เตือนซื้อสลากผ่านออนไลน์ เสี่ยงไม่ได้รับสลากมาขึ้นเงินตอนถูกรางวัล

พันตำรวจเอกบุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยถึงกรณีข้าราชการครู ชาวจ.ชัยภูมิ ร้องทุกข์ว่าได้ซื้อสลากงวดวันที่ 1 มิถุนายน 2564 หมายเลข 292972 จากแพลตฟอร์มขายลอตเตอรี่ออนไลน์แห่งหนึ่ง โดยไม่ได้รับสลากมาครอบครอง ปรากฏว่าสลากดังกล่าว ถูกรางวัลที่ 1 แต่ผู้ขายคือแพลตฟอร์มติดต่อขอจ่ายเงินรางวัลบางส่วน อ้างว่าถูกพนักงานในบริษัทขโมยงัดตู้เซฟ และนำสลากที่ถูกรางวัลไป จากการประสานข้อมูลกับสถานีตำรวจภูธรบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ พบว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ปรากฏในสื่อ

สำนักงานสลากฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนี้เป็นการซื้อขายหมายเลขโดยไม่มีตัวสลากมอบให้กับผู้ซื้อ แต่อ้างอิงผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล เข้าข่ายเป็นความผิด ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 จึงมอบอำนาจให้นิติกร ไปร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดทุกฐานความผิดจากพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น

พันตำรวจเอกบุญส่งฯ กล่าวว่า สำนักสลากฯ ได้มีการประกาศและประชาสัมพันธ์ เตือนผู้ซื้อสลากอย่างต่อเนื่อง ให้ใช้ความระมัดระวังในการซื้อสลากกินแบ่งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ หากยังไม่ได้รับสลากมาไว้ในครอบครอง เมื่อถูกรางวัลท่านอาจไม่สามารถนำสลากมารับเงินรางวัลได้ จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่า การซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เมื่อยังมิได้รับสลากมาไว้ในครอบครอง ทำให้เกิดปัญหาในการขึ้นเงินรางวัล ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในการรับเงินรางวัล ผู้ซื้อควรจะได้รับสลากมาไว้ในการครอบครองทันที่ที่ซื้อ ไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นได้อีก

นอกจากนี้ สำนักงานฯ ขอเตือนตัวแทนจำหน่าย และผู้ซื้อจองล่วงหน้าฯ การนำสลากไปขายต่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือเว็บไซต์ต่างๆ เป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขในสัญญา และหลักเกณฑ์การรับสลากไปจำหน่าย ทั้งนี้ จากการตรวจสอบอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ตั้งแต่งวดวันที่ 1 มีนาคม – 16 พฤษภาคม 2564 สำนักงานฯ ได้ดำเนินการยกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายรายย่อย สมาคม องค์กร ที่นำสลากไปขายต่อผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แล้วจำนวน 3,415 ราย และยกเลิกการลงทะเบียนของผู้ซื้อ-จองล่วงหน้าฯ จำนวน 314 ราย รวมทั้งสิ้น 3,729 ราย จำนวนสลากทั้งหมด 108,786 ฉบับ และกรณีตัวแทนจำหน่ายสลากขายสลากเกินราคาผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ รวมถึงการฉ้อโกงประชาชน ขณะนี้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ) ได้ดำเนินการตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว รวมทั้งสิ้น 744 ราย