หุ้น IPO ก่อนเสนอขายประชาชนต้องผ่านอะไรมาบ้าง

ที่มา ฝ่ายพัฒนาและส่งเสริมความรู้ตลาดทุน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ปัจจุบันตลาดการลงทุนมีทางเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้ลงทุนที่มีความสนใจและการรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ซึ่ง “หุ้น” เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะหุ้น มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง ทั้งจากเงินปันผลและส่วนต่างกำไร (capital gain) แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงด้วยเช่นกัน ตามหลักของ High Risk, High Expected Return

รู้หรือไม่ ตลาดหุ้นไทยมีศักยภาพเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียนเลยทีเดียว โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2565 มีมูลค่าระดมทุนและมูลค่าการซื้อขายต่อวันสูงเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน ด้วยมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ที่ 581,063.32 ล้านบาท ขณะที่จำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาด MAI อยู่ที่ 809 บริษัท โดยในปี 2565 มีการระดมทุนเสนอขายหุ้นครั้งแรกต่อประชาชน (Initial Public Offering: IPO) ไปแล้ว 42 หลักทรัพย์ คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 127,835.82 ล้านบาท

ข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ตลาดทุนเป็นแหล่งทุนที่สำคัญ ในด้านหนึ่งเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการ รวมถึง SMEs เข้ามาระดมทุนผ่านตลาดทุนได้อย่างต่อเนื่อง และอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายสำหรับประชาชน และผู้ลงทุน

เพราะการลงทุนในหุ้นเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนจะเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของกิจการ  ดังนั้น บริษัทที่จะระดมทุนจึงต้องเป็นบริษัทที่มีการบริหารงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ กรรมการมีความสามารถในการบริหารงาน และมีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อให้ผู้ลงทุนใช้ตัดสินใจก่อนลงทุน จึงจะสามารถเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปได้

แล้วใครมาดูแลคัดกรองบริษัทที่จะขายหุ้นให้เราบ้าง

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  เป็นผู้ที่มีบทบาทหน้าที่หลักในการพิจารณาอนุญาตให้บริษัทเสนอขายหุ้นต่อประชาชน   ก.ล.ต. จะพิจารณาอนุญาตการเสนอขายหุ้น IPO โดยพิจารณาจากเกณฑ์ด้านคุณสมบัติเชิงคุณภาพของระบบบริหารจัดการ เช่น มีโครงสร้างการถือหุ้นที่ชัดเจน กรรมการและผู้บริหารต้องมีความรู้ ไม่มีลักษณะต้องห้าม และมีกรรมการอิสระที่ทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นรายย่อย งบการเงินเป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินและมีความน่าเชื่อถือ มีระบบควบคุมภายในที่เหมาะสมเพียงพอ รวมทั้งดูแลให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยง การขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืน การวิเคราะห์งบการเงิน รวมทั้งที่มาของการกำหนดราคาเสนอขาย (ราคา IPO) ในแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน อีกทั้งต้องมีระบบงานที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถเปิดเผยข้อมูลตามที่กำหนดได้อย่างต่อเนื่อง เช่น งบการเงิน หรือแบบ 56-1 One report เป็นต้น เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับใช้ประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน

เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ข้อมูลที่เปิดเผยต่อผู้ลงทุน  จึงมีผู้เกี่ยวข้องอีกหลายส่วนที่มีส่วนร่วมในการคัดกรองคุณภาพ อาทิ

·      ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) คือ ผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. มีความเป็นอิสระจากบริษัท ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา และช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่บริษัท เช่น การจัดโครงสร้างธุรกิจหรือการบริหารจัดการให้มีความชัดเจนและโปร่งใส รวมทั้งการจัดเตรียมเอกสารการเปิดเผยข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในหนังสือชี้ชวนที่จะเปิดเผยกับประชาชนด้วย

·      ผู้สอบบัญชี คือ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. ทำหน้าที่ตรวจสอบและรับรองงบการเงินของบริษัทให้เป็นไปตามมาตรฐานบัญชี เพื่อให้มั่นใจว่า งบการเงินของบริษัทมีความน่าเชื่อถือ

·      ผู้ตรวจสอบภายใน คือ ผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบระบบการดำเนินงานของบริษัท เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทมีระบบควบคุมภายในที่เหมาะสมและเพียงพอ

·      กรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) คือผู้ที่จะช่วยตรวจสอบการดำเนินงานบริษัทและให้ความเห็นในเรื่องที่สำคัญ เช่น ความสมเหตุสมผลของการทำรายการกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือ

ความเพียงพอของระบบควบคุมภายใน เป็นต้น โดยมีการทำงานร่วมกับผู้สอบบัญชีและผู้ตรวจสอบภายในอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี การที่บริษัทผ่านเกณฑ์คุณสมบัติข้างต้นไม่ได้เป็นการการันตีว่า ภายหลังจากระดมทุนแล้ว  บริษัทจะมีผลกำไรเสมอไป เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะมาจากหลายปัจจัย และการดำเนินธุรกิจย่อมมีความเสี่ยง หรือความเชื่อที่ผิด ๆ ที่ว่าถ้าสามารถจองซื้อหุ้น IPO ได้ จะสามารถทำกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อขายเมื่อหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างแน่นอน เพราะการกำหนดราคา IPO เป็นการกำหนดราคาโดยอ้างอิงหลักทฤษฎีทางการเงินหรือจากการสำรวจ demand/supply ก่อนการเสนอขายหุ้น แต่เมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว สถานการณ์หรือความต้องการอาจเปลี่ยนแปลงไป การขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ทั้งจากปัจจัยภายในบริษัท รวมถึงสภาพเศรษฐกิจ สภาวะของตลาดทุน ทั้งในและต่างประเทศ

ก่อนตัดสินใจลงทุนศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนอย่างละเอียด และติดตามข้อมูลที่เปิดเผยอย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อเวลาและสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทแตกต่างกันไป และอย่าลืมกระจายความเสี่ยง โดยการลงทุนในหุ้นหลายอุตสาหกรรม หรือลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท