โชว์ยอดขนส่งพัสดุ “นิวไฮ” ด้วยบริการระดับพรีเมี่ยม พร้อมรุกธุรกิจนวัตกรรมใหม่ ใจป้ำจ่ายปันผลระหว่างกาล 74.3 สตางค์
นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 มีรายได้ 4,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 412 ล้านบาท หรือ 9.8% จากไตรมาสก่อนหน้า และกำไรสุทธิ 336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33 ล้านบาท หรือ 10.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ที่อัตรากำไรสุทธิ 7.3% ซึ่งเป็นผลจากความสำเร็จของการเข้าถึงลูกค้า ด้วยการตลาดและการขายที่แข็งแกร่ง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การบริหารจัดการเพื่อควบคุมต้นทุน การพัฒนาแพลตฟอร์มโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ส่งผลให้การดำเนินงานไตรมาส 2/2564 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ก็ตาม
โดยในครึ่งปีแรกของปี 2564 เคอรี่ เอ็กซ์เพรส มีปริมาณการจัดส่งพัสดุที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยมียอดการจัดส่งพัสดุทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (New High Record) กว่า 167 ล้านชิ้นในครึ่งปีแรกของปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นถึง 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการความสำเร็จของกลยุทธ์ด้านราคาที่ทำอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อคดาวน์หลายพื้นที่ ซึ่งทำให้มีการทำงานที่บ้านหรือ WFH มากขึ้น กระตุ้นให้มีการใช้จ่ายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น และด้วยจุดแข็งของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสทั้งคุณภาพการให้บริการ รวมถึงราคาส่งพัสดุที่มี “ราคาถูก” ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มการจัดส่งราคาประหยัดมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับผลการโหวตของผู้บริโภคจากทั่วประเทศที่จัดโดยนิตยสาร Marketeer ยกให้ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เป็นแบรนด์ที่หนึ่งในใจผู้บริโภค โดยบริษัทได้รับรางวัล “Marketeer No.1 Brand Thailand 2020-2021” ในหมวดบริการจัดส่ง/โลจิสติกส์ เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ด้วยคะแนน 63.8% ทิ้งห่างอันดับ 2 ซึ่งได้คะแนนเพียง 19.1% โดยมีคะแนนชนะคู่แข่งในทุกภาคทั่วประเทศไทย สะท้อนถึงความเหนือระดับของแบรนด์ ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดมาอย่างต่อเนื่อง
“หลายธุรกิจประสบปัญหาและความยากลำบากในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แต่ที่เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เรามุ่งมั่น และไม่เคยหยุดนิ่ง ด้วยการทำธุรกิจอย่างชาญฉลาดและคล่องตัว ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งเน้นการให้บริการอย่างมีคุณภาพ ทำให้เรายังสามารถสร้างการเติบโตได้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ โดยคาดว่าจะเห็นปริมาณขนส่งพัสดุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 สู่ไตรมาส 4 ซึ่งเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ” นายอเล็กซ์ กล่าว
นายอเล็กซ์ ยังกล่าวถึงการบริหารจัดการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้นในขณะนี้ว่า บริษัทได้ดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งต่อพนักงานและลูกค้า โดยการส่งเสริมสุขภาพที่ดีทั่วทั้งองค์กร ประกาศแคมเปญ KerryPrompt เพื่อกระตุ้นและตอบแทนพนักงานทุกคนให้เข้ารับวัคซีนอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้าเกิดการหยุดชะงัก และไม่ให้เกิดปัญหาการขนส่งพัสดุกับลูกค้าปลายทาง แม้จะต้องขนส่งภายใต้มาตรการล็อคดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดที่อาจมีข้อจำกัด แต่บริษัทยังคงขนส่งไปถึงมือลูกค้าได้อย่างปลอดภัยและทันเวลา
ล่าสุดบริษัทยังได้จัดตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ” สำหรับการสนับสนุนสภากาชาดไทย และองค์กรต่างๆ จัดส่ง “กล่องพ้นภัย” ซึ่งประกอบไปด้วย ยาฟาวิพิราเวียร์ ปรอท ที่วัดออกซิเจน หน้ากากอนามัย พาราเซตามอล เจลแอลกอฮอล์ และชุดอาหารพร้อมรับประทานต่างๆ ให้กับผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มสีเขียวที่ดูแลรักษาตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาเตียงไม่เพียงพอกับการรักษาผู้ป่วย ช่วยให้คนไทยฝ่าวิกฤติไวรัสโควิด-19 ไปด้วยกัน
นายอเล็กซ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพในการรองรับพัสดุในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมเปิดให้บริการใหม่ร่วมกับพันธมิตรหลากหลาย ได้แก่ ธุรกิจเกี่ยวกับ Cold Chain หรือระบบคลังสินค้าและขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่มากกว่า 30 กิโลกรัมขึ้นไป ล่าสุดบริษัทยังได้ต่อยอดสู่ “เคอรี่ วอลเล็ท” พัฒนาระบบวอลเล็ทเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โซเชียลคอมเมิร์ซ ที่เติบโตต่อเนื่อง และตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อขายสินค้าออนไลน์มากยิ่งขึ้น โดยคาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งจะเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าขาประจำใช้จ่ายเงินและร่วมกิจกรรมผ่านวอลเล็ทอย่างต่อเนื่องทั้งระบบ
นอกจากผลการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มีฐานะทางการเงินและสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.743 บาทต่อหุ้น แจ้งวันกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2564 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2564 ตามลำดับ