Home Blog Page 441

บุญรอดฯ ช่วยสร้างงาน ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ เตรียมงบเพิ่มเติม 50 ล.

0

บุญรอดบริวเวอรี่ ช่วยสร้างงานผ่านโครงการสิงห์อาสา ทั่วประเทศ สร้างรายได้ผ่านจิตอาสา เริ่มทันทีภายในเดือนพฤษภาคม 3 โครงการ สิงห์อาสาสู้ไฟป่า, สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และสิงห์อาสาป้องกันน้ำท่วม หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง เตรียมงบประมาณเพิ่มเติมทั้งปีอีก 50 ล้านบาท

ปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด

นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า นายวุฒา ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริษัทฯ และ นายสันติ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริหาร มอบนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งในเรื่องของปากท้องและการสร้างอาชีพเพื่อสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยจะเริ่มทำทันที ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป เพื่อสร้างรายได้ผ่านการทำงานจิตอาสาดูแลท้องถิ่นของตน

การจ้างงาน ดำเนินการผ่าน 3 โครงการเร่งด่วน คือ

  • โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า คลอบคลุม 10 จังหวัด ภาคเหนือ และภาคตะวันออก
  • โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง คลอบคลุม 20 จังหวัดภาคอีสาน
  • โครงการสิงห์อาสาป้องกันน้ำท่วม คลอบคลุม 7 จังหวัดภาคกลาง ซึ่งอาสาสมัครที่เข้าร่วมในแต่ละโครงการจะได้รับเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการอาหาร

นอกจากนี้ยังมีโครงการทางด้านการเกษตรอีกหลายโครงการ ที่จะทำร่วมกับศูนย์ภูมิปัญญาชาวบ้านสิงห์อาสา 4 จังหวัด (เชียงราย สิงห์บุรี ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี) และพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดเชียงราย น่าน และขอนแก่น รวมทั้งโครงการฝึกทักษะวิชาชีพ ที่จะทำร่วมกับสถาบันการศึกษาในหลายจังหวัด เปิดอบรมฟรีให้กับผู้สนใจ เพื่อพัฒนาสู่การสร้างอาชีพดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวต่อไป

ส่วนโครงการในระยะยาว สิงห์อาสา ได้จัดโครงการอบรมเสริมอาชีพ โดยร่วมกับ เครือข่ายของสิงห์อาสาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัย, สถาบันอาชีวศึกษา, ศูนย์ภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมถึงบริษัทในเครือ นำองค์ความรู้มาอบรมสร้างอาชีพให้กับประชาชน เพื่อไปต่อยอดการประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองอย่างยั่งยืน เช่น ฝึกทักษะอาชีพช่างพื้นฐาน อาทิ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างยนต์ ช่างก่อสร้าง ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ และทักษะการซ่อมแซมสิ่งพื้นฐานที่มีความจำเป็นภายในบ้าน การอบรมการทำอาหารครอบคลุมเครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ ร่วมกับชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารในเครือสิงห์ฯทั่วประเทศ สอนการทำเมนูเด็ด 77 จังหวัด การอบรมร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน นำความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ไปประยุกต์ใช้ การอบรมเรียนรู้แนวคิดโรงเรียนเกษตรพอเพียงสร้างผลผลิตเลี้ยงตัวเองและจำหน่ายในชุมชน รวมถึงการอบรมการปลูกพืชพันธุ์ทางการเกษตร ในจังหวัดเชียงราย น่าน และขอนแก่น

ก่อนหน้านี้บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และบริษัทในเครือฯตลอดจนตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศได้จัดทำโครงการต่างๆเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือไปยังบุคคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเดือดร้อนคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทยังยืนยันการจ้างงานต่อกับพนักงานทุกคนทั้งในส่วนของ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และพนักงาน บริษัทในเครือ รวมทั้งคู่ค่าของบริษัทฯ ทั้งหมดกว่า 25,000 คนอีกด้วย

สำหรับการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆถือเป็นปรัชญาการทำงานของบริษัทฯ ตามเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งบริษัทฯ “พระยาภิรมย์ภักดี” ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวปฏิบัติที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานกว่า 87 ปี  “สิงห์อาสา” โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ คลอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีภารกิจช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

กรมชลฯ ช่วยสร้างงานให้เกษตรกรภาคอีสาน ทะลุ 4,300 ราย

0

นายศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6 เปิดเผยว่า กรมชลประทาน มีความห่วงใยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งและการระบาดของโรค COVID-19 จึงมีมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนรายได้ของพี่น้องเกษตรกร ด้วยโครงการจ้างแรงงานเกษตรกรในปีงบประมาณ 2563 สำหรับปฏิบัติงานซ่อมแซม บำรุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ำและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ

ศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6

สำหรับความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานชลประทานที่ 6 ทั้ง 5 จังหวัด (ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด) ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ้างแรงงานเกษตรกรประมาณ 280 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานเกษตรกรได้ไม่น้อยกว่า 7,000 ราย ปัจจุบันทั้ง 5 จังหวัดได้จ้างแรงงานไปแล้วกว่า 4,300 ราย คิดเป็นร้อยละ 58 ของจำนวนแรงงานเกษตรกรที่จ้าง จังหวัดที่มีการจ้างแรงงานเกษตรกรมากที่สุดในขณะนี้คือจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งจ้างแรงงานเกษตรกรไปแล้วมากกว่าร้อยละ 95 ส่วนจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ เริ่มทยอยจ้างไปแล้วกว่าร้อยละ 50

ทั้งนี้ เกษตรกรที่สมัครทำงานจะได้รับค่าจ้างวันละ 377.85 บาท หรือเดือนละประมาณ 8,000 บาท ระยะเวลาการจ้างงาน 3-7 เดือน รายได้ตลอดระยะเวลาการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-56,000 บาท/คน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและระยะเวลาที่ทำ โดยได้เริ่มดำเนินการจ้างแรงงานเกษตรกรมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 63 ที่ผ่านมา ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ้างแรงงานคือต้องเป็นเกษตรกรในพื้นที่ เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ ผู้ใช้แรงงานทั่วไป และหากแรงงานในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ ให้พิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัส COVIC-19 ในระหว่างการทำงาน จึงได้กำชับให้ทุกโครงการปฏิบัติตามมาตรการ SOBOP ของกรมชลประทาน โดยการตรวจคัดกรองอุณหภูมิร่างกายก่อนทำงาน สวมหน้ากากอนามัย พร้อมจัด    เจลล้างมือไว้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังได้กำชับให้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อที่เครื่องจักร เครื่องมือ รวมถึงควบคุมให้เว้นระยะห่างในระหว่างปฏิบัติงานตามความเหมาะสมของลักษณะงานแบบ Social Distancing อีกด้วย

นายจิรศักดิ์ มงคลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานร้อยเอ็ด กล่าวว่า ในพื้นที่จ.ร้อยเอ็ด ได้รับงบประมาณในการจ้างแรงงานเกษตรกรประมาณ 50 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานได้ประมาณ 1,180 คน ปัจจุบันนี้ จ้างแรงงานไปแล้ว 1,160 คน เริ่มทำงานมาตั้งแต่มีนาคม 63 โดยลักษณะงานที่ทำเป็นการใช้แรงงาน เช่นงานก่อสร้างเสริมความมั่นคงแข็งแรงพนังกั้นลำน้ำยัง งานปรับปรุงประตูระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัยในลำน้ำชี และงานขุดลอก เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถาการณ์น้ำหลาก และช่วยบรรเทาอุทกภัยในจังหวัดร้อยเอ็ด ในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึงนี้

นายนิรันดร์ ครูมนตรี และนายวัฒนา ปิตฝ่าย ประชาชนอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด บอกว่า ทั้งสองต่างได้รับผลกระทบของโควิด-19 เพราะโรงงานที่ทำงานในกทม.เลิกจ้าง จึงต้องกลับมาทำการเกษตรอยู่ที่ร้อยเอ็ดบ้านเกิด รู้สึกดีใจและโชคดีมากที่ได้ทราบข่าวการจ้างแรงงานของกรมชลประทาน หลังจากที่ผ่านการกักตัวครบ 14 วันแล้ว จึงมาสมัครทำงานกับโครงการชลประทานร้อยเอ็ด ทำให้มีรายได้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายจุนเจือครอบครัวในช่วงที่ตกงาน    ขอขอบคุณกรมชลประทานสำหรับโครงการนี้ ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้ครอบครัวแล้ว ยังได้งานที่เป็นประโยชน์ ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวอีกด้วย

แอร์เอเชียพร้อมกลับมาบิน 1 พ.ค.

0

สายการบินไทยแอร์เอเชีย (เที่ยวบิน FD) พร้อมเริ่มกลับมาให้บริการบางเส้นทางภายในประเทศ ตั้งเเต่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

เว้นระยะห่างผู้โดยสารเเบบเว้นที่นั่ง การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อใช้บริการสายการบิน การงดจำหน่ายอาหารเเละเครื่องดื่ม ฯลฯ พร้อมมาตรการฆ่าเชื้อและทำความสะอาดเครื่องบิน รถบัสรับส่งในทุกวัน และทุกเที่ยวบินเฝ้าระวัง เพื่อความมั่นใจของผู้โดยสารเเละพนักงานทุกคน

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า สายการบินตัดสินใจเริ่มกลับมาให้บริการเส้นทางในประเทศอีกครั้ง ตั้งเเต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อรองรับผู้โดยสารที่มีความจำเป็นในการเดินทาง ทั้งการกลับบ้านหรือภาคธุรกิจ โดยสายการบินได้ประชุมร่วมกับสำนักงานกรมการบินพลเรือนเเห่งประเทศไทย เเละสายการบินต่างๆ เพื่อเริ่มบินบางเส้นทางภายในประเทศ อาทิ เส้นทางดอนเมืองสู่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนเเก่น อุดรธานี อุบลราชธานี นครพนม ร้อยเอ็ด นครศรีธรรมราช ตรัง หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี และเส้นทางข้ามภาค เชียงใหม่-หาดใหญ่ เป็นต้น ทั้งนี้สายการบินจะอัพเดตให้ทราบเส้นทางต่างๆ เพิ่มเติม ผ่านเฟซบุ๊กแอร์เอเชียต่อไป

ทั้งนี้ สายการบินแอร์เอเชีย ได้กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันเเละลดโอกาสการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ดังต่อไปนี้

  1. การเว้นระยะห่างผู้โดยสารบนเครื่อง เเบบที่นั่งเว้นที่นั่ง โดยสายการบินจะจำหน่ายเเละควบคุมปริมาณที่นั่งในการเดินทางที่เหมาะสมในทุกเที่ยวบินตามข้อกำหนด รวมทั้งการกำหนดจุดยืนเว้นระยะห่างในรถบัสรับส่ง เเละเคาน์เตอร์บริการต่างๆ
  2. การกำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทาง จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อใช้บริการ
  3. การงดจำหน่าย รวมทั้งไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารเเละเครื่องดื่มบนเครื่อง 
  4. การกำหนดมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่รัดกุมร่วมกับท่าอากาศยาน การตรวจวัดอุณหภูมิที่ประตูขึ้นเครื่อง ทั้งนี้ หากพบว่าผู้โดยสารมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.3 องศาเซลเซียส มีอาการไอ จาม หรือเข้าข่ายผู้ต้องเฝ้าระวัง สายการบินอาจจำเป็นต้องปฏิเสธการเดินทางนั้น
  5. อนุญาตให้นำเฉพาะกระเป๋าถือหรือกระเป๋าคอมพิวเตอร์ น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัมขึ้นเครื่องได้ 1 ใบเท่านั้น โดยมีขนาดไม่เกิน สูง 40 ซม. X กว้าง 30 ซม. X ลึก 10 ซม. ส่วนสัมภาระอื่นที่มีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม สามารถโหลดลงใต้ท้องเครื่องได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  6. แนะนำให้ผู้โดยสารทุกคนเช็คอินด้วยตนเองผ่านเว็บ โมบาย หรือคิออสเช็คอิน เพื่อลดโอกาสสัมผัส สำหรับผู้โดยสารกับพนักงานผู้ให้บริการ

นอกจากนี้ ลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่บนเที่ยวบิน รวมถึงพนักงาน จะได้รับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายในทุกๆ ครั้ง ก่อนเเละหลังการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงจะสวมอุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ หน้ากากอนามัย แว่นตา และถุงมือ ตลอดการให้บริการ

ทั้งนี้ สายการบินแอร์เอเชียยังคงกำหนดมาตรการทำความสะอาดเเละฆ่าเชื้อทั้งภายในเครื่องบิน รถบัสขนส่ง เคาน์เตอร์บริการเเละตู้คีออสเช็คอินตามมาตรฐานเป็นประจำทุกวัน การพ่นและอบสเปรย์ฆ่าเชื้อ รวมทั้งมั่นใจด้วยระบบกรองอากาศที่สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้มากกว่า 99.99% ด้วย HEPA FILTER ในเครื่องบินทุกลำ เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคนเดินทางได้อย่างมั่นใจสูงสุดกับแอร์เอเชีย

สาธารณสุขห่วง ผลสำรวจ 4% คนไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไข้และหวัด

0

เผยผลสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากป้องกันโรคของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 พบร้อยละ 4 ระบุไม่สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก

ชี้เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรกระทำเพราะเสี่ยงทั้งแพร่เชื้อไปให้ผู้อื่นและรับเชื้อเพิ่ม

นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่ประชาชนเริ่มผ่อนคลายจากจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มมีการเดินทาง พบปะกันมากขึ้น ที่สำคัญ คือ ต้องเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค การรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ ไม่สัมผัสจมูก ปาก หรือขยี้ตา ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคได้ทำการสำรวจพฤติกรรมการสวมหน้ากากของประชาชนในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ต่อเนื่องจำนวน 5 ครั้ง โดยครั้งที่ 5 เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าเมื่อมีอาการไข้ และหวัด เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก ประชาชนจะสวมหน้ากากป้องกันการแพร่เชื้อถึงร้อยละ 83 และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้รับเชื้ออีกร้อยละ 12 แต่มีร้อยละ 4 ที่ตอบไม่สวมหน้ากากป้องกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงที่จะแพร่โรคให้คนอื่นได้

“ต้องขอกระตุ้นเตือนสังคม เมื่อคนกลับมาทำงาน พบปะกันมากขึ้น การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยเป็นเรื่องที่จำเป็น ต้องทำอย่างเคร่งครัด เพราะเป็นปราการด่านสุดท้ายในการป้องกันเชื้อออกจากตัวผู้ป่วย รวมทั้งเป็นการป้องกันการรับเชื้อจากผู้อื่น”

นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า สำหรับการออกปฏิบัติการค้นหาผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อเชิงรุก โดยตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของภาคเอกชนนั้น ขอความร่วมมือให้ประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ เพราะเป้าหมายสำคัญของการคัดกรองค้นหาผู้ติดเชื้อ เพื่อนำตัวเข้าสู่ระบบการรักษา ป้องกันการแพร่เชื้อ รวมทั้งต้องติดตามผู้สัมผัสใกล้ชิดมาตรวจด้วย เพื่อความปลอดภัยของคนในประเทศ

กรมสมเด็จพระเทพฯ พระราชทาน “ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19” ให้รพ.16 แห่ง

0

มูลนิธิชัยพัฒนา ได้โพสภาพพร้อมเนื้อหาว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2563 ตู้อะคริลิคสำหรับตรวจเชื้อโควิด-19 พร้อมอุปกรณ์ หรือ “ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19” พระราชทาน ได้เดินทางถึงโรงพยาบาลสมุทรสาคร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีนายเตชพล ฐิตยารักษ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นผู้แทนส่งมอบ

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทาน “ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19” แก่โรงพยาบาล 16 แห่ง จำนวนรวม 23 ตู้

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 ตู้อะคริลิคสำหรับตรวจเชื้อโควิด-19 พร้อมอุปกรณ์ หรือ “ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19” พระราชทานเครื่องแรกได้เดินทางถึงโรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชกระแสให้ใช้งบประมาณจาก“กองทุนชัยพัฒนาสู้ภัยโควิด 19 ฯ” จัดซื้อ“ตู้ความดันลบสำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19”

ตู้ดังกล่าวเป็นนวัตกรรมจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ใช้สำหรับเก็บสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 เป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงตามมาตรฐานของห้องความดันลบของโรงพยาบาล ช่วยป้องกันการฟุ้งกระจายของเชื้อโรคในการเก็บสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกของผู้ป่วยเพื่อส่งตรวจ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งมอบได้ครบภายในเดือนเมษายน 2563 นี้ โดยได้รับความร่วมมือจาก บริษัท เดอเบล จำกัด ในเครือกลุ่มธุรกิจ TCP เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านการขนส่ง

มาเลเซียเฉียบขาด สั่งขังคุก 58 คนฝ่าฝืนคำสั่งให้อยู่บ้าน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า อิสมาอิล ซาบรี ยาคอบ รัฐมนตรีอาวุโสมาเลเซีย เผยจำนวนตัวเลขของชาวมาเลเซียที่ถูกศาลตัดสินจำคุก มี 58 คน ในข้อหาละเมิดคำสั่งรัฐบาลที่ให้ประชาชนอยู่แต่ภายในที่พัก กำลังถูกคุมขังอยู่ในศูนย์กักขังชั่วคราว

ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยของมาเลเซีย ได้จัดตั้ง เรือนจำพิเศษ จำนวน 11 แห่ง เพื่อไว้คุมขังผู้ที่ละเมิดคำสั่งควบคุมการเคลื่อนไหวของรัฐบาล ตามคำพิพากษาของศาล เนื่องจาก กรมราชทัณฑ์ มาเลเซีย วิตกว่า เรือนจำที่มีอยู่เดิม อาจแออัดจนเกินไป จนทำให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 กลุ่มใหม่ขึ้นมาได้

รัฐบาลมาเลเซียได้กำหนดโทษปรับไว้สูงสุดที่ 1,000 ริงกิต และ จำคุกระยะสั้นสูงสุด 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ สำหรับประชาชนที่ถูกจับ ตามจุดตรวจที่ตั้ง อยู่ทั่วประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนออกจากบ้าน ในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ถูกจับกุม เนื่องจากละเมิดมาตรการของรัฐบาล ที่ห้ามประชาชนจับกลุ่มกัน ซึ่งในกลุ่มคนที่ถูกจับนี้ รวมถึง กลุ่มแรงงานต่างชาติด้วย

นายอิสมาอิล ระบุว่า เรือนจำพิเศษดังกล่าว เป็นการนำศูนย์ฝึกวิชาชีพของกรมราชทัณฑ์มาดัดแปลง และเริ่มดำเนินงานตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (23 เม.ย.)

ขณะนี้ มาเลเซียมียอดสะสมผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 5,742 คน รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 51 คน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย ทำให้มียอดสะสมผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 98 ราย

สุดเศร้า เจ้าของภัตตาคารไทยในอเมริกา ติดโควิด-19เสียชีวิต หมอไม่รับรักษาเพราะอายุเกิน

0

นายตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว Tuang Untachai มีเนื้อหาว่า

ตวง อันทะไชย สมาชิกวุฒิสภา

เพื่อนของอดีตทูตอเมริกา เป็นสมาชิกวุฒิสภา รุ่นเดียวกับผม ส่งมาให้ผมเมื่อวานนี้ เป็นสำนวนภาษาของเขา ผมไม่ได้เขียนอะไรเพิ่มเติมเลยครับ เล่าให้ฟังว่า

“…ปกติผมไม่เคยเชียร์ลุงตู่เลยครับ กลับมีความเห็น negative ด้วยซ้ำว่ารัฐบาลของลุงตู่บริหารเศรษฐกิจไม่ค่อยได้เรื่อง แต่พอเจอไวรัสโควิด-19 ระบาดใหญ่ในขณะนี้ ผมกลับคิดว่าพวกเราโชคดีที่อยู่เมืองไทยภายใต้รัฐบาลของลุงตู่

เหตุผลคือเพื่อนนักเรียนเก่า AC ของผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของภัตตาคารไทย ที่เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ภรรยาของเขาส่งไลน์มาแจ้งว่า พอรู้ตัวว่าป่วย เพื่อนผมก็รีบไปเข้าโรงพยาบาลในเมืองนั้น ผลตรวจออกมาว่า positive คือแกติดไวรัสโควิดแน่ๆ หมอก็ไม่รับรักษาเลย เพราะแกอายุ 71 ปีแล้ว (ถ้าอายุเกิน 70 ปีเขาไม่ยอมรักษา) หมออ้างว่าไม่มีเตียงที่โรงพยาบาล แล้วไล่ให้แกกลับไปตายที่บ้าน ซึ่งไม่ถึงสัปดาห์แกก็เสียชีวิตจริงๆ

ภรรยาแกโอดครวญว่า สามีเสีย tax จำนวนมากให้รัฐบาลสหรัฐฯ แต่เจ็บไข้ไม่ยอมเหลียวแล พอภรรยาแกโทรแจ้ง 911 เขาก็มารับศพแกไปเผาทันทีเพราะเป็นศพติดเชื้อ โดยไม่มีพิธีศพอะไรทั้งสิ้น แม้แต่เถ้ากระดูกก็เอาไปกลบฝังหมด ภรรยาแกบอกว่ารอให้โควิดซาลงก่อนถึงจะจัด memorial service ให้

เมื่อเทียบกับคนไทยที่หนีตายมาจากต่างประเทศ รัฐบาลจัดรถตู้/รถบัส รับไปอยู่โรงแรมชั้นหนึ่ง (โห รร.แอมบาสซาเดอร์จอมเทียน) มีคนส่งข้าวปลาอาหารให้ทานวันละ 3 มื้อ มีหมอ/พยาบาลมาตรวจรักษา มียาแก้ไข้มาให้กิน พอครบกำหนดกักตัว 14 วันก็มีรถส่งกลับภูมิลำเนา เพื่อนๆที่อยู่อเมริกาฟังแล้วอิจฉาพวกเราที่อยู่เมืองไทยครับ

ที่เยอรมันไม่มีการลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำในช่วงโควิด ไม่มีการคืนเงินค่ามิเตอร์ไฟฟ้า ไม่มีธนาคารไหนผ่อนผันชะลอเวลาการใช้หนี้ หรือ พักหนี้ให้ชั่วคราว

คนไทยยังไม่สำนึกในกะโหลก ว่ามีรัฐบาลที่ดี อยากให้คนพวกนี้ ที่ด่านายกทุกวันไปอยู่ต่างประเทศจัง ไม่ว่ายุโรป อเมริกา พวกระบบทุนนิยมสามานย์เหมือนกันหมด ถ้าอยู่ในประเทศพวกนี้แล้วอยู่ในกลุ่มคนจน มีแต่ตายห่าอย่างเดียว รัฐบาลมันไม่ช่วยอะไรทั้งสิ้น ที่อเมริกาตายเป็นเบือน่ะ คนจนและคนไร้บ้านทั้งนั้น รัฐบาลมันปล่อยให้ตาย คงขอบใจโควิดมากที่มาล้างบางให้ !!”

ซีพีเอฟ จับมือกองทัพภาคที่ 1 ลงพื้นที่คลองเตย มอบอาหารคุณภาพให้ชุมชน

0
ซีพีเอฟ

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. ที่ผ่านมา พลโทธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 และ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เดินทางมามอบอาหารปลอดภัยให้แก่ชาวบ้านในชุมชนคลองเตย ตามโครงการ “กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับ CPF ส่งอาหารคุณภาพจากใจ…สู่ชุมชน” ซึ่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด19 โดยมี นายชาติชาย กุละนำพล ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตคลองเตย ร่วมงานด้วย

พลโทธรรมนูญ วิถี เปิดเผยว่า กองทัพและซีพีเอฟ ยินดีที่ได้ร่วมมือกันแบ่งปันความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ยากไร้ ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังต้องการความสามัคคีและร่วมแรงร่วมใจกัน “โครงการกองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับ CPF ส่งอาหารคุณภาพจากใจ…สู่ชุมชน” เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่กองทัพและซีพีเอฟได้ดำเนินการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารการกินของพี่น้องประชาชนในชุมชนคลองเตย ช่วยให้ทุกคนได้อิ่มท้องและรับมือวิกฤตไวรัสนี้ได้อีกทางหนึ่ง

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กล่าวว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ชุมชนพัฒนาใหม่ (คั่วพริก) ซึ่งเป็นชุมชนหนึ่งของเขตคลองเตย และได้ส่งกำลังใจให้พี่น้องด้วยอาหารแกงถุงที่รับประทานง่าย เพียงอุ่นร้อนโดยต้มทั้งถุงแกงในหม้อน้ำเดือด 5-7 นาทีก็พร้อมรับประทานได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องใช้ไมโครเวฟ

การส่งมอบอาหารให้ชาวบ้างครั้งนี้ ประกอบด้วยชุมชนพัฒนาใหม่ (คั่วพริก) ชุมชนริมคลองไผ่สิงห์โต ชุมชนริมคลองสามัคคี ชุมชนตลาดปีนัง ชุมชนน้องใหม่ รวม 1,058 หลังคาเรือนในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการ “กองทัพภาคที่ 1 ร่วมกับ CPF ส่งอาหารคุณภาพจากใจ…สู่ชุมชน” ซึ่งมอบอาหารแก่ประชากรทุกครัวเรือนในชุมชนแออัดเขตคลองเตยทั้ง 22 ชุมชน จำนวน 8,499 ครัวเรือน เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ ประชาชน ให้ก้าวผ่านวิกฤตไวรัสโควิด19 ไปด้วยกัน ภายใต้หลักคิด Good Citizen Organization กล่าวคือเป็นบริษัทที่ร่วมสร้างและดูแลสังคม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าให้กับประเทศ


ท่าเรือให้ชาวคลองเตยอยู่ฟรี อาคารพาณิชย์ลด 50% นาน 3 เดือน เยียวยาโควิด-19

0

นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของโควิด19 และภาครัฐได้กำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าว ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพและรายได้ของประชาชนโดยเฉพาะ ในภาคแรงงาน รับจ้าง ตนได้สั่งการให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กำหนดมาตรการเร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย-ผู้เช่าอาคารพาณิชย์ และ ประชาชนที่เช่าพื้นที่ของการท่าเรือเพื่อการอยู่อาศัย 

กทท.จึงได้ออกมาตรการลดค่าเช่าเพื่อเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่

  • ผู้เช่าอาคารพาณิชย์และร้านค้ารายย่อย มีจำนวนรวม 1,628 ราย โดยการ กทท.จะลดค่าเช่าลง 50 % เป็นระยะเวลา 3 เดือน คิดเป็นจำนวนเงิน 31,941,441 บาท
  • ผู้เช่าที่พักอาศัยในพื้นที่โดยรอบของ กทท. มีจำนวน 466 ครัวเรือน โดยยกเว้นค่าเช่าเป็นระยะเวลา 3 เดือน คิดเป็นจำนวนเงิน 365,754 บาท ซึ่งความช่วยเหลือในครั้งนี้คิดเป็นจำนวนเงินรวม 32,307,196 บาท

ทั้งนี้ มาตราการดังกล่าวจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนและครอบครัว สามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้

ศธ. ย้ำเปิดเทอม 1 ก.ค.ทุกโรงเรียน

0
ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ

“ณัฏฐพล” ย้ำเปิดเรียน 1 ก.ค.ทุกโรงเรียน พร้อมพิจาณาอีกครั้ง หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย

ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวว่า ในการประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ ร่วมกับผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเอกชนในระบบ ประเภทนานาชาติ ตนได้ชี้แจงเรื่อง การเลื่อนเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2563 แบบเต็มรูปแบบต้องเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เท่านั้น

แต่หากถึงเวลาดังกล่าวแล้วสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังไม่คลี่คลายก็คงต้องพิจารณากันอีกครั้ง เพราะโรงเรียนจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่รัฐบาลจะตัดสินใจปลดล็อก

ส่วนเรื่องจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ ที่โรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่ถือว่ามีศักยภาพในการดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้ว ทุกโรงเรียนต้องเตรียมพร้อมเรื่องการสอนออนไลน์

กลุ่มโรงเรียนนานาชาติที่มีข้อจำกัดในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ที่มีจำนวน 17 โรงเรียนได้มอบให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) ดำเนินการช่วยเหลือ พร้อมทั้งได้แนะนำให้โรงเรียนชาติที่มีความพร้อมสามารถเข้าช่วยในลักษณะสร้างความร่วมมือได้ด้วย