Home Blog Page 440

3 พ.ค. ผ่อนปรนให้เปิดกิจการความเสี่ยงต่ำ

0

ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ (ศบค.) เปิดเผยประเภทกิจการและกิจกรรม ระยะที่ 1 (กิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ) ตามมาตรการผ่อนปรนให้ประชาชนดำเนินชีวิตตามปกติ เริ่มวันที่ 3 พ.ค.63 โดยแต่ละจังหวัดจะออกประกาศรายละเอียดอ้างอิงตามมาตรการนี้ ซึ่งอาจจะเข้มข้นกว่าที่ ศบค. กำหนด แต่ไม่สามารถใช้มาตรการที่อ่อนหรือเข้มข้นน้อยกว่าได้

โดยกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ 6 ประเภทกิจการ ดังนี้

  1. ตลาด ตลาดสด ตลาดนัด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย
  2. ร้านจำหน่ายอาหาร ร้านอาหารทั่วไป ร้านเครื่องดื่ม ขนมหวาน ไอศรีม(นอกห้าง) ร้านอาหารริมทาง รถเข็น หาบเร่
  3. กิจการค้าปลีก-ส่ง ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ บริเวณพื้นที่นั่ง-ยืนรับประทาน รถเร่หรือรถวิ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกขนาดย่อม ร้านค้าปลีกชุมขน ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม
  4. กีฬา สันทนาการ กิจกรรมในสวนสาธารณะ สนามกีฬากลางแจ้งที่เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ได้เล่นเป็นทีมและเป็นการแข่งขัน
  5. ร้านตัดผม เสริมสวย เฉพาะตัด สระ ไดร์ผม
  6. ร้านตัดขนสัตว์ ร้านรับเลี้ยงฝากสัตว์

หลังจากผ่อนปรนให้เปิดกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่ำแล้ว จะมีการติดตามประเมินผลในอีก 14 วันข้างหน้าว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นอย่างไร หากตัวเลขเพิ่มสูงขึ้นอาจต้องพิจารณาปรับมาตรการต่อไป

เดินหน้าช่วยเหลือพื้นที่ภัยแล้ง คาดหน้าฝนช่วยสถานการณ์ดีขึ้น

0

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะโฆษกกรมชลประทาน กล่าวว่า ผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้งทั้งประเทศ ล่าสุด (30 เม.ย. 63) มีการใช้น้ำไปแล้ว 17,053 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 96% ของแผนจัดสรรน้ำ เฉพาะในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยามีการใช้น้ำไปแล้ว 4,595 ล้าน ลบ.ม. เกินแผนไป 2% ของแผนจัดสรรน้ำที่วางไว้ ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ล่าสุด มีปริมาณน้ำในอ่างรวมกันประมาณ 33,830 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 48% ของความจุอ่างฯ และเป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 10,521 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 8,649 ล้าน ลบ.ม. หรือ 35% ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 1,953 ล้าน ลบ.ม.

ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน

จากสถานการณ์ภัยแล้งตอนนี้ กรมชลประทาน ได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 10 จังหวัด รวมเป็น 60 จังหวัด 205 อำเภอ 329 ตำบล 658 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ซึ่งมีพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำด้านการอุปโภคบริโภค 69 แห่ง และพื้นที่ขาดแคลนน้ำด้านการเกษตร 67 แห่ง โดยมีการสนับสนุนรถบรรทุกน้ำ 67 คัน (รวมปริมาณน้ำสะสมประมาณ 5 ล้านลิตร) เครื่องสูบน้ำ 392 เครื่อง (รวมปริมาณน้ำสะสมประมาณ 14 ล้าน ลบ.ม.) และเครื่องจักรสนับสนุนอื่นๆอีก 158 หน่วย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกแหล่งน้ำ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำดิบสำหรับผลิตประปาอีก 53 แห่งด้วย

อย่างไรก็ตาม อีกไม่กี่สัปดาห์จะเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยาว่าฤดูฝนปีนี้ จะมีปริมาณฝนดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จะช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งให้ทุเลาเบาบางลงได้  และแม่น้ำสายหลัก ลำน้ำสาขา แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงอ่างเก็บน้ำต่างๆ จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ในส่วนของการเพาะปลูกนั้น คงต้องรอการประกาศเข้าสู่ฤดูฝนจากกรมอุตุนิยมวิทยา ประกอบกับต้องมีปริมาณฝนตกอย่างสม่ำเสมอ และปริมาณน้ำเก็บกักในแหล่งน้ำธรรมชาติมากพอที่จะทำการเกษตรได้ หากประชาชนหรือหน่วยงานใดต้องการความช่วยเหลือเรื่องน้ำ สามารถประสานไปยังโครงการชลประทานใกล้บ้านได้ตลอดเวลา หรือโทร.สายด่วน   กรมชลประทาน 1460

คนว่างงานโปรดฟัง กรมชลฯ รับสมัคร 6 หมื่นคน เงินเดือน 8 พันบาท

0

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการจ้างแรงงานชลประทานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและโควิด-19 ตามที่รัฐบาลอนุมัติงบ 4,497.59 ล้านบาท สำหรับการจ้างแรงงาน 88,838 คน โดยเปิดรับสมัครทั่วประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ได้จ้างแรงงานแล้ว 28,623 คน คิดเป็น 32% ของแผน

กรมชลประทาน ยังสามารถจ้างแรงงานได้อีก 60,000 คน โดยปรับหลักเกณฑ์ให้สามารถจ้างประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 จากเดิมที่ต้องเป็นเกษตรกรและสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่โครงการชลประทานที่ว่าจ้าง

ตำแหน่งแรงงานชลประทานที่เปิดรับสมัคร มีหน้าที่ซ่อมแซม บำรุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ำและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ เป็นต้น โดยได้รับค่าจ้างวันละ 377.85 บาท หรือประมาณเดือนละ 8,000 บาท ระยะเวลาการจ้างงาน 3-7 เดือน รวมรายได้ตลอดการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-56,000 บาทต่อคน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและระยะเวลา

สนใจสอบถามได้ที่ สำนักชลประทานใกล้บ้าน หรือโทร.1460

เปิดใจพนง.ออฟฟิศ นักพเนจร เที่ยวอุทยานแห่งชาติครบ 155 แห่ง

0

อธิบดีกรมอุทยานฯ แสดงความยินดีหนุ่มนักเดินทาง หลังท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติครบทั้ง 155 แห่ง​

นายอาทิตย์ ฉัตรตระกูลชัย หนุ่มนักเดินทาง บอกว่า เค้าเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ปัจจุบันอายุ 39 ปี ชื่นชอบในการเดินทาง และใช้เวลาในการเดินทางท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศจนครบทั้ง 155 แห่ง ภายในระยะเวลา 1 ปี 5 เดือน

จุดเริ่มต้นของการเดินทางท่องเที่ยว เริ่มจากเพื่อนที่รู้จักได้เดินทางเที่ยวอุทยานแห่งชาติจนครบไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงเริ่มสนใจที่อยากจะออกเดินทางแบบเพื่อนดูบ้าง แต่ด้วยความที่ตนเป็นพนักงานออฟฟิศ ต้องทำงานวันจันทร์ถึงวันเสาร์ จึงต้องใช้เวลาในช่วงวันหยุดออกเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ก็เดินทางโดยรถทัวร์และเช่ารถจักรยานยนต์ในพื้นที่​

ครั้งแรกที่ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติก็รู้สึกประทับใจพี่ๆเจ้าหน้าที่ที่ให้การดูแลต้อนรับอย่างดี รวมทั้งแนะนำข้อปฏิบัติต่าง ๆ เวลาไปท่องเที่ยวตนจะเลือกเลือกพักในอุทยานแห่งชาติ มีทั้งนอนเต็นท์ หรือบ้านพัก และด้วยความเป็นกันเองของเจ้าหน้าที่ทำให้ตนรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเหมือนได้เที่ยวในบ้านของตนเอง ซึ่งที่ผ่านมา รู้สึกประทับใจทุกอย่างที่เป็นอุทยาน ทั้งธรรมชาติที่สวยงาม​และความเป็นมิตรของเจ้าหน้าที่

อุทยานแห่งแรกที่ไปท่องเที่ยว และประทับตราในพาสปอร์ตท่องเที่ยว​ คือ อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว จ.มุกดาหาร ไปเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2561 จากนั้นก็เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ จนครบ ทุกครั้งที่ไปก็จะประทับตราในพาสปอร์ตท่องเที่ยวเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก และที่สุดท้ายก่อนปิดเล่มที่ที่ไปก็คือ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ไปมาเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา​ นอกจากนี้ ยังรู้สึกชื่นชอบในความสวยงามของน้ำตกก้อหลวง อุทยานแห่งชาติแม่ปิง​ น้ำตกปางสีดา น้ำตกเต่าดำในอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ซึ่งน้ำตกเต่าดำนี้เส้นทางอาจจะยากแต่รับรองว่าไปแล้วคุ้มค่าเหนื่อยมาก

ด้านนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า​ ชื่นชมในความมุ่งมั่น​ และขอแสดงความยินดีที่ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวอุทยานจนครบทั้ง 155 อุทยานทั่วประเทศ​

ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการประกาศปิดอุทยานแห่งชาติทุกแห่งทั่วประเทศตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 ถือเป็นการให้ธรรมชาติได้ฟื้นตัว และในช่วงนี้เราได้เห็นสัตว์ป่าต่าง ๆ​ มากขึ้น ยิ่งอุทยานแห่งชาติทางทะเลเราได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติ เห็นฝูงปลาออกมาว่ายน้ำเป็นจำนวนมากทั้งฉลามหูดำ วาฬเพชรฆาต โลมา และอีกมากมาย ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ​ เส้นทาง​ รวมถึงการพัฒนาด้านอารยสถาปัตย์​ก็ดำเนินการในช่วงนี้อย่างต่อเนื่อง​ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวหลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ​ นอกจากนี้ทางกรมอุทยานแห่งชาติ ฯ จะได้นำเสนอมาตรการตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ได้มีการสั่งการในเรื่องของการพิจารณาปิดอุทยานแห่งชาติเพื่อให้มีช่วงเวลาที่ให้ธรรมชาติได้มีการฟื้นฟู ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราได้มีทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์สวยงามให้คงอยู่สืบต่อไป

มช. ลดค่าเทอม 4,500 ต่อคนต่อเทอม ลดค่าหอ แจกทุนเรียน ช่วยนศ. ช่วงโควิด-19

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า วันนี้ (29 เม.ย.) ที่ห้องประชุมสำนักบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ อาคาร TSC มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ศ.เกียรติคุณ นพ.นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะผู้บริหาร มช. ร่วมกันแถลงข่าวการลดค่าธรรมเนียมการเรียนของนักศึกษาในทุกระดับชั้น เพื่อให้รองรับสถานการณ์ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัศโควิด-19

ทั้งนี้ อธิการบดี มช. กล่าวว่า ภาวะวิกฤตโรคไวรัสดังกล่าวกระทบต่อสังคมในวงกว้าง โดยเฉพาะกับผู้ปกครองนักศึกษา และจากการสำรวจพบว่าจำนวนนักศึกษามาจากภาคเหนือกว่า 70% เมื่อแยกตามอาชีพผู้ปกครอง 1 ใน 3 เป็นข้าราชการของรัฐ ธุรกิจค้าขาย ลูกจ้าง พนักงานเอกชน เกษตร ประมง และอื่นๆ และ มีรายได้ไม่มากจะอยู่ใน 1 ใน 3 ของทั้งหมด เฉลี่ย 30%

ข้อสรุปของที่ประชุม จะลดค่าธรรมเนียมของภาคการศึกษาที่ 1 และที่ 2 ปี 2563 ลง 4,500 บาทต่อคนต่อภาคการศึกษา ส่วนภาคฤดูร้อนจะลด 2,250 บาทต่อคน และลดค่าธรรมเนียมหอพักให้ 10% ต่อภาค วงเงินรวม 315 ล้านบาท ส่วนกรณีที่พักหอด้านนอกในการช่วยอนุเคราะห์ลดค่าเช่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกรณีที่นักศึกษาขาดแคลนทุนทรัพย์ มีการจัดสรรทุนการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และคณะ ประมาณ 150 ล้านบาท แบบให้เปล่า

นอกจากนี้ ยังมีการให้ความสนับสนุนนักศึกษาจบแล้ว แต่ยังไม่มีงานทำ โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการหเอสเอ็มอี ให้เข้าฝึกงานเพื่อรอทำงานต่อไป และมีการหารือกับ อว. เพื่อดูแลฝึกอาชีพ รวมไปถึงการจัดการเรียนการสอนระบบ ZOOM ลงทุนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท เตรียมคอมพิวเตอร์ไว้ให้นักศึกษายืมเรียน รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท เมื่อถึงวันเปิดการศึกษาในวันที่ 8 กรกฏาคมนี้ ทุกอย่างน่าจะคล่องตัวขึ้น จากการวางแผนที่เตรียมการไว้ทั้งหมด แต่การเข้าเรียนคงจะเป็นไปแบบเว้นระยะห่างไปก่อน

กรมชลฯ เตรียมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงน้ำน้อย ขอเกษตรกรรอเข้าหน้าฝน ค่อยทยอยเพาะปลูก

0

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำปัจจุบัน ว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศจำนวน 447 แห่ง มีปริมาณน้ำในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 35,574 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 47% ของความจุอ่าง เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 11,891 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็น 23%  ของความจุน้ำใช้การร่วมกัน เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยฯ และป่าสักฯ) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 8,684 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 35% ของความจุอ่าง เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ 1,988 ล้าน ลบ.ม.  คิดเป็น 11% ของความจุน้ำใช้การได้รวมกัน 

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ปีนี้จะมีฝนตกมากกว่าปี 62 แต่ก็อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ 5% กรมชลประทาน จึงได้กำหนดมาตรการรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่เสี่ยงน้ำน้อย โดยจะเน้นเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำไว้ให้มากที่สุด พร้อมได้ประชาสัมพันธ์แนะนำให้เกษตรกรทยอยเพาะปลูกตามปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ หรือรอกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการ เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลผลิตเสียหาย นอกจากนี้ ยังได้ให้โครงการชลประทานทุกแห่ง พิจารณาการใช้น้ำจากแก้มลิงธรรมชาติ หรือแหล่งน้ำเสริมจากบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่ มาช่วยเสริม และจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ รถบรรทุกน้ำ และเครื่องจักรเครื่องมือสนับสนุนอื่นๆ ที่สามารถออกปฏิบัติงานให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

ด้านการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝน ได้สั่งการให้โครงการชลประทานทุกแห่ง ติดตามสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด และกำชับให้ตรวจสอบอาคารชลประทานทุกแห่งให้สามารถใช้งานได้เต็มศักยภาพ กำจัดวัชพืชไม่ให้กีดขวางทางน้ำ ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อบริหารจัดการน้ำในอ่างฯให้เป็นไปตามเกณฑ์การเก็บกักที่ได้วางไว้ และบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม-น้ำล้นตลิ่งให้ทราบโดยทั่วถึงกัน อีกทั้งยังได้จัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือไว้ในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว สามารถออกปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนได้ตลอดเวลา

ซีพีเอฟ สนับสนุน รพ.สต.-อสม. เฝ้าระวังโควิด 19 ในระดับชุมชน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ สนับสนุนการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในระดับชุมชน มอบอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงในชุมชน

นายสำเริง นพชำนาญ ผู้อำนวยการ รพ.สต.บ้านคอกม้า ต.บางสน อ.ปะทิว จ.ชุมพร กล่าวว่า รพ.สต.บ้านคอกม้าประสบปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์จำเป็นสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ อุปกรณ์ตรวจคัดกรองสุขภาพ แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากศูนย์ปรับปรุงพันธุกรรมกุ้งปะทิว จ.ชุมพร ของซีพีเอฟ มอบแอลกอฮอล์ 95% เครื่องกดเจลชนิดเท้าเหยียบเพื่อลดการสัมผัสทางมือ สเปรย์แอลกอฮอล์ 70% แบบพกพา และ Face Shield ซึ่งทางรพ.สต.บ้านคอกม้า ได้นำแอลกอฮอล์ 95% มาผลิตเป็นสเปรย์ล้างมือและฉีดพ่นฆ่าเชื้อแจกจ่ายผ่านทาง อสม. เพื่อนำไปให้ประชาชนในพื้นที่รวม 527 ครัวเรือน รวมจำนวนประชากร 1,831 คน

นอกจากนี้ ศูนย์ปรับปรุงพันธุกรรมกุ้งปะทิว จ.ชุมพร ยังได้นำแอลกอฮอล์ 95% รวม 340 ลิตร เครื่องกดเจลชนิดเท้าเหยียบ 18 เครื่อง สเปรย์แอลกอฮอล์ 70% แบบพกพา 288 หลอด และ Face Shield 210 ชิ้น มอบให้ผู้แทนที่ว่าการอำเภอปะทิว เทศบาลตำบลบางสน เทศบาลตำบลปะทิว สถานีตำรวจภูธรอำเภอปะทิว รพ.ปะทิว รพ.สต.ตำบลชุมโค รพ.สต.ตำบลทะเลทรัพย์ รพ.สต.ตำบลสะพี โรงเรียนบ้านดอนตะเคียน และประมงจังหวัดด้วย

นางกมลพรรณ พรศรีรัตนรักษ์ ผู้อำนวยการ รพ.สต.ตำบลคลองใหญ่ จ.ตราด บอกว่า รพ.สต.ตำบลคลองใหญ่ ได้ร่วมกับ อบต.คลองใหญ่ และโรงเพาะฟักลูกกุ้งภาคตะวันออก จ.ตราด ซีพีเอฟ จัดให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ให้กับอสม. ชาวบ้าน และกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลตัวเอง รวมทั้ง สอนให้ผู้สูงวัยในชุมชนทำหน้ากากผ้าไว้ใช้เอง ทำเจลแอลกอฮอล์ 70 % ผู้สูงอายุบางรายสามารถผลิตหน้ากากขายมีรายได้ โดยทางซีพีเอฟช่วยหาตลาดให้

โรงเพาะฟักลูกกุ้งภาคตะวันออก จ.ตราด ซีพีเอฟ ยังได้มอบเครื่องกดเจลชนิดเท้าให้ รพ.สต.บ้านธรรมชาติล่าง รพ.สต.บ้านน้ำเชี่ยว รพ.สต.บางกระดาน รพ.สต. บางปิด รพ.สต.บ้านคลองใหญ่ และโรงพยาบาลแหลมงอบ รวมทั้งมอบหน้ากากผ้าให้กับ อสม. ชุมชนรอบฟาร์มในตำบลคลองใหญ่ และตำบลบางปิด รวม 600 ชิ้น

ด้าน นางกัลยา วราสินธุ์ ประธานอสม. ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ. ราชบุรี กล่าวว่า อุปกรณ์ที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ จึงขอการสนับสนุนไปยังโรงงานผลิตอาหารสัตว์ราชบุรี ของซีพีเอฟ ทางบริษัทได้มอบเครื่องวัดอุณหภูมิให้อสม.ทั้ง 9 หมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 เครื่อง รวมทั้ง แอลกอฮอล์ หน้ากากผ้า ทำให้การทำงานของอสม. สะดวกขึ้น

นอกจากนี้ ฟาร์มและโรงงานของซีพีเอฟทั่วประเทศ มีส่วนร่วมดูแลความปลอดภัยของชุมชนและสนับสนุนการทำงานของ รพ.สต. และอสม. โดยช่วยสนับสนุนอด้านอุปกรณ์ อาหาร เครื่องดื่ม ตามแต่ละพื้นที่

บุญรอดฯ ช่วยสร้างงาน ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ เตรียมงบเพิ่มเติม 50 ล.

0

บุญรอดบริวเวอรี่ ช่วยสร้างงานผ่านโครงการสิงห์อาสา ทั่วประเทศ สร้างรายได้ผ่านจิตอาสา เริ่มทันทีภายในเดือนพฤษภาคม 3 โครงการ สิงห์อาสาสู้ไฟป่า, สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และสิงห์อาสาป้องกันน้ำท่วม หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง เตรียมงบประมาณเพิ่มเติมทั้งปีอีก 50 ล้านบาท

ปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด

นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า นายวุฒา ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริษัทฯ และ นายสันติ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการบริหาร มอบนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งในเรื่องของปากท้องและการสร้างอาชีพเพื่อสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยจะเริ่มทำทันที ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป เพื่อสร้างรายได้ผ่านการทำงานจิตอาสาดูแลท้องถิ่นของตน

การจ้างงาน ดำเนินการผ่าน 3 โครงการเร่งด่วน คือ

  • โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า คลอบคลุม 10 จังหวัด ภาคเหนือ และภาคตะวันออก
  • โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง คลอบคลุม 20 จังหวัดภาคอีสาน
  • โครงการสิงห์อาสาป้องกันน้ำท่วม คลอบคลุม 7 จังหวัดภาคกลาง ซึ่งอาสาสมัครที่เข้าร่วมในแต่ละโครงการจะได้รับเบี้ยเลี้ยงและสวัสดิการอาหาร

นอกจากนี้ยังมีโครงการทางด้านการเกษตรอีกหลายโครงการ ที่จะทำร่วมกับศูนย์ภูมิปัญญาชาวบ้านสิงห์อาสา 4 จังหวัด (เชียงราย สิงห์บุรี ขอนแก่น สุราษฎร์ธานี) และพื้นที่ทางการเกษตรในจังหวัดเชียงราย น่าน และขอนแก่น รวมทั้งโครงการฝึกทักษะวิชาชีพ ที่จะทำร่วมกับสถาบันการศึกษาในหลายจังหวัด เปิดอบรมฟรีให้กับผู้สนใจ เพื่อพัฒนาสู่การสร้างอาชีพดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวต่อไป

ส่วนโครงการในระยะยาว สิงห์อาสา ได้จัดโครงการอบรมเสริมอาชีพ โดยร่วมกับ เครือข่ายของสิงห์อาสาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัย, สถาบันอาชีวศึกษา, ศูนย์ภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมถึงบริษัทในเครือ นำองค์ความรู้มาอบรมสร้างอาชีพให้กับประชาชน เพื่อไปต่อยอดการประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองอย่างยั่งยืน เช่น ฝึกทักษะอาชีพช่างพื้นฐาน อาทิ ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างยนต์ ช่างก่อสร้าง ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ และทักษะการซ่อมแซมสิ่งพื้นฐานที่มีความจำเป็นภายในบ้าน การอบรมการทำอาหารครอบคลุมเครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ ร่วมกับชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารในเครือสิงห์ฯทั่วประเทศ สอนการทำเมนูเด็ด 77 จังหวัด การอบรมร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน นำความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ไปประยุกต์ใช้ การอบรมเรียนรู้แนวคิดโรงเรียนเกษตรพอเพียงสร้างผลผลิตเลี้ยงตัวเองและจำหน่ายในชุมชน รวมถึงการอบรมการปลูกพืชพันธุ์ทางการเกษตร ในจังหวัดเชียงราย น่าน และขอนแก่น

ก่อนหน้านี้บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และบริษัทในเครือฯตลอดจนตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศได้จัดทำโครงการต่างๆเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือไปยังบุคคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชนทั่วไปที่ได้รับความเดือดร้อนคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทยังยืนยันการจ้างงานต่อกับพนักงานทุกคนทั้งในส่วนของ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และพนักงาน บริษัทในเครือ รวมทั้งคู่ค่าของบริษัทฯ ทั้งหมดกว่า 25,000 คนอีกด้วย

สำหรับการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆถือเป็นปรัชญาการทำงานของบริษัทฯ ตามเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งบริษัทฯ “พระยาภิรมย์ภักดี” ซึ่งบริษัทฯได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวปฏิบัติที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นยาวนานกว่า 87 ปี  “สิงห์อาสา” โดย บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และ มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ คลอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ มีภารกิจช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน

กรมชลฯ ช่วยสร้างงานให้เกษตรกรภาคอีสาน ทะลุ 4,300 ราย

0

นายศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6 เปิดเผยว่า กรมชลประทาน มีความห่วงใยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งและการระบาดของโรค COVID-19 จึงมีมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาการขาดแคลนรายได้ของพี่น้องเกษตรกร ด้วยโครงการจ้างแรงงานเกษตรกรในปีงบประมาณ 2563 สำหรับปฏิบัติงานซ่อมแซม บำรุงรักษา ขุดลอก ปรับปรุงงานชลประทาน ก่อสร้างแหล่งน้ำ ระบบส่งน้ำเพื่อชุมชน แก้มลิง การจัดการคุณภาพน้ำและโครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ

ศักดิ์ศิริ อยู่สุข ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 6

สำหรับความก้าวหน้าการดำเนินโครงการฯ ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานชลประทานที่ 6 ทั้ง 5 จังหวัด (ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด) ได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับจ้างแรงงานเกษตรกรประมาณ 280 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานเกษตรกรได้ไม่น้อยกว่า 7,000 ราย ปัจจุบันทั้ง 5 จังหวัดได้จ้างแรงงานไปแล้วกว่า 4,300 ราย คิดเป็นร้อยละ 58 ของจำนวนแรงงานเกษตรกรที่จ้าง จังหวัดที่มีการจ้างแรงงานเกษตรกรมากที่สุดในขณะนี้คือจังหวัดร้อยเอ็ด และจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งจ้างแรงงานเกษตรกรไปแล้วมากกว่าร้อยละ 95 ส่วนจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ เริ่มทยอยจ้างไปแล้วกว่าร้อยละ 50

ทั้งนี้ เกษตรกรที่สมัครทำงานจะได้รับค่าจ้างวันละ 377.85 บาท หรือเดือนละประมาณ 8,000 บาท ระยะเวลาการจ้างงาน 3-7 เดือน รายได้ตลอดระยะเวลาการจ้างแรงงานอยู่ระหว่าง 24,000-56,000 บาท/คน ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและระยะเวลาที่ทำ โดยได้เริ่มดำเนินการจ้างแรงงานเกษตรกรมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 63 ที่ผ่านมา ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ้างแรงงานคือต้องเป็นเกษตรกรในพื้นที่ เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ ผู้ใช้แรงงานทั่วไป และหากแรงงานในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ ให้พิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัส COVIC-19 ในระหว่างการทำงาน จึงได้กำชับให้ทุกโครงการปฏิบัติตามมาตรการ SOBOP ของกรมชลประทาน โดยการตรวจคัดกรองอุณหภูมิร่างกายก่อนทำงาน สวมหน้ากากอนามัย พร้อมจัด    เจลล้างมือไว้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังได้กำชับให้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อที่เครื่องจักร เครื่องมือ รวมถึงควบคุมให้เว้นระยะห่างในระหว่างปฏิบัติงานตามความเหมาะสมของลักษณะงานแบบ Social Distancing อีกด้วย

นายจิรศักดิ์ มงคลสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานร้อยเอ็ด กล่าวว่า ในพื้นที่จ.ร้อยเอ็ด ได้รับงบประมาณในการจ้างแรงงานเกษตรกรประมาณ 50 ล้านบาท สามารถจ้างแรงงานได้ประมาณ 1,180 คน ปัจจุบันนี้ จ้างแรงงานไปแล้ว 1,160 คน เริ่มทำงานมาตั้งแต่มีนาคม 63 โดยลักษณะงานที่ทำเป็นการใช้แรงงาน เช่นงานก่อสร้างเสริมความมั่นคงแข็งแรงพนังกั้นลำน้ำยัง งานปรับปรุงประตูระบายน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัยในลำน้ำชี และงานขุดลอก เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถาการณ์น้ำหลาก และช่วยบรรเทาอุทกภัยในจังหวัดร้อยเอ็ด ในช่วงฤดูฝนที่จะมาถึงนี้

นายนิรันดร์ ครูมนตรี และนายวัฒนา ปิตฝ่าย ประชาชนอำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด บอกว่า ทั้งสองต่างได้รับผลกระทบของโควิด-19 เพราะโรงงานที่ทำงานในกทม.เลิกจ้าง จึงต้องกลับมาทำการเกษตรอยู่ที่ร้อยเอ็ดบ้านเกิด รู้สึกดีใจและโชคดีมากที่ได้ทราบข่าวการจ้างแรงงานของกรมชลประทาน หลังจากที่ผ่านการกักตัวครบ 14 วันแล้ว จึงมาสมัครทำงานกับโครงการชลประทานร้อยเอ็ด ทำให้มีรายได้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายจุนเจือครอบครัวในช่วงที่ตกงาน    ขอขอบคุณกรมชลประทานสำหรับโครงการนี้ ซึ่งนอกจากจะสร้างรายได้ให้ครอบครัวแล้ว ยังได้งานที่เป็นประโยชน์ ช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาวอีกด้วย

แอร์เอเชียพร้อมกลับมาบิน 1 พ.ค.

0

สายการบินไทยแอร์เอเชีย (เที่ยวบิน FD) พร้อมเริ่มกลับมาให้บริการบางเส้นทางภายในประเทศ ตั้งเเต่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

เว้นระยะห่างผู้โดยสารเเบบเว้นที่นั่ง การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อใช้บริการสายการบิน การงดจำหน่ายอาหารเเละเครื่องดื่ม ฯลฯ พร้อมมาตรการฆ่าเชื้อและทำความสะอาดเครื่องบิน รถบัสรับส่งในทุกวัน และทุกเที่ยวบินเฝ้าระวัง เพื่อความมั่นใจของผู้โดยสารเเละพนักงานทุกคน

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า สายการบินตัดสินใจเริ่มกลับมาให้บริการเส้นทางในประเทศอีกครั้ง ตั้งเเต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อรองรับผู้โดยสารที่มีความจำเป็นในการเดินทาง ทั้งการกลับบ้านหรือภาคธุรกิจ โดยสายการบินได้ประชุมร่วมกับสำนักงานกรมการบินพลเรือนเเห่งประเทศไทย เเละสายการบินต่างๆ เพื่อเริ่มบินบางเส้นทางภายในประเทศ อาทิ เส้นทางดอนเมืองสู่ เชียงใหม่ เชียงราย ขอนเเก่น อุดรธานี อุบลราชธานี นครพนม ร้อยเอ็ด นครศรีธรรมราช ตรัง หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี และเส้นทางข้ามภาค เชียงใหม่-หาดใหญ่ เป็นต้น ทั้งนี้สายการบินจะอัพเดตให้ทราบเส้นทางต่างๆ เพิ่มเติม ผ่านเฟซบุ๊กแอร์เอเชียต่อไป

ทั้งนี้ สายการบินแอร์เอเชีย ได้กำหนดมาตรการเข้มงวดเพื่อป้องกันเเละลดโอกาสการเเพร่ระบาดของ COVID-19 ดังต่อไปนี้

  1. การเว้นระยะห่างผู้โดยสารบนเครื่อง เเบบที่นั่งเว้นที่นั่ง โดยสายการบินจะจำหน่ายเเละควบคุมปริมาณที่นั่งในการเดินทางที่เหมาะสมในทุกเที่ยวบินตามข้อกำหนด รวมทั้งการกำหนดจุดยืนเว้นระยะห่างในรถบัสรับส่ง เเละเคาน์เตอร์บริการต่างๆ
  2. การกำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทาง จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อใช้บริการ
  3. การงดจำหน่าย รวมทั้งไม่อนุญาตให้รับประทานอาหารเเละเครื่องดื่มบนเครื่อง 
  4. การกำหนดมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่รัดกุมร่วมกับท่าอากาศยาน การตรวจวัดอุณหภูมิที่ประตูขึ้นเครื่อง ทั้งนี้ หากพบว่าผู้โดยสารมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.3 องศาเซลเซียส มีอาการไอ จาม หรือเข้าข่ายผู้ต้องเฝ้าระวัง สายการบินอาจจำเป็นต้องปฏิเสธการเดินทางนั้น
  5. อนุญาตให้นำเฉพาะกระเป๋าถือหรือกระเป๋าคอมพิวเตอร์ น้ำหนักไม่เกิน 5 กิโลกรัมขึ้นเครื่องได้ 1 ใบเท่านั้น โดยมีขนาดไม่เกิน สูง 40 ซม. X กว้าง 30 ซม. X ลึก 10 ซม. ส่วนสัมภาระอื่นที่มีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม สามารถโหลดลงใต้ท้องเครื่องได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
  6. แนะนำให้ผู้โดยสารทุกคนเช็คอินด้วยตนเองผ่านเว็บ โมบาย หรือคิออสเช็คอิน เพื่อลดโอกาสสัมผัส สำหรับผู้โดยสารกับพนักงานผู้ให้บริการ

นอกจากนี้ ลูกเรือที่ปฏิบัติหน้าที่บนเที่ยวบิน รวมถึงพนักงาน จะได้รับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายในทุกๆ ครั้ง ก่อนเเละหลังการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงจะสวมอุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ หน้ากากอนามัย แว่นตา และถุงมือ ตลอดการให้บริการ

ทั้งนี้ สายการบินแอร์เอเชียยังคงกำหนดมาตรการทำความสะอาดเเละฆ่าเชื้อทั้งภายในเครื่องบิน รถบัสขนส่ง เคาน์เตอร์บริการเเละตู้คีออสเช็คอินตามมาตรฐานเป็นประจำทุกวัน การพ่นและอบสเปรย์ฆ่าเชื้อ รวมทั้งมั่นใจด้วยระบบกรองอากาศที่สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กได้มากกว่า 99.99% ด้วย HEPA FILTER ในเครื่องบินทุกลำ เพื่อให้ผู้โดยสารทุกคนเดินทางได้อย่างมั่นใจสูงสุดกับแอร์เอเชีย