Home Blog Page 436

ด่วน ยกเลิกเปิดสนามบินภูเก็ตออกไปไม่มีกำหนด

0

กพท.ออกประกาศ ฉบับที่ 3 ยกเลิกประกาศก่อนหน้านี้ เรื่องเงื่อนไขเงื่อนเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานที่ให้เปิดสนามบินภูเก็ตพรุ่งนี้ 16 พ.ค.63

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศเรื่องเงื่อนไขและเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานฉบับที่ 3 มีเนื้อหาว่า

ตามที่ได้มีประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเรื่องเงื่อนไขและเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานฉบับที่ 2 ประกาศณวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 กำหนดเงื่อนไขและเวลาในการใช้ท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เวลา 00.01 น. เป็นต้นไปนั้น

แม้ว่าจังหวัดภูเก็ตจะสามารถควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เรือโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ด้วยสถานการณ์ยังถือว่ามีความเสี่ยงที่ต้องติดตามดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคไปสู่พื้นที่อื่นและป้องกันมิให้โรคกลับมาแพร่ระบาดใหม่ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้อีก

ดังนั้น ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยคำแนะนำของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 อำนาจตามความในข้อ 1 วงเล็บ 3 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพุทธศักราช 2548 ฉบับที่ 5 ประกอบกับมาตรา 15/16 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศพุทธศักราช 2497 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินอากาศฉบับที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ออกประกาศกำหนดเงื่อนไขและเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานดังต่อไปนี้

1 .ให้ยกเลิกประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเรื่องเงื่อนไขเงื่อนเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานฉบับที่ 2

2. รายชื่อท่าอากาศยานที่เปิดให้ขึ้นลงได้รวมถึงเงื่อนไขและเวลาในการใช้ท่าอากาศยานดังกล่าวเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานให้เป็นไปตามประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเรื่องเงื่อนไขและเวลาในการใช้ท่าอากาศยานเพื่อการขึ้นลงของอากาศยานประกาศ ณ วันที่ 3 พฤษภาคม 2563

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศอื่นเปลี่ยนแปลง

ประกาศ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2553

นายจุฬา สุขมานพ

ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

4 ออมสู่ความมั่งคั่ง

0

คุณนายพารวย

บทความสัปดาห์ที่แล้ว  เราพูดถึงความสำคัญของ “คาถากันจน” คือ ต้อง “ออมก่อนใช้”เมื่อมีรายได้ หรือเงินเดือนออกมา ให้หักเงินออม 10-20% ของรายได้ แยกออกไปใส่บัญชีต่างหาก และหักภาระหนี้ที่ต้องจ่าย (ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ) เอาไว้ด้วย

​ที่เหลือถึงเป็นเงินสำหรับใช้จ่าย โดยเงินที่ต้องจ่ายประจำ อย่างค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าบ้าน ค่าโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ตให้กันไว้ก่อน   เงินที่เหลือจึงเป็นเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  โดยนำมาหาร 30 วัน เพื่อให้รู้ว่า  เรามีโควต้าใช้จ่ายเงินแต่ละวันสูงสุดเท่าไร 

หากวันไหนใช้เงินเกินโควต้า-วันรุ่งขึ้นต้องใช้น้อยลง  วันไหนใช้น้อยกว่าโควต้า-เก็บส่วนที่เหลือใส่กระปุกไว้เพื่อออมเพิ่ม!!

กลับมาเรื่องการออม เมื่อเรามีเงินออม ที่ได้จากการ “ออมก่อนใช้” แล้ว จะต้องแบ่งหรือจัดสรรเงินออมออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ตามคำแนะนำของกูรูนักวางแผนการเงิน ที่ให้แบ่งเงินออมตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการออม ออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ

​ดังนี้ 1. บัญชีเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เป็นเงินก้อน สำหรับรับมือเหตุไม่คาดฝัน ที่อาจทำให้ขาดรายได้  เช่น เกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือตกงาน เช่น การตกงานฉุกเฉินจากกรณีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า(โควิด-19)ในครั้งนี้  ซึ่งกูรูแนะนำว่าเงินสำรองใช้ยามฉุกเฉินนี้ ทุกคนต้องมีไว้จำนวน  3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายในยามปกติ

​2. บัญชีเงินออมระยะสั้น-ปานกลาง ออมเพื่อเป้าหมายไว้ดาวน์ซื้อบ้าน ซื้อรถ ท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่งงานหรือเพื่อสร้างครอบครัว  

3. บัญชีเงินออมระยะยาว เพื่อค่าเล่าเรียนลูก หรือออมไว้ใช้หลังเกษียณ  เงินก้อนนี้ต้องอาศัยความตั้งใจและวินัยสูงต้องกันเงินไว้ทุกเดือน เช่น ลงทุนในกองทุน SSF และ RMF เงินนี้เก็บลูกเดียว ห้ามถอนออกเด็ดขาด

​4. บัญชีเงินออมเพื่อการลงทุน เพื่อใช้เงินทำงาน ให้เงินไปต่อเงิน ทั้งการลงทุนในหุ้น ทองคำ คอนโดให้เช่า หรือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น หุ้นกู้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์

​หลายคนถามว่า บัญชีเงินออมที่ 2-3-4 ต้องมีเท่าไร ตอบสั้นๆได้ว่า มากที่สุดเท่าที่จะมีได้

เพื่อสร้างแรงผลักดัน แนะนำให้เริ่มจากการตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ว่าอยากออมเงินไปเพื่ออะไร เพื่อซื้อบ้านในฝัน เพื่อซื้อรถขับไปทำงาน เพื่อเงินเก็บ 10 ล้าน เพื่อส่งลูกไปเรียนเมืองนอก หรือต้องการมีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ2หมื่น     

จากนั้นมุ่งมั่นทำตามเป้าหมาย  เพราะจะสามารถคำนวณคร่าวๆได้ว่า ต้องใช้เงินเท่าใด   ใช้วิธีไหนจึงจะบรรลุเป้าหมาย ต้องเก็บออมเดือนละเท่าไร  ออมนานแค่ไหน และนำเงินออมไปลงทุนให้งอกเงยได้อย่างไร  เริ่มต้นเรียนรู้วางแผนทางการเงินได้ง่ายๆ ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th เลือกเมนู “ความรู้การลงทุน”

ลงมือทันที ออมให้เยอะ ออมให้มาก ออมให้เร็ว หากคุณเริ่มออมตั้งแต่วันนี้ นั่นหมายถึงคุณได้หลุดพ้นจากความยากจน เดินตาม คุณนายพารวย”  ก้าวสู่ประตูแห่งความมั่งคั่งได้แน่นอน!!  เป็นกำลังใจให้ทุกคน

ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

“ประวิตร” นำทีมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำ ยันแล้งนี้มีน้ำเพียงพอ

0

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก พร้อมมอบนโยบายแก้ไขปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2563 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและมาตรการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน และนายสัญญา แสงพุ่มพงษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิศวกรรมชลประทาน(ด้านบำรุงรักษา) พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำ- ประแสร์และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งภาคตะวันออก ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาประแสร์ อำเภอ- วังจันทร์ จังหวัดระยอง

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกน้อยกว่าค่าปกติในช่วงฤดูฝนปี 2562 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำต่างๆ ในพื้นที่ภาคตะวันออก อยู่ในเกณฑ์น้อยและไม่เพียงพอที่สนับสนุนกิจกรรมการใช้น้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะเขื่อนประแสร์ จังหวัดระยอง ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดสรรน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำต่างๆในพื้นที่ EEC มีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 23 ล้าน ลบ ม. เท่านั้น

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน

กรมชลประทาน ได้ดำเนินการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้อ่างเก็บน้ำประแสร์ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำทั้งระบบในพื้นที่ EEC ด้วยการปันน้ำจากลุ่มน้ำวังโตนด ปริมาณ 10 ล้าน ลบ.ม. มายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ในช่วงเดือน มี.ค. 63 ที่ผ่านมา พร้อมปรับปรุงคลองส่งน้ำเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำรั่วซึมลงดิน รวมทั้งยังปรับแผนลดการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำ-ประแสร์ ส่งไปจังหวัดชลบุรี โดยใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวงรัชชโลทร 10 ล้าน ลบ.ม. ผันมายังอ่างเก็บน้ำบางพระ เพื่อส่งให้ผลิตน้ำประปาในจังหวัดชลบุรี

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจากบริษัท อีสต์วอเตอร์ฯ ทำการก่อสร้างระบบสูบกลับน้ำชั่วคราว จากคลองสะพานไปยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ประมาณวันละ 50,000 – 170,000 ลบ.ม. ส่งผลให้ปัจจุบันสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับอ่างเก็บน้ำประแสร์ ได้อย่างเพียงพอไปจนถึงเดือน มิ.ย. 63

กรมชลประทาน ยังได้ปรับแผนโครงการก่อสร้างระบบสูบกลับคลองสะพานมายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ที่เดิมมีแผนจะดำเนินการในปี 2564 นำมาดำเนินการให้เร็วขึ้นในปี 2563 เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ไว้ใช้ในปีถัดไป พร้อมบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำต่างๆ ในพื้นที่EEC ให้สอดคล้องกันทั้งระบบ และยังได้เร่งก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำวังโตนด 4 อ่างฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถเก็บกักน้ำเป็นน้ำต้นทุนหล่อเลี้ยง EEC ได้อย่างเพียงพอและยั่งยืน ปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างแล้ว 3 อ่างฯ ยังไม่สามารถก่อสร้างได้อีก 1 อ่างฯ คืออ่างเก็บน้ำวังโตนด เนื่องจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ให้กรมชลประทานกลับมาพิจารณา EHIA ในประเด็นด้านการอนุรักษ์เพิ่มเติม

เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านน้ำ และส่งเสริมเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศได้อย่างยั่งยืน

ขอความร่วมมือ สถานประกอบการทำความสะอาดจุดสัมผัสในห้องส้วมทุก 2 ชม.

0

แพทย์หญิงพรรณพิมล  วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากการสุ่มสำรวจติดตามสถานประกอบการที่ได้รับการผ่อนปรนจากมาตรการป้องกันแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่า ส่วนใหญ่ปฏิบัติตามมาตรการหลัก แต่ยังพบข้อจำกัดในการทำความสะอาดห้องส้วม ดังนั้น ทุกสถานประกอบการที่ได้รับการผ่อนปรนจึงต้องมีการควบคุมและทำความสะอาดส้วมมากขึ้น โดยเฉพาะการทำความสะอาดจุดที่มีการสัมผัสร่วมบ่อย ๆ ทุก 2 ชั่วโมง เช่น พื้นห้องส้วม โถส้วม ที่กดชักโครกหรือโถปัสสาวะ สายฉีดชำระ กลอนหรือลูกบิดประตู  ฝารองนั่ง ฝาปิดชักโครก ก๊อกน้ำ และอ่างล้างมือ ให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยา   ทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เมื่อเสร็จงานให้ซักผ้าที่ใช้แล้วและไม้ถูพื้นให้สะอาด และนำไปผึ่งแดดให้แห้ง

ทั้งนี้ ขณะปฏิบัติงานผู้ทำความสะอาดต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้ง สวมถุงมือยางและผ้ายางกันเปื้อน สวมรองเท้าพื้นยางหุ้มแข้ง หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น และหลังจากปฏิบัติงานเสร็จต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำทันที นอกจากนี้ในส่วนของผู้ใช้ส้วมสาธารณะหรือส้วมในสถานที่ทำงานต้องดูแลสุขอนามัยตนเองโดยล้างมือด้วยสบู่และน้ำทุกครั้งหลังเข้าห้องส้วม และปิดฝาชักโครกก่อนกดน้ำ รวมทั้งลดการสัมผัสเชื้อโรคให้มากที่สุด เช่น ให้ฉีดน้ำจากสายฉีดชำระก่อนใช้ และหลังใช้เสร็จแล้วควรทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วย  เพื่อสุขอนามัยส่วนรวม

กทม.ขู่ปิดสวนสาธารณะ หลังพบคนจำนวนมากไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ใส่หน้ากากอนามัย ไม่เว้นระยะห่าง

0

นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กรุงเทพมหานคร (ศบค.กทม.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมว่า จากรายงานของคณะทำงานด้านการประสานงานการดูแลความสงบเรียบร้อย พบว่า ประชาชนจำนวนไม่น้อย กว่า 80% ที่ใช้บริการสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร ละเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรการผ่อนปรนการใช้สวนสาธารณะ ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ข้อกำหนดการเข้าใช้สวนทั้งบริเวณทางเข้า และบริเวณทั่วไปภายในสวน ตลอดจนประชาสัมพันธ์เสียงตามสายภายในสวนให้ผู้ใช้บริการปฏิบัติตามข้อกำหนด

ศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร

พบว่า ผู้มาใช้บริการสวนสาธารณะ ไม่สวมหน้ากากอนามัยระหว่างที่อยู่ในสวน ไม่เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Physical Distancing) ระหว่างการออกกำลังกายหรือนั่งพักผ่อน ออกกำลังกายแบบเป็นกลุ่ม บางส่วนนั่งจับกลุ่มพูดคุย รับประทานอาหาร บางส่วนใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายแม้จะมีการปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าว โดยไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่ประจำสวนสาธารณะแจ้งเตือน  

กทม. จึงมอบหมายให้สำนักเทศกิจ สำนักงานเขตจัดเจ้าหน้าที่เทศกิจตรวจตราอย่างเข้มข้น หากตรวจพบบุคคลที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย หรือไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ให้เชิญบุคคลดังกล่าวออกนอกพื้นที่สวน ทั้งนี้หากปรากฎว่าประชาชนยังคงไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ กรุงเทพมหานครอาจปิดสวนสาธารณะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ ซึ่งจะทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดและการรักษาผู้ป่วยเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ขอบคุณ ภาพประกอบจากเว็บไซต์ สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร

กรมบัญชีกลางแจง ขรก.ติดคุก/ล้มละลาย ยังได้รับบำนาญต่อ

0

นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์เกี่ยวกับบำเหน็จบำนาญ กรณีถูกศาลสั่งจำคุกหรือล้มละลาย ว่าจะยังคงได้รับบำนาญต่อไปหรือไม่

กรมบัญชีกลางขอชี้แจงว่า ผู้รับบำนาญที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในหรือหลังวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 จะยังคงได้รับบำนาญต่อไปได้ เนื่องจาก ในปี พ.ศ. 2551 กระทรวงการคลังได้ออกพระราชบัญญัติบําเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2551 และให้ยกเลิกมาตรา 52 ของพรบ.เดิมที่ บัญญัติให้ผู้รับบำนาญที่กระทำความผิดถึงต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาโทษจำคุก เว้นแต่ความผิดในลักษณะลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท และผู้รับบำนาญที่เป็นบุคคลล้มละลายทุจริต จะหมดสิทธิรับบำนาญตั้งแต่วันมีคำพิพากษาถึงที่สุด

ทั้งนี้ มีเหตุผลสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
1) บำนาญ เป็นเงินที่ตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมา ความชอบดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผู้รับบำนาญได้สั่งสมมาตลอดชีวิตการรับราชการ แม้ผู้รับบำนาญจะได้กระทำผิดกฎหมายจนต้องได้รับโทษถึงจำคุกหรือเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตในภายหลัง ก็ไม่ได้กระทบต่อความดีความชอบที่ผู้รับบำนาญได้กระทำไว้ในอดีต การนำเอาความผิดที่ได้กระทำในวันนี้ ไปลบล้างความชอบที่ได้กระทำลงไปแล้วจึงไม่ถูกต้อง ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการรับบำเหน็จ ซึ่งเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาเช่นกัน เมื่อผู้รับบำเหน็จได้รับโทษจำคุกหรือเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต ก็มิได้มีการเรียกเงินบำเหน็จที่ได้รับไปแล้วคืนแต่ประการใด
2) ผู้รับบำนาญ มีเงินบำนาญที่ได้รับจากรัฐบาลทุกเดือนเป็นรายได้เพียงประการเดียว การที่ผู้รับบำนาญถูกงดบำนาญเพราะเหตุถูกจำคุก ภายหลังเมื่อผู้รับบำนาญพ้นโทษก็จะกลายเป็นบุคคลผู้ไม่มีรายได้ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องจัดสรรงบประมาณในการสงเคราะห์ดูแลเช่นเดิม
3) ผู้รับบำนาญที่เสียสิทธิในการได้รับบำนาญเมื่อถึงแก่ความตาย ทายาทจะไม่มีสิทธิในการขอรับบำเหน็จตกทอด ทั้งที่ทายาทมิได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย

“สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง” ช่วยสร้างงานให้คนไทย โครงการดีของบุญรอดฯ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และ นายฌานนท์ โปษยะจินดา ผู้บริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด พร้อมด้วยผู้บริหาร และหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ร่วมกันเปิดโครงการ “สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง” เป็นที่แรก ที่หมู่ 9 บ้านโนนสวรรค์ใหม่ ต.ภูเหล็ก ที่ อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และมีประชาชนในหมู่บ้านได้รับผลกระทบจากวิกฤตสถานการณ์ โควิด – 19

นายฌานนท์ โปษยะจินดา ผู้บริหาร บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ กล่าวว่า บริษัทจัดกิจกรรมสิงห์อาสาเป็นประจำอยู่แล้ว เพื่อช่วยบรรเทาทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม หรือภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น และในปีนี้มีทั้งโควิด19 เข้ามา บริษัทได้ใช้งบประมาณบรรเทาความเดือดร้อนผ่านบริษัทในเครือทั้งหมด ทั้งในส่วนของผู้บริหาร พนักงาน ตัวแทนจำหน่ายและคู่ค้า มูลค่ารวม 150 ล้านบาท และยังได้เตรียมงบประมาณเพิ่มเติมอีก 50 ล้านบาท กับนโยบายเร่งจ้างงานสร้างอาชีพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ จ้างงานสร้างอาชีพ และช่วยเหลือประชาชนในชุมชนที่ตกงาน

สำหรับโครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง ที่จ.ขอนแก่นนี้ สามารถจ้างงานชาวบ้านในพื้นที่กว่า 100 คน จากประชากรในหมู่บ้าน 146 ครัวเรือน ทำการติดตั้งแทงค์น้ำดื่มขนาดใหญ่เพื่อบริการกับชาวบ้านที่เดือดร้อนในชุมชน และขุดบ่อน้ำเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ทำการเกษตรและใช้ในครัวเรือน เป็นการสำรองน้ำไว้ยามขาดแคลนจากภาวะภัยแล้ง รวมถึงแจกจ่ายน้ำดื่มให้กับประชาชนในหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับเบี้ยเลี้ยงคนละ 200 บาท น้ำดื่มสิงห์ ข้าวสารตราพันดี หลังจากนี้จะกระจายโครงการไปยังพื้นที่ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้งในจังหวัดอื่นๆ ของภาคอีสานต่อไป

โครงการ “สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง” จะกระจายไปยังพื้นที่ประสบภัยแล้ง ทั้ง 20 จังหวัดในภาคอีสาน โดยมีเครือข่ายนักศึกษาสิงห์อาสาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 16 สถาบัน ร่วมกันเฝ้าระวัง และดูแลพื้นที่สถานการณ์วิกฤตภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด, มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ,มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร,มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายการช่วยเหลือทั้งในเรื่องปากท้องและการสร้างอาชีพแก่พี่น้องประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวของบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ ทั้งโครงการระยะสั้นและโครงการระยะยาวเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ประกอบด้วยโครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และ โครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม

ยอดจ้างงานชลประทาน 50% แล้ว รับเพิ่มได้อีก 4.4 หมื่นคน

0
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน

ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงความก้าวหน้าโครงการจ้างแรงงานชลประทาน    เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและโรคระบาดไวรัสโควิด 19 ว่า กรมชลประทาน      ได้ดำเนินโครงการจ้างแรงงาน ตามนโยบายช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ต้องบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 จนถึงขณะนี้            ทั่วประเทศมีผู้สนใจเข้าร่วมจ้างแรงงานแล้ว 44,464 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของแผนฯ ยังสามารถจ้างแรงงานได้อีกประมาณ 44,000 คน ให้ครบตามเป้าที่กำหนดไว้ 88,838 คน

โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจ้างแรงงาน ดังนี้

  • เป็นเกษตรกรหรือเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำของกรมชลประทาน
  • ประชาชน และผู้ใช้แรงงานทั่วไป ในพื้นที่ดำเนินโครงการฯ

หากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ จะพิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ  กรมชลประทาน จึงขอเชิญชวนเกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมสมัครรับจ้างแรงงานชลประทาน โดยสามารถติดต่อสอบถามหรือสมัครได้ที่โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางสายด่วนกรมชลประทาน หมายเลข 1460 ชลประทานบริการประชาชน

ช็อปปิ้งไม่เหมือนเดิม เช็กอินก่อนเข้าห้าง คัดกรองคน ชูสังคมไร้สัมผัส

0

นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เดอะมอลล์กรุ๊ป เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ ชีวิตวิถีใหม่ของธุรกิจค้าปลีกห้างสรรพสินค้าจะเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะมาตรการด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยที่เข้มงวด เพื่อให้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ

มาตรการขั้นสูงสุดดำเนินการในทุกมิติ ประกอบด้วย สำหรับลูกค้า 5 มาตรการหลัก 34 มาตรการย่อย และสำหรับกลุ่มธุรกิจ 6 มาตรการเสริม 66 มาตรการย่อย รวม 100 มาตรการ โดยกลยุทธ์สำคัญคือการสร้าง สังคมไร้สัมผัส (TMG TOUCHLESS SOCIETY) ถือเป็นประสบการณ์ช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์รูปแบบใหมตั้งแต่การขับรถเข้าในที่จอดรถ ไปถึงขั้นตอนการชำระเงินซื้อสินค้าและบริการ

ทั้งนี้ ลูกค้าทุกคนจะต้อง เช็กอิน เพื่อเข้าไปศูนย์ ทำได้ 3 รูปแบบ คือ

  1. ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น MCARD ซึ่งปัจจุบันมีระบบกว่า 7 แสนราย ลูกค้าสามารถ เช็กอินมาจากที่บ้านได้ แสดงแอปให้เจ้าที่หน้าที่และผ่านเข้าประตูได้เลยไม่ต้องรอคิวหน้าศูนย์
  2. การเช็กอินผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ดและแอปพลิเคชั่นไลน์
  3. กรอกแบบฟอร์มหน้าศูนย์

ช่วงแรกประเมินว่าลูกค้าจะมาใช้บริการ ลดลงกว่าปกติ 30-40% โดยพฤติกรรมการซื้อสินค้าหลังวิกฤตโควิดได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าที่มีความจำเป็นมากกว่ากว่าการซื้อตามอารมณ์ ซึ่งจะเป็นสินค้าใช้ในครัวและใช้ในบ้านยอดขายขึ้นท็อป 5 ซึ่งปกติจะมีสัดส่วนการขายเพียง 5-10% เท่านั้น และพฤติกรรมการช้อปจะมีความรวดเร็วขึ้น มีการวางแผนล่วงหน้ามาจากบ้าน

สำหรับการปิดศูนย์การค้าไปตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ยอดขายรวมหายไปถึง 70-80% เพราะเปิดบริการเพียงซูเปอร์มาร์เก็ตและช้อปออนไลน์

นายเกรียงศักดิ์ ตันติพิภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดิ เอ็มโพเรี่ยม กรุ๊ป และกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ตลาดค้าปลีกปีนี้ จะหดตัวลง 14% หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่หายไป 5 แสนล้านบาท จากมูลค่าตลาดค้าปลีกปี 62 ประมาณ 3.5 ล้านล้านบาท  โดยมีผลกระทบจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัวลง, กำลังซื้อที่ลดลง และสต๊อกสินค้าที่ขาดแคลน อาทิ สินค้านำเข้าจากจีน และกำลังการผลิตที่หดตัวลง

เดอะมอลล์กรุ๊ปได้วางแผนธุรกิจเดินหน้าไปพร้อมชีวิตวิถีใหม่ซึ่งก้าวสู่ดิจิทัลอย่างเต็มตัว แต่รูปแบบของศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้ายังคงเป็นหลักอยู่ และจะทำให้แม้การช้อปออนไลน์จะเติบโตสูงมากแต่ยังถือว่าเป็นสัดส่วนน้อย โดยกลยุทธ์ต่อไปจะพิจารณาตาม 3 ประเด็นหลัก คือการเข้มงวดในการดูแลสุขภาพ, การเว้นระยะห่างทางสังคม และการทำงานจากที่บ้าน ซึ่งทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

“หลังศูนย์การค้ากลับมาเปิด จะเห็นภาพรูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ศูนย์การค้าจะลดลงเหลือเพียง 50% หรือหากบริหารดีๆ อาจจะได้ 70% เพราะต้องเข้มงวดในมาตรการรักษาระยะห่างหรือ social distancing และมาตรการที่เข้มงวดที่นำมาใช้เพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้าให้มากที่สุด”

ห่วงสถานการณ์น้ำ ฝนตกแต่น้ำในอ่างเก็บน้ำยังน้อย วอนทุกฝ่ายประหยัดน้ำ อย่าประมาท

0

สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ ยังคงมีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย และยังคงส่งน้ำตามแผนการจัดสรรน้ำฤดูฝน เพื่อสนับสนุนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ แม้ว่าในระยะนี้จะมีฝนตกลงมาบ้าง  แต่ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างฯ ยังมีไม่มากนัก

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ในฐานะโฆษกกรมชลประทาน กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และกลางทั่วประเทศ ปัจจุบัน(12 พ.ค. 63) มีปริมาณน้ำในอ่างฯรวมกันประมาณ 34,472 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 45 ของความจุ เป็นน้ำใช้การได้ประมาณ 10,802 ล้าน ลบ.ม. สามารถรับน้ำได้อีกกว่า 40,000 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 8,380 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 34 ของความจุอ่างฯ มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 1,684 ล้าน ลบ.ม.

เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์

ด้านผลการจัดสรรน้ำฤดูฝนทั้งประเทศ ปัจจุบัน มีการใช้น้ำไปแล้ว 1,056 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 9 ของแผนจัดสรรน้ำฯ เฉพาะในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการใช้น้ำไปแล้ว 347 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 11 ของแผนจัดสรรน้ำฯที่วางไว้ สำหรับสถานการณ์ฝนที่ตกจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 35 แห่ง ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 – 11 พฤษภาคม 2563 รวมประมาณ 234 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยาในช่วงวันเดียวกัน มีน้ำไหลลงอ่างฯรวมกันประมาณ 47 ล้าน ลบ.ม. แม้ว่ายังอยู่ในเกณฑ์น้อย แต่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่มีน้ำต้นทุนน้อย จะมีพื้นที่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณน้ำได้อีกมากตลอดในช่วงฤดูฝนนี้

เขื่อนแควน้อย

กรมชลประทาน ได้ให้โครงการชลประทานทุกพื้นที่ บริหารจัดการน้ำในแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักร-เครื่องมือ ให้สามารถพร้อมใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดเวลา รวมไปถึงให้เร่งกำจัดวัชพืชไม่ให้กีดขวางทางน้ำ การตรวจสอบระบบและอาคารชลประทาน ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ ยังบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานในท้องที่ ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ ให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้ทุกพื้นที่พร้อมรับกับสถานการณ์น้ำที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าจะภัยแล้งหรืออุทกภัย และขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้ร่วมใจกันประหยัดน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาขาดแคลนน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

เขื่อนสิริกิติ์