Home Blog Page 443

เคาะ 3 มาตรการช่วยเหลือค่าไฟภาคเอกชน

0

ที่ประชุมพิจารณาช่วยเหลือค่าไฟภาคเอกชนที่มีรองนายกฯ สมคิด เป็นประธานประชุม เตรียมยกเว้นเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ (Minimum Charge) ให้เก็บตามจริงยาวถึงสิ้นปี 63 และพิจารณาแนวทางผ่อนผันชำระค่าไฟให้ผู้ประกอบการ กับคืนประกันการใช้ไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลางและใหญ่

ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณามาตรการช่วยเหลือเรื่องค่าไฟฟ้าเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 เพิ่มเติมให้กับกลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชนพร้อมด้วย นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยมีผู้แทนผู้ประกอบการจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) 3 การไฟฟ้า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

นายสนธิรัตน์ รมว.กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า เพื่อแก้ปัญหาภาระค่าไฟฟ้าของภาคเอกชนจึงได้เชิญภาคเอกชนมาหารือ ซึ่งเป็นมาตรการที่กระทรวงพลังงานดำเนินการต่อเนื่องหลังจากก่อนหน้าที่ได้ช่วยเหลือค่าไฟกับกลุ่มบ้านพักอาศัยไปแล้ว โดยการหารือครั้งนี้ภาคเอกชนได้ร้องขอมาตรการช่วยเหลือสำคัญคือการยกเว้นการเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ (Minimum Charge) ที่กำหนดในโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศ โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปดังนี้

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

1.การยกเว้นเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ ซึ่ง กกพ. ได้เตรียมมาตรการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยจะยกเว้นการจัดเก็บดังกล่าว เป็นการจัดเก็บตามการใช้จริงเพื่อช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 3 (กิจการขนาดกลาง) ประเภทที่ 4 (กิจการขนาดใหญ่) ประเภทที่ 5 (กิจการเฉพาะอย่าง) ประเภทที่ 6 (องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร) ประเภทที่ 7 (สูบน้ำเพื่อการเกษตร) ซึ่งเดิม กกพ. ได้วางมาตรการช่วยเหลือตั้งแต่เดือน เม.ย.- มิ.ย.63 แต่อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการขอให้พิจารณาขยายต่อให้จากเดือนมิ.ย. จนถึงเดือน ธ.ค. 63 ซึ่ง กกพ. รับจะพิจารณาขยายต่อ

2.ผู้ประกอบการขอให้มีการผ่อนผันชำระค่าไฟฟ้าให้กับภาคธุรกิจด้านบริการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม โดย กกพ. ให้ผู้ประกอบการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมทั้งภาคบริการและภาคอื่นๆ เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือต่อไป

3.การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลางและใหญ่ ซึ่ง กกพ. จะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

“การหารือในวันนี้ เรื่องที่ภาคเอกชนต้องการเรื่องผ่อนผันการเก็บอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ตามความต้องการแล้ว เพราะทางกระทรวงพลังงานโดย กกพ. ได้เตรียมวางมาตรการเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จึงทำให้การประชุมวันนี้ที่มีท่านรองนายกฯสมคิดร่วมเป็นประธานได้ข้อสรุปในระยะเวลาสั้นมาก สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทุกฝ่าย ซึ่งกระทรวงพลังงานทราบถึงความเดือดร้อนที่ทุกภาคส่วนได้รับจากสถานการณ์โควิดเป็นอย่างดี และพยายามที่จะผลักดันมาตราการพลังงานต่างๆเพื่อบรรเทาและช่วยเหลือทุกกลุ่มให้มากที่สุด” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ม.เอแบค ประกาศคืนค่าเทอมให้นศ. หลังไม่ได้เรียนเพราะโควิด-19

0

มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบค ออกประกาศมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักศึกษาจำเป็นต้องหยุด และมีการเรียนการสอนแบบออนไลน์

ทางมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญจึงมีการคืนเงินค่าบำรุงให้แก่นักศึกษา ดังรายละเอียดต่อไปนี้

  1. คืนเงินค่าบำรุงการศึกษาแก่นักศึกษาปริญญาตรีผู้ที่ไม่ได้รับทุนเรียนจากมหาวิทยาลัย 25% ในภาคการศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2562 และภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562
  2. คืนเงินค่าบำรุงการศึกษา ตามข้อ 1 ถ้าเป็นนักศึกษาที่ยังไม่สำเร็จการศึกษา จะคืนเป็นเงินโอนเครดิต เพื่อใช้เป็นการชำระเงินค่าลงทะเบียนในภาคการศึกษาถัดไป

วิกฤติโควิด…โอกาสหมู-ไก่ไทยในตลาดโลก

0

โดย รัฐพล ศรีเจริญ

ไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกกลายเป็นวิกฤตของมวลมนุษยชาติ ยิ่งเมื่อ 3 องค์กรระหว่างประเทศ FAO-WHO-WTO ได้แสดงความกังวลว่าในอีก  3 เดือนข้างหน้า ประชาคมโลกอาจประสบกับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเทศที่ผลิตอาหารไม่ได้ จนต้องทำแผนสำรองอาหาร ยิ่งทำให้วิกฤติครั้งนี้ดูเลวร้ายขึ้น

หากแต่ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาสที่เปิดกว้างอยู่ เพราะต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยมีความแข็งแกร่งด้านการผลิตอาหาร จากพื้นฐานการเป็นประเทศเกษตรกรรม มีการผลิตพืชและสัตว์สำหรับบริโภคในประเทศอย่างเพียงพอและสามารถส่งออกไปยังตลาดโลก สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายในการจะทำให้ประเทศไทยเป็น “ครัวของโลก”

ปี 2562 ที่ผ่านมาไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 11 ของโลก ด้วยมูลค่า 33,100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีส่วนแบ่ง 2.51% ในตลาดโลก และเมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ประเทศผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย พบว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากจีนเท่านั้น ล่าสุดการส่งออกของไทยเดือนมีนาคม 2563 มีการขยายตัวสูงสุดในระบ 8 เดือน โดยขยายตัว 4.17% มีมูลค่าส่งออก  22,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้เป็นสินค้าเกษตรแปรรูปที่ยังขยายตัวได้ดี โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลให้แนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตร เกษตรแปรรูปและอาหารมีความเด่นชัดมากขึ้น

เมื่อเจาะไปที่อุตสาหกรรมส่งออกปศุสัตว์ที่สำคัญ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไก่เนื้อ ไทยถือเป็นแนวหน้าของการพัฒนาใน กระทั่งเป็นผู้ผลิตไก่รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก เป็นการบริโภคในประเทศคิดเป็นสัดส่วน 62.91% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด โดยไทยเป็นผู้ส่งออกไก่เป็นอันดับ 4 ของโลก ไปยังกลุ่มตลาดหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (EU) ในปี 2562 ไทยส่งออกเนื้อไก่ไปตลาดญี่ปุ่นเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 438,000 ตัน มูลค่า 59,700 ล้านบาท  และอันดับ 2 ในตลาด EU ประมาณ 320,000 ตัน มูลค่า 33,800 ล้านบาท และปริมาณในตลาดอื่น ๆ 196,000 ตัน มูลค่า 18,000 ล้านบาท

โดยปี 2563 นี้ไทยมีเป้าหมายการส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ที่ ปริมาณ 980,000 ตัน มูลค่า 120,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันไก่เนื้อหน้าฟาร์มราคาซื้อขายจริงอยู่ที่กิโลกรัมละ 31 บาท ขณะที่กัมพูชาราคาอยู่ที่ 30 บาท เมียนมา 34 บาท ส่วนจีนที่เป็นประเทศผู้บริโภคหลักของโลกราคาพุ่งไปถึง 45 บาทแล้ว

ขณะที่อุตสาหกรรมสุกรของไทย คาดว่าปีนี้จะมีปริมาณการผลิตสุกร 1.68 ล้านตัน สินค้าสุกรส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศถึง 92.86% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ที่เหลือเป็นการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แม้ว่าการส่งออกในช่วงนี้อาจติดขัดเรื่องการปิดด่านพรมแดนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยมาตรฐานการผลิตของไทย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านยังมีความต้องการสุกรมีชีวิตจากการระบาดของโรค ASF ในต่างประเทศ จึงถือเป็นโอกาสในการส่งออกหมูไทยอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนราคาซื้อขายหมูขุนหน้าฟาร์มของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 63 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ลาวราคาอยู่ที่ 77 บาท เมียนมา 80 บาท กัมพูชา 96 บาท เวียดนาม 99 บาท และจีนที่ขาดแคลนเนื้อหมูอย่างหนักจากวิกฤติโควิดราคาสูงถึง 157 บาทต่อกิโลกรัมแล้ว

เรียกได้ว่าทั้งไก่และหมูไทยจะกลายเป็นที่น่าจับตาในตลาดโลก ทั้งจากราคาที่สามารถแข่งขันได้ ที่สำคัญสินค้าปศุสัตว์ทั้งสองชนิดก็มีจุดแข็งที่มาตรฐานการผลิต ควบคู่กับการควบคุมป้องกันโรคที่เข้มงวด

ต่อจากนี้ต้องฝากเป็นการบ้านของรัฐบาลและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ที่ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศว่า ไทยพร้อมเป็นครัวของโลกในยามวิกฤติ โดยเน้นไปยังประเทศเป้าหมายอย่างจีน เกาหลี ฮ่องกง ที่เริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 และเริ่มมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นก่อน ขณะเดียวกันก็เจาะไปที่ประเทศที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง ควบคู่กับหลายประเทศที่เริ่มมีภาวะขาดแคลนอาหาร และไม่ลืมมองไปยังหลายประเทศที่มีมาตรการล็อคดาวน์ ซึ่งส่งผลให้การผลิตสินค้าเกษตรเป็นไปได้ยาก

ดังนั้นไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารโลก ต้องเร่งใช้โอกาสนี้ขยายตลาดสินค้าเกษตรและอาหารของไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และผลักดันสินค้าไปจำหน่ายทั่วโลก เพราะเชื่อว่าจะเป็นที่ต้องการอย่างแน่นอน วิกฤติโควิด…จึงเป็นโอกาสของหมูไก่ไทยอย่างแท้จริง

โออาร์ เปิด “พื้นที่ปันสุข” ให้เกษตรกรขายมะม่วงน้ำดอกไม้ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น

0

บริษ้ท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศ เปิด “พื้นที่ปันสุข” ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เพื่อให้เกษตรกรไทยนำผลิตผลทางการเกษตรมาจำหน่ายตามโครงการรวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทย โดยจำหน่ายมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ราคาพิเศษ กล่องละ 150 บาท (บรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม) เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน – 6 พฤษภาคม 2563 ระหว่างเวลา 08:00 – 15:00 น. ณ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ จำนวน 10 สถานี ดังนี้

1. สถานีบริการ บจ.ปิโตรเลียมอเวนิว 99/114 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ

2. สถานีบริการ บจ.ที.เค.ที คอมเมอร์เชียล 673/1 ถนนรามอินทรา แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ

3. สถานีบริการ บจ.ปิโตรเลียมน้ำมัน(ถนนรามอินทรา) 60/8 ม.4 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ

4. สถานีบริการ บจ.พลังไทยเพื่อไทย 58/8-58/17 ม.12 ถนนเสรีไทย แขวงคันนายาว เขตคันนายาว กรุงเทพฯ

5. สถานีบริการ บจ.เทพรักษ์ อินโนเวชัน 395 ถนนเทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ

6. สถานีบริการ สวัสดิการ ร.1 รอ. 181 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร

7. สถานีบริการ สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว 359 ถนนประดิษฐมนูญธรรม แขวง/เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ

8. สถานีบริการ สาขาราชพฤกษ์ 15/26 ม.1 ถนนราชพฤกษ์ ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี

9. สถานีบริการ บจ.ประดับดาว กรุ๊ป 97/9 ม.1 ถนนราชพฤกษ์ ตำบลท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี

10. สถานีบริการ บจ.เจษฎาบดินทร์ออยล์ 92/7 ม.8 ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี นนทบุรี

รายละเอียดเพิ่มเติมโทร.1365 Contact Center หรือ www.pttor.com

26 เม.ย. คนกรุงเทพเตรียมเงาหาย ดวงอาทิตย์ตั้งฉากครั้งแรกของปี63

0
ดวงอาทิตย์ตั้งฉาก

สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคมของทุกปี ดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ในตำแหน่งตั้งฉากกับประเทศไทย เริ่มจากใต้สุดของประเทศไทย ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นดวงอาทิตย์จะโคจรตั้งฉากกับพื้นที่เหนือขึ้นมาเรื่อยๆ และจะตั้งฉากกับพื้นที่เหนือสุดของประเทศไทย ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2563

สำหรับกรุงเทพมหานคร ดวงอาทิตย์จะตั้งฉากเหนือศรีษะพอดี ในวันที่ 26 เมษายน 2563 เวลาประมาณ 12:16 น. เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับพื้นโลก เงาจะตกอยู่ใต้วัตถุพอดี ไม่มีเงาทอดออกมา จึงทำให้พื้นโลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามอุณหภูมิจะสูงที่สุดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณฝน เมฆ อิทธิพลจากมรสุม ความร้อนสะสมในบรรยากาศ ฯลฯ ก็อาจส่งผลต่ออุณหภูมิได้

ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน ระหว่างแนวละติจูด 5-20 องศาเหนือ ทำให้ประเทศที่อยู่ในบริเวณนี้จะมีวันที่ดวงอาทิตย์ผ่านใกล้จุดเหนือศีรษะมากที่สุดปีละ 2 ครั้ง โดยดวงอาทิตย์จะโคจรพาดผ่านแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทำให้แต่ละจังหวัดของประเทศไทยเห็นดวงอาทิตย์ผ่านเหนือศีรษะไม่พร้อมกัน นับเป็นอีกหนึ่งปรากฎการณ์ที่น่าติดตามในทุกๆปี

กระทรวงพลังงานเริ่มทยอยส่งแอลกอฮอล์ให้รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลแล้ว เริ่มที่นนทบุรี 76 รพ.

0
สนธิรัตน์

ดีเดย์เริ่มกระจายแอลกอฮอล์ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ประเดิมที่นนทบุรี 76 แห่ง พร้อมทยอยจัดส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ส่งต่อให้สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้กระจายต่อไปยังโรงพยาบาลสุขภาพตำบล 9,800 แห่งทั่วประเทศ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานส่งมอบแอลกอฮอล์โครงการพลังงานร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่ศาลาว่าการจังหวัดนนทบุรี โดยมีนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีให้การต้อนรับ

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานร่วมมือกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)และบริษัทในเครือ ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับของกระทรวงพลังงาน จัดหาแอลกอฮอล์ 70% เพื่อกระจายให้กับกระทรวงสาธารณสุข โดยส่งไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั่วประเทศเพื่อนำไปใช้ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ หรือใช้ป้องกันโรคระบาดโควิดกับพี่น้องประชาชนที่อยู่บริเวณรอบโรงพยาบาล และประชาชนในกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องเข้าถึงแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ หรือกลุ่มผู้มีโรคประจำตัว

“วันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มกระจายแอลกอฮอล์ส่งให้กับทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยเริ่มในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นที่แรก ซึ่งมีโรงพยาบาลฯสุขภาพตำบลรวม 76 แห่ง โดยมีปริมาณจัดหาแอลกอฮอล์สำหรับจังหวัดนนทบุรีรวม 7,600 ลิตร ซึ่งจะจัดส่งผ่านท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อให้สาธารณสุชจังหวัดกระจายต่อไปยังรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล”

ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงานได้ร่วมกับกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุญาตนำเอทานอลไปผลิตเป็นเจลล้างมือได้ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงาน เนื่องจากกระทรวงพลังงานได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสถานการณ์เร่งด่วน และมีปริมาณเอทานอลสำรองเพียงพอในการใช้ในภาคพลังงาน

เปิดเทอมนี้เตรียมตัวเรียนออนไลน์ วิถีที่ต้องปรับตัวทั้งเด็กและผู้ปกครอง

0
ภาพโดย cherylt23 จาก Pixabay

แม้ว่า ตอนนี้จะมีความชัดเจนเรื่องวันเปิดภาคเรียนปีการศึกษาใหม่ เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 แล้วก็ตาม แต่สำหรับในด้านของวิธีการเรียนการสอน และความพร้อมรับมือสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นใหม่หลังจากนี้ ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดสักเท่าไร

แน่นอน เราทราบว่า ปีการศึกษาหน้า ตารางเรียนคงแน่นมาก และระยะเวลาปิดเทอมทั้งปิดเทอมเล็กและใหญ่ ก็ต้องร่นเวลาเหลือน้อยลง หรืออาจไม่มีเลย

แต่สิ่งที่ผู้ปกครองต้องการทราบถึงความชัดเจน ณ ตอนนี้ คือ แต่ละโรงเรียน จะมีวิธีบริหารจัดการการเรียนการสอนอย่างไรสำหรับเด็ก เพื่อให้สามารถเข้าถึงและเข้าใจหลักสูตรการเรียนได้เหมือนตอนสถานการณ์ปกติ

หลาายโรงเรียนเตรียมพร้อมรับมือแต่เนิ่นๆ มีการตระเตรียมหลักสูตรออนไลน์สำหรับเด็กไว้รอแล้ว ซึ่งบุคลากรของโรงเรียนที่จะมีบทบาทสำคัญ และต้องปรับตัวเช่นกัน คือ คุณครูของเด็กๆ นั่นเอง ตอนนี้ก็ต้องมีการจัดเตรียมวิชาความรู้เพื่อเตรียมถ่ายทอดให้นักเรียนในช่องทางใหม่ที่อาจไม่คุ้นชิน และแตกต่างจากสถานการณ์ปกติ ซึ่งคุณครูเองก็จำเป็นต้องพ้ฒนาความรู้ และเพิ่มทักษะการใช้งานเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้เช่นกัน

ขณะที่ด้านของตัวเด็กเอง หากเป็นเด็กโตที่คุ้นชินกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ ช่องทางโซเชียลมีเดีย และแอปใช้งานต่างๆ แล้ว ก็ดูไม่น่ามีปัญหานอกเหนือไปกว่าการรักษาวินัยในการเรียนออนไลน์ ไม่ให้หย่อนยานไปกว่าตอนเรียนปกติ

ที่อาจมีปัญหา ก็คือ เด็กเล็ก ซึ่งก็ต้องอาศัยผู้ปกครองเป็นผู้ช่วยคอยดูแล ตระเตรียมอุปกรณ์ และสอนวิธีใช้ให้ แน่นอน พ่อแม่ก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน ทั้งเรื่องเวลา และการทำความรู้จักเครื่องมือเหล่านี้

ขณะที่ทางด้านโรงเรียนเอง ตอนนี้มีหลายโรงเรียนเดินหน้าเตรียมตัวเปิดให้นักเรียนเรียนออนไลน์กันแล้ว ตัวอย่างเช่น โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และ โรงเรียนอัสสัมชัญ สองโรงเรียนเอกชนชื่อดังย่านสาทร และบางรัก ตามลำดับ

ทั้งสองโรงเรียนเริ่มแจ้งข่าวสารถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้ผู้ปกครองรับทราบ ผ่านทางช่องทางติดต่ออย่างไลน์กลุ่มผู้ปกครอง โดยรร.อัสสัมชัญ ประกาศว่าจะเปิดเรียนออนไลน์ ผ่านทาง Google Classroom ตั้งแต่ 18 พ.ค.- 30 มิ.ย. โดยมีทั้งที่นร.ต้องเรียนด้วยตัวเองทางออนไลน์ กับที่คุณครูจัดการสอนออนไลน์ให้นร. ถือว่าเป็นรร.ที่ประกาศให้ผู้ปกครองทราบได้ชัดเจนมาก มีการกำหนดวันสอบทั้งกลางภาคและปลายภาครอไว้แล้วทีเดียว โดยการเรียนการสอนจะดำเนินต่อเนื่องจากเนื้อหาออนไลน์เมื่อเปิดเทอมวันที่ 1 ก.ค.

ขณะที่รร.กรุงเทพคริสเตียนเอง ก็มีการตระเตรียมเรียนออนไลน์เช่นเดียวกัน โดยมีการแจ้งผ่านกลุ่มเครือข่ายผู้ปกครอง ให้กระจ่ายข่าวสารไปยังผู้ปกครองในระดับชั้นแต่ละชั้น เพื่อให้เตรียมตัวเด็ก และอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการเรียนออนไลน์ผ่านทาง Facebook Group โดยมีกำหนดจะเริ่มเปิดสอนออนไลน์ในเดือนพฤษภาคมนี้เช่นเดียวกัน

ท้้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาต่อเด็ก และการปรับตัวใหัทันรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายส่วน ทั้งรร. บุคคลากรของรร. ผุ้ปกครอง และตัวเด็กเอง ที่ต้องทุกส่วน ต้องปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง ให้เข้าถึงวิชาความรู้ อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อกระบวนการเรียนรู้ของชีวิตของทุกคน

อย. เตือน พบกาแฟผสมยาปลุกเซ็กส์ วางขายในออนไลน์ อันตรายถึงตายได้

0

นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดยศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ได้ติดตามเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เกิดขึ้นในต่างประเทศจากเว็บไซต์ของหน่วยงานกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพต่าง ๆ โดยล่าสุด Health Sciences Authority (HSA)สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้แจ้งเตือนพบ ซิลเดนาฟิล และทาดาลาฟิล ซึ่งเป็นยาอันตรายในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 3 รายการ ได้แก่ 1. Kopi Jantan Ali Macca 2. Kopi Panggung Al-Ambiak Natural Herbs Coffee 3. Berry Jaga Chewable Candy   

นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา 

จากการสืบค้นข้อมูลในระบบฐานข้อมูลผลิตภัณฑ์สุขภาพของ อย. พบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว ไม่มีการขึ้นทะเบียนกับ อย. แต่พบมีการขายผลิตภัณฑ์ที่ใช้ชื่อว่า Kopi Panggung  Al-Ambiak Natural Herbs Coffee ทางอินเทอร์เน็ต

ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) เป็นยากลุ่มที่ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ มีผลข้างเคียงทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทตา ถึงขั้นตาบอดได้ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง หัวใจเต้น    ผิดจังหวะ เกิดอาการเจ็บปวดที่อวัยวะเพศ ความดันโลหิตสูง และอาจเป็นภัยร้ายรุนแรงถึงชีวิตโดยคาดไม่ถึง และทาดาลาฟิล (tadalafil) อยู่ในกลุ่มเดียวกับซิลเดนาฟิล ออกฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด มีข้อควรระวังในการใช้ในผู้ป่วยโรคตับและไต ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจล้มเหลว โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บหน้าอกแบบไม่คงที่ ผลิตภัณฑ์อาหารดังกล่าวจัดเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัยแก่การบริโภค จึงขอเตือนภัยไปยังผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์กาแฟผงสำเร็จพร้อมบริโภคที่มีการอวดอ้างสรรพคุณเสริมสมรรถภาพทางเพศ  โดยเฉพาะทางสื่อออนไลน์ ซึ่งการอวดอ้างในลักษณะดังกล่าว อย. ไม่เคยอนุญาตให้มีการโฆษณา เพราะอาจปลอมปนยาและส่งผลเสียต่อสุขภาพเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

หากพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะผ่านเว็บไซต์ และ Social Media ขอให้แจ้งมาได้ที่ อย. โดยตรง ทางสายด่วน อย. 1556 หรือร้องเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มงวด

ทุกข์ของผู้บริโภค โควิด-19 ทำปัญหาหนี้บัตรเครดิต กับเลื่อน/ยกเลิกตั๋วเครื่องบิน พุ่งสูง

0
ภาพโดย Anemone123 จาก Pixabay

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผย สถานการณ์ผู้บริโภคในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 โดยตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนมีนาคม เป็นช่วงวิกฤตการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบหลายด้าน

พบว่า มีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 1,055 เรื่อง ปัญหาเป็นอันดับหนึ่งและสอง คือ เรื่องอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ คิดเป็น 36.11% และ บริการสาธารณะ คิดเป็น 33.46% โดยปัญหาการเลื่อน – ยกเลิกเที่ยวบิน เป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่วนอันดับที่สามเป็นเรื่องการเงินการธนาคาร คิดเป็น 8.91% มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นการปรึกษาเรื่องหนี้บัตรเครดิต

ทั้งนี้ ปัญหาการเลื่อน – ยกเลิกเที่ยวบิน และปัญหาหนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

โดยปัญหาหมวดอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องโฆษณาอันเป็นเท็จหรือหลอกลวง มีทั้งการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง การแสดงสรรพคุณอันเป็นเท็จ แสดงที่ตั้งอันเป็นเท็จทำให้หลงเชื่อ ประเภทของผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหามากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลข อย. ผลิตภัณฑ์ที่ฉลากถูกสั่งเลิกใช้แล้ว และผลิตภัณฑ์ที่ฉลากไม่ครบถ้วน ไม่มีภาษาไทย

สำหรับปัญหาด้านบริการสาธารณะ เรื่องรถโดยสารสาธารณะยังคงเป็นปัญหาที่ได้รับร้องเรียนมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องพนักงานประพฤติตัวไม่เหมาะสม และการชดเชยเยียวยาความเสียหายจากอุบัติเหตุรถโดยสาร ประเภทรถที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ รถตู้โดยสาร และรถทัวร์ และ ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมายังพบการร้องเรียนปัญหาเรื่องการเลื่อน – ยกเลิกเที่ยวบิน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ของรัฐบาล เช่น การเลื่อนวันหยุดสงกรานต์ เป็นต้น ซึ่งสายการบินควรจะมีนโยบายการเลื่อน ยกเลิก และคืนเงินให้ผู้บริโภค เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาลด้วย

และปัญหาด้านการเงินการธนาคาร พบปัญหาเรื่องหนี้บัตรเครดิตมากที่สุด ส่วนใหญ่ขอคำปรึกษาเรื่องการผิดนัดชำระ จนเกรงว่าจะติดเครดิตบูโรหรือถูกฟ้อง เนื่องจากเมื่อมีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประชาชนบางกลุ่มถูกให้ออกจากงานเพื่อลดภาระของบริษัท หรือบางบริษัทต้องปิดตัวลง ทำให้ไม่สามารถหาเงินไปชำระหนี้บัตรเครดิตได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาธุรกิจเช่าซื้อยานพาหนะ ธุรกิจสินเชื่อ ที่ได้รับผลกระทบเรื่องการชำระหนี้ แม้รัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือโดยให้สถาบันการเงินบางแห่งพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้เป็นเวลา 3 เดือน แต่ก็ยังช่วยเหลือลูกหนี้ได้ไม่ทั่วถึง เนื่องจากผู้บริโภคบางรายมีหนี้สินกับหลายสถาบัน แต่การหยุดพักชำระหนี้ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด รวมถึงระบบการเยียวยาไม่ได้ครอบคลุมทุกสาขาอาชีพ ทำให้ปัญหาเรื่องหนี้สินของผู้บริโภคยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การก่อหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายผู้บริโภคได้แก้ไขปัญหาไปแล้ว 693 เรื่อง หรือร้อยละ 65.69 โดยเรื่องเฝ้าระวังสินค้าอันตรายออนไลน์ ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA รวมถึงตลาดออนไลน์ต่างๆ (E-Market place) เช่น Lazada Shopee ในการจัดการปัญหา หากมีเรื่องร้องเรียนหรือพบว่ามีร้านค้าขายสินค้าที่ผิดกฎหมาย ตลาดออนไลน์ก็จะมีการตรวจสอบและดำเนินการนำสินค้านั้นออกจากหน้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ส่วนการแก้ไขปัญหาด้านอื่น เช่น บริการสายการบิน มูลนิธิฯ และเครือข่าย ได้ประสานงานกับทางบริษัท เพื่อให้ยกเลิกและคืนเงินให้กับผู้บริโภค

สมศักดิ์ เล็งใช้กำไลอีเอ็ม คุมผู้ต้องขังพักโทษ

0

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยหลังการประชุมวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ กับผู้บัญชาการเรือนจำ 141 แห่งทั่วประเทศ ว่า ได้กำชับทุกเรือนจำห้ามประมาท สอดส่อง คัดกรองให้ละเอียด ไม่ให้เชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่เรือนจำ เพราะจะเกิดผลกระทบในวงกว้างทันที  เวลานี้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ทำแล็บ เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กร ที่สามารถตรวจบุคคลภายนอก และบุคลากรของกระทรวงยุติธรรมได้  ดังนั้นผู้บัญชาการทุกเรือนจำต้องหาทางศึกษาการจัดเก็บสารคัดหลั่ง เพื่อนำส่งมาให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจหาเชื้อ เพื่อความรวดเร็วและป้องกันไม่ให้เชื้อลุกลาม

สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม

นอกจากนี้ การจัดทำรายการ เรื่องเล่าชาวเรือนจำ ช่วยให้ผู้ต้องขังเกิดความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ จนไม่มีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นอีก สังคมก็ชื่นชมเพราะเห็นความพยายาม ขอให้ทุกฝ่ายทำงานเต็มที่ เฝ้าระวังให้ละเอียด ห้ามการ์ดตก

“การปล่อยตัวนักโทษของกรมราชทัณฑ์  ต้องมีการคัดกรองให้ดี ต้องรู้ว่าแต่ละคนเป็นนักโทษที่มีพฤติกรรมอย่างไร มิใช่ปล่อยออกมาแล้วก่อเหตุซ้ำ ต้องใส่ใจนักโทษ เพราะในเดือนสิงหาคม – กันยายน เราจะมีกำไลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม ก็จะมีการพิจารณาพักโทษเพิ่ม” รมว.ยุติธรรม กล่าว

และรวมถึงงบประมาณที่กระจายสู่เรือนจำ กว่า 190 ล้านบาท เพื่อทำห้องกักโรค, เตียง 2 ชั้น ซึ่งเรือนจำบางแห่งเริ่มลงมือทำแล้ว ต้องวางแผนคำนวณตารางเมตรให้ดี ที่นอนผู้ต้องขังต่อคนนั้นประมาณ 1.2 ตารางเมตร อากาศต้องถ่ายเท ถูกสุขลักษณะเป็นสำคัญ