คณะทำงานร่วม (Taskforce) จัดตั้งขึ้นโดย สำนัก ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ข้อสรุปในการเสนอแนะมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย โดยจะออกเป็นแพ็กเกจเพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุน สร้างสมดุลทั้งในส่วนของผู้ลงทุนรายใหญ่-รายย่อย และผู้ลงทุนต่างชาติ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
- Quality Demand เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account) และเพิ่มบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับตลาดหุ้น เป็นต้น
- Attractive Supply เช่น การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศและเข้าสู่ตลาดทุนไทยผ่านช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ให้กระชับ เน้น “การเปิดเผยข้อมูล” ลดขั้นตอนและลดเอกสารซับซ้อนภายใต้
การคุ้มครองผู้ลงทุนที่เหมาะสม อีกทั้ง ส่งเสริมการจัดทำแผนเพื่อยกระดับมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พร้อมให้ บจ. ต้องมีการเปิดเผยแผนและผลการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและสื่อสารกับผู้ถือหุ้นได้ มี Roadmap ที่ชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล ESG ตามมาตรฐาน ISSB เพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คำนึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESG ในระดับสากล เป็นต้น - Trusted Market เช่น การสร้างความเข้มแข็ง corporate governance ของ บจ. การยกระดับการกำกับ gatekeepers เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลาง-ย่อม-เล็ก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ลงทุน เป็นต้น
- Supportive Ecosystem เช่น การเสริมสร้างระบบนิเวศน์ให้เกิดการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อย (Inclusion) รวมทั้งการให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น
การขับเคลื่อนมาตรการตลาดทุนในระยะเริ่มต้นจะเน้นการสร้างเสน่ห์ให้ตลาดหุ้นเป็นลำดับแรก ผ่านการดำเนินการของ Taskforce เพื่อให้ได้รับข้อเสนอและแรงสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดี สำนักงาน ก.ล.ต.จะเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนในส่วนอื่น ๆ ทั้งตลาดตราสารหนี้ หน่วยลงทุน ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนของประชาชน (tokenization) โดยจะมีการจัดตั้ง Taskforce ชุดอื่นเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป
ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า “ อยากให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต สิ่งสำคัญ คือ จะต้องเสริมสร้างตลาดทุนให้มีความแข็งแกร่งในทุกด้าน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดทุน และทำให้ตลาดทุนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถยกระดับตลาดทุนให้แข่งขันได้ในระยะยาว ”
ศ. ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูลเลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. เปิดเผยว่า“ เชื่อว่าทุกภาคส่วนในตลาดทุนเห็นด้วยกับการที่ตลาดทุนไทยต้องปรับตัว เพื่อสร้างโอกาสและรักษาความสามารถในการแข่งขัน ความท้าทายที่เผชิญอยู่ต้องอาศัยความร่วมมือในการมองโจทย์ เห็นปัญหา และหาทางเปลี่ยนแปลงที่ต้องสอดคล้องและส่งเสริมกันในแต่ละภาคส่วน ไม่สามารถทำได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเพียงลำพัง มาตรการที่นำเสนอจึงควรสกัดมาจากความคิดเห็นร่วมกัน แม้จะเป็นทิศทางที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ แต่น่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและเสน่ห์ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลดีกับตลาดทุนไทยในระยะยาว ”
นาย อัสสเดช คงสิริกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งมั่นทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยการเสริมสร้างทั้งความน่าสนใจและความเชื่อมั่นในตลาดทุน เรามั่นใจว่า การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนและมาตรการที่ร่วมกันผลักดันในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับศักยภาพของตลาดทุนไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมดึงดูดทั้งการระดมทุนและการลงทุน ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น ”
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า “ ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญความท้าทายทั้งจากในและนอกประเทศ สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในการดำเนินมาตรการปฏิรูปตลาดทุนครั้งนี้ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางรากฐานตลาดทุน เพื่อยกระดับความโปร่งใส เสริมสร้างความเชื่อมั่น ให้กับทั้งผู้ลงทุนและผู้ร่วมตลาด และพร้อมเป็นกลไกสำคัญ
ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ”