Home Blog Page 462

ช็อปปิ้งไม่เหมือนเดิม เช็กอินก่อนเข้าห้าง คัดกรองคน ชูสังคมไร้สัมผัส

0

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เดอะมอลล์กรุ๊ป เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ชีวิตวิถีใหม่ของธุรกิจค้าปลีกห้างสรรพสินค้าจะเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยที่เข้มงวด เพื่อให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ

มาตรการขั้นสูงสุดดำเนินการในทุกมิติ ประกอบด้วย สำหรับลูกค้า 5 มาตรการหลัก 34 มาตรการย่อย และสำหรับกลุ่มธุรกิจ 6 มาตรการเสริม 66 มาตรการย่อย รวม 100 มาตรการ โดยกลยุทธ์สำคัญคือการสร้าง สังคมไร้สัมผัส (TMG TOUCHLESS SOCIETY) ถือเป็นประสบการณ์ช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์รูปแบบใหมตั้งแต่การขับรถเข้าในที่จอดรถ ไปถึงขั้นตอนการชำระเงินซื้อสินค้าและบริการ

ทั้งนี้ ลูกค้าทุกคนจะต้อง เช็กอิน เพื่อเข้าไปศูนย์ ทำได้ 3 รูปแบบ คือ

  1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น MCARD ซึ่งปัจจุบันมีระบบกว่า 7 แสนราย ลูกค้าสามารถ เช็กอินมาจากที่บ้านได้ แสดงแอปให้เจ้าที่หน้าที่และผ่านเข้าประตูได้เลยไม่ต้องรอคิวหน้าศูนย์
  2. การเช็กอินผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดและแอปพลิเคชั่นไลน์
  3. กรอกแบบฟอร์มหน้าศูนย์

ช่วงแรกประเมินว่าลูกค้าจะมาใช้บริการ ลดลงกว่าปกติ 30-40% โดยพฤติกรรมการซื้อสินค้าหลังวิกฤตโควิดได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าที่มีความจำเป็นมากกว่ากว่าการซื้อตามอารมณ์ ซึ่งจะเป็นสินค้าใช้ในครัวและใช้ในบ้านยอดขายขึ้นท็อป 5 ซึ่งปกติจะมีสัดส่วนการขายเพียง 5-10% เท่านั้น และพฤติกรรมการช้อปจะมีความรวดเร็วขึ้น มีการวางแผนล่วงหน้ามาจากบ้าน

สำหรับการปิดศูนย์การค้าไปตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายรวมหายไปถึง 70-80% เพราะเปิดบริการเพียงซูเปอร์มาร์เก็ตและช้อปออนไลน์

นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป และกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ตลาดค้าปลีกปีนี้ จะหดตัวลง 14% หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่หายไป 5 แสนล้านบาท จากมูลค่าตลาดค้าปลีกปี 62 ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท  โดยมีผลกระทบจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัวลง, กำลังซื้อที่ลดลง และสต๊อกสินค้าที่ขาดแคลน อาทิ สินค้านำเข้าจากจีน และกำลังการผลิตที่หดตัวลง

เดอะมอลล์กรุ๊ปได้วางแผนธุรกิจเดินหน้าไปพร้อมชีวิตวิถีใหม่ซึ่งก้าวสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว แต่รูปแบบของศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้ายังคงเป็นหลักอยู่ และจะทำให้แม้การช้อปออนไลน์จะเติบโตสูงมากแต่ยังถือว่าเป็นสัดส่วนน้อย โดยกลยุทธ์ต่อไปจะพิจารณาตาม 3 ประเด็นหลัก คือการเข้มงวดในการดูแลสุขภาพ, การเว้นระยะห่างทางสังคม และการทำงานจากที่บ้าน ซึ่งทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

“หลังศูนย์การค้ากลับมาเปิด จะเห็นภาพรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ศูนย์การค้าจะลดลงเหลือเพียง 50% หรือหากบริหารดีๆ อาจจะได้ 70% เพราะต้องเข้มงวดในมาตรการรักษาระยะห่างหรือ social distancing และมาตรการที่เข้มงวดที่นำมาใช้เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้าให้มากที่สุด”

ห่วงสถานการณ์น้ำ ฝนตกแต่น้ำในอ่างเก็บน้ำยังน้อย วอนทุกฝ่ายประหยัดน้ำ อย่าประมาท

0

สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ ยังคงมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย และยังคงส่งน้ำตามแผนการจัดสรรน้ำฤดูฝน เพื่อสนับสนุนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ แม้ว่าในระยะนี้จะมีฝนตกลงมาบ้าง  แต่ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างฯ ยังมีไม่มากนัก

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะโฆษกกรมชลประทาน กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน(12 พ.ค. 63) มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกันประมาณ 34,472 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 45 ของความจุ เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 10,802 ล้าน ลบ.ม. สามารถรับน้ำได้อีกกว่า 40,000 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 8,380 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 34 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 1,684 ล้าน ลบ.ม.

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ด้านผลการจัดสรรน้ำฤดูฝนทั้งประเทศ ปัจจุบัน มีการใช้น้ำไปแล้ว 1,056 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 9 ของแผนจัดสรรน้ำฯ เฉพาะในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการใช้น้ำไปแล้ว 347 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 11 ของแผนจัดสรรน้ำฯที่วางไว้ สำหรับสถานการณ์ฝนที่ตกจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 – 11 พฤษภาคม 2563 รวมประมาณ 234 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาในช่วงวันเดียวกัน มีน้ำไหลลงอ่างฯรวมกันประมาณ 47 ล้าน ลบ.ม. แม้ว่ายังอยู่ในเกณฑ์น้อย แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่มีน้ำต้นทุนน้อย จะมีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณน้ำได้อีกมากตลอดในช่วงฤดูฝนนี้

เขื่อนแควน้อย

กรมชลประทาน ได้ให้โครงการชลประทานทุกพื้นที่ บริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักร-เครื่องมือ ให้สามารถพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา รวมไปถึงให้เร่งกำจัดวัชพืชไม่ให้กีดขวางทางน้ำ การตรวจสอบระบบและอาคารชลประทาน ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ ยังบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในท้องที่ ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้ทุกพื้นที่พร้อมรับกับสถานการณ์น้ำที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าจะภัยแล้งหรืออุทกภัย และขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้ร่วมใจกันประหยัดน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาขาดแคลนน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

เขื่อนสิริกิติ์

ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัส ยันโควิด-19 ไม่ติดต่อหมู ไก่ เป็ด

0

แนะเตรียมรับมือหน้าฝน เพราะโรคระบบทางเดินหายใจระบาดได้ง่ายกว่าหน้าร้อน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ปกติเชื้อโคโรน่าไวรัสสามารถพบได้ในสัตว์ทุกชนิด ส่วนเชื้อโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ที่เกิดโรคในคน หรือ โควิด 19 นั้น จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ในจีน พบว่าเชื้อนี้ติดต่อได้ในสัตว์ตระกูล Feline เช่น แมวและเสือ เป็นต้น สำหรับสัตว์เศรษฐกิจ เช่น หมู ไก่และเป็ด งานวิจัยพบว่าจะไม่สามารถติดโรคโควิด 19 ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้โรคโควิด 19 ที่แพร่จากคนไปสู่สัตว์เลี้ยงยังไม่พบหลักฐานว่าเชื้อโรคชนิดนี้แพร่กลับมาสู่คนได้

“งานวิจัยชี้ชัดว่าไวรัสตัวนี้ไม่ติดใน หมู ไก่ เป็ด หรือปศุสัตว์อื่นๆ ประชาชนจึงสบายใจได้ในการบริโภคเนื้อสัตว์เหล่านี้ แต่อยากเน้นต้องปรุงอาหารให้สุก สะอาด และไม่แนะนำให้ทานอาหารดิบๆ สุกๆ เด็ดขาดในช่วงนี้ การทานอาหารที่สุกความร้อนสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ทุกชนิดรวมทั้งโควิด19 ”

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร ควรมีมาตรการป้องกันโรคที่เข้มงวดและแนวทางปฏิบัติด้านสุขอนามัยส่วนบุคคลที่เคร่งครัดโดยเฉพาะมาตรการดูแลตัวเองและการควบคุมอนามัยส่วนบุคคล ความสะอาด การล้างมือ การใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันฝอยละอองที่เกิดจาการไอหรือจามปนเปื้อนไปกับอาหาร และหากผู้ปฏิบัติงานมีอาการป่วยและมีไข้ ควรหยุดการปฏิบัติงานในทันที

และว่า ในโรงงานชำแหละและแปรรูปสัตว์ หากพบผู้ป่วยติดเชื้อในไลน์การผลิต ต้องหาผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เพื่อกักตัวและะเฝ้าระวังอาการเป็นเวลา 14 วัน และให้หยุดสายการผลิตบริเวณที่ผู้ป่วยติดเชื้อปฏิบัติงานเป็นเวลา 1 วัน เพื่อทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ โดยไม่จำเป็นต้องปิดสายการผลิตทั้งโรงงาน และการฆ่าเชื้อจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีสารประกอบคลอรีนหรือแอลกอฮอลล์ ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฆ่าเชื้อจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคนี้แพร่กระจายไปสู่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

ในสายการผลิตควรเตรียมแผนปฏิบัติการไว้ล่วงหน้ากรณีเกิดการระบาดของโรคโควิด 19 ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละกะการทำงาน ควรแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน เพราะหลังปิดไลน์การผลิตทำความสะอาดและฆ่าเชื้อแล้วต้องมีทีมงานกลุ่มใหม่เข้าไปทำงานแทนทันทีเพราะไม่สามารถปิดโรงงานได้ 14 วัน

จากการทำวิจัยระยะเวลาสิบกว่าปีในไทย พบว่าโรคในระบบทางเดินหายใจ จะแพร่ระบาดได้ง่ายช่วงฤดูฝนมากกว่าฤดูร้อน ดังนั้นในฤดูฝนระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมนี้ ประเทศไทยต้องเตรียมตั้งรับแบบเข้มแข็งกว่าปกติ เพราะหากพบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ การวินิจฉัยโรคจะค่อนข้างยุ่งยากกว่าปกติ จำเป็นต้องตรวจโรคมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 19 หรือติดเชื้อไข้หวัดธรรมดา ดังนั้นปีนี้ไทยจำเป็นต้องระวังมากกว่าทุกปี ศ.นพ.ยง กล่าว

เร่งพัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ รักษาโควิด-19 คาดเสร็จปลายปี 64

0

ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า อภ.ได้วิจัยและพัฒนา ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) มาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2563 โดยได้มีการวางแผนบริหารจัดการเพื่อให้มียาฟาวิพิราเวียร์ มีเพียงพอต่อความต้องการรองรับการรักษาผู้ป่วยภายในประเทศอย่างยั่งยืนทั้งในภาวะวิกฤติและระยะยาวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งดำเนินการคู่ขนานกับการนำเข้านั้น ได้มีการจัดหาวัตถุดิบเพื่อใช้พัฒนาและผลิตยาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ ได้เองภายในประเทศ สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพมาตรฐานจากประเทศจีน

ขณะนี้ได้จัดซื้อตัวอย่างวัตถุดิบมาเพื่อทดลองผลิตในเบื้องต้นและอยู่ระหว่างการสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาสูตรตำรับ และขยายขนาดการผลิต ตลอดจนศึกษาความคงสภาพ และศึกษาประสิทธิผลทางชีวสมมูล (Bioequivalence study) เพื่อศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จะมีข้อมูลพร้อมยื่นขึ้นทะเบียน


การดำเนินการด้านวิจัยพัฒนาการสังเคราะห์วัตถุดิบยาฟาวิพิราเวียร์ ได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการในกระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบ โดยอภ.สนับสนุนทุนวิจัยแก่ สวทช. จำนวน 4.28 ล้านบาท สำหรับดำเนินการในกระบวนการสังเคราะห์วัตถุดิบระดับห้องปฏิบัติการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 – 6 เดือน จากนั้น อภ.นำมาขยายขนาดการสังเคราะห์สู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรมคาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตวัตถุดิบในระดับกึ่งอุตสาหกรรมได้ ในเดือน มิถุนายน 2564

ดร.ภญ.นันทกาญจน์ กล่าวว่า ในส่วนของสิทธิบัตรยานั้น บริษัท FujiFilm Toyama Chemical Co.,Ltd. ประเทศญี่ปุ่น ได้มายื่นคำขอสิทธิบัตรด้านการผลิตเม็ดยา favipiravir ที่ประเทศไทยในปี พ.ศ.2553 แต่ปัจจุบันยังเป็นเพียงคำขอสิทธิบัตรเท่านั้น หากยาดังกล่าวได้รับสิทธิบัตร จะได้ระยะเวลาคุ้มครอง 20 ปี โดยนับย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ยื่นคำขอสิทธิบัตรในไทย อย่างไรก็ตามการพัฒนาสูตรภายในประเทศสามารถทำได้โดยไม่ถูกฟ้องร้อง แต่หากผลิตจำหน่ายในท้องตลาด อาจโดนฟ้องเพราะละเมิดสิทธิบัตรได้ ดังนั้น อาจต้องเตรียมการเจรจาทำ Voluntary Licensing หรือ การอนุญาตให้ใช้สิทธิกับบริษัทเจ้าของสิทธิบัตร เพื่อให้อภ.สามารถผลิตและจำหน่ายได้ต่อไป

กรมชลฯ สั่งทุกโครงการพร้อมรับมือฝนตกหนักจากพายุฤดูร้อน

0

กรมชลประทาน สั่งทุกโครงการชลประทานทั่วประเทศเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด หลังกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศแจ้งเตือนพายุฤดูร้อนตอนบนประเทศไทย ส่งผลฝนฟ้าคะนองในระยะนี้

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลประทานสั่งการให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ ให้พร้อมเฝ้าระวังติดตามสภาพอากาศ และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำ โดยให้บุคลากรประจำอยู่ในพื้นที่ เพื่อสามารถเข้าไปดำเนินการช่วยเหลือประชาชนได้ทันที และได้เน้นย้ำให้บริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำและน้ำท่า ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละช่วงเวลา หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือน เรื่อง “พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน” ในช่วงวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2563 บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ทั้งนี้ หากมีฝนตกลงมาในบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำ ย่อมจะส่งผลดีในการเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกัก รวมทั้งปริมาณน้ำท่าในแม่น้ำสายหลักต่างๆด้วย ทำให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น สำหรับใช้ในการอุปโภคบริโภค รวมไปถึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่การเกษตร การรักษาระบบนิเวศ และการผลักดันค่าความเค็มด้วย อย่างไรก็ตาม จะต้องบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำในให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมอย่างเคร่งครัดและปรับการระบายน้ำให้เหมาะสมสอดคล้องกับฝนที่ตกลงมา โดยไม่ให้กระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายอ่าง

นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้โครงการชลประทาน ตรวจสอบอาคารชลประทานทุกแห่ง ให้สามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพ รวมทั้งการกำจัดวัชพืชไม่ให้กีดขวางทางน้ำ  การติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้เป็นไปตามเกณฑ์การเก็บกัก ที่สำคัญได้เน้นย้ำให้มีการแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม-   น้ำล้นตลิ่ง อีกทั้ง ยังให้จัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือต่างๆ ประจำไว้ในพื้นที่แล้ว หากต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือโทร.สายด่วนกรมชลประทาน 1460 ได้ตลอดเวลา

5 มาตรการบริหารน้ำช่วงหน้าฝน วอนปลูกข้าวนาปีให้รอประกาศอุตุฯ

0

กรมชลประทานวาง 5 มาตรการบริหารน้ำฤดูฝน พร้อมจัดสรรน้ำปลูกข้าวนาปี 16.79 ล้านไร่  วอนรอฟังกรมอุตุฯ ส่งสัญญาณเข้าฤดูฝน จึงเริ่มเพาะปลูกข้าวนาปี

 ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า มาตรการบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนปี 2563 เพื่อให้ปริมาณน้ำมีเพียงพอสำหรับการใช้ตลอดฤดูฝนและเก็บกักไว้ใช้ในหน้าแล้งปี 2563/64 แบ่งเป็น 5 มาตรการ คือ

1. การจัดสรรน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศให้เพียงพอตลอดทั้งปี                      

2. ส่งเสริมการปลูกพืชฤดูฝนให้ใช้น้ำฝนเป็นหลักและใช้น้ำชลประทานเสริมกรณีฝนทิ้งช่วง

3. บริหารจัดการน้ำท่าให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยระบบชลประทาน

4. กักเก็บน้ำในเขื่อนให้มากที่สุด ไม่ให้ต่ำกว่าเกณฑ์เก็บกักน้ำต่ำสุด ตามช่วงเวลา เพื่อความมั่นคงด้านอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศ     

5. วางแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัย

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน

แผนการจัดสรรน้ำและการปลูกพืชในฤดูฝนปี 2563 กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำต้นทุนและความต้องการน้ำในการเพาะปลูกทั่วประเทศไว้ปริมาณ 31,351.50 ล้าน ลบ.ม. เพื่อเพาะปลูก 27.61 ล้านไร่ แบ่งเป็นการทำนาปี 16.79 ล้านไร่ เพาะปลูกพืชไร่พืชผัก 0.54 ล้านไร่ และพืชอื่นๆ 10.29 ล้านไร่

ทั้งนี้ เป็นการใช้น้ำในการเพาะปลูกในลุ่มเจ้าพระยา 11,664.94 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการเพาะปลูกทั้งหมด 10.57 ล้านไร่ แบ่งเป็นการทำนาปี 8.1 ล้านไร่ เพาะปลูกพืชไร่พืชผัก 0.13 ล้านไร่ พืชอื่นๆ 2.34 ล้านไร่ และลุ่มน้ำแม่กลอง 4,768.89 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการเพาะปลูกทั้งหมด 2.42 ล้านไร่ แบ่งเป็น การทำนาปี 0.90 ล้านไร่  เพาะปลูกพืชไร่พืชผัก 0.22 ล้านไร่ และพืชอื่นๆ 1.30 ล้านไร่

และ กรมชลฯ แนะนำให้เพาะปลูกข้าวนาปีในเขตชลประทานเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน ประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ค. 63 และเมื่อมีปริมาณฝนตกอย่างสม่ำเสมอในพื้นที่ เพื่อให้มีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับการเติบโตของต้นข้าว การเพาะปลูกในฤดูฝนให้ใช้น้ำฝนเป็นหลัก ควรใช้น้ำชลประทานเสริมหากเกิดกรณีฝนทิ้งช่วงหรือปริมาณฝนตกน้อยกว่าการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา  โดยในภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด คาดว่าจะมีการทำนาปีประมาณ 5.13 ล้านไร่ รวมทุ่งบางระกำในที่ดอน

ส่วนภาคกลางและภาคตะวันตกจำนวน 16 จังหวัด คาดว่าจะมีการทำนาปีประมาณ 5.86 ล้านไร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจำนวน 20 จังหวัด คาดว่าจะมีการทำนาปีประมาณ 3.48 ล้านไร่ และภาคตะวันออกจำนวน 8 จังหวัด คาดว่าจะมีการทำนาปีประมาณ 1.34 ล้านไร่

ขณะที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีจำนวน 8 จังหวัด คาดว่าจะมีการทำนาปีประมาณ 0.96 ล้านไร่  ให้เริ่มปลูกข้าวได้ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 63 และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีจำนวน 6 จังหวัด คาดว่าจะมีการทำนาปีประมาณ 0.03 ล้านไร่ ได้มีการแนะนำให้ปลูกข้าวไปแล้วตั้งแต่ต้นเดือน ส.ค. 63

อย่างไรก็ตาม ลุ่มเจ้าพระยาปีนี้มีน้ำต้นทุนน้อยไม่เพียงพอส่งน้ำให้ 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่างครอบคลุมพื้นที่ 1.145 ล้านไร่ ประกอบด้วยทุ่งฝั่งตะวันออก มี 1. ทุ่งเชียงราก 2. ทุ่งท่าวุ้ง 3. ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก 4. ทุ่งบางกุ่ม 5. ทุ่งบางกุ้ง 6. โครงการชลประทานรังสิตใต้ ส่วนทุ่งฝั่งตะวันตก มี 7. ทุ่งบางบาน-บ้านแบน 8. ทุ่งป่าโมก 9. ทุ่งผักไห่ 10. ทุ่งเจ้าเจ็ด 11. โครงการฯโพธิ์พระยา  และ12. โครงการฯ พระยาบรรลือ 

“ปีนี้จึงจำเป็นต้องทำนาเหลื่อมเวลาเหมือนปี 2562 โดยการทำนาปีปีนี้ให้เริ่มทำนาเมื่อกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งจะมีฝนสม่ำเสมอ และมีน้ำในพื้นที่เพียงพอต่อการเตรียมแปลงปลูกข้าว เพื่อให้ใช้น้ำฝนในการทำนาปีเป็นหลัก แต่น้ำในเขื่อนของกรมชลประทาน จะเสริมกรณีฝนทิ้งช่วง และหากชาวนาทำตามคำแนะนำของกรมชลประทานและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อเกิดความเสียหายต่อข้าวในนา ทั้งจากฝนแล้งหรือน้ำท่วม ภาครัฐจะจ่ายค่าชดเชยให้ตามระเบียบของทางการต่อไป”

ส่วนโครงการบางระกำโมเดล ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมายในเขตชลประทาน ในจังหวัดพิษณุโลก และสุโขทัย 2.65 แสนไร่ เมื่อต้นเดือน มี.ค.เริ่มมีการประชาสัมพันธ์การเตรียมเพาะปลูกข้าวนาปี, 15 มี.ค. 63     เริ่มส่งน้ำเข้าระบบชลประทาน, 1 เม.ย.63 เริ่มเพาะปลูกข้าว, 31 ก.ค. 63 สิ้นสุดการส่งน้ำ, 1-15 ส.ค. 63 เป็นช่วงที่ต้องเก็บเกี่ยวหลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จ และระหว่าง 15 ส.ค. 63 -31 ต.ค. 63 เตรียมพื้นที่รองรับน้ำหลากปริมาณ 400 ล้าน ลบ.ม.

เงินทองต้องวางแผน!!

0

จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า2019 (โควิด-19) ทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบให้คนตกงานฉุกเฉิน.. ไม่ทันตั้งตัวจำนวนมาก!!

​ผลที่เกิดขึ้นตามมาคือ คนหาเช้ากินค่ำ มีรายได้วันต่อวัน แม้กระทั่งคนมีเงินเดือน แต่ไม่มีเงินเก็บเงินออมต้องเดือดร้อนถึงขั้น ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน  บางคนถึงขั้นไม่มีเงินซื้ออาหารประทังชีวิตในแต่ละวัน

ตอกย้ำให้เห็นถึงสุขภาพทางการเงินของคนไทย ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ คือ ไม่มีเงินเก็บ-เงินออมเพื่อสำรองไว้ใช้หรือแก้ปัญหาในยามฉุกเฉิน!!

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ที่ได้สำรวจพฤติกรรมการออมของประชาชนฐานรากทั่วประเทศ คือกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000  บาท  พบว่า อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ออมเงินไม่ได้ ส่วนใหญ่  82.7% ให้เหตุผลว่า ไม่มีเงินเหลือให้ออม ถัดมาคือมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน และมีภาระหนี้สิน 

เมื่อถามว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินต้องหยุดงานหรือไม่มีรายได้ มีเงินสำรองไว้ใช้แค่ไหนพบว่ามากกว่า  33.7% ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน!!   อีก 33.3% บอกว่ามีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 1เดือนและอีก 28.5% ระบุว่า มีเงินใช้จ่ายไม่เกิน 3 เดือนหมดจากนี้ก็หมดกันเลยชีวิต!!

ดังนั้นยามเมื่อวิกฤติโควิดมาเยือนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว คนส่วนใหญ่ของประเทศจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เพียงแต่ประชาชนฐานรากเท่านั้น คนชั้นกลางที่มีรายได้สูงกว่าก็เดือดร้อนหนักเช่นกัน

บทเรียนจากวิกฤติครั้งนี้  ทำให้พวกเราจำเป็นต้องลุกขึ้นมาปฎิวัติ ปรับมุมคิด วางแผนชีวิตการเงินกันใหม่ทั้งหมด  โดยเมื่อโควิด-19 คลี่คลายกลับมาทำงานมีรายได้ มีเงินเข้ามือ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ  “ออมก่อนใช้” ขอให้ท่องเป็น “คาถากันจน” กันไว้เลย!!

ข้อมูลจาก เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง “เงินทองต้องวางแผน” ที่รวบรวมเทคนิค แนวคิด ความรู้ข้อแนะนำและวิธีการ ในเรื่องการวางแผนการเงินการออม จากกูรูนักวางแผนการเงินไว้มากมาย ให้ข้อแนะนำว่า อาจเริ่มจากการออม 10-20% ของรายได้ก่อน โดยทันทีที่ได้เงินมา ให้กันเงินออมแยกบัญชีออกไปต่างหากเป็นอันดับแรก  และหากมีหนี้สินก็ต้องกันเงินไว้ใช้หนี้ด้วย

วางเป็นสมการได้อย่างนี้  รายได้-เงินออม-หักภาระหนี้(ถ้ามี) = เงินใช้จ่าย

และต้องวางแผนใช้จ่ายเงินให้ได้ทั้งเดือน เช่น มีรายจ่ายประจำที่ต้องจ่ายแน่ๆ ค่าน้ำ-ไฟ-โทรศัพท์-ค่าเช่าบ้านต้องกันไว้ก่อน  เงินที่เหลือหาร 30 วัน เพื่อให้รู้ว่า ภายในเดือนนี้จะมีเงินใช้จ่ายค่าอาหาร3 มื้อ ค่าเดินทางและค่าอื่นๆ เฉลี่ยวันละกี่บาท

หากวันไหนใช้จ่ายเกิน วันรุ่งขึ้นก็ต้องใช้น้อยลง หรือหากวันไหนใช้จ่ายน้อยกว่าที่คำนวนไว้ ก็ให้กันเงินที่เหลือใส่กระปุก  เก็บไว้เป็นเงินออมเพิ่ม

ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแอปทำบัญชีรายรับรายจ่าย ชื่อว่า SET Happy Money จดอย่างมีวินัย แล้วกลับมาวางแผนปรับลดค่าใช้จ่ายและจัดการหนี้สิน ก็มีเงินออมไปต่อยอดสร้างสุขทางการเงินในปัจจุบันและอนาคตได้ไม่ยาก

คาถาอีกบท จำไว้ให้ขึ้นใจ “ออมก่อน…รวยกว่า..ออมเร็ว..รวยเร็ว..ออมมาก..รวยมาก” ถ้าเริ่มทำได้เร็ว  ความมั่งคั่งก็จะมาหาเราเร็วขึ้น ที่สำคัญต้องลืมและเลิกไปเลยกับพฤติกรรมเดิมๆ ที่ “ใช้ก่อน..เหลือเท่าไหร่..ค่อยออม”

ในบทความครั้งหน้า จะเล่าให้ฟังว่าจะแบ่งและจัดสรรเงินออมไว้เพื่อเป้าหมายอะไรกันบ้าง   

                                                   ​​​​คุณนายพารวย

เปิดตัวชุด PPE แบบใช้ซ้ำ ซักได้ 20 ครั้ง รุ่น “เราสู้” ฝีมือคนไทย ช่วยประหยัดงบกว่าหมื่นล้าน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันนี้ (8 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวง ได้เปิดตัวชุด PPE แบบใช้ซ้ำได้(Reuse) เป็นการพัฒนาร่วมกันของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ องค์การเภสัชกรรม และสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ

รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า ชุด PPE แบบรียูสได้ ถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญมากกับบุคลากรทางการแพทย์ และคนทำงานฝ่ายปฏิบัติงานด่านหน้า ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงแรกของการรับมือกับโควิด-19 ต้องยอมรับว่าชุด PPE เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่หายากมาก ผู้บริหารต้องคิดกันแบบวันต่อวันว่าจะหาจากตรงไหน ไปสนับสนุนทีมแพทย์พยาบาล เป็นความกดดันที่ต้องสู้ ถอยไม่ได้ ในที่สุด ก็ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติมาได้

มีรายงานว่า กว่าไวรัสโควิด-19 จะหยุดระบาด มีความต้องการใช้ชุด PPE ถึง 20 ล้านชุด หากชุดนี้ มีราคา 500 บาทต่อชุด เราต้องนำเข้าชุดนี้จากต่างประเทศ ใช้เงินถึง 1 หมื่นล้านบาท เป็นเงิน 1 หมื่นล้านบาทที่ต้องเอาไปให้ต่างชาติ แต่เมื่อเราผลิตเองได้ เราจะประหยัดเงินจำนวนนี้ เป็นเงินมากพอที่นำไปใช้ในการสร้างโรงงานวัคซีนได้เลย ซึ่งเรื่องการผลิตวัคซีน เราก็ผลักดันอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

สถานการณ์วันนี้ ดีกว่าเดิมมาก เพราะทางกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาล มีเป้าหมายร่วมกัน ต้องทำให้คนไทยปลอดภัยจากโรค ขณะที่ประชาชน ถือเป็นส่วนสำคัญมากๆ การที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการของรัฐอย่างเคร่งครัด ทำให้เราสู้กับโรคได้ดี จากที่มีผู้ป่วยต้องใช้เตียงพร้อมกันถึง 1.6 พันคน วันนี้ มีผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลประมาณ 150 เตียง ต้องขอบคุณการบริหารจัดการของทุกฝ่าย รวมถึงระบบฮอสพิเทล ที่ช่วยลดภาระโรงพยาบาล ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ทำให้ไทยกำลังก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านการสาธารณสุขของโลก ซึ่งน่ายินดีมาก

รายงานข่าว เปิดเผยว่า ชุด PPE (Isolation Gown) แบบรียูส สามารถใช้ซ้ำได้ 20 ครั้ง สามารถทดแทนชุดแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้กว่า 800,000 ชุด ทั้งนี้ สามารถทดแทนการนำเข้าได้ในอนาคต ล็อตแรกผลิตแล้วเสร็จ 44,000 ชุด กระจายให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ

กระทรวงศึกษา กางตารางเปิด/ปิดเรียน ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีปิดเทอมให้ได้พักรวม 54 วัน

0

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว ความคืบหน้าแนวทางการเปิด-ปิดภาคเรียนในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยระบุว่า ต่อเนื่องจากแถลงการณ์ในครั้งที่ 2 ในประเด็นเรื่องการเพิ่มเวลาพัก ครั้งนี้มีการขยายผลเพิ่มเติมที่นำมาอัปเดต โดยแบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 เทอม แต่ละเทอมมีวันปิดพักเรียน

ถึงแม้เราจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ แต่ก็ให้ความสำคัญกับการที่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษา ได้มีเวลาพักเพื่อผ่อนคลายได้ไม่มากก็น้อยท่ามกลางความท้าทายของการจัดการเรียนการสอนในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นนั้น ขอให้ทุกท่านสนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อที่จะผ่านทุกอุปสรรค เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับการศึกษาไทย

สำหรับรูปแบบการเปิด-ปิดเทอม มีรายละเอียดดังนี้

ภาคเรียนที่ 1 ระยะเวลาเปิดภาคเรียนตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 – 13 พฤศจิกายน 2563 จำนวนวันเรียน 93 วัน จำนวนวันปิดภาคเรียน 17 วัน ( 14 – 30 พ.ย.)

ภาคเรียนที่ 2 ระยเวลาเปิดภาคเรียน 1 ธันวาคม 2563 – 9 เมษายน 2564 จำนวนวันเรียน 88 วัน จำนวนวันปิดภาคเรียน 37 วัน (10 เม.ย. – 16 พ.ค.)

หมายเหตุ : เวลาที่ขาดไป 12 วัน ให้สถานศึกษาสอนชดเชยเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนครบตามหลักสูตร

AIS สานต่อภารกิจ 5G ลงพื้นที่สนับสนุน รพ.สนาม ภาคใต้ สู้โควิด-19

0

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ยังต้องควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดซ้ำรอบสอง ทั้งนี้ พื้นที่ภาคใต้ เป็นอีกพื้นที่เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น ทั้งจากการเดินทางเข้า – ออก ผ่านพื้นที่ชายแดนภาคใต้ หรือการเดินทางข้ามเขตจังหวัดของประชาชน รวมถึงจำนวนผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษา เอไอเอส ภายใต้ภารกิจ AIS 5G สู้ภัย COVID-19 จึงยังคงทุ่มเท ระดมสรรพกำลัง ความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารและเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง พร้อม Digital Solutions เพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมแพทย์และพยาบาล ที่โรงพยาบาลสนาม ในภาคใต้ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบด้วย

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส

1. จับมือ สถาบันวิจัยและนวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สนับสนุนเทคโนโลยี Digital เสริมขีดความสามารถให้กับหุ่นยนต์ ADA Robot ซึ่งเป็นหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ โดยหุ่นยนต์ทำเป็น 2 รุ่น รุ่นที่ 1 ทำหน้าที่ส่งยา อาหาร และเวชภัณฑ์ต่างๆ รวมถึง พูดคุยสื่อสารระหว่างผู้ป่วยและหมอผ่านระบบวิดีโอคอลล์ และรุ่นที่ 2 เพิ่มกล้องตรวจวัดอุณหภูมิ เพื่อประเมินการรักษาเบื้องต้น ซึ่งหุ่นยนต์จะถูกนำไปใช้งานที่โรงพยาบาลต่างๆ ในภาคใต้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ ลดเสี่ยงให้กับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์

2. สนับสนุนอุปกรณ์สื่อสาร พร้อมติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และขยายสัญญาณเครือข่ายเพื่อรองรับการใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า ภายในศาลากลางหลังใหม่ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งถูกจัดให้เป็นโรงพยาบาลสนามแห่งแรกของภาคใต้ ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของทีมแพทย์ พยาบาล

3. สนับสนุนอุปกรณ์สื่อสาร เสริมการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ภายในโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อดูแลรักษาผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่ภาคใต้ อาทิ รพ.สุราษฎร์ธานี, รพ.สุไหงโกลก, รพ.ปัตตานี, รพ.หาดใหญ่, รพ.ยะลา, รพ.สงขลานครินทร์, รพ.สงขลานครินทร์ 2 (รพ.สนาม), รพ.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต (รพ. สนาม)