Home Blog Page 458

9 ข้อพึงระวังสำหรับการขับรถช่วงหน้าฝน

0

ช่วงฝนตกแบบนี้ สิ่งที่ต้องห่วงมากที่สุดคือ ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีข้อควรระวังในการขับรถมาฝาก

1. ตรวจสอบความพร้อมของรถ
ระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ สภาพของยางปัดน้ำฝน ระดับน้ำฉีดกระจก ระบบเบรก สภาพยาง ดอกยาง แรงดันลมยาง (ลมยางที่อ่อนเกินไป และดอกยางที่น้อยเกินไป จะทำให้ยางรีดน้ำได้น้อยลง และรถลื่นไถลได้ง่าย)

2. เปิดไฟหน้ารถให้เรียบร้อย
ให้เปิดไฟหน้ารถ ไฟตัดหมอก (ถ้ามี) เมื่อฝนตกหนัก จะทำให้ผู้ร่วมทางคนอื่น ๆ สามารถที่จะสังเกตเห็นรถเราได้ง่ายขึ้น

3. ระวังความลื่นของถนนช่วงฝนตกใหม่ ๆ
ช่วง 5 นาทีแรกที่ฝนตกใหม่ ๆ จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะถนนจะลื่นมากจากคราบดินคราบฝุ่นที่พึ่งโดนน้ำ ทำให้กลายเป็นโคลนซึ่งจะลื่นมาก

4. ลดความเร็ว ขับในระดับที่เหมาะสม
ใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับทัศนวิสัยการมองเห็น และให้เว้นระยะจากรถคันหน้าให้มากกว่าเดิม 2 เท่า เพราะถนนที่ลื่นทำให้การเบรกต้องใช้ระยะที่มากขึ้น รวมถึงการขับรถเร็วสูงก็ทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น และหากเจอแอ่งน้ำก็อาจจะทำให้รถเหินน้ำจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้

5. ไม่ควรเบรกกะทันหัน
หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน และเบรกโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้รถเสียการทรงตัวจนไม่สามารถควบคุมรถได้

6. สังเกตหลุมหรือแอ่งน้ำบนถนนเสมอ
จุดที่มีน้ำขังบนถนน หรือแอ่งน้ำข้าง ๆ เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง หากขับมาด้วยความเร็วสูงรถจะเกิดการเหินน้ำ จนไม่สามารถควบคุมรถได้

7. บริเวณน้ำท่วมขัง ไม่มั่นใจความลึกให้หลีกเลี่ยง
การขับขี่บริเวณที่น้ำท่วมขังให้สังเกตระดับความลึกจากรถคันหน้าหรือขอบฟุตบาทข้างทาง เพื่อประเมินสถานการณ์

8. ปิดแอร์ขณะขับลุยน้ำ และใช้เกียร์ต่ำ
ขณะขับรถลุยบริเวณที่น้ำท่วมขังให้ปิดระบบปรับอากาศ และใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ L หรือเกียร์ 1) เพื่อไม่ให้รอบเครื่องยนต์ต่ำเกินไปและน้ำอาจจะย้อนเข้าเครื่องยนต์ทางท่อไอเสียได้

9.หลังขับลุยน้ำ ย้ำเบรกบ่อย ๆ รีดผ้าเบรกให้แห้ง
เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่น้ำท่วมขังมาแล้ว ให้ย้ำเบรกบ่อย ๆ เพื่อรีดให้ผ้าเบรกแห้ง ป้องกันการเบรกแล้วลื่น และหากต้องจอดรถเป็นเวลานาน ๆ ด้วย ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรกมือด้วยเพื่อป้องกันอาการเบรกติด

ที่มา บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR

AIS แนะวิธีป้องกันสแปมรบกวนใน IMessage

0

จากกรณีที่ช่วงนี้ มีกระแสผู้ใช้งาน iPhone ในหลายประเทศ ได้รับข้อความสแปมใน iMessage โดยไม่รู้สาเหตุ และเกิดความกังวลถึงความปลอดภัย

ในประเทศไทย มีผู้ใช้มือถือหลายเครือข่าย พบปัญหาเช่นกัน เอไอเอส เข้าใจถึงความกังวลดังกล่าว และเร่งหาสาเหตุของปัญหาเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้งาน โดย AIS ขอย้ำในเบื้องต้นว่า ข้อความสแปมเหล่านั้นไม่ได้ถูกส่งจากเอไอเอส ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสามารถป้องกันข้อความสแปมดังกล่าว ได้ 2 วิธี ดังนี้

1. บล็อกผู้ส่งข้อความ (Block Sender)

โดยเข้าไปที่เมนูข้อความ → เปิดการสนทนา → แตะผู้ติดต่อที่ด้านบนของการสนทนา → แตะ i → แตะชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ หรือ ที่อยู่อีเมล เลื่อนไปที่ด้านล่างสุดของหน้าจอ แล้วแตะปิดกั้น

2. ปิดการใช้งาน iMessage

โดยเข้าไปที่เมนูตั้งค่า → เลือกข้อความ → เลื่อนแถบปิดที่เมนู iMessage

ทั้งนี้ แนะนำให้กดรายงาน (Report) iMessage ที่มีลักษณะเข้าข่ายสแปมหรือข้อความขยะ หากได้รับจากบุคคลที่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในแอปฯ รายชื่อ โดยเมื่อเข้าไปที่เมนูข้อความ → เปิดการสนทนา → จะเห็นลิงก์ “แจ้งว่าเป็นขยะ” ภายใต้ข้อความ → แตะแจ้งว่าเป็นขยะ → แตะลบและแจ้งว่าเป็นขยะ จากนั้นแอพข้อความจะส่งต่อข้อมูลและข้อความของผู้ส่งไปยัง Apple และลบข้อความออกจากอุปกรณ์ของท่าน

เอไอเอสขอยืนยันว่า บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยได้ปฏิบัติตามและทบทวนขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานระดับสากลอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ลูกค้าและประชาชนโปรดมั่นใจและเชื่อมั่นในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่บริษัทดำเนินการมาโดยตลอด

ยกเครื่องประเทศไทย

0

บทความ โดย บรรยง พงษ์พานิช

จุดตายของรัฐวิสาหกิจไทย

รัฐวิสาหกิจไทยมีปัญหามากมาย ที่มีกำไร ก็ล้วนมาจากการผูกขาด (Monopoly) หรือมีส่วนจากการผูกขาด ไม่ก็มีคู่แข่งน้อยราย (Oligopoly) แต่รายไหนที่ต้องแข่งกับเอกชน มีแต่ขาดทุนยับเยิน เช่น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารที่เคยผูกขาด เคยทำกำไรได้สบายๆ แต่ประชาชนต้องใช้บริการที่ราคาแพง คุณภาพต่ำเตี้ยเมื่อเทียบกับนานาประเทศ แถมอัตคัตขาดแคลน ประชาชนคิดจะมีโทรศัพท์สักเครื่องต้องรอเป็นหลายปี จ่ายใต้โต๊ะวุ่นวาย แม้ต่อมาถึงยุคแบ่งสัมปทานไปให้เอกชนเข้ามาให้บริการด้วย (ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการเอา ‘อำนาจผูกขาด’ ไปทะยอยแบ่งให้เช่าแก่เอกชน) ตัวเองที่ลงแข่งกับเอกชนผู้รับสัมปทานด้วยก็ขาดทุนมากมาย ในขณะที่เอกชนกำไรมหาศาลรวยเอารวยเอา

หรือจะยกตัวอย่างกิจการด้านการขนส่ง ไม่ว่ารถไฟ รถเมล์ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หรือบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ที่ผิวเผินดูเหมือนเป็นธุรกิจผูกขาด แต่แท้จริงต้องแข่งกับทางเลือกอื่นๆ เช่น รถไฟต้องแข่งกับสายการบินต้นทุนต่ำ (low-cost carriers) รถทัวร์ และรถบรรทุก รถเมล์ต้องแข่งกับรถร่วม รถแท็กซี่ ไปจนถึงวินมอเตอร์ไซด์ ผลปรากฏก็เลยล้วนขาดทุนบักโกรกเป็นหลักหมื่นล้านแสนล้านกันทั้งนั้น

อย่าง ‘การบินไทย’ รักคุณเท่าฟ้าก็เหมือนกัน เคยเป็นสายการบินชั้นนำของโลก มีกำไรต่อเนื่องมาช้านาน แต่พอถูกเปิดน่านฟ้าเสรี เปิดให้มีการแข่งขัน ซึ่งประชาชนอิ่มเอม ค่าเดินทางลดต่ำลง จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มพรวดจาก 10 ล้านคนเป็น 40 ล้านคน ชาวบ้านตาสีตาสามีทางเลือกเดินทางมากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง ไฉน ‘ป้าม่วง’ ที่เคยยิ่งยงกลับกลายเป็นร่อแร่ ขาดทุนแทบทุกปีจนใกล้จะล้มละลาย

หลายคนชี้นิ้วไปที่นักการเมือง โดยเฉพาะการส่งกรรมการที่ ‘ไม่เก่ง’ (ไม่มีทักษะ) ‘ไม่ดี’ (โกง) ‘ไม่เกี่ยว’(ไม่มีประสบการณ์) มาบริหาร ทำให้รัฐวิสาหกิจร่อแร่

แต่มันเป็นแค่นั้นจริงหรือ…

ยกตัวอย่างการบินไทยที่กำลังโด่งดัง ถ้าไปดูรายชื่อกรรมการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นคนดี-คนเก่งจำนวนมากมาย เช่น นักวิชาการชั้นนำอย่างศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือข้าราชการชั้นยอดอย่าง ดร.เสนาะ อูนากูล ดร.พิสิฐ ภัคเกษม ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คุณบัณฑิต บุณยะปาณะ ดร.อำพน กิตติอำพน ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ หรือนักธุรกิจนักการเงินระดับเหยียบเมฆ เช่น ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย คุณชาติศิริ โสภณพณิช ฯลฯ

ท่านเหล่านี้ล้วนได้รับการยอมรับในความเก่ง ความดี ความซื่อสัตย์ มีความสามารถครอบคลุมทุกๆ ด้านอย่างยากที่จะหาคณะใดในประเทศมาเทียบ แต่ถามว่าทำไมการบินไทยยังมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ ขาดทุนต่อเนื่องยาวนานยิ่งกว่าสายการบินระดับเดียวกันทั่วโลก สรุปได้ว่าปัญหากรรมการ ‘ไม่เก่ง-ไม่ดี-ไม่เกี่ยว’ ไม่น่าจะใช่สาเหตุหลัก หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่สาเหตุเดียว

เมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่มีรัฐประหารใหม่ๆ รัฐบาลคสช. ได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่เรียกกันเท่ๆ ว่า ‘ซูเปอร์บอร์ด’ และประกาศจะปฏิรูปขนานใหญ่ เริ่มตั้งแต่การศึกษาวิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน ปรึกษาผู้รู้ทั่วโลก เช่น World Bank OECD ADB จนได้ข้อสรุปว่าจะต้อง ‘ยกเครื่อง’ ระบบบรรษัทภิบาล (Governance)ที่ ใช้บริหารรัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่ง โดยคนร. ได้ทำข้อเสนอชัดเจน เป็นรูปธรรมออกมาเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติทั้งจากคนร. ครม. ผ่านการกลั่นกรองจากกฤษฎีกา และส่งเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ตั้งแต่ปี 2559

หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของแผนปฏิรูปตามร่างกฎหมายนี้ ก็คือการจัดตั้ง ‘บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ’ ที่เรียกกันว่า Super Holding Company ขึ้นมาทำหน้าที่เป็น ‘องค์กรเจ้าของ’ คอยกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ 13 แห่ง โดยมุ่งเน้นให้มีการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ปริมาณเพียงพอ ต้นทุนต่ำ โปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่มีการรั่วไหล และรักษากิจการให้ทวีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ สมกับที่เป็นสมบัติชาติ โดยแนวทางและหลักการของบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาตินี้ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และมีข้อพิสูจน์เรื่องประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมาแล้วหลายๆ แห่งของโลก เช่น Temasek ของสิงคโปร์ Khazanah Nasional ของมาเลย์เซีย SCIC (The State Capital Investment Corporation) ของเวียตนาม หรือ SASAC (The State-owned Assets Supervision and Administration Commission of the State Council ) ของจีน

น่าเสียดาย ที่พอส่งร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่สภาคนดี เหล่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสนช. ดูจะไม่เห็นด้วยที่จะมีการริดรอนอำนาจการบริหารจัดการที่เดิมอยู่ในมือของนักการเมืองและเหล่าข้าราชการลงไป ประกอบกับมีการประกาศต่อต้านจากกลุ่มเอ็นจีโอขาประจำที่อ้างความรักชาติ-สมบัติชาติเป็นเหตุผลไม้ตายเสมอมา ร่างกฎหมายก็เลยถูกตัดทอนสาระสำคัญออกไปเกือบทั้งหมด พอร่างกฎหมายนี้ผ่านเป็นพรบ.ออกมา ก็เลยกลายเป็นว่าแทบไม่มีการปฏิรูปใดๆ การควบคุมการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจทั้งหลายยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมืองและข้าราชการประจำดังเดิม

การปฏิรูปใหญ่ที่คสช. เคยประกาศประโคมว่าเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ที่เพิ่มประสิทธิภาพและลดการรั่วไหลในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ 56 แห่งที่ถือครองทรัพย์สินของประเทศอยู่กว่า 16 ล้านล้านบาท สุดท้ายก็เลยเป็นแค่ ‘ปะ-ติ-ลูบ’เหมือนการปฏิรูปอื่นๆ ในประเทศนี้ ที่พอไปแตะต้องกลุ่มอำนาจผลประโยชน์เดิมก็ล้วนแต่ดำเนินต่อไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนผลจะออกมาน่าผิดหวัง ย้อนไปในช่วงปี 2559ซึ่งทางผู้มีอำนาจยังแสดงเจตจำนงที่จะผลักดันให้การปฏิรูปให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง ผมและท่านอื่นๆที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมาย (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามท่านเหล่านั้น เพราะในวันนี้ไม่แน่ใจว่าท่านต้องการให้เอ่ยถึงหรือไม่) ได้ตระหนักถึงโอกาสที่จะเกิดกระแสต่อต้านตั้งแต่แรก จึงพยายามที่จะเดินสายชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประโยชน์ของการปฏิรูปนี้ให้แก่สื่อมวลชน สถาบันวิชาการ และแม้แต่พรรคการเมืองหลักทั้งสองฝ่าย ซึ่งปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

น่าเสียดายพอเอาเข้าจริงเมื่อถึงเวลาแตกหักของการผลักดันระยะสุดท้าย ผู้นำที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Will) ที่แข็งแรง และไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพียงพอเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะทำ พอถูกทักโน่นทักนี่ก็เลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำเรื่องยากเอาง่ายๆ ทำแต่สิ่งเล็กน้อยเป็นเพียงลูบหน้าปะจมูกไป

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ในช่วงเวลาของการเดินสายนั้นเอง ผมได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ มีหน้าที่เตรียมการด้านต่างๆ ในการจัดตั้งองค์กร เช่น การทาบทามกรรมการและบุคลากรหลักเพื่อที่จะมาเริ่มบริหารองค์กรได้ในทันทีที่ผ่านกฎหมายออกมาได้สำเร็จ รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในแนวคิดการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยได้ไปขอความร่วมมือจากโปรดิวเซอร์และผู้กำกับระดับมือรางวัลที่ชำนาญการสื่อสารเรื่องยากให้เข้าใจง่าย มาจัดทำคลิปเพื่อเผยแพร่โดยเขากรุณาไม่คิดค่าตัว คิดแต่เพียงค่าใช้จ่ายต้นทุนในการจัดทำ

เชื่อไหมครับ คลิปหนังดูสนุกเข้าใจง่าย ที่ทำแล้วเสร็จพร้อมที่จะใช้ประชาสัมพันธ์ทั้งในสื่อหลัก และโซเชียลมีเดียนี้ ได้มีโอกาสฉายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือในการประชุมคนร. เพราะพอฉายเสร็จ ท่านผู้นำหัวโต๊ะซึ่งวันนั้นบังเอิญอารมณ์บ่จอย ไม่รู้หงุดหงิดอะไรมา ตบโต๊ะประกาศเลยว่า “ไม่เอาๆ ไม่ได้เรื่องเลย ทำไมไปตำหนิคนเขาเยอะแยะ เนื้อหาไม่สร้างสรรค์อะไรเลย โยนทิ้งไปเลย เดี๋ยวผมคิดผมเขียนให้ใหม่เองก็ได้ เอาแบบให้มันสร้างสรรค์ๆ” ซึ่งท่านคงกำลังนึกถึงเพลงของท่าน แล้วพอท่านว่าดังนั้นก็มีพลเอกท่านหนึ่งในที่ประชุมเสริมขึ้นมาเลย “ใช่ๆ ที่พวกคุณทำมานี่ ผิดพระราชบัญญัติธงชาติไทยด้วย รู้หรือเปล่า” “ผิดพระราชบัญญัติการจราจรด้วยรู้ไหม” พลเอกอีกท่านเสริมต่อ

นี่แหละครับประวัติน่าเวทนาของคลิปประชาสัมพันธ์ที่ไม่ได้เคยถูกฉายอีกเลย และสุดท้ายท่านผู้นำสุดครีเอทีฟก็ไม่เคยคิดการประชาสัมพันธ์อะไรออกมา ซึ่งก็ดีไปอย่าง เพราะการปฏิรูปที่จบลงว่า “เราจะทำเหมือนเดิม” ย่อมไม่ต้องการการชี้แจงประชาสัมพันธ์ใดๆ

ในวันนี้ วันที่การบินไทยทำให้ทุกคนหันกลับมาสนใจการทำให้รัฐวิสาหกิจของเราแข่งขันได้ และรุ่งเรืองอีกครั้ง ผมในฐานะส่วนหนึ่งของคณะทำงานที่เคยทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้เกิดการปฏิรูป และในฐานะประชาชนไทยที่ยังหวังว่าจะมีการปฏิรูปการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจอย่าง ‘แท้จริง’ ในวันหนึ่งข้างหน้า และในฐานะที่เป็นเจ้าของคลิปนี้ เพราะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการจัดทำ โดยไม่เคยไปเบิกเลยแม้แต่บาทเดียว จึงขอถือโอกาสนี้เอาคลิปเก่านี้มาเผยแพร่ เพื่อปลูกฝังความเข้าใจให้ท่านที่สนใจพอทราบหลักว่ารัฐวิสาหกิจที่ดีๆ นั้นเขาบริหารจัดการกันอย่างไร

.

คุณนายพารวย : ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้!!

0

          2 สัปดาห์ที่แล้ว เราพูดถึงเส้นทางหลีกหนีจากความจน ด้วยคาถา “ออมก่อนใช้ ”  และ “จดแก้จน” ที่ให้พวกเรากลับมาหัดจดรายรับ-รายจ่าย ที่เกิดขึ้นทุกวัน

          เพื่อให้รู้นิสัยหรือพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง เห็นว่ามี “รูรั่ว” มีการใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็น เพื่อกลับมาทบทวนและ “อุดรูรั่ว” ได้อย่างถูกจุด!! 

          หลายคนบอกว่า จะให้ออมได้ยังไง รายได้ทุกวันนี้ยังไม่พอกินพอใช้เลย..!!

          อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ.. เชื่อมั้ยว่า “คุณนายพารวย” เคยสัมภาษณ์พนักงานเงินเดือนคนนึง ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว เงินเดือนหมื่นกว่า แต่เป็นหนี้เกือบครึ่งล้าน ทั้งหนี้บัตรเครดิต หนี้นอกระบบ หนี้ที่หยิบยืมเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง โดนเจ้าหนี้รุมเร้าทวงหนี้จนถึงขั้นหนีตายเพื่อหนีชีวิตหนี้!!   

          แต่ดวงยังไม่ถึงฆาต และโชคดีมีเจ้านายดี  ที่รับรู้ปัญหาและนำพาให้เขาเข้าโครงการ  Happy Money Happy Retirement ที่บริษัทได้เข้าร่วมโครงการนี้กับตลาดหลักทรัพย์

          ที่มีเป้าหมายช่วยแก้ปัญหาลูกจ้างรายวัน มนุษย์รายได้เดือนชนเดือน ให้มีโอกาสเข้าถึงความรู้และเครื่องมือ ในการบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล เพื่อให้มีหนทางในการปลดแอกจากชีวิตหนี้  มีเงินเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และมีเงินลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่ง ให้ตัวเองและครอบครัวในยามชรา โดยมีเทรนเนอร์เข้าไปให้คำแนะนำ และช่วยวางแผนปลดหนี้ให้

          ซึ่งการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย หรือ “จดแก้จน” นี้ ทำให้พบข้อมูลที่น่าตกใจว่า  รายจ่ายของคนหาเช้ากินค่ำ มักมีค่าใช้จ่าย ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และตัดทิ้งได้ทันที เช่น เงินค่าซื้อหวย(ทั้งหวยบนดินและใต้ดิน) ค่าเหล้าเบียร์-บุหรี่-เครื่องดื่มชูกำลัง คนที่มีรายได้ขยับขึ้นมาอีกหน่อย รายจ่ายฟุ่มเฟือยที่เพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ก็คือ เสื้อผ้า-กระเป๋า-รองเท้า ที่มีเต็มตู้แล้วก็ยังซื้อแล้วซื้ออีก

          เช่นเดียวกับคุณพี่มนุษย์เงินเดือนท่านนี้ เมื่อต้องลงมือจดรายรับรายจ่ายก็พบว่า ต้นตอของปัญหา ที่นำพามาสู่ “ชีวิตลูกหนี้” คือซื้อหวยทุกงวด แถมชอบเล่นพนันบอล สุดสัปดาห์ต้องคลายเครียดกินเบียร์กับเพื่อนร่วมงาน!!

          เมื่อพบรูรั่ว และต้องตัดใจ ลด-ละ-เลิก ต้นเหตุแห่งความจนได้แล้ว จึงมีเงินทยอยปลดหนี้ โดยเริ่มจากภาระหนี้ที่หนักหนาที่สุดก่อนคือ หนี้นอกระบบดอกเบี้ยแสนโหดร้อยละ10-20% ต่อเดือน ตามด้วยหนี้บัตรเครดิต แต่ยังไม่เพียงพอที่จะปลดหนี้ให้ได้ทันใจ ขณะที่รายจ่ายที่มีล้วนจำเป็น ปรับลดไม่ได้แล้ว

          ทางออกก็คือต้องเพิ่มฝั่งรายรับ เขาจึงเริ่มมองหารายได้พิเศษ เขากลับมาหาของใช้ในบ้านที่ซื้อไว้แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หรือมีเกินจำเป็น แล้วนำออกมาขายแปลงเพื่อเป็นเงินสด!!

           หลังจากนั้นในทุกวันหยุด เขากลายเป็นพ่อค้ามือสองที่นำของจากเพื่อนร่วมงานมาขายที่ตลาดนัด  และมองหาสินค้าจากแหล่งอื่นๆมาขายร่วมด้วย

          สุดท้ายสามารถปลดหนี้ได้ และเริ่มมีเงินออมก้อนแรกในชีวิต โดยเริ่มจากกันเงินออมเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินให้ได้ 6เดือนของรายจ่ายแต่ละเดือน  และออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่ม จากอดีตไม่ได้ให้ความสำคัญ จึงออมแค่2%ของเงินเดือน เพิ่มเป็น 5 และ 10% โดยตั้งเป้าออมเต็มแม็กที่ 15%

          ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ แต่ไม่ยากถ้ามีความมุ่งมั่นตั้งใจ ท่องไว้ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้ ช่วงนี้ค้าขายออนไลน์กำลังรุ่งเรือง ลองดูลู่ทาง ว่าเราจะโดดไปหยิบจับเงินที่กำลังสะพัดในตลาดนี้ได้อย่างไร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเงินในกระเป๋า ลุยลุยลุย!!!

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออม รู้ใช้รู้ลงทุน…สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ                           

AIS ยกขบวนแพ็กเกจสุดคุ้มเพื่อการเรียน ช่วยลดภาระผู้ปกครอง ส่งเสริมการศึกษาที่บ้าน

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอส ในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัล เล็งเห็นความสำคัญด้านการศึกษามาโดยตลอด นับจากช่วงต้นๆ ของวิกฤต COVID-19 จนถึงช่วงที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การฟื้นฟูอย่างค่อยเป็นค่อยไปในหลายๆ ด้าน โดยเอไอเอส มุ่งพัฒนาโซลูชันที่พร้อมตอบโจทย์การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้สามารถเข้าถึงได้หลากหลายช่องทาง ราคาคุ้มค่า และใช้งานได้จริงครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง และตอบรับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ในโลกการศึกษาของเด็กไทยที่เชื่อว่าโลกการศึกษาทั้ง Offline และ Online จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแน่นอน

ปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส

โดยเอไอเอส มุ่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กไทยช่วงก่อนเปิดเทอมอย่างเต็มที่ จัดต่อเนื่องด้วยแพ็กเกจสุดคุ้มเพื่อการศึกษา “LEARNING FROM HOME” ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและดิจิทัลแพลตฟอร์มวิดีโอที่สามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มาพร้อมคอนเทนต์มากมายที่ช่วยยกระดับความรู้ทางวิชาการตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการ และเปิดโลกทัศน์เติมเต็มจินตนาการอย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งช่องเพื่อการศึกษา DLTV, VEC TV และ ETV ครบทั้ง 17 ช่อง พร้อมรับชมคอนเทนต์จากทั่วทุกมุมโลกผ่าน YouTube และแพ็กเกจเสริมคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ ตอบโจทย์ทุกครอบครัวบนอุปกรณ์หลากหลาย ทั้งสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ PC, โน้ตบุ๊ค และโทรทัศน์ ผ่านแพลตฟอร์ม AIS PLAY พร้อมแพ็กเกจมือถือ เน็ตบ้าน และสมาร์ทโฟนราคาสุดคุ้มที่คัดสรรมาให้พร้อมสรรพแล้ว ประกอบด้วย

  1. แพ็กเกจเสริมบนมือถือ สำหรับลูกค้ามือถือเอไอเอส ทั้งระบบเติมเงินและรายเดือน รับชมช่องเพื่อการศึกษา DLTV, VEC TV และ ETV ครบทั้ง 17 ช่อง บนแอป AIS PLAY เริ่มต้นพียง 59 บาท ใช้งานได้ไม่จำกัด นาน 30 วัน และแพ็กเกจสุดคุ้ม รับชม AIS PLAY และการค้นหาความรู้ด้านการศึกษาผ่าน YouTube ได้ไม่จำกัด เหมาจ่ายเพียง 99 บาท ใช้งานรายเดือนต่อเนื่อง 30 วัน
  2. แพ็กเกจรายเดือน U-ZEED สำหรับนักเรียน นักศึกษา สามารถรับชมช่องเพื่อการศึกษา DLTV, VEC TV และ ETV ครบทั้ง 17 ช่อง ผ่านแอป   AIS PLAY ฟรีไม่เสียค่าเน็ต โดยแพ็กเกจเริ่มต้นที่ 20GB 250 บาท ใช้เน็ตได้เต็มสปีดจุใจ อยู่บ้านก็เรียนรู้ได้เต็มที่
  3. แพ็กเกจเน็ตบ้านคุณภาพ AIS Fibre ราคาประหยัด เพียงเดือนละ 399 บาท ด้วยความเร็ว 100/100 Mbps และสามารถปรับความเร็วอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเองได้สูงถึง 200/50 Mbps

มาพร้อมกล่อง AIS PLAYBOX รับชมดิจิทัลแพลตฟอร์ม ช่องเพื่อการศึกษา DLTV, VEC TV และ ETV ครบทั้ง 17 ช่อง และเสริมวิตามินความรู้กับหมวดการศึกษาและสารคดี ในรูปแบบของวิดีโอออนดีมานด์ คลิปวิดีโอการเรียนการสอนแบบสนุก เข้าใจง่าย เลือกดูเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ พร้อมเสริมการเรียนรู้เพิ่มเติมได้ง่ายๆ กับ YouTube บนกล่อง AIS PLAYBOX ที่เมนูเบราว์เซอร์ได้เลย 

  • สำหรับผู้ปกครองที่กำลังมองหา เครื่องสมาร์ทโฟนพร้อมเน็ตไม่อั้น ราคาประหยัด เพื่อให้เด็กๆ ใช้เรียนออนไลน์ที่บ้านได้ทันที เอไอเอสได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำอย่าง Huawei, OPPO และ VIVO จัดแคมเปญหนุนเรียนออนไลน์เด็กไทย ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ เครื่องพร้อมซิมเบอร์ใหม่และแพ็กเกจสุดคุ้ม เรียนออนไลน์ฟรี 3 เดือนเต็ม ราคาประหยัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา ช่วยควบคุมค่าใช้จ่าย ไม่ต้องกังวลว่าค่าเน็ตจะเกิน ได้แก่ 
  • AIS Super Smart Plus Gen 2 ราคาพิเศษ 990 บาท
  • Huawei Y6P ราคาพิเศษ 2,890 บาท
  • Oppo A12 ราคาพิเศษ 2,990 บาท
  • VIVO Y11 ราคาพิเศษ 3,090 บาท
  • Huawei MediaPad T3 LTE ราคาพิเศษ 3,290 บาท (เริ่มจำหน่ายวันที่ 15 มิ.ย.63)

ฟรี! ค่าบริการรายเดือน 3 เดือนแรก จากนั้น เพียงเดือนละ 199 บาท ได้เน็ตความเร็วสูง    1 GB จากนั้น เล่นเน็ตได้ไม่จำกัด ที่ความเร็ว 512 Kbps, โทรฟรีในเครือข่ายเอไอเอส 6 โมงเช้า – 6 โมงเย็น, ฟรีเน็ตใช้งานแอป AIS PLAY โดยสิทธิพิเศษนี้ สำหรับนักเรียน นักศึกษา แสดงบัตรประจำตัวหรือบัตรประชาชน ใช้สิทธิ์ได้ 1 คนต่อ 1 เครื่อง โดยจดทะเบียนหมายเลขใหม่ ระบบรายเดือนในชื่อของผู้ปกครอง 1 คน ต่อ 1 เครื่อง ไม่ติดสัญญาใช้บริการ

  • แพ็กเกจคอนเทนต์ AIS PLAY สำหรับลูกค้า AIS Fibre เพิ่มทักษะภาษาอังกฤษไปกับ          คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ด้วยเนื้อหาที่สนุก เข้าใจง่าย โดย  ติวเตอร์ชื่อดัง “แอนดรูว์ บิ๊กส์” มีให้เลือก 2 แพ็กเกจสำหรับนักเรียนนักศึกษา ได้แก่ แพ็กเกจ School English คอร์สปูพื้นฐานภาษาอังกฤษครบ สำหรับเด็กอนุบาล ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และแพ็กเกจ English for Exams เน้นการเตรียมตัวสอบ IELTS, TOEFL, TOEIC, GAT-PAT และ O-Net เพียงเดือนละ 99 บาท ทดลองใช้งานฟรี 3 วันแรก สามารถรับชมผ่านกล่อง AIS PLAYBOX และสามารถใช้สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ PC, โน้ตบุ๊ค รับชมผ่านแอปพลิเคชัน AIS PLAY และเว็บไซต์ https://aisplay.ais.co.th

          ผู้ที่สนใจ สามารถติดตามข้อมูลการรับสิทธิ์ซื้อสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ท และแพ็กเกจเสริม LEARNING FROM HOME ได้ทางเว็บไซต์ www.ais.co.th/learningfromhome

ตามติดงานกรมชลประทาน กำจัดผักตบชวา รับมือสถานการณ์น้ำช่วงหน้าฝน

0

บิ๊กเกรียน พาลงพื้นที่ ดูการทำงานของกรมชลประทาน ในการจัดเก็บและกำจัด ผักตบชวา วัชพืช สิ่งกีดขวางทางน้ำ

เพราะ ตอนนี้ ไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ผ่านมา

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ จึงเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการบริหารจัดการน้ำวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เป็นระบบ

ทีมเพจบิ๊กเกรียน ส่ง “น้องแตง” กัลย์ทิชา นับทอง ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ ติดตามภารกิจ การทำงานของกรมชลประทาน

และพูดคุยกับ ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ถึงแนวคิด และวิธีการทำงาน

ที่ทำให้ผลการดำเนินงานในการจัดการกับสิ่งกีดขวางทางน้ำในปีนี้ ประสบความสำเร็จดีกว่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมา

เอไอเอส เดินหน้าสนับสนุน อสม. ให้อุ่นใจ สู้ภัยโควิด-19 แจกซิม กับประกันภัย

0

เอไอเอส นำโดย นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นายระพี ผ่องบุพกิจ  เยี่ยมชมฐานปฏิบัติการเพื่อสุขภาพคนไทย ส่งมอบกำลังใจและเทคโนโลยีดิจิทัลให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นักรบเสื้อเทา ยุคดิจิทัล ในการเป็นด่านหน้าเฝ้าระวัง และติดตามกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 อย่างใกล้ชิด มอบความอุ่นใจให้ประชาชน

            นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ กล่าวว่า โครงการ “เอไอเอส 5G สู้ภัยโควิด-19” ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม และมีส่วนช่วยให้การปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไม่สะดุด ทั้งการติดตั้งเครือข่าย 5G ในโรงพยาบาลที่รับตรวจและรักษาผู้ป่วย COVID-19 ทั่วประเทศ, ตั้งศูนย์ AIS Robotic Lab by AIS NEXT เพื่อร่วมผลักดันนวัตกรรมการแพทย์, การพัฒนาหุ่นยนต์บริการทางการแพทย์ 5G ROBOT FOR CARE เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์ รวมถึงการติดปีกดิจิทัลให้กับ อสม. นักรบเสื้อเทา นำเทคโนโลยี ซิมแพ็กเกจพิเศษ และประกันโควิด-19 เสริมประสิทธิภาพและสร้างความอุ่นใจในการปฏิบัติงาน

  นอกจากทีมแพทย์และพยาบาล ยังมี อสม. ที่เป็นด่านหน้าคอยเฝ้าระวัง ติดตาม ดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงติดโควิด-19  วันนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ เอไอเอส ได้ลงพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเสม็ดใต้ เพื่อให้กำลังใจและเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของอสม. ผู้ที่อยู่เบื้องหลังและมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสาธารณสุขไทย

           นายสมชัย กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เอไอเอส ได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับ อสม. ทุกพื้นที่ เพื่อจะทำให้การทำงานมีความสะดวก สบาย รวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์เสมอ จึงเกิดเป็นแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ ขึ้น ที่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานจากรูปแบบกระดาษมาเป็นออนไลน์ 100% ทั้งการสนทนา การส่งรายงานประจำเดือน ก็สามารถทำผ่านแอปฯ ได้ทันที  รวมถึงในสถานการณ์โรคอุบัติใหม่ เราก็มีอัปเดตฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมา อาทิ รายงานลูกน้ำยุงลาย และ คัดกรองและติดตาม COVID-19 นอกจากนี้เรายังได้อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของ อสม. ด้วยมอบซิมพิเศษ “ซิมฮีโร่” และประกันภัยโควิด-19 เพื่อให้อสม. สามารถปฏิบัติงานได้อย่างอุ่นใจมากยิ่งขึ้น

           นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวเสริมว่า ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดฉะเชิงเทราที่ดูแลและเฝ้าระวังโรคโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง กองกำลังสำคัญที่ทำให้จังหวัดฉะเชิงเทราสามารถควบคุม และยับยั้งไม่ให้วิกฤตการณ์ครั้งนี้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง ก็คือเหล่า อสม. ที่ประจำอยู่แต่ละหมู่บ้าน การที่เอไอเอสได้เข้ามาสนับสนุนการปฏิบัติงานของ อสม. ผ่านการพัฒนาแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และช่วยยกระดับงานสาธารณสุขเป็นอย่างมาก เพราะการที่เรามีบุคลากรที่ขยันขันแข็ง ประกอบเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลล้ำสมัย จะช่วยทำให้การปฏิบัติราบรื่นมากยิ่งขึ้น

            นอกจากนี้ เอไอเอส ยังได้สนับสนุนห้องผู้ป่วยความดันลบ (Negative Pressure Room) เป็นอุปกรณ์เสริมพิเศษ ที่ติดตั้งในห้องพักผู้ป่วยแยกโรคที่มีการติดเชื้อแบบ Airborne เช่น โควิด-19 วัณโรค ซาร์ส อีโบล่า ไข้หวัดใหญ่ และหัดเยอรมัน เพื่อช่วยปกป้องบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาล โรงพยาบาลพุทธโสธรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยอีกด้วย

ห้องผู้ป่วยความดันลบ (Negative Pressure Room) ที่เอไอเอส มอบให้กับ รพ.พุทธโสธร

เผยราคาหมูเอเชียพุ่ง ทั้งจีน-เวียดนาม-กัมพูชา เหตุขาดแคลนจากโรค ASF

0
A selective closeup shot of pink pigs in a barn

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ชี้ ASF  ในสุกร กระทบอุตสาหกรรมหมูทั้งภูมิภาค ส่งผลราคาพุ่ง เหตุหลายประเทศขาดแคลนหนัก เผยจีนนำเข้าหมูเดือนเมษายน 170% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนเวียดนามเพิ่ม 300% ดันราคาหน้าฟาร์มสูงสุดรอบ 20 ปี ย้ำไทยคงสถานะปลอดโรค-ราคาต่ำสุดในภูมิภาค

น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า การระบาดของโรค ASF ในสุกรตลอดปี 2562 ที่ผ่านมา ส่งผลต่อปริมาณสุกรในตลาดโลกลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ระดับราคาสุกรมีชีวิตและเนื้อสุกรสูงเป็นประวัติการณ์  สำหรับภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศจีน ที่เป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคสุกรรายใหญ่ของโลก ซึ่งปกติมีผลผลิตสุกรประมาณ 500 ล้านตัวต่อปี แต่ภาวะโรคที่ระบาดอย่างรุนแรงทำให้ปริมาณสุกรหายไปถึง 300 ล้านตัวในปีที่ผ่านมา เกิดภาวะขาดแคลนอย่างหนัก ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มจึงพุ่งสูงขึ้น ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 120-136 บาทต่อกิโลกรัม และทางการจีนแก้ปัญหาด้วยการนำเข้าเพิ่มขื้นอย่างต่อเนื่อง ในเดือนเมษายนมีการนำเข้าเนื้อสุกรมากถึง 400,000 ตัน ทำสถิตินำเข้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นมากถึง 170% จากช่วงเดียวกันของปี 2562

น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

ขณะที่เวียดนาม ปริมาณสุกรทั้งประเทศลดลงไปกว่า 25% ทำให้มีเนื้อสุกรไม่เพียงพอกับการบริโภค โดยคนเวียดนามบริโภคเนื้อสุกรคิดเป็นสัดส่วนกว่า 3 ใน 4 ของการบริโภคเนื้อสัตว์ทั้งหมด ส่งผลให้ราคาสุกรหน้าฟาร์มของเวียดนาม ปรับเพิ่มขึ้นถึง 115-120 บาทต่อกิโลกรัม เป็นระดับราคาสูงสุดในรอบ 20 ปี โดยเวียดนามได้นำเข้าเนื้อหมูเพิ่มขึ้นถึง 300% เมื่อเทียบกับปีก่อน เฉพาะช่วง 4 เดือนแรกของปี 2563 นี้ มีการนำเข้าแล้วเกือบ 70% ของปริมาณทั้งหมดของปี 2562 ส่วนกัมพูชา ราคาหมูหน้าฟาร์มเฉลี่ยในปัจจุบันเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 96 บาทต่อกิโลกรัม

“จากสถานการณ์โควิด 19 ที่คลี่คลายลง หลายประเทศผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศจีน เมื่อผนวกกับภาวะการขาดแคลนเนื้อสุกรอย่างหนัก ทำให้จีนมีแนวโน้มความต้องการนำเข้าสุกรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการบริโภคในประเทศ ขณะที่เวียดนามเหนือที่มีพรมแดนติดกับจีนก็มีโอกาสในการส่งออกไปได้ ส่วนไทยยังเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ปลอดจากโรค ASF ทำให้มีปริมาณสุกรเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ ไม่มีปัญหาขาดแคลน และปัจจุบันราคาหมูหน้าฟาร์มเฉลี่ยของไทยอยู่ที่ 66-71 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่ถูกที่สุดในภูมิภาค จึงถือเป็นโอกาสของคนไทยที่ได้บริโภคเนื้อหมูปลอดภัยจากกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพสูงในราคาไม่แพง” 

กางแผนจัดการน้ำ คาดความต้องการน้ำ ทะลุ 3 หมื่นล้านลบ.ม. น้ำต้นทุนมีจำกัด 1.1 หมื่นล้านลบ.ม.

0

กรมชลประทานแนะปลูกพืชใช้น้ำฝน กางแผนรับน้ำหลาก เปิดจุดเสี่ยงพื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน

นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า มาตรการบริหารจัดการน้ำในฤดูฝนปี 2563  เพื่อให้ปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ มีเพียงพอสำหรับการใช้น้ำตลอดฤดูฝน 2563 และเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งปี 2563/64 หรือระหว่าง 1 พ.ย.2563-30 เม.ย.2564 ภายใต้ความต้องการใช้น้ำทั่วประเทศ 31,351.15 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำต้นทุนประมาณ 11,654 ล้าน ลบ.ม. (ณ วันที่ 1 พ.ค.2563) ด้วยข้อจำกัดนี้ ส่งผลให้กรมชลประทาน ต้องบริหารจัดการน้ำเพื่อความต้องการของทุกภาคส่วนภายใต้ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีจำกัด

ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน

การจัดสรรน้ำฤดูฝนจากอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ตามแผนการจัดสรรน้ำ ภายใต้น้ำต้นทุนประมาณ 11,975 ล้าน ลบ.ม. (ณ วันที่ 23 เม.ย.2563) แบ่งเป็นน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค 2,980 ล้าน ลบ.ม. หรือ 25% ของน้ำต้นทุน รักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ จำนวน 3,654 ล้าน ลบ.ม. หรือ 30% ของน้ำต้นทุน  น้ำเพื่อทำการเกษตร จำนวน 4,974 ล้าน ลบ.ม.หรือ 42% ของปริมาณน้ำต้นทุน และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม 367 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณ 3% ของน้ำต้นทุน

จากสถานการณ์น้ำท่วม น้ำแล้งที่ผ่านมา กรมชลประทานได้บริหารจัดการให้สถานการณ์ความรุนแรงทุเลาลง โดยเมื่อปี 2562 คาดว่าจะมีพื้นที่ประสบภัยแล้งประมาณ 58 จังหวัด แต่กรมชลประทาน ใช้การบริหารจัดการน้ำ ใช้เครื่องมือต่าง ๆ ทำให้ทั้งปี มีพื้นที่ประสบภัยพิบัติแล้งลดลงเหลือ 29 แห่ง ส่วนพื้นที่มีฝนตกหนัก มีการคาดการณ์ว่าน้ำจะท่วมขังอยู่ประมาณ 5 วัน กรมชลประทานก็เร่งดำเนินการให้มีน้ำท่วมขังเหลือเพียง 1 วัน ทั้งหมดคือการบริหารจัดการน้ำ เพื่อทุเลาภัยประจำถิ่นที่เกิดขึ้นในแต่ละท้องที่ไม่ให้เกิดท่วม หรือแล้งที่รุนแรง และเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอใช้ในทุกกิจกรรม โดยเฉพาะน้ำอุปโภคบริโภค

“จากความต้องการน้ำที่สูงถึง 31,351.15 ล้าน ลบ.ม.ขณะที่น้ำต้นทุนเหลือเพียง11,654 ล้าน ลบ.ม.  กรมชลประทานจึงแนะนำให้เกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา เพาะปลูกได้ก็ต่อเมื่อมีฝนตกและมั่นใจว่าจะตกต่อเนื่อง ไม่ทำให้พืชเกษตร หรือข้าวเสียหาย เพราะกรมชลประทานให้ทำนาปีด้วยน้ำฝน เนื่องจากน้ำต้นทุนที่มียังจำกัด”

และ ในช่วงฤดูฝน กรมชลประทานมีหน้าที่บริหารจัดการน้ำต้นทุนให้เพียงพอกับความต้องการตามภารกิจแล้ว จากนี้ต้องเตรียมมาตรการรับมือพื้นที่เสี่ยงจากอุทกภัยน้ำหลาก ปี 2563  หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พ.ค.2563 ซึ่งทั่วประเทศ  จะมีบางพื้นที่เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก และมีบางพื้นที่จะมีฝนตกหนัก จนอาจเกิดน้ำท่วม โดยเดือนพ.ค.-ก.ค.พื้นที่ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บางพื้นที่ ภาคกลาง ภาคตะวันออก  รวมถึงภาคใต้ตอนกลาง มีปริมาณฝนตกต่ำกว่าปกติ และระหว่างเดือนมิ.ย.-ก.ค. ฝนจะทิ้งช่วงโดยเฉพาะพื้นที่            แล้งซ้ำซาก เดือนส.ค.-ต.ค.พื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนมีฝนตกต่ำกว่าปกติ แต่ช่วงเดือนส.ค.-ต.ค.ระวังอาจมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย 1-2 ลูก

ช่วงบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยงที่อาจเกิดน้ำท่วม น้ำหลาก ระหว่างเดือนพ.ค.-มิ.ย.ใน 3 จังหวัดอาจมีน้ำล้นตลิ่ง คือ จันทบุรี เลย และศรีสะเกษ เดือนก.ค.อาจเกิดน้ำท่วมและน้ำหลากใน 8 จังหวัด คือ นครนายก เลย ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี เพชรบูรณ์ พระนครศรีอยุธยา และชุมพร ในเดือนส.ค.อาจเกิดน้ำท่วมน้ำหลาก ใน 15 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ยโสธร บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี สตูล

เดือนก.ย.คาดมีน้ำล้นตลิ่ง ใน 21 จังหวัด คือ เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง น่าน แพร่ พิษณุโลก ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ จันทบุรี ระยอง ปราจีนบุรี นครนายก พิจิตร ร้อยเอ็ด ยโสธร อุบลราชธานี สตูล และเดือนต.ค. มีพื้นที่เสี่ยงจะมีน้ำล้นตลิ่ง จำนวน 14 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ สุรินทร์  ศรีสะเกษ พระนครศรีอยุธยา ระยอง ปราจีนบุรี ลำพูน ตาก ลำปาง เลย ร้อยเอ็ด นครราชสีมา กำแพงเพชร และอุบลราชธานี

ซีพีเอฟ ส่งคูปองลดค่าครองชีพถึงมือ อสม.แล้วกว่าล้านใบ

0

รายงานข่าว เปิดเผยความคืบหน้าของ “คูปองส่วนลดจากใจให้ อสม. #ฮีโร่ที่ลืมไม่ได้” ว่า ล่าสุด ได้มีการส่งมอบคูปองให้แล้วมากกว่า 1 ล้านใบ โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สามารถนำคูปองส่วนลดไปซื้อสินค้าที่ร้านซีพี เฟรชมาร์ททั่วประเทศได้ในราคาพิเศษ ทั้งนี้ อสม. กว่าล้านคนทั่วประเทศ ได้รับคูปองส่วนลดจากใจผ่านทางโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) ภายใต้โครงการ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เป็นการขยายการดูแลสังคมเพิ่มเติมไปถึงหน้าด่านที่ทำหน้าที่ป้องกันโควิดระดับชุมชน มีเป้าหมายเพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพให้แก่ อสม.และเจ้าหน้าที่ รพ.สต.

ที่ผ่านมา อสม.ได้รับคำชื่นชมว่าเป็นกำลังสำคัญ และเป็นด่านหน้าในการปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด19 ในระดับชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ การทำงานของอสม. ได้รับความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคเอกชนที่สนับสนุนให้อสม.ทำงานได้สะดวกและคล่องตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในการลงพื้นที่เพื่อคัดกรองคนในชุมชน เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเลเซอร์ แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย รวมทั้ง อาหาร ไข่ไก่ ข้าวสาร น้ำดื่มที่ส่งมอบเพื่อเป็นกำลังใจ สนับสนุนการทำงานของอสม. และยังช่วยลดค่าครองชีพให้อสม.ได้อีกทางหนึ่ง

โครงการนี้เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างยั่งยืน และยึดปรัชญา 3 ประโยชน์ในการดำเนินงาน คือ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท ส่งมอบโครงการดังกล่าวด้วยใจ ให้อสม. แทนความขอบคุณและเป็นกำลังใจในการทำงานที่ทุ่มเทของอสม.ทั่วประเทศ

นางศศินันท์ เลิศเวคินจิรากุล อายุ 50 ปี ประธานอสม. หมู่ 8 ต.บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นอสม.มานานกว่า 10 ปี ดูแลอสม.ในพื้นที่ 19 คน และอสม.แต่ละคนมีหน้าที่ดูแลประชาชน 20 ครัวเรือน กล่าวว่า ปกติอสม.มีหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อวัดความดัน ตรวจเบาหวาน ดูแลความเจ็บป่วยของประชาชนในหมู่บ้าน ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง แต่ในช่วงโควิดต้องลงพื้นที่ทุกวันเพื่อตรวจวัดไข้และสอบถามอาการทุกบ้าน โดยเฉพาะประชาชนที่กลับภูมิลำเนาซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดอื่น อสม.ต้องคอยติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานหนักขึ้น แต่เราก็ภูมิใจ และก็ต้องขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆที่เข้ามาสนับสนุนการทำงานของอสม.มาโดยตลอด เช่น มอบอุปกรณ์เครื่องวัดอุณหภูมิแบบเลเซอร์ มอบข้าวสารเพื่อให้อสม.นำไปแจกประชาชนที่เดือดร้อน และมอบคูปองส่วนลดให้ อสม. นำไปใช้ซื้อสินค้า ที่ร้าน ซีพี เฟรชมาร์ท ช่วยลดภาระค่าครองชีพได้ เพราะปกติเราต้องซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว คูปองดังกล่าวสามารถใช้เป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าได้อีก