งลึก สูง กว้าง ไกล สามารถเชื่อมต่อการทำงานได้กับทุกภาคส่วน ทั้งประชาชนในพื้นที่ ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาคงานบริการไปจนถึงการท่องเที่ยว ยืนยันความพร้อมในการให้บริการต้อนรับช่วงไฮซีซันของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่กำลังมีแผนเดินทางมาสัมผัสกับความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวและทะเลอ่าวไทยในภาคตะวันออก

กิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS กล่าวว่า “พื้นที่ภาคตะวันออกถึงแม้จะมีจำนวนจังหวัดและพื้นที่ไม่มาก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่มีความสำคัญเพราะในแง่ของการใช้งานค่อนข้างมีความหลากหลายเนื่องจากเป็นที่ตั้งของท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง ที่เป็นศูนย์กลางการขนส่งทางทะเลที่สำคัญของประเทศและยังเชื่อมโยงกับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง อีกทั้งในภูมิภาคนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่ได้รับความนิยม ทำให้ที่ผ่านมา AIS ได้พัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลทั้งระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลให้มีความครอบคลุมและแข็งแรง พร้อมเชื่อมต่อและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาคตะวันออกในทุกภาคส่วน”

สมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค ภาคตะวันออก AIS

นายสมภพ กิตติวิรุฬห์วัฒน รักษาการหัวหน้างานปฏิบัติการภูมิภาค ภาคตะวันออก AIS กล่าวเสริมอีกว่า “วันนี้การทำงานของ AIS ในพื้นที่ภาคตะวันออกสามารถยกระดับคุณภาพการให้บริการของโครงข่ายสื่อสารให้มีความครอบคลุมการใช้งานของลูกค้าทุกกลุ่ม เนื่องจากภาคตะวันออกเป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ ทั้งการเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และภาคพื้นดิน รวมถึงยังเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งที่ผ่านมา AIS ได้วางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลทั้งโครงข่าย 5G นวัตกรรม และโซลูชัน ให้มีความพร้อมต่อการเชื่อมต่อกับภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรมให้มีขีดความสามารถใหม่ๆ ที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางความท้าทายในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้นภาคตะวันออกยังเป็นพื้นที่สำคัญของภาคเกษตรกรรมอย่างผลไม้ และอัญมณี รวมถึงยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และทะเลอ่าวไทย ชายหาด และเกาะต่างๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกซึ่งได้รับความนิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ อย่าง เมืองพัทยา จ.ชลบุรี, เกาะเสม็ด จ.ระยอง, เกาะช้าง จ.ตราด, น้ำตกพลิ้ว จ.จันทบุรี รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ อาทิ เกาะมันนอก จ.ระยอง, หาดลูกลม เกาะแสมสาร สัตหีบ จ.ชลบุรี,น้ำตกปางสีดา จ.สระแก้ว และวัดเขาบรรจบ รวมถึงอุทยานเขาสิบห้าชั้น จ.จันทบุรี ที่วันนี้ AIS มีความพร้อมในการรองรับการใช้งานให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวสามารถให้บริการโครงข่ายสื่อสารดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งการติดต่อสื่อสาร อัปโหลด แชร์ โซเชียล ได้ไม่มีสะดุด”

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง เคาน์เตอร์เซอร์วิส ส่ง “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” เติมเต็มความสุขและความอุ่นใจรับเทศกาลปีใหม่

บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลังกับ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด  ส่งมอบความสุขและความอุ่นใจไปยังลูกค้าและประชาชนทั่วประเทศ ให้ทุกคนได้มีรอยยิ้มในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ผ่าน “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งด้านชีวิตและค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ  

โดย นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมืองไทยประกันชีวิตมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้จับมือกับเคาน์เตอร์เซอร์วิส  ร่วมกันส่งมอบความอุ่นใจให้กับประชาชนและยังเป็นการตอกย้ำนโยบายของเมืองไทยประกันชีวิต มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเข้าถึงได้ของประกันชีวิตให้กับทุก ๆ คนในสังคม (Democratizing Insurance)  เพื่อเป็นส่วนช่วยให้ทุกคนได้มีความอุ่นใจ มีหลักประกันที่มั่นคง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน  พร้อมเป็นการตอบรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุให้กับตนเองและครอบครัว สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากระบบการประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ ได้สะดวก เข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น

นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมความปลอดภัยและความคุ้มค่าให้แก่ประชาชน ด้วยการจำหน่าย “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” ผ่านช่องทางที่สะดวกและเข้าถึงง่ายในราคาย่อมเยา ประชาชนที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์กับพนักงานที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 15,000 สาขาทั่วประเทศ เพียงแสดงบัตรประชาชน พร้อมชำระเบี้ยประกันภัย 10 บาท หรือใช้แต้ม ALL Member 1,000 คะแนนแลกรับสิทธิ์ฟรี และยังสามารถซื้อผ่านเว็บไซต์ www.counterservice.co.th เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับประชาชนในการเข้าถึงความคุ้มครองด้านประกันภัยอย่างทั่วถึง พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่เน้นความรวดเร็วและง่ายดาย หลังจากชำระเงินแล้ว ลูกค้าจะได้รับสลิปยืนยันการทำรายการ ซึ่งระบุวันเริ่มต้นและวันสิ้นสุดความคุ้มครองอย่างชัดเจน พร้อม SMS ยืนยันความคุ้มครอง โดยสามารถซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 – 28 กุมภาพันธ์ 2568 (จำนวนจำกัด 300,000 สิทธิ์)

โดยความคุ้มครองที่ลูกค้าและประชาชนทั่วไปจะได้รับ ประกอบด้วย  1. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท  2. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรือ อุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จำนวนเงินเอาประกันภัย 50,000 บาท 3. ความคุ้มครองการเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง เนื่องจากอุบัติเหตุสาธารณะ จำนวนเงินเอาประกันภัย 100,000 บาท  และ 4. ผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการจ้างพยาบาลพิเศษ อุปกรณ์ค้ำยันต่าง ๆ (ยกเว้นไม้ค้ำยัน) รถเข็นผู้ป่วย อวัยวะเทียมภายนอกร่างกาย ค่ารักษาพยาบาลโดยแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine) การฝังเข็ม จำนวนเงินเอาประกันภัยตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 5,000 บาท สำหรับ “กรมธรรม์ประกันภัยปีใหม่สุขกายสุขใจ (ไมโครอินชัวรันส์)” มีระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน   นับจากวันเริ่มต้นระยะเวลาเอาประกันภัย ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิ์จะต้องถือสัญชาติไทยเท่านั้น และมีอายุตั้งแต่  15 ปีบริบูรณ์ ถึง 70 ปีบริบูรณ์ ณ วันที่ทำประกันภัย  

ผู้เชี่ยวชาญ ยืนยัน “ไส้กรอก” จากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัยต่อการบริโภค

ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการอาหาร เตือน ต้องพิจารณาเหตุผลให้รอบด้านอย่าปลงใจเชื่อคลิปส่องกล้อง “ไส้กรอก” ที่เผยแพร่ทางโซเชียลบางคลิปที่อาจให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ชวนเชื่อให้หวาดกลัว แนะนำให้ใช้วิจารณญาณในการรับชม ย้ำผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไส้กรอก และผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายที่ได้มาตรฐานเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย

ผศ.ดร.รชา เทพษร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “ไส้กรอก” เป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา โดยยังคงคุณค่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไว้ ทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น และเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภค

ผศ.ดร.รชา เทพษร

กรณีล่าสุด ที่มีคลิปเผยแพร่ทางโซเชียล โดยนำไส้กรอกที่ไม่ระบุแหล่งที่มา นำเสนอคลิปส่องกล้อง และพบสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่อ้างว่าเป็นไมโครพลาสติก โดยไมโครพลาสติกสามารถพบปนเปื้อนได้ในสิ่งแวดล้อม เกลือ ผัก ผลไม้ อาหารทะเล หรือเนื้อสัตว์ แม้จะมีรายงานเกี่ยวกับผลกระทบในสัตว์ทดลอง แต่ยังไม่มีรายงานผลกระทบต่อมนุษย์จากการได้รับผ่านทางห่วงโซ่อาหาร โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าไมโครพลาสติกที่รับเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะถูกขับออกผ่านการขับถ่ายได้

ซึ่งปกติแล้วเราสามารถพบไมโครพลาสติกได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำ และไม่ได้เป็นปริมาณที่ยืนยันจากทางการแพทย์ว่ามากพอที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

ทั้งนี้ คลิปดังกล่าวอาจมีความเป็นไปได้ว่าตัวอย่างไส้กรอกในคลิปนั้น ผลิตจากผู้ผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมาจากแหล่งผลิตที่ไม่น่าเชื่อถือ การสุ่มตัวอย่าง จำนวนตัวอย่าง การเตรียมตัวอย่าง รวมถึงอุปกรณ์ที่นำมาใช้ทดลองอาจไม่ถูกต้องตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคเลือกซื้อไส้กรอกที่มาจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ ได้รับการรับรองโดยหน่วยงานด้านความปลอดภัยอาหารก็สามารถประกันได้ว่าผู้บริโภคจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และความปลอดภัยสำหรับการบริโภค

ผศ.ดร.รชา กล่าวย้ำว่า ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูปที่ไม่ทราบแหล่งที่มามีความเสี่ยงและอันตรายมาก ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยง เพราะนอกจากความสะอาดและสุขอนามัยที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ อาจมีสารเคมีปนเปื้อนหรือตกค้างจากกระบวนการผลิตที่มีการเติมแต่งใส่สารบางอย่างลงไป หรือมีการใส่สารกันเสียเกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด

สำหรับการเลือกซื้อไส้กรอก แนะนำให้เลือกซื้อจากผู้ผลิตและแหล่งจำหน่ายที่ได้รับรองมาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย นอกจากนี้ควรสังเกตฉลากรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีมาตรฐานการผลิต GMP และมีวันเดือนปีหมดอายุระบุชัดเจน บรรจุภัณฑ์ไม่ฉีกขาด ทั้งนี้ แนะให้อุ่นร้อนก่อนรับประทาน เมื่ออุ่นร้อนแล้วไม่ควรทิ้งไว้นาน เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงจากจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนหลังกระบวนการอุ่นร้อนทำให้ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค.

เมืองไทยประกันชีวิต ลุยมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 ชูผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ความคุ้มครองสุขภาพ โรคร้ายแรง พร้อมแบบประกันพิเศษ และโปรโมชันเด่น ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  เมืองไทยประกันชีวิต คัดสรรผลิตภัณฑ์ บริการ และโปรโมชันเด่น เข้าร่วมงานมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 “Money Expo Year End 2024” ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2567 ณ Exhibition Hall 5  ชั้น LG     ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมด้วยกิจกรรมแห่งความสุขและรอยยิ้มมากมาย

โดยในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากนายพิชัย  ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิสิทธิ์ พัฒนะนุกิจ ที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ  วิริยะรังสฤษฎ์  ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo  พร้อมด้วยนายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)  ผู้บริหาร ตัวแทนนักวางแผนประกันชีวิต และที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมในพิธีเปิดบูธเมืองไทยประกันชีวิต

ทั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิต ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ โรคร้ายแรง รวมไปถึงแบบประกันสำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนลดหย่อนภาษีโค้งสุดท้ายของปี  โดยผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ได้แก่ “ShieldLife – ตัวช่วยให้คุณเบาใจ ในวันที่คุณจากไป…” เริ่มต้นวางแผนการสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้คนที่คุณรัก ด้วยแบบประกันชีวิตที่คุณเลือกได้  ทั้งประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  (Whole Life) ประกันชีวิตแบบคุ้มครองภายในระยะเวลา (Term) หรือประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) 

สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ  ดี เฮลท์ พลัส,  อีลิท เฮลท์ พลัส  และสัญญาเพิ่มเติม แคร์ พลัส  รวมไปถึงแบบประกันภัยพิเศษ  7 แบบประกัน ประกอบด้วย เมืองไทย ซุปเปอร์ เซฟเวอร์ 25/16, เมืองไทย สไมล์ เซฟเวอร์ 20/16, ออมทรัพย์ 20/14, โครงการเมืองไทย สมาร์ท ลิงค์ 15/6 (Global),  เฟล็กซี่ รีไทร์ 90/5 ดี55 ดี60 ดี65 (บำนาญแบบลดหย่อนได้), เมืองไทย 8560 จี 15 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) และเมืองไทย 8555 จี 20 (บำนาญแบบลดหย่อนได้)  เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลาย เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ที่เป็นคุณ

พร้อมโปรโมชันจัดเต็มสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันภัย รวมถึงลูกค้าที่ชำระเบี้ยประกันภัยต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน  ซึ่งลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดโปรโมชันได้ภายในบูธเมืองไทยประกันชีวิต และพบกับบริการด้านการวางแผนประกันชีวิตและความคุ้มครองสุขภาพที่ออกแบบได้ตามความต้องการ  โดยนักวางแผนประกันชีวิตและที่ปรึกษาทางการเงิน จากเมืองไทยประกันชีวิต

สำหรับสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ พบกับสิทธิพิเศษมากมาย ภายในบูธจุดบริการเมืองไทยสไมล์คลับ โดยสามารถแลกคะแนนสะสมเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม รับบัตรกำนัล หรือ e-Voucher อาทิ Smile Point to Invest ส่วนลดสำหรับซื้อกองทุนรวมผ่าน MTL myFund, e-Coupon 30 บาท เพื่อเป็นส่วนลดที่ร้านยากรุงเทพ, บัตรกำนัลห้องพัก Relaxing Smile 2024 , ลุ้นโชคกับเมืองไทยสไมล์มอบโชค 2567 หรือแลกรับของที่ระลึกต่างๆ  เช่น บัตรกำนัลโลตัส 1,000 บาท, บัตรเติมน้ำมัน ปตท. 500 บาท, บัตรกำนัลสตาร์บัค 500 บาท และบัตรกำนัล Boots 200 บาท เป็นต้น

พร้อมพบกับกิจกรรมแลกรับของที่ระลึกสุดพิเศษ Muang Thai Smile Premium Collection X good goods สุขใจผู้ให้ ถูกใจผู้รับ ชุมชนยิ้มได้อย่างยั่งยืน  โดยสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ สามารถแลกคะแนนรับของพรีเมียมคอลเลกชันพิเศษร่วมกับ good goods ประกอบด้วย 35 Smile Points แลกรับ กระเป๋าผ้าซิปอเนกประสงค์ good goods 1 ใบ   95 Smile Points แลกรับ กระเป๋าเสื่อกกทรงหัวใจ good goods 1 ใบ (คละสีและลาย) โดยชุมชนเกษตรกร จ.สุรินทร์  หรือ 150 Smile Points แลกรับ กระเป๋าเส้นเทปกระดาษพร้อมถุงผ้าสีชมพู 1 ใบ โดยเกษตรกรบ้านอ้อเขียว จ.ราชบุรี ระยะเวลาแลกรับสิทธิ์ 2 ธันวาคม 2567 – 31 ธันวาคม 2568

สมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่เปิดบัญชีกองทุนและแลกคะแนนในโครงการ Smile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 200 บาท (จากปกติ 100 บาท) หรือสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับที่มีบัญชีกองทุนแล้วสามารถแลกคะแนนในโครงการSmile Point to Invest เพื่อซื้อหน่วยลงทุนรับ Starbucks e-Coupon มูลค่า 100 บาท จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (สำหรับผู้เข้าร่วมรายการสูงสุด 1 ท่านต่อ 1 สิทธิ์ต่อวัน)

นอกจากนี้ ลูกค้าเมืองไทยประกันชีวิตที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด พิเศษเฉพาะผู้ที่มาร่วมงานฯ สามารถยื่นใบสมัครบัตรเครดิตฯ ได้ที่บูธเมืองไทยสไมล์คลับภายในงานได้เลย โดยผู้ที่ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดระดับ Pink และ Pink Gold จะได้รับสิทธิพิเศษมากมายทั้งจากธนาคารกสิกรไทย และบมจ.เมืองไทยประกันชีวิต อาทิ รับเครดิตเงินคืน 0.25% เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยของ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต แบบไม่จำกัดจำนวนเงินคืน, ส่วนลดสูงสุด 50% เมื่อใช้บัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดชำระค่าสินค้าและค่าบริการตามเงื่อนไขที่กำหนดจากโรงพยาบาลหรือร้านค้าพันธมิตรที่มีมากกว่า 10 แห่งทั่วประเทศ

แล้วพบกันที่ บูธเมืองไทยประกันชีวิต งานมหกรรมการเงินกรุงเทพฯ ส่งท้ายปี ครั้งที่ 7 “Money Expo Year End 2024” ระหว่างวันที่ 19-22 ธันวาคม 2567 ณ Exhibition Hall 5  ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เมืองไทยประกันชีวิต คว้ารางวัล “Superbrands Thailand 2024” ตอกย้ำผู้นำสร้างแบรนด์ระดับสากล 19 ปีต่อเนื่อง

เมืองไทยประกันชีวิต ประกาศความภาคภูมิใจอีกครั้งด้วยการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติ “Superbrands Thailand” ประจำปี 2024 สูงสุด 19 ปีต่อเนื่อง นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์แบรนด์ที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในระดับสากล รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จในด้านความน่าเชื่อถือ ความโดดเด่น และความเป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภคที่บริษัทให้ความสำคัญเสมอมา

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  “นับเป็นความภาคภูมิใจอีกครั้งของบริษัทฯ ที่ได้รับรางวัล Superbrands Thailand ปี 2024  โดยเป็นองค์กรเพียงแห่งเดียวที่ได้รับรางวัลดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่  19  ซึ่งการได้รับรางวัล Superbrands Thailand ไม่เพียงช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสายตาผู้บริโภค แต่ยังส่งเสริมความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรทางธุรกิจ อีกทั้งยังสร้างโอกาสใหม่ในการขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส 

ทั้งนี้ รางวัล Superbrands Thailand นี้ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากผู้บริโภคในประเทศไทย รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิในสายงานด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ การประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชน และตัวแทนคณะกรรมการอิสระ ผ่านกระบวนการพิจารณาที่ครอบคลุมผลการสำรวจการตลาดจากทั่วประเทศ โดยมีนางสาวนิรัตน์ บูชาสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้ารับรางวัลจากนางสาวแชมเปญ เทียนแขวะ ผู้อำนวยการซูเปอร์แบรนด์ประเทศไทย   โดยงานจัดขึ้น ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ทรู ดิจิทัล พาร์ค

สำหรับรางวัล Superbrands เป็นรางวัลที่มอบให้แก่บริษัทที่ได้รับคะแนนสูงสุดจากการประเมิน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่  คุณภาพของแบรนด์ (Brand Quality) ที่เมืองไทยประกันชีวิตได้รับการยอมรับในด้านการให้บริการที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และการดูแลลูกค้าด้วยความใส่ใจอย่างมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ (Brand Trust) ด้วยประวัติการดำเนินธุรกิจที่ยาวนานกว่า 72 ปี เมืองไทยประกันชีวิตได้สร้างความไว้วางใจในกลุ่มลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การบริหารจัดการด้วยความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคคือหัวใจสำคัญของแบรนด์   และการสร้างความแตกต่างและเอกลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Distinction)  เมืองไทยประกันชีวิตเป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์ที่มุ่งมั่นสร้างความสุขและการดูแลสุขภาพครบวงจรผ่านแนวคิด “Happiness Means Everything” ซึ่งสะท้อนถึงพันธกิจหลักในการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกค้า

เมืองไทยประกันชีวิตยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของแบรนด์เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม ภายใต้พันธกิจหลักในการเป็นคู่คิดด้านการวางแผนชีวิตและสุขภาพที่ลูกค้าวางใจ ที่พร้อมดูแลและสนับสนุนลูกค้าในทุกช่วงชีวิต

“การได้รับรางวัลนี้ไม่เพียงเป็นเกียรติประวัติแก่บริษัทฯ แต่ยังยืนยันถึงความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาโดยตลอด พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค พันธมิตรทางธุรกิจและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ด้วยความสำเร็จครั้งนี้ เมืองไทยประกันชีวิตขอขอบคุณลูกค้าและพันธมิตรทุกท่านที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งสำคัญ และสัญญาว่าจะเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งที่ดีเพื่อลูกค้าต่อไป” นายสาระ กล่าว

AIS เตือนภัย! มิจฉาชีพมามุกใหม่ช่วงสิ้นปี หลอกให้แลกคะแนนก่อนหมดอายุโดยส่งผ่าน SMS พร้อมแนบลิงก์ปลอม

ย้ำ!!! มีสติก่อนกด รอบคอบก่อนโอน อุ่นใจห่างไกลภัยไซเบอร์

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS เตือนลูกค้าและประชาชนอย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่แฝงมาในช่วงเทศกาลสิ้นปีที่บรรดาแบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ออกแคมเปญทางการตลาดเฉลิมฉลองเชิญชวนให้ลูกค้าช้อปปิ้งพร้อมรับส่วนลดโปรโมชันจากการใช้แต้ม หรือ คะแนนสะสม

โดยมิจฉาชีพใช้โอกาสจากช่วงเวลาดังกล่าว หลอกลวงในรูปแบบ SMS ที่แอบอ้างชื่อผู้ส่ง (Sender Name) หลากหลายรูปแบบ อาทิ เบอร์มือถือ ชื่อหน่วยงานต่างๆ รวมถึงแอบอ้างใช้ชื่อ AIS โดยใช้ข้อความหลอกลวงให้ลูกค้าหลงเชื่อ ยกตัวอย่าง “คะแนนสะสม AIS Points ของคุณกำลังจะหมดอายุ อย่าลืมแลกของรางวัล พร้อมแนบลิงก์ปลอมให้กด” เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าที่ได้รับ SMS เกิดการคลิกแลกพอยท์ จากการกดลิงก์เข้าไปยังเว็บไซต์ปลอม ให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคลอันอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในการสูญเสียทรัพย์สิน

AIS ขอยืนยันว่า ไม่มีนโยบายการกดแลกคะแนน AIS Points ผ่านลิงก์ การตรวจสอบหรือแลกคะแนนสะสม AIS Points ต้องดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน myAIS เท่านั้น

ทั้งนี้ หากพบข้อความ SMS แอบอ้างในลักษณะดังกล่าว หรือความผิดปกติของเบอร์โทร หรือ SMS ที่ติดต่อเข้ามา ลูกค้าสามารถแจ้งผ่านสายด่วน AIS Spam Report Center 1185 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง โดย AIS จะตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางกฎหมายต่อไป มีสติก่อนกด รอบคอบก่อนโอน อุ่นใจห่างไกลภัยไซเบอร์ 

AIS – กสทช. เคียงข้างผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ ขยายวันใช้งานและเวลาชำระค่าบริการมือถือ เน็ตบ้าน พร้อมดูแลเครือข่าย 24 ชม.

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยที่ส่งผลกระทบแก่ประชาชน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS และ กสทช. ขอส่งกำลังใจให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงานซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยในขณะนี้ โดยพร้อมอยู่เคียงข้างดูแลจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ด้วยมาตรการดังนี้

การดูแลให้ใช้งานสื่อสารได้อย่างต่อเนื่อง

ขยายระยะเวลาการชำระค่าบริการสำหรับลูกค้ามือถือรายเดือนและลูกค้า AIS – 3BB FIBRE 3 พร้อมขยายวันใช้งานให้กับลูกค้าระบบเติมเงินในพื้นที่ประสบอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่ได้รับสิทธิจะได้รับ SMS แจ้งการมอบการดูแลดังกล่าว

การดูแลระบบสื่อสารมือถือและเน็ตบ้าน

เปิด War Room ตรวจสอบ เฝ้าระวังสถานีฐานในพื้นที่ประสบภัยอย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกระจายทีมวิศวกรไปยังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน อาทิ จ.นครศรีธรรมราช จ.สุราษฎร์ธานี จ.ชุมพร จ.ระนอง และ
จ.พัทลุง จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องปั่นไฟและน้ำมันให้พร้อมสำหรับการดูแลสถานีฐานในจุดเสี่ยง รวมถึงเตรียมรถสถานีฐานเคลื่อนที่ (COW) เพื่อให้ประชาชน เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครจากทุกหน่วยงาน สามารถใช้บริการสื่อสารได้ต่อเนื่องอย่างดีที่สุด 

การเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง

ร่วมกับ กสทช. และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือ ปภ. นำเทคโนโลยี Location Base SMS – LBS ส่งแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแบบเจาะจง ถึงระดับตำบล/หมู่บ้านต่อเนื่อง โดยเตือนสภาวะน้ำล้นตลิ่ง ให้เตรียมรับสถานการณ์ ขนย้ายสิ่งของ/เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปที่ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยได้อย่างทันท่วงที และตรงจุด โดยข้อความ SMS ใช้ชื่อผู้ส่งคือ “DDPM” ซึ่งย่อมาจาก Department of Disaster Prevention and Mitigation หรือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

AIS และ กสทช. อยู่ระหว่างการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าเครือข่ายสื่อสารสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมเคียงข้างประชาชนและส่งต่อความช่วยเหลือจนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตภัยธรรมชาติในครั้งนี้

AIS จัดเต็มส่วนลดมือถือซิมมงคลในงาน‘พาณิชย์ลดราคา New Year Mega Sale 2025’ กระตุ้นเศรษฐกิจต้อนรับปีใหม่

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS ร่วมขับเคลื่อนนโยบายภาครัฐ ภายใต้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ส่งมอบความสุขให้คนไทย ต้อนรับปี 2568 จัดเต็มความพิเศษ ส่วนลดมือถือ ซิมเบอร์มงคล เสริมดวงรับปีมะเส็ง พร้อมโปรสุดคุ้มและของพรีเมียมมากมาย แทนของขวัญปีใหม่ให้ลูกค้าทุกคน ในงานมหกรรม “พาณิชย์ลดราคา New Year Mega Sale 2025”

นายพงษกรณ์ คอวนิช หัวหน้าส่วนงานบริหารภูมิภาค-กรุงเทพมหานคร AIS กล่าวว่า “เพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ 2568 AIS ในฐานะผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคม นอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมด้านเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในช่วงเทศกาลแล้ว เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ภายใต้โครงการ “พาณิชย์ลดราคา New Year Mega Sale 2025” ที่กระทรวงพาณิชย์ได้จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ลดค่าครองชีพ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทยทุกคน ให้ได้ก้าวสู่ปีใหม่อย่างมีความสุขไปพร้อมๆ กัน”

โดยในปีนี้ AIS ได้ร่วมออกบูธในงาน New Year Mega Sale 2025 เพื่อนำเสนอความพิเศษแบบจัดเต็มให้แก่ลูกค้าทุกคน ทั้งมือถือราคาพิเศษ พร้อมแพ็กเกจสุดคุ้ม และของพรีเมียมเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะในงาน ประกอบด้วย

  • แคมเปญสมาร์ทโฟน 5G ราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 1,099 บาท ลูกค้า AIS สามารถใช้ AIS 10 Points แลกรับส่วนลดเพิ่มเติม พิเศษยิ่งขึ้น! เมื่อซื้อมือถือ ที่บูธเอไอเอส ผ่อน ง่าย ใช้เพียงบัตรประชาชน นอกจากนี้ ลูกค้าที่ซื้อเครื่องพร้อมเปิดเบอร์ใหม่ รายเดือน หรือเปลี่ยนจากเติมเงินเป็นรายเดือน รับฟรีของพรีเมียมสุดพิเศษ
  • ครั้งแรก กับ เบอร์มงคล VIP ศาสตร์แห่งตัวเลขมงคล เสริมโชคลาภ สร้างโอกาสที่เหนือกว่าให้ชีวิต ที่ขนทัพความมงคลมามากกว่าพันเบอร์และซิมรายเดือนเสริมความปังรับปีใหม่ รับฟรี วอลล์เปเปอร์เทพมหาสมบัติ สำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนเบอร์รายเดือน เบอร์พลิกชีวิต, รับฟรี วอลล์เปเปอร์เทพเจ้ากวนอู สำหรับลูกค้าที่จดทะเบียนเบอร์รายเดือน เบอร์กวนอู คัดพิเศษโดยแมน การิน และพิเศษสำหรับลูกค้าทุกค่าย วิเคราะห์เบอร์มงคลกับนักพยากรณ์ตัวเลขตามวัน เดือน ปี เกิด ฟรี ที่บูธ AIS เท่านั้น
  • พบกับโปรโมชันสุดพิเศษ เที่ยวสนุก ไม่มีสะดุดกับ SIM2Fly 5G กับ AIS SIM2FLY MAX  ราคาพิเศษ  399 ,899 รับ คูปองส่วนลด Kingpower สูงสุด 20% หรือ AIS SIM2FLY MAX ราคาพิเศษ 599 ,899 รับฟรีเครื่องรางเทพเจ้ามังกรเขียว
  • โปรสุดว้าวสำหรับสายคอนเทนต์ เมื่อสมัครแพ็กเกจ Disney+ Hot Star 199 บาทขึ้นไป รับฟรี ตุ๊กตาดิสนีย์ 1 ตัว หรือ รับฟรี เสื้อ Squid Game รุ่น Limited Edition 1 ตัว จำนวนจำกัด เมื่อเปิดเบอร์ใหม่รายเดือน และสมัครแพ็กเกจ AIS 5G Netflix เริ่มต้น 699 บาท

นอกจากนี้ AIS ยังมอบความพิเศษต่อเนื่อง สำหรับลูกค้า 20 ท่านแรกต่อวัน เพียงแสดง SMS ที่ได้รับเมื่อเข้าร่วมงาน ที่บูธ AIS ในงาน New Year Mega Sale 2025 รับของพรีเมียมฟรี ตั้งแต่วันนี้ – 19 ธันวาคม 2567 ที่กระทรวงพาณิชย์

AIS ลุยที่ราบสูง ยืนยันโครงข่าย 5G ครอบคลุมมากสุดทั่วภาคอีสาน ลึก สูง กว้าง ไกลเที่ยวอีสานหม่องใด๋ก็ม่วน อุ่นใจบ่หยุด ไม่มีสะดุด ทุกดิจิทัลไลฟ์สไตล์

AIS ตอกย้ำ ที่ 1 ตัวจริง ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานมากสุดในภาคอีสาน ลึก สูง กว้าง ไกล ที่ไหนก็เข้าถึง ประกาศความพร้อมของโครงข่ายสื่อสารต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวและวันหยุดยาวในช่วงสิ้นปี จากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึงประชาชนที่กำลังวางแผนเดินทางกลับภูมิลำเนาภาคอีสานเพื่อเฉลิมฉลองในช่วงปีใหม่และไฮซีซั่นของภาคอีสาน

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS

นายกิตติ งามเจตนรมย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี AIS กล่าวว่า “วันนี้ AIS ยังคงเดินหน้าทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่มากที่สุดของประเทศเทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมด ให้ตอบโจทย์การใช้งานของประชาชนในพื้นที่แบบลึก สูง กว้าง ไกล ทั้งการติดต่อสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะช่วยเสริมขีดความสามารถของภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว ที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของระบบเศรษฐกิจภายในภาคอีสานให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน”

นายวิศรุต พิศาล หัวหน้าส่วนงานปฏิบัติการภูมิภาค ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ AIS กล่าวว่า “ที่ผ่านมา AIS มุ่งมั่นยกระดับ และพัฒนาคุณภาพการให้บริการและโครงข่ายในพื้นที่ภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ภาคอีสานเต็มไปด้วยเทศกาลวัฒนธรรม คอนเสิร์ต สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยม รวมถึงการเดินทางกลับภูมิลำเนาของพี่น้องประชาชนในช่วงวันหยุดยาว

วันนี้พวกเราจึงได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัลภายใต้ความท้าทายและลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์ของพื้นที่ภาคอีสาน ทั้งในเขตที่ราบสูง ภูเขา หมู่บ้านห่างไกล เส้นทางคมนาคมทั้งสายหลักและรอง รวมถึงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น พร้อมผสมผสานนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการพัฒนาอุปกรณ์ด้านเครือข่ายให้มีความพร้อมและแข็งแรงสามารถเชื่อมต่อระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลทุกรูปแบบ

สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในทุกช่วงเวลาและรองรับปริมาณการใช้งานที่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปี ทั้งในพื้นที่ที่มีการจัดคอนเสิร์ตระดับประเทศ ในแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ อาทิ ทุ่งกะมัง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท มรดกโลก จังหวัดอุดรธานี ผาชะนะได อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ วัดป่าดงหนองตาล พิกัดสายมูแห่งใหม่ จังหวัดอุดรธานี เป็นต้น หรือแม้แต่ในทุกเส้นทางการเดินทางเพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถติดต่อสื่อสาร ใช้งานดิจิทัล ในช่วงเวลาแห่งความสุขได้อย่างเต็มที่” 

ศูนย์สอบ CISA ภูมิภาค!!

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน...สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

บทบาทสำคัญหนึ่งของ “ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” คือการส่งเสริมและสนับสนุนในการผลิตและยกระดับศักยภาพบุคลากรของตลาดทุนไทย โดยจัดทำหลักสูตร Certified Investment and Securities Analyst หรือ CISA ที่พัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุนมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548

CISA เป็นหลักสูตรด้านการวิเคราะห์ทางการเงินและการจัดการลงทุนที่ได้รับการรับรองจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในการใช้ขึ้นทะเบียนเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน และผู้จัดการกองทุน หลักสูตรนี้แบ่งองค์ความรู้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับ Foundation Knowledge (คุณวุฒิ AISA) และระดับ Advanced Knowledge (คุณวุฒิ CISA)

คนที่เรียนจบหลักสูตรนี้ จะได้ใบเบิกทางสู่อาชีพด้านการเงินการลงทุน ตำแหน่งงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์การลงทุน ผู้จัดการกองทุน วาณิชธนากร นักลงทุนสัมพันธ์ นักวิเคราะห์การเงิน ผู้จัดการด้านการลงทุน ขณะที่สายงานอื่นๆก็ยังใช้คุณวุฒิ CISA ยกระดับการทำงาน เช่น ผู้แนะนำการลงทุน ผู้วางแผนการลงทุน

จุดเด่นของ CISA คือเป็นหลักสูตรที่รวบรวมความรู้ด้านการวิเคราะห์การลงทุน ทั้งหลักเกณฑ์ กฎระเบียบการซื้อขายหลักทรัพย์ จรรยาบรรณ มาตรฐานบัญชีที่เกี่ยวข้อง หลักทรัพย์ทุกประเภทที่ซื้อขาย และวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านความยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพัฒนาการของตลาดทุนไทย

การเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจในภูมิภาค และการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนนักลงทุนในต่างจังหวัด ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้ความสำคัญในการสร้างบุคลากรด้านการวิเคราะห์การเงินและการลงทุน เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนในภูมิภาค ที่ผ่านมา หลักสูตร CISA ได้ผลิตบุคลากรมืออาชีพป้อนสู่ตลาดทุนไทยแล้วกว่า 2,600 คน

ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯจับมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ ซึ่งเป็นพันธมิตรและเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดตั้งศูนย์ทดสอบหลักสูตร CISA ภูมิภาค โดยศูนย์สอบทุกแห่งอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกันตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด

ศูนย์สอบ CISA ภาคเหนือ อีสาน และใต้ จะเป็นการขยายโอกาสให้นักศึกษาและบุคคลทั่วไปเข้าสู่วิชาชีพด้านวิเคราะห์การลงทุน อำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายการเดินทาง และรองรับฐานผู้ลงทุนในภูมิภาคที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ผู้ที่สนใจวิชาชีพด้านการเงินและการลงทุน ทั้งในสถาบันการเงินและบริษัทจดทะเบียน สามารถดูรายละเอียดหลักสูตร CISA เพิ่มเติมได้ที่ www.set.or.th/cisa

คุณนายพารวย