นายธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์งวดครึ่งปีหลัง 2564 น่าจะอ่อนตัวลงจากงวดครึ่งแรกของปีที่ธนาคารพาณิชย์ประกาศผลดำเนินงานออกมาดีกว่าที่คาดไว้เพราะคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ ที่อาจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธนาคารที่ตั้งสำรองส่วนเกินไว้ไม่มากในไตรมาส 2 ปี 2564 ขณะที่สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ที่ยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะคลี่คลายเมื่อใด ซึ่งหากกินระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพหนี้ทั้งระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะเป็นปัจจัยกดดันต่อแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลัง รวมทั้งคาดว่าจะมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่อาจลดลง
สำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ปี 2564 ของธนาคารโดยเฉพาะที่ฝ่ายวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) และธนาคารทิสโก้ (TISCO) มีกำไรสุทธิดีกว่าที่เราคาดไว้ 7% โดยมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 34,227 ล้านบาท อ่อนตัว 9% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังเติบโต 57% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่เติบโตราว 2% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย (KTB) ที่เติบโตถึง 5.4% จากความต้องการสินเชื่อของภาครัฐ ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยของกลุ่มปรับตัวลง ทั้งในส่วนของรายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรจากการวัดมูลค่าเงินลงทุน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและสภาวะตลาดหุ้นเป็นปัจจัยกดดัน
“ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นราว 14% จากไตรมาสก่อนหน้า และสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าราว 3% แม้สัดส่วน NPL ของกลุ่มจะปรับตัวลงจาก 3.64% ในไตรมาสก่อนเหลือ 3.59% อย่างไรก็ตามบางธนาคาร อาทิ KTB SCB TTB และTISCO ตั้งสำรองต่ำกว่าที่คาด จึงทำให้คาดว่า ในงวดครึ่งปีหลังจะต้องตั้งสำรองสูงขึ้น” นายธนภัทร กล่าว
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารนั้นมองว่า ราคาหุ้นยังขาดปัจจัยหนุนระยะสั้น แนะนำ Selective Buy โดยเลือก Top pick คือ BBL ให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานที่ 151 บาท KBANK ให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานที่ 158 บาท และTISCO ให้ราคาเหมาะสมพื้นฐานที่ 106 บาท