นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหาร กลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS เปิดเผยว่า จากการที่ AIS เปิดให้บริการระบบยืนยันและพิสูจน์ตัวตนครั้งแรกของวงการโทรคมนาคม ด้วยการทำงานร่วมกับ National Digital ID (NDID) กับบริการ IDP Agent (Identity Provider Agent) หรือบริการแสดงตัวตนบนระบบดิจิทัล ผ่านช่องทางของ AIS Shop, AIS Buddy, Telewiz และร้านค้า AIS ในเครือพันธมิตร ทั่วประเทศกว่า 16,277 จุดบริการ ซึ่งได้ผลตอบรับจากลูกค้าดีเป็นอย่างมาก ล่าสุดได้ขยายผลความสำเร็จสู่การให้บริการ Public IDP (Public Identity Provider) ที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ผ่านแอป myAIS ในการยืนยันตัวตน เพื่อทำธุรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชีออนไลน์, การสมัครกองทุน หรือ ประกันต่างๆ ที่มีความสะดวก แม่นยำ ปลอดภัยตามหลักสากล ภายใต้มาตรฐานจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) กำกับดูแล
นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนาโครงข่ายอัจฉริยะ 5G ให้ตอบโจทย์การใช้งานของทั้งลูกค้า และภาคส่วนต่างๆ แล้ว เรายังเดินหน้าพัฒนา Digital Service รูปแบบต่างๆ เพื่อส่งเสริมวิถีชีวิตในยุคดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริการด้านธุรกรรมทางการเงิน ที่นอกเหนือจากตัวเลขการใช้จ่ายของคนไทยผ่านระบบ Mobile Banking จะสูงติดอันดับต้นๆ ของโลกแล้ว การทำธุรกรรมด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบัญชี การสมัครกองทุน ประกัน ต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นไม่แพ้กัน ทำให้ AIS ในฐานะ Digital Life Service Provider ได้เปิดให้บริการยืนยันตัวตนผ่านช่องทางต่างๆ ของ AIS ทั้ง AIS Shop, AIS Buddy, Telewiz และร้านค้า AIS ในเครือพันธมิตร กว่า 16,277 จุดทั่วประเทศ เมื่อปี 2020 ที่เรียกว่าบริการ IDP Agent ผ่านความร่วมมือกับ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด พร้อมกับสถาบันทางการเงิน ธนาคาร และบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ที่เข้ามารองรับบริการการยืนยันตัวตนผ่านช่องทางของ AIS อีกมากมาย
ปัจจุบัน มีการใช้งานแอป my AIS กว่า 33 ล้านรายการต่อเดือน ทั้งนี้ บริการ Public IDP (Public Identity Provider) ที่จะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ จะทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการใช้บริการที่มากขึ้น อีกทั้งยังไม่ต้องเดินทางไปยังสาขาและจุดให้บริการต่างๆ เป็นการอำนวยความสะดวก ลดความเสี่ยงในการพบปะ อีกทั้งยังมีความแม่นยำ ทำให้มั่นใจได้ว่าตัวตนของผู้ใช้บริการ เป็นตัวตนของลูกค้าท่านนั้นจริง ๆ และ ระดับความน่าเชื่อถือ หรือ IAL (Identity Assurance Level) ที่ใช้เป็นไปตามหลักสากลที่จะช่วยลดความผิดพลาดของการพิสูจน์ตัวตนได้ แน่นอนว่าบริษัทยังคงยึดมั่นปลอดภัยของผู้ใช้งานตามมาตรฐานสากลที่มีความเข้มงวดสูงสุด
นายปรัธนา กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ของ AIS ที่เราต้องการยกระดับคุณภาพโครงข่าย AIS 5G ให้สามารถทำงานได้อย่างอัจฉริยะ เพื่อเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถส่งมอบบริการที่เหนือกว่าให้กับลูกค้าและคนไทย นั่นจึงทำให้เราเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมและ Digital Service อย่างต่อเนื่องด้วยการมองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แน่นอนว่าการที่เราลุกขึ้นมาเปิดให้บริการการยืนยันตัวตนสำหรับลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมกับสถาบันทางการเงินต่างๆ เป็นรายแรกในธุรกิจโทรคมนาคมคงไม่ใช่แค่การมีบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเท่านั้น แต่เรายังมองถึงการเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากับภาคส่วนต่างๆ ที่จะเสริมขีดความสามารถของการทำงานแบบทั้งระบบเพื่อยกระดับ Digital Ecosystem ของประเทศให้มีความแข็งแรง”