เผยผลสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากป้องกันโรคของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 พบร้อยละ 4 ระบุไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก
ชี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทำเพราะเสี่ยงทั้งแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นและรับเชื้อเพิ่ม
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ประชาชนเริ่มผ่อนคลายจากจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ที่สำคัญ คือ ต้องเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค การรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ไม่สัมผัสจมูก ปาก หรือขยี้ตา ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ต่อเนื่องจำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 5 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก ประชาชนจะสวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อถึงร้อยละ 83 และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้รับเชื้ออีกร้อยละ 12 แต่มีร้อยละ 4 ที่ตอบไม่สวมหน้ากากป้องกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงที่จะแพร่โรคให้คนอื่นได้
“ต้องขอกระตุ้นเตือนสังคม เมื่อคนกลับมาทำงาน พบปะกันมากขึ้น การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องที่จำเป็น ต้องทำอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันเชื้อออกจากตัวผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น”
นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับการออกปฏิบัติการค้นหาผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อเชิงรุก โดยตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของภาคเอกชนนั้น ขอความร่วมมือให้ประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพราะเป้าหมายสำคัญของการคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อ เพื่อนำตัวเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่เชื้อ รวมทั้งต้องติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดมาตรวจด้วย เพื่อความปลอดภัยของคนในประเทศ