Home Blog Page 446

เอไอเอส เดินหน้าสู้โควิด-19 ลุยใช้เทคโนโลยี 5 จี สนับสนุนงานแพทย์ และสาธารณสุข

0

ประกาศวิสัยทัศน์ ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์เพื่อคนไทย เดินหน้าจัดทัพองค์กร ทุ่มสรรพกำลัง ทั้งเครือข่าย เทคโนโลยี 5G และบุคลากร ร่วมพาคนไทยฝ่าวิกฤติไวรัส COVID-19 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผย ศักยภาพของ 5G  ทั้งในแง่ของอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง มีความเร็ว การตอบสนองต่อการสั่งงานที่รวดเร็ว มีความหน่วงต่ำ พร้อมรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่หลากหลาย จึงมีความเหมาะสมมากที่ประยุกต์ใช้เป็นโครงข่ายดิจิทัลพื้นฐานสำคัญต่อการปฏิบัติงานทางการแพทย์ ซึ่งเอไอเอสมีประสบการณ์การทดลองทดสอบ 5G ในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งการแพทย์ จึงเชื่อมั่นว่า 5G จะเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมแก้ปัญหา พาประเทศก้าวพ้นวิกฤติ COVID-19

ภารกิจ “AIS 5G สู้ภัย COVID-19” เพื่อคนไทย งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท

1.      ติดตั้งเครือข่าย 5G ใน 20 รพ. ที่รับตรวจและรักษาผู้ป่วย COVID-19 และกำลังขยาย Coverage 5G ให้ครอบคลุมพื้นที่ รพ. ในกทม.และปริมณฑลอีก 130 รพ. และในต่างจังหวัดอีก 8 รพ. รวมทั้งสิ้น 158 รพ. ภายในเดือนเมษายน 2563 เพื่อรองรับการปฏิบัติงานของเทคโนโลยีและโซลูชันส์ทางการแพทย์ และสนับสนุนระบบสื่อสาร ทั้ง AIS FIBRE, 4G, AIS Super WiFi และสมาร์ทดีไวซ์ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของรพ.

2.      ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ AIS Robotic Lab ระดมนักวิจัยนักพัฒนาที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล พัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ 5G Telemedicine และโซลูชันส์งานบริการทางแพทย์ โดยทำงานร่วมกับ รพ. เพื่อให้สอดรับกับความต้องการเฉพาะของแต่ละรพ. พร้อมเปิดกว้างในการพัฒนาหุ่นยนต์ร่วมกับคนไทยทุกภาคส่วน

3.      พัฒนาหุ่นยนต์ทางการแพทย์ 5G Telemedicine เวอร์ชั่นใหม่ ROBOT FOR CARE จำนวน 21 ตัว โดย AIS Robotic Lab ทยอยส่งมอบให้กับรพ. 20 แห่ง ที่รับตรวจและรักษาผู้ป่วย COVID-19 เพื่อให้หุ่นยนต์ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหมอพยาบาล ตรวจคัดกรองคนไข้ ด้วยระบบอัจฉริยะ Thermoscan, ระบบปรึกษาทางไกลระหว่างคนไข้และหมอผ่าน VDO CALL  ช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแทพย์

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส บอกว่า บริการของเอไอเอส ต้องต่อเนื่องด้วยคุณภาพมาตรฐานของเอไอเอสเช่นเดิม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร บริษัทยังคงยืนหยัดและตั้งมั่นในฐานะ Digital life service provider for Thais เช่นเดิม ว่าจะทำหน้าที่ให้บริการลูกค้าอย่างดีที่สุด และพร้อมนำศักยภาพและขีดความสามารถต่างๆ ที่เรามีร่วมสนับสนุนภารกิจของประเทศให้ก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้

เอไอเอสจะนำเครือข่าย 5G เข้าไปติดตั้งให้กับ รพ. 20 แห่ง ที่รับตรวจและรักษาผู้ป่วย COVID-19 พร้อมมอบหุ่นยนต์ทางการแพทย์ 5G Telemedicine จำนวน 21 ตัว  ให้กับ รพ. โดยอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2563 โดยมี รพ. ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ รพ. จุฬาลงกรณ์, รพ. ราชวิถี, รพ. ศิริราช, รพ. รามาธิบดี, รพ. วิชัยยุทธ, รพ. ศิริราชปิยมหาราชการุณย์, รพ. แพทย์รังสิต, รพ. พญาไท 1, รพ. พญาไท 2, รพ. พญาไท 3, รพ. พญาไทนวมินทร์, รพ. กรุงเทพคริสเตียน, รพ. พระราม 9, รพ. เปาโลเมโมเรียลพหลโยธิน (สะพานควาย), รพ. เปาโลเมโมเรียลโชคชัย 4, รพ. เปาโลเมโมเรียลสมุทรปราการ, รพ. เปาโลเมโมเรียลรังสิต, รพ. เปาโลเมโมเรียลเกษตร,กรมแพทย์ทหารเรือ และสถาบันบำราศนราดูร

และเตรียมขยาย Coverage 5G ให้ครอบคลุมพื้นที่ รพ. ในกทม.และปริมณฑลอีก 130 รพ. และในต่างจังหวัดอีก 8 รพ. รวมทั้งสิ้น 158 รพ. ภายในเดือนเมษายน 2563

ก่อนหน้านี้ เอไอเอสก็ได้มีการส่งต่อกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งการมอบหน้ากากอนามัย, อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงสนับสนุนช่องทางสื่อสารเพื่อให้คนไทยได้ส่งกำลังใจ และมีความตระหนักรู้ในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ ในช่วงวิกฤต COVID-19 ครั้งนี้

ครม.ไฟเขียว ค่าไฟฟรีเพิ่มเป็น 90 หน่วย/เดือน จากเดิม 50 หน่วย/เดือน

0

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยเห็นชอบให้กำหนดนโยบายมาตรการค่าไฟฟ้าฟรีกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ เพิ่มเป็น 90 หน่วยต่อเดือนจากเดิม 50 หน่วยต่อเดือน และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการ โดยให้ใช้เงินเรียกคืนรายได้เพื่อให้การไฟฟ้า มีฐานะการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดมาเป็นแหล่งเงินในการสนับสนุนการดำเนินการ 

นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ เห็นชอบการขยายระยะเวลาการจ่ายค่าไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนของแต่ละรอบบิล สำหรับใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเมษายน-เดือนมิถุนายน 2563 โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยไม่มีเบี้ยปรับ

เนื่องจาก เห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบัน มีประชาชนจำนวนมากกลับภูมิลำเนา และการทำงานภายในที่พักอาศัย ทำให้การใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เดิมเคยได้รับสิทธิค่าไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยไม่ต้องชำระค่าไฟฟ้า จะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว เป็นผลให้มีภาระต้องชำระค่าไฟฟ้า ซึ่งสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ใช้ไฟฟ้าอาจไม่สามารถชำระค่าไฟฟ้าได้

มาตรการดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า เป็นวงเงิน ประมาณ 9,375 ล้านบาท โดยมาตรการค่าไฟฟ้าฟรี 3 เดือน ตั้งแต่เเดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 มีประชาชนได้รับประโยชน์ 6.435 ล้านราย ส่วนการขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้า 3 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 มีประชาชนได้ประโยชน์ 4.265 ล้านราย

แบงก์ชาติ เผย 4 มาตรการเพิ่มเติม ช่วยเหลือ SMEs และดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้เอกชน

0

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มีเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอเพื่อดำเนินธุรกิจและรักษาการจ้างงานต่อไปได้ รวมทั้งต้องมีมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อรักษาช่องทางการระดมทุนของภาคเอกชนและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ ประกอบด้วย 4 ส่วน

มาตรการที่ 1  การเลื่อนกำหนดการชำระหนี้สำหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง ธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ธนาคาร) แต่ละแห่งไม่เกิน 100 ล้านบาท ได้รับสิทธิ์เป็นการทั่วไป ไม่ต้องชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 6 เดือน และในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต

ธปท. หวังว่ามาตรการนี้จะช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ SMEs ทำให้ SMEs มีเงินสดในมือเพื่อรองรับรายจ่ายจำเป็น โดยเฉพาะค่าจ้างพนักงาน นอกจากนั้น ธปท. คาดหวังว่าในช่วง 6 เดือนนี้ ธนาคารจะต้องทำงานร่วมกับลูกหนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ปรับแผนการผ่อนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง และช่วยจัดโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจของลูกหนี้

          ส่วนธุรกิจ SMEs ที่ไม่ได้ประสบกับปัญหาสภาพคล่องในช่วงนี้ ธปท. แนะนำว่าควรชำระหนี้ตามปกติหรือตามความสามารถ เพราะมาตรการนี้เป็นเพียงการเลื่อนกำหนดวันชำระหนี้เท่านั้น ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยอยู่ และที่สำคัญ การชำระหนี้ตามปกติจะช่วยให้ธนาคารมีสภาพคล่องที่จะไปดูแลธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตการณ์โควิด 19 ได้มากขึ้นด้วย

          นอกจากนี้ เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) เข้าไปช่วยเหลือสภาพคล่องให้ลูกหนี้ได้อย่างเต็มที่ ธปท. จึงได้ผ่อนปรนเกณฑ์การบริหารสภาพคล่องชั่วคราว

มาตรการที่ 2  การสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (soft loan) ให้แก่ธุรกิจ SMEs  วงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษร้อยละ 2 ต่อปี โดยไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก

ธปท. จัดสรร soft loan อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ให้ธนาคารวงเงินรวม 5 แสนล้านบาท เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้ธนาคารนำไปให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SMEs ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศและ มีวงเงินสินเชื่อกับธนาคารแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีสถานะผ่อนชำระปกติ หรือ ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน (ยังไม่เป็น NPL) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มาตรการนี้ไม่ครอบคลุมถึงบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET และ  MAI)  โดยวงเงินที่ SMEs แต่ละรายสามารถขอกู้ได้จะไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้างของลูกหนี้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2562 สำหรับ SMEs ที่สนใจ สามารถขอสินเชื่อได้ที่ธนาคารที่ท่านเป็นลูกค้าและมีวงเงินสินเชื่ออยู่

ใน 2 ปีแรก ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนพิเศษร้อยละ 2 ต่อปี รัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยแทนลูกหนี้ในช่วง 6 เดือนแรก ส่งผลให้ลูกหนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย และเพื่อสนับสนุนให้ธนาคารเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่ รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังจะชดเชยความเสียหายบางส่วนให้แก่ธนาคารในส่วนที่ปล่อยกู้เพิ่มเติมด้วย กรณีที่หนี้กลายเป็นหนี้เสียเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 2 ปี รัฐบาลจะชดเชยความเสียหายให้ไม่เกินร้อยละ 70 ของสินเชื่อที่ปล่อยเพิ่มสำหรับลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50 ล้านบาท และชดเชยให้ไม่เกินร้อยละ 60 ของสินเชื่อที่ปล่อยเพิ่มสำหรับลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อ 50-500 ล้านบาท

มาตรการที่ 3 : มาตรการเสริมสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน 
ธปท. และกระทรวงการคลังจึงเห็นควรจัดตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน  (Corporate Bond Stabilization Fund: BSF) เพื่อเป็นแหล่งเงินสำรองชั่วคราว (bridge financing) สำหรับเข้าไปซื้อตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทที่มีคุณภาพดีที่มีตราสารหนี้ครบกำหนดชำระในช่วงปี 2563–2564 ทั้งนี้ บริษัทที่ขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนฯ จะต้องชำระอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราตลาด ต้องระดมทุนส่วนใหญ่ได้จากแหล่งเงินทุนอื่น เช่น การกู้เงินธนาคารพาณิชย์หรือการเพิ่มทุน ต้องมีแผนการจัดหาทุนในระยะยาวที่ชัดเจน รวมทั้งต้องผ่านเกณฑ์และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับกองทุนกำหนด ทั้งนี้ หากผู้ออกตราสารหนี้เสนอขายตราสารหนี้ต่อนักลงทุนทั่วไปและมีการให้หลักประกันแก่ผู้ถือ ตราสารหนี้ที่กองทุน BFS จะลงทุนในคราวเดียวกันต้องมีหลักประกันไม่ด้อยกว่าหลักประกันที่ให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้อื่น

มาตรการที่ 4 : ลดเงินนำส่ง FIDF ของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (สถาบันการเงิน) เพื่อลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ของภาคธุรกิจและประชาชน ธปท. ปรับลดอัตรานำส่งเงินสมทบกองทุนฟื้นฟูฯ (Financial Institutions Development Fund: FIDF) จากเดิมอัตราร้อยละ 0.46 เหลือร้อยละ 0.23 ของฐานเงินฝาก เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้สถาบันการเงินไปปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มเติมให้กับประชาชนและภาคธุรกิจในทันที  

คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สองฉบับ เพื่อให้ ธปท. สามารถดำเนินมาตรการช่วยเหลือ SMEs และดูแลเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนข้างต้นได้ คือ

          1. ร่าง พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา และ

          2. ร่าง พ.ร.ก. การสนับสนุนสภาพคล่องเพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน

พ.ร.ก. ทั้งสองฉบับนี้ให้อำนาจ ธปท. บริหารจัดการสภาพคล่องและปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และมีกลไกที่รัฐบาลจะช่วยรับภาระชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นกลไกที่จำเป็นในภาวะที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจจะยืดเยื้อ พ.ร.ก. ทั้งสองฉบับนี้ จะช่วยให้ ธปท. มีเครื่องมือเพิ่มขึ้นสำหรับช่วยเหลือธุรกิจ SMEs และมีเครื่องมือที่พร้อมใช้ดูแลเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนได้อย่างทันการณ์

ธปท. เชื่อมั่นว่ามาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่มาตรการสนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ มาตรการผ่อนปรนการชำระหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการเพิ่มเติมในครั้งนี้จะช่วยดูแลประชาชน ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนและระบบการเงินของประเทศให้ทำงานได้ต่อเนื่อง ธปท. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมจะมีมาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น

ครม. เห็นชอบ เลื่อนเปิดเทอมเป็น 1 ก.ค. 63

0

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า ครม.มีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอการปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 โดยให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 

ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะปรับวิธีการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่กำหนดไว้ในแต่ละระดับการศึกษา ของปีการศึกษา 2563 โดยกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต่อไป

รพ.ค่ายพิชัยดาบหัก ผุดไอเดีย Covid Box ลดความเสี่ยงสัมผัสเชื้อโรคให้เจ้าหน้าที่

0
COVID BOX

ลดความเสี่ยง เพิ่มความปลอดภัย รพ.ค่ายพิชัยดาบหัก คิดค้น และพัฒนา “COVID BOX” ตู้ป้องกันการสัมผัสเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยแก่เจ้าหน้าที่

พันเอก สมัย ขำพันธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายพิชัยดาบหัก มอบหมายให้แผนกพยาธิวิทยาร่วมกับหมวดพลเสนารักษ์ คิดค้นและพัฒนา “COVID BOX” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ช่วยในการป้องกันไม่ให้นักเทคนิคการแพทย์ ผู้ทำการเก็บสิ่งส่งตรวจสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย

โดยนำตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ไม่ได้ใช้แล้วซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) อุตรดิตถ์ มาดัดแปลงให้มีช่องสำหรับสอดมือเพื่อใช้สำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วย พร้อมทั้งมีการติดตั้งพัดลมสร้าง Positive pressure เพื่อป้องกัน ไม่ให้ละอองฝอย ( aerosol ) กระจายเข้าหาผู้ตรวจ ชนิดมีแผ่นกรอง HEPA-filter และไฟส่องส่องสว่างภายในตู้ เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนเป็นการลดการใช้ชุด PPE ที่มีจำนวนจำกัด และขณะนี้อยู่ในภาวะขาดแคลนอีกด้วย

ขยายเวลาห้ามบินเข้าน่านฟ้าไทย 7-18 เม.ย.

0

นนี้ ( 6 เม.ย. 63 )สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เรื่อง ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 2) ระบุว่า ตามที่ได้มีประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง ห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ประกาศ ณ วันที่ 3 เมษายน 2563 เพื่อป้องกันมิให้สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) รุนแรงมากยิ่งขึ้น และเพื่อสนับสนุนการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินข้างต้นให้ยุติลงโตยเร็ว นั้น

ทั้งนี้ การออกประกาศฉบับที่ 2 ล่าสุดนั้น ด้วยเหตุผลและความจำเป็นในการคงความต่อเนื่องของมาตรการดัวกล่าว เพื่อประสิทธิผลในการป้องกันและควบคุมโรค อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ.2497 ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้

1. ห้ามอากาศยานขนส่งคนโคยสารทำการบินเข้ามายังท่าอากาศยานในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.59 น.

2. การอนุญาตการบินที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกให้แก่อากาศยานขนส่งคนโดยสารสำหรับการบินเข้าสู่ประเทศไทยในช่วงระยะเวลาตามข้อ 1. ให้เป็นอันยกเลิก

3. ข้อห้ามตามข้อ 1 ไม่รวมถึงอากาศยานดังต่อไปนี้ (1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft) (2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing) (3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โตยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง (4) อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวัรสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarian aid, medicaland relief flights) (5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับภูมิลำเนา (Repatriation) (6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)

4.ให้ผู้โดยสารบนอากาศยานที่ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานต้นทางก่อนประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อและข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนตการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยต้องได้รับการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

ทั้งนี้ บัดนี้เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ประกาศ ณ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2563 นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย.

โควิด-19 คร่าชีวิตบุคลากรการแพทย์ 3 ราย และติดเชื้อเพิ่มอีก 13 ราย

0
โควิด-19

ศบค. รายงานวันนี้ สูญเสีย “บุคลากรการแพทย์” 3 ราย รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์-รพ.ลำพูน-อสม.พิษณุโลก บุคลากรติดเชื้ออีก 13 ราย จากผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด 51 ราย หมอย้ำตัวเลขติดเชื้อลดลง แต่ยังวางใจไม่ได้ สธ.ประกาศแสดงความเสียใจ ยกย่องในความกล้าหาญ

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า วันนี้ ( 6 เม.ย.) พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 51 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 2,220 ราย หายกลับบ้านแล้ว 793 ราย ถึงแม้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ จะเหลือ 51 ราย แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อยมีขึ้น และลง ยังไม่เห็นภาพชัดเจน ขอให้ทุกคนถือว่าสถานการณ์ยังน่าเป็นห่วง เพราะจากการสอบถามกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ยังมีกลุ่มเสี่ยงรอสอบสวนโรคอยู่จำนวนหนึ่ง

สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ ประกอบด้วย

กลุ่มพิธีกรรมทางศาสนา 3 ราย

กลุ่มสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 22 ราย

เป็นคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย

เป็นคนต่างชาติเดินทางมาประเทศไทย 1 ราย

กลุ่มสัมผัสผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 2 ราย

มีอาชีพเสี่ยง เช่นทำงานในสถานที่แออัด หรือทำงานใกล้ชิดชาวชาติต่างชาติ 5 ราย

บุคลากรด้านการแพทย์ และสาธารณสุข 13 ราย

อยู่ระหวางการสอบสวนโรค 7 ราย

สำหรับ ตัวเลขบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อสูงถึง 13 ราย เป็นตัวเลขสะสม และ ได้รับยืนยันพร้อมกัน มาจากรพ.เอกชน 11 ราย โดยกลุ่มบุคลากรการแพทย์ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง มีทั้งติดจากการดูแลผู้ป่วย และมีกิจกรรมรับประทานอาหารร่วมกัน ยืนยันว่าทุกคนเสี่ยง ต้องดูแลอย่างดี

ข้อมูลแนวโน้มผู้ป่วยกรุงเทพ และต่างจังหวัด ทรงตัว แต่ยังวางใจไม่ได้ เพราะยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อขึ้นๆลงๆ ต้องติดตามหลังประกาศเคอร์ฟิวว่า ผลจะเป็นอย่างไร หากไม่ดีขึ้น ก็จะมีมาตรการของศูนย์ฯ ที่จะประกาศต่อไป

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเคอร์ฟิว 24 ชม. เพราะเพิ่งประกาศเคอร์ฟิวเวลา 22.00-04.00 น. หรือ 6 ชม.ไป ซึ่งทุกคนกำลังปรับตัว ให้เวลาดูแลตัวเอง หากทุกคนทำได้ ตัวเลขติดเชื้อใหม่ลดง มาตรการอื่นๆก็ไม่จำเป็นต้องมี หากยังเพิ่ม แสดงว่ามาตรการที่มีไม่พอ อาจต้องปรับเพิ่มมาตรการ แต่วันนี้ยังไม่มีเคอร์ฟิว 24 ชม.แน่นอน

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศขอแสดงความเสียใจบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียชีวิต 3 ท่าน จากรพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ รพ.ลำพูน และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) จังหวัดพิษณุโลก

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ ทำหน้าที่ตัวแทนกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน การสูญเสียของประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นความสูญเสียของประเทศชาติ ท่ามกลางภาวะระบาดอย่างรุนแรง การขาดแคลนเวชภัณฑ์ ความเหน็ดเหนื่อย หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

กระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณบุคลากรทุกคน ที่ปฏิติงานด้วยความกล้าหาญ และเสียสละ ไม่ย่อท้อ และยังคงมุ่งมั่น ทำเพื่อประชาชน และประเทศ ให้ผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤติไปได้ ขอบคุณครอบครัว และคนใกล้ชิด ที่เป็นเหมือนลมใต้ปก ที่คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนบุคลากรให้มีแรงใจที่ดีในการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้โรคระบาด และกระทรวงสาธารณสุข ขอบคุคนไทย ที่ยังร่วมแรง ร่วมใจสามัคคี ให้กำลังใจบุคลากร ขอให้ท่านหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ทำตามคำแนะนำ เราต้องเปลี่ยนความสูญเสียเป็นพลัง โดยทุกคนต้องร่วมมือ ลดความสูญเสียให้เกิดน้อยที่สุด และเราจะผ่านเหตุการนี้ไปด้วยกัน

แนวปฏิบัติตัวภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

0

กระทรวงพลังงาน นำเสนอข้อปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อให้ทุกท่านร่วมมือกันป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสและลดความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ตามนี้

• ห้ามเข้าในพื้นที่ หรือสถานที่ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดต่อเชื้อโรคโควิด-19
• ปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการติดโรค หรือสถานที่ที่มีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกัน
• ปิดช่องการเข้ามาในประเทศทุกช่องทางในราชอาณาจักร
• ห้ามกักตุนสินค้า
• ห้ามชุมนุม หรือทำกิจกรรมมั่วสุม
• ห้ามเสนอข่าวเกี่ยวกับโควิด-19 ที่ไม่เป็นความจริง
• ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เฝ้าระวัง การกักกันตัวเองสำหรับผู้เดินทางข้ามเขตจังหวัด
• ให้กลุ่มผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิดได้ง่ายอยู่ในเคหะสถาน
• ชาวต่างชาติ หากจะเดินทางออกนอกประเทศให้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรค
• เปิดสถานที่ทำการได้ตามปกติ อาทิ โรงพยาบาล ร้านขายยา ร้านอาหาร (ห้ามนั่งทาง/หิ้วกลับบ้านได้)
• ห้ามออกนอกเคหะสถาน ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็น

ที่มา กระทรวงพลังงาน

สรรพากรขยายเวลายื่นแบบฯ ให้ผู้ประกอบการทั่วไป

0

จากเดิมที่ให้เฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องปิดสถานประกอบตามคำสั่งของทางราชการ เป็นผู้ประกอบการทั่วไป

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอนุมัติขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรออกไปให้ครอบคลุมผู้ประกอบการเป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมผู้ได้รับสิทธิดังกล่าวจากประกาศกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 25631 เพื่อช่วยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVId-19) ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ ผู้บริหารหรือพนักงานที่เกี่ยวข้องการยื่นแบบภาษีต้องถูกกักตัวจาก COVID-19 จนไม่สามารถทำงานได้หรือสำนักงานบัญชีที่ไม่สามารถเข้าไปในสถานประกอบการเพื่อเตรียมทำบัญชีและภาษี หรือสถานประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เดียวกันกับสถานประกอบการที่ถูกปิดกิจการ เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่รณรงค์ให้ประชาชนอยู่บ้าน และให้ผู้ประกอบการพิจารณาให้ลูกจ้างทำงานที่บ้าน เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดจาก COVID-19

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีอากรในครั้งนี้ มีรายละเอียดดังนี้
1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (แบบ ภ.ง.ด. 1 แบบ ภ.ง.ด. 2 แบบ ภ.ง.ด. 3 แบบ ภ.ง.ด. 53 และแบบ ภ.ง.ด. 54) ของเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นและชำระภาษีภายในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2563 ตามลำดับ ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2.1 ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าและบริการภายในประเทศ (แบบ ภ.พ. 30) ของเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นและชำระภาษีภายในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2563 ตามลำดับ ขยายออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการจ่ายค่าบริการไปต่างประเทศ (แบบ ภ.พ. 36) ของเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นและชำระภาษีภายในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2563 ตามลำดับ ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (แบบ ภ.ธ. 40) ของเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2563 ที่ต้องยื่นและ ชำระภาษีภายในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2563 ตามลำดับ ขยายออกไปถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 แต่ไม่รวมถึงกรณีการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรที่ชำระในขณะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
4. อากรแสตมป์ (แบบ อ.ส. 4 แบบ อ.ส. 4ก และแบบ อ.ส. 4ข) ที่ต้องยื่นชำระอากรแสตมป์ภายในวันที่ 1 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2563 ขยายออกไปถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563
นอกจากนี้ ปัจจุบันกรมสรรพากรมีระบบที่สนับสนุนการยื่นแบบแสดงรายการและการชำระภาษีอากรผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและลดภาระจัดเก็บเอกสาร รวมทั้ง ลดการเดินทางไปชำระภาษีอากรในสำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสรรพากรพื้นที่สาขา

มท. ออกหนังสือด่วนที่สุด สั่งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมยกระดับต่อสู้ไวรัสโควิด-19

0

ด่วนที่สุด! ‘มท.’ สั่งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด เตรียมความพร้อมยกระดับต่อสู้ ‘โควิด-19’

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยได้ส่งหนังสือด่วนที่สุดไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้เตรียมพร้อมดำเนินการในกรณีศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยกระดับการปฏิบัติการ ดังนี้

1.จัดเตรียมพื้นที่รองรับการกักกันตัวของจังหวัด (Local Quarantine) ให้มีความพร้อม โดยสามารถพิจารณาใช้พื้นที่ของภาคเอกชนได้ ทั้งในด้านการจัดทำเป็นสถานที่กักกันตัว โรงพยาบาลสนาม คลังเก็บอาหาร เครื่องดื่ม จุดรับบริจาค จุดประชาสัมพันธ์ให้ข่าว รวมทั้งกำหนดผู้ให้ข่าวที่ชัดเจน หากจังหวัดใดมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ขอให้รีบรายงานมท.โดยเร็ว เพื่อขยายวงเงินต่อไป

2.ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน ถึงความจำเป็นในการปฏิบัติการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของ โควิด-19 โดยให้ประชาชนอยู่ในที่พำนัก ไม่เคลื่อนย้าย เดินทาง อีกทั้งมอบหมายภารกิจหน้าที่แก่ส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ปกครองท้องที่ ถึงภารกิจและแนวทางการปฏิบัติงาน ตลอดจนกำหนดแผนเผชิญเหตุและซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติให้มีความเข้าใจร่วมกัน

3.วางมาตรการควบคุมการกักตุนสินค้า โดยเชิญประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หากพบการกระทำความผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด

4.วางแผนจัดระบบการขนส่งสินค้า เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน มีการกำหนดจุดบริการอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อดูแลประชาชนถึงระดับหมู่บ้าน/ชุมชนให้ชัดเจน และกำหนดในแผนปฏิบัติการ

5.ให้จังหวัดรายงานการปฏิบัติให้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กระทรวงมหาดไทย ทราบภายในเวลา 18.00 น. ทุกวัน เพื่อจะได้รายงานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป