“TNITY” แจ้งกำไรงวด 9 เดือน ปี 64 กว่า 173.74 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 2,547 % รายได้เติบโตทุกช่องทาง ทั้งนายหน้าซื้อขายหุ้น ค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาขายหุ้น “IPO” รายได้ดอกเบี้ยและกำไรพอร์ตลงทุน
นายชาญชัย กงทองลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 2564 จำนวน 173.74 ล้านบาท มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.83 บาท เพิ่มขึ้น 2,547% เมื่อเปรียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 7.10 ล้านบาท ขณะที่งวดไตรมาส 3 ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 64.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,649.72% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ งวด 9 เดือนปีนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 725.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 107% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2563 ที่มีรายได้รวม 350.56 ล้านบาท ซึ่งรายได้ของบริษัทเติบโตในทุกๆ ช่องทาง ประกอบด้วย รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้น 48.28 % เป็น 448.65 ล้านบาท จาก 302.57 ล้านบาทในงวด 9 เดือนปี 2563 เนื่องจาก 1.รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 58.10% เป็น 263.53 ล้านบาท จาก 166.69 ล้านบาท ในงวด 9 เดือนปี 2563 ตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 96,462 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.49% จากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 64,526 ล้านบาท หลังจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นมาซื้อขายเหนือระดับ 1,600 จุด โดยสิ้นเดือน ก.ย.2564 ดัชนีปิดที่ 1,605.68 จุด
2.รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 35.28 % เป็น 89.12 ล้านบาท จาก 65.88 ล้านบาท ในงวดเดียวกันปี 2563 จากค่าธรรมเนียมจัดจําหน่ายหลักทรัพย์ เนื่องจากในงวด 9 เดือนแรกปีนี้บริษัทได้เป็นที่ปรึกษาในการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ ) จำนวน 3 บริษัท ประกอบด้วย บมจ.เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (AMR), บมจ.โคลเวอร์ เพาเวอร์ (CV) และบมจ.เบริล 8 พลัส (BE8)
3.รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 91.41 ล้านบาท จาก 60.23 ล้านบาท ในงวดเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นในระหว่างงวด จากการที่นักลงทุนรายบุคคลยังมีบทบาทสูงต่อการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ บริษัทมีกําไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวมในงวด 9 เดือนจำนวน 113.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 56.89 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ที่กดดัชนีหุ้นไทยลงแรงเกือบ 600 จุดในช่วงไตรมาสแรกปีก่อน และมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 22.8 %เป็น 87.96 ล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 71.63 ล้านบาท จากเงินให้กู้ยืมอื่นที่เพิ่มขึ้นในงวด 9 เดือนปี 2564
ด้านฐานะทางการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 6,249.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์รวมเมื่อสิ้นปี 2563 ที่มีจํานวน 5,043.36 ล้านบาท เกิดจากการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 3,258.95 ล้านบาท จาก 2,404.69 ล้านบาทและเงินให้กู้ยืมอื่นเพิ่มขึ้นเป็น 1,357.36 ล้านบาท จาก 1,081.51 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วน 52.14% และ 21.72% ของสินทรัพย์รวมของปี 2564 ตามลําดับ