รู้เก็บรู้ออม : จับสัญญาณเศรษฐกิจโลก

ที่มา คอลัมน์ "รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง"  หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เศรษฐกิจโลกปี 66 ส่งสัญญาณไม่ค่อยสู้ดีนัก ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ออกมาบอกว่าปีนี้มีโอกาสสูงมากที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับภาวะถดถอย

บทความเรื่อง “จับชีพจรเศรษฐกิจโลก ส่องเศรษฐกิจไทย ปี 2566” ในเว็บ SETINVESTNOW กล่าวถึงแนวโน้มนี้ว่า เศรษฐกิจถดถอยไม่ได้แปลว่า จะหดตัวลง แต่เป็นการโตในอัตราที่น้อยและช้าลงจากปีที่แล้ว คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะโต 1.7% โดยประเทศที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่จะโตช้าลง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา, ยุโรป, ญี่ปุ่น ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นตลาดหลักๆของไทย ทำให้กำลังซื้อน้อยลง การส่งออกของไทยไปตลาดหลักๆเหล่านี้จะไม่ขยายตัวได้มากเท่ากับปีก่อน

เศรษฐกิจโลกปีนี้จะเผชิญกับ 3 ความเสี่ยง คือ 1.ราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง เพราะถึงแม้เงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และเริ่มชะลอลงในปีนี้ แต่สินค้าก็จะยังแพงขึ้น IMF มองว่าปีนี้ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นไปอีก 6.5% ดังนั้น ราคาพลังงาน ราคาอาหาร จะยังอยู่ในระดับที่สูงและเป็นต้นทุนของสินค้าอื่น ซึ่งบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชน

2.อัตราดอกเบี้ยปีนี้ยังเป็นขาขึ้น แม้จะไม่ขึ้นเร็วเหมือนปีก่อนแต่ก็ยังขึ้นต่อไป คาดว่าปีนี้ดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะขึ้นอีกสัก 1% เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2% ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลให้หลายประเทศ รวมถึงไทยมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน

3.ค่าเงิน โดยการขึ้นดอกเบี้ยช้าลงของสหรัฐฯ ทำให้เงินไหลออกไปลงทุนในภูมิภาคอื่นแทน ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลง เงินบาทแข็งค่าขึ้น จึงเป็นความเสี่ยงหนึ่งสำหรับผู้ส่งออกไทย ขณะที่การนำเข้าได้รับอานิสงส์ แม้นักลงทุนจะฝากความหวังไว้ที่จีน แต่ TDRI มองว่าเศรษฐกิจจีนไม่น่าโตได้ถึง 5% ขณะที่ธนาคารโลก คาดว่า จีนน่าจะขยายตัวได้ 4.3% เพราะจีนเพิ่งเริ่มเปิดประเทศ กว่าจะฟื้นตัวได้จริงๆตอนไตรมาสสอง ขณะที่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน จะกดดันให้เศรษฐกิจฟื้นได้ไม่เต็มที่

สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย TDRI คาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 3.5% ปัจจัยหลักมาจากการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัวมากขึ้น รายรับจากนักท่องเที่ยวปีนี้ที่คาดไว้ 25 ล้านคน จะเป็นตัวผลักดันและขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น การจับจ่ายใช้สอยก็น่าจะยังไปได้ต่อ ทำให้เศรษฐกิจไทยยังโตได้

และการลงทุนจะเป็นอีกปัจจัยช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งการลงทุนจากคนไทยและต่างประเทศ จะมีการย้ายฐานการลงทุนมาไทย เนื่องจากปัญหาจีนกับสหรัฐฯยังจะไม่หยุดลงง่ายๆ แม้ไทยเป็นประเทศอันดับสองของอาเซียนรองจากเวียดนามที่มีบริษัทย้ายมาลงทุน แต่ไทยได้เปรียบเรื่องการมุ่งไปสู่สังคม Low-Carbon และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ดีกว่าเวียดนามมาก ทำให้บริษัทต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และ Cloud Service

เม็ดเงินที่จะลงมาในประเทศไทย หรือในตลาดหุ้นไทยเป็นไปในทิศทางบวก แต่ต้องมีการกระจายการลงทุนที่แตกต่างจากปีที่แล้ว โดยนักลงทุนควรปรับแนวทางการลงทุนมาเป็นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์ คือ การท่องเที่ยว รถยนต์ EV หรือ Low–Carbon แทน

ผู้สนใจอยากฟังเนื้อหาแบบละเอียด สามารถเข้าไปหาชมย้อนหลังได้ใน Maruey Talk หรือต้องการเรียนรู้แนวทางการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “Sector Rotation” ได้ฟรี!!

คุณนายพารวย