Home Blog Page 431

โออาร์ ร่วมกับกรมประมง ให้เกษตรกรขายกุ้งก้ามกรามใน พีทีที สเตชั่น กลางกรุงเทพฯ

0



นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมาก เนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ตามปกติ อีกทั้งสัตว์น้ำเศรษฐกิจบางชนิดยังประสบปัญหาราคาตกต่ำอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมา กรมประมงได้ให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในการระบายผลผลิตผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่อง

มีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง


กรมประมงจึงได้ร่วมกับ กับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ในการสนับสนุนและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผลผลิตสัตว์น้ำให้แก่เกษตรกรเพื่อให้สามารถส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ในบริเวณพื้นที่ของสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งกรมประมงได้นำร่อง “กุ้งก้ามกราม” เข้าเปิดตลาดเป็นสินค้าสัตว์น้ำชนิดแรก โดยจะทำการจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในทำเลที่มีประชาชนสัญจรอย่างคับคั่ง จำนวน 4 แห่ง ประกอบด้วย

  • พีทีที สเตชั่น สวัสดิการ ร.1 รอ. ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงสามเสนใน เขตพญาไท
  • พีทีที สเตชั่น ประชาอุทิศ-ลาดพร้าว เลียบด่วน 304, แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง
  • พีทีที สเตชั่น เทพรักษ์ แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน
  • พีทีที สเตชั่น แขวงตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน
พีทีทีสเตชั่น

โดยจะเปิดจำหน่ายพร้อมกันทั้ง 4 จุด ในวันอาทิตย์ที่ 7 และ 14 มิถุนายน 2563 ในเวลาตั้งแต่ 09. 00 น. เป็นต้นไป สำหรับกุ้งก้ามกรามที่นำมาจำหน่ายดังกล่าวนั้น เป็นผลผลิตที่มีคุณภาพจากฟาร์มของเกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐม และราชบุรี ซึ่งมีความสด สะอาด ปลอดภัย โดยนำมาจำหน่ายในราคาถูกเทียบเท่ากับแหล่งผลิต อาทิ เพศผู้ ขนาด 9-10 ตัว/กิโลกรัม ราคา 350 บาท ขนาด 11-13 ตัว/กิโลกรัม ราคา 330 บาท ขนาด 14-16 ตัว/กิโลกรัม ราคา 300 บาท ขนาด 17-20 ตัว/กิโลกรัม ราคา 280 บาท เพศเมีย ขนาด 20-24 ตัว/กิโลกรัม ราคา 230 บาท ขนาด 25-29 ตัว/กิโลกรัม ราคา 210 บาท ขนาด 30-34 ตัว/กิโลกรัม 180 บาท เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีสินค้าสัตว์น้ำแปรรูปอื่น ๆ มาร่วมจำหน่ายด้วย อาทิ ปลาสลิดแดดเดียว ปลาช่อนแดดเดียว ผลิตภัณฑ์ปลาดุกแปรรูป เช่น ปลาดุกเส้นหวาน ปลาดุกแผ่น ปลาดุกร้า หนังปลาดุกทอดกรอบ ผลิตภัณฑ์ปลานิลแปรรูป เช่น จ๊อปลานิล ปลานิลแดดเดียว คั่วกลิ้งปลานิล เป็นต้น

​​​​​​​กรมประมง ขอเชิญชวนประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและบริเวณใกล้เคียง ร่วมกันอุดหนุนสินค้ากุ้งก้ามกราม และผลิตภัณฑ์แปรรูปประมงคุณภาพดี ในราคาย่อมเยาที่ส่งตรงจากมือเกษตรกร ได้ที่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ทั้ง 4 สาขาดังกล่าวข้างต้น ในวันอาทิตย์ที่ 7 และ 14 มิถุนายน 2563 ตั้งแต่เวลา 09. 00 น. เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center กรมประมง โทร. 0 2562 0600-15 ในวันและเวลาราชการ

9 อาการ บ่งบอกว่าคุณเป็นโรคติดพนัน

0

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เผยแพร่บทความเรื่องการตรวจสอบอาการว่า เป็นโรคติดพนัน หรือ Gambling disorder หรือไม่
โดยพบว่า ผู้ป่วยจะมีอาการอย่างน้อย 4 ใน 9 ข้อ ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ดังนี้

  1. เพิ่มจำนวนเงินในการเล่นแต่ละครั้ง เพื่อให้รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิม
  2. รู้สึกกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิด เมื่อพยายามลดหรือเลิกการพนัน
  3. พยายามควบคุม ลด หรือเลิกการพนันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
  4. คิดวกวนถึงการพนันบ่อยๆ เช่น ย้อนนึกถึงช่วงเวลาเล่นพนันที่ผ่านมา
  5. เล่นการพนันบ่อยๆ เมื่อรู้สึกตึงเครียด
  6. หลังสูญเงินไปกับการพนันแล้วจะพยายามแก้ตัวด้วยการไปเล่นอีกบ่อยครั้ง
  7. โกหกเพื่อปกปิดการเล่นพนัน
  8. บกพร่องหรือสูญเสียความสัมพันธ์หน้าที่การงาน การเรียน
  9. ยอมทำตามคำสั่งคนอื่นเพื่อให้ช่วยเหลือเรื่องเงินในการเล่นพนัน

หากพบว่าตนเองเข้าข่ายโรคติดพนัน สามารถรับคำปรึกษาได้ที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

อากาศร้อน แล้ง แปรปรวน ทำต้นทุนเลี้ยงหมูเพิ่ม 100 บ.ต่อตัว แถมค่าอาหารสัตว์ขึ้นซ้ำเติม

0

นายเสน่ห์ นัยเนตร ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์การปศุสัตว์ภาคตะวันออก จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์การเลี้ยงสุกรว่า จากปัญหาอากาศร้อนและภัยแล้งจนถึงอากาศแปรปรวนตลอดทั้งวันในปัจจุบัน บางพื้นที่ร้อนอบอ้าวจนถึงมีฝนตกจากพายุฤดูร้อน ทำให้สัตว์ปรับสภาพร่างกายไม่ทัน เกิดความเครียด กินอาหารน้อยลง ร่างกายอ่อนแอและอาจเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การเติบโตช้าลง พบว่าอัตราการสูญเสียในฟาร์มจากภาวะอากาศดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 10% ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรต่างพยายามป้องกันโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF ในสุกร เพื่อไม่ให้โรคนี้เข้ามาทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยได้ ความพยายามในการป้องกัน ASF ของเกษตรกรทุกคนทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ปลอดโรคนี้ แม้ว่าเกษตรกรต้องมีต้นทุนเพิ่มแต่ก็ยินดีปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงและการป้องกันโรคที่ภาครัฐแนะนะ พบว่าภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 บาท ทั้งจากการใช้ยาฆ่าเชื้อพ่นป้องกันทุกวันๆละ 2 ครั้ง และค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงงาน

เสน่ห์ นัยเนตร ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์การปศุสัตว์ภาคตะวันออก

นอกจากต้นทุนที่เพิ่มจากการยกระดับการป้องกันโรคแล้ว ปัญหาภัยแล้งในช่วงที่ผ่านมายังกระทบกับเกษตรกร ที่ส่วนใหญ่มีน้ำไม่เพียงพอ จึงต้องซื้อน้ำจากภายนอกมาใช้ในฟาร์มทุกวัน ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีก 2-3% หากเดือนมิถุนายนนี้ ยังไม่มีฝนใหญ่เข้ามาเกษตรกรต้องทุกข์กันหมด เพราะรถขายน้ำไม่มีน้ำมาขาย และยังมีค่าไฟเพิ่มเพราะต้องเปิดพัดลมระบายอากาศและเดินระบบอีแวปตลอดเวลา ขณะที่สภาพอากาศแปรปรวนฉับพลันในปัจจุบันกำลังซ้ำเติมเกษตรกร ทำให้ลูกหมูอ่อนแอมาก มักเป็นไข้หวัด ป่วยง่าย จึงมีค่าเวชภัณฑ์ในการรักษาเพิ่ม และยังต้องแบกรับต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ราคาแพงที่ถือว่าเป็นภาระหนักมากสำหรับคนเลี้ยง

ปัจจุบันวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาสูงขึ้นเป็นอย่างมาก อาทิ ปลายข้าวราคาสูงกว่า 12 บาทต่อกิโลกรัม และรำข้าวราคา 10-11 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนการผลิตปัจจุบัน 65-67 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนราคาขายหมูเป็นหน้าฟาร์มประมาณ 66-71 บาทต่อกิโลกรัม

นายเสน่ห์ กล่าวอีกว่า จากปัญหาหมูล้นตลาด หรือ Over Supply ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีเกษตรกรรายย่อยหายไปจากระบบมากกว่า 50% อย่างไรก็ตามเกษตรกรทั้งประเทศยังร่วมกันบริหารจัดการทั้งระบบ เพื่อให้ไทยยังคงมีประชากรหมูเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ ส่วนภาวะราคาที่ปรับขึ้นลงก็เป็นไปตามกลไกตลาดในแต่ละช่วงเวลา ขณะเดียวกันขอฝากภาครัฐ ช่วยผลักดันเรื่องการส่งออกหมูสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ยังคงมีความต้องการนำเข้าจากประเทศไทยอยู่มาก จากความเชื่อมั่นในเรื่องคุณภาพมาตรฐานปลอดโรค ASF และมาตรฐานการผลิตของไทย ที่ปัจจุบันเกษตรกรรายย่อยได้หันมาปฏิบัตตามมาตรฐาน GAP ของกรมปศุสัตว์ ถือเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมหมูไทย

เอไอเอส เดินหน้าเพิ่มจุดทิ้งขยะ E-Waste ในไปรษณีย์ฯ ทั่วประเทศ

0

เอไอเอส เดินหน้าขยายแคมเปญ “คนไทยไร้ E-Waste” ร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งเน้นขยะอิเล็กทรอนิกส์  5 ประเภทได้แก่ โทรศัพท์มือถือ, แบตเตอรี่มือถือ, สายชาร์จ, พาวเวอร์แบงก์ และ หูฟัง เพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี ล่าสุดผนึกกำลังกับไปรษณีย์ไทย เพิ่มจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ในที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 160 แห่งทั่วประเทศ 

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า บริษัทประกาศภารกิจนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2562 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของคนไทย โดยอาสาเป็นแกนกลางในการรับทิ้งและนำขยะ E-Waste ไปกำจัดอย่างถูกวิธี ปัจจุบัน มียอดทิ้งขยะรวม 49,952 ชิ้น ในระยะเวลาเพียง 7 เดือน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 499,520 กิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ หรือเทียบเท่าต้นไม้ขนาดใหญ่ จำนวน 55,502 ต้น ดูดซับ CO2  เป็นเวลา 1 ปี โดย เอไอเอส จะนำขยะ E-Waste ที่ได้ทั้งหมด ไปกำจัดอย่างถูกวิธีด้วยกระบวน Zero Landfill ซึ่งเป็นกระบวนการจัดการขยะทำให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้เกิดมูลค่าได้อีกครั้ง ทั้งยังเป็นการลดการฝังกลบที่เป็นมลพิษต่อโลกได้ในระยะยาว

การร่วมกับ ไปรษณีย์ไทย ในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ได้สะดวกและใกล้บ้านมากยิ่งขึ้น เพราะไปรษณีย์ไทย มีเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์กระจายอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ 

ด้าน นายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ไปรษณีย์ไทยได้นำจุดแข็งด้านเครือข่ายที่ครอบคลุมและเข้าถึงประชาชนทั่วประเทศ โดยการร่วมกับเอไอเอสตั้งจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในที่ทำการไปรษณีย์ 160 แห่งทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาใส่กล่องรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ซึ่งนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มาใช้บริการ สามารถมาทิ้งขยะ E-Waste ได้ง่ายแล้ว ยังถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเตือนให้คนไทยหันมาสนใจสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งหากกำจัดหรือไปทิ้งอย่างไม่ถูกวิธีแล้วก็จะก่อให้เกิดผลกระทบได้ในระยะยาว

ทั้งนี้ แคมเปญ “คนไทยไร้ E-Waste” มีจุดรับทิ้ง E-waste รวม 1,806 จุด  นอกจากที่ทำการไปรษณีย์ 160 แห่ง ยังมีที่ AIS Shop จำนวน 136 สาขาทั่วประเทศ, ศูนย์การค้าในเครือ CPN 34 สาขา, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล และอาคารชุด คอนโด ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ

กระทรวงดิจิทัล แจงแอปไทยชนะ ไม่เกี่ยวสแปมในไอโฟน

0

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พบมือถือ 99.99% ที่ได้ข้อความสแปมเป็นระบบ iOS และหลายรายยังไม่เคยใช้แพลตฟอร์มไทยชนะ ล่าสุดไทยเซิร์ต พบแอปเลียนแบบไทยชนะโผล่บน Play Store เตือนประชาชนอย่าประมาทพลาดท่ามิจฉาชีพ หรือคลิกเปิดเว็บไซต์ที่ไม่รู้จัก เสี่ยงดูดแฮกเกอร์เข้าเจาะข้อมูลในมือถือ

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า กรณีข้อความโฆษณารบกวนที่มีการแพร่ระบาด อยู่ในขณะนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพบว่า โทรศัพท์ที่ได้รับเอสเอ็มเอสโฆษณารบกวนชักชวนเล่นพนัน จำนวนกว่า 99.99% เป็นโทรศัพท์ที่ใช้ระบบ iOS และแม้จะไม่เคยใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” ในสถานที่ใดๆ เลย ก็ได้รับข้อความโฆษณารบกวนเช่นกัน

ทั้งนี้ ได้มีการส่งเรื่องหารืออย่างเป็นทางการไปยังบริษัทผู้ให้บริการระบบ iOS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้บนโทรศัพท์มือถือไอโฟน และแท็บเล็ตไอแพด ของ Apple แล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบกลับมา

รมว. กระทรวงดิจิทัล ย้ำว่า ขอให้ทุกคนอย่าตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเพราะความประมาท อย่าหลงเชื่อตัวล่อ เช่นเงินรางวัล ของฟรี และไม่แนะนำให้ทดลองเปิดเว็บไซต์ เพราะข้อความนั้นอาจเป็นพาหะนำพาไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่โทรศัพท์ของท่านได้

ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า แอปพลิเคชั่นไทยชนะ ที่พัฒนาโดยรัฐบาลไทยจะใช้ชื่อว่า “Thaichana – ไทยชนะ” ผู้พัฒนา คือ “Krungthai Bank PCL.”

กระบวนการเริ่มต้นใช้งานแอปไทยชนะ 1. จะมีการขออนุญาตเปิดตำแหน่ง (Location) เพื่อค้นหาร้านค้าใกล้ตัว เพื่อทราบระยะทางแบบประมาณการ กรณีที่ผู้ใช้งานไม่ให้ Location แอปจะไม่สามารถเรียงข้อมูลตามระยะทางใกล้ตัวได่ และ 2.ขออนุญาตเปิดกล้อง เพื่อสแกนคิวอาร์โค้ด

โดยยืนยันว่า แอปพลิเคชั่นไทยชนะ ไม่ได้เข้าถึงที่เก็บข้อมูล หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รวมไปถึงไม่มีการส่งข้อมูลพิกัด Location ของผู้ใช้งานออกไปแต่อย่างใด

สำหรับปัญหาข้อความ SMS สแปมที่ส่งเข้ามาทาง iMessage บนไอโฟนและไอแพด ล่าสุดในเพจเฟซบุ๊ก iPhone Thailand ได้ให้คำแนะนำวิธีการจัดการกับเอสเอ็มเอสโฆษณารบกวนทาง iMessage ระบุว่า จากกรณีดังกล่าวทาง Apple ให้แจ้งไปยังผู้ให้บริการมือถือ ทำการบล็อกไม่ให้ส่งโฆษณา เนื่องจากเอสเอ็มเอสแปมเหล่านี้ ส่งผ่านมาทาง iMessage ซึ่งเป็นแอปที่อยู่บนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบ iOS ของ Apple โดยเบื้องต้นแนะนำปิดรับข้อความ iMessage วิธีการเข้าไปตั้งค่า และ Report มีวิธีดำเนินการ 3 แบบ

ได้แก่ แบบที่ 1 คลิกที่ด้านบนที่โชว์ว่า “3 คน” จากนั้นเลือก “ข้อมูล” และคลิก “กดออกจากการสนทนา” 2 รอบ จากนั้นกดเสร็จสิ้น ก็กด “ แจ้งว่าเป็นขยะ” แบบที่ 2 เข้าไปที่ “การตั้งค่า” เลือก “ข้อความ” จากนั้นคลิกที่ “ฟิลเตอร์ผู้ส่งที่ไม่รู้จัก” และแบบที่ 3 สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ iMessage ให้เข้าไปที่ “การตั้งค่า” เลือก “ข้อความ ” จากนั้นคลิกปิด “iMessage” ซึ่งในข้อนี้หากต้องการใช้งานแอป iMessage ก็สามารถกลับมาเปิดใหม่ได้

สำหรับรายงานภาพรวมการใช้งานไทยชนะเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 63 มีจำนวนกิจการที่ลงทะเบียน 133,694 ร้านค้า จำนวนผู้ใช้งานรวม 18,587,269 คน แบ่งเป็น การเข้าใช้งานผ่านเว็บไซต์ไทยชนะ 18,523,417 คน และเข้าใช้งานผ่านแอปไทยชนะ63,852 คน ขณะที่ แอปไทยชนะ มียอดการดาวน์โหลดแล้ว 120,076 ครั้ง

คีรี นำทีมบีทีเอส ทำ “กล่องบรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” 4 หมื่นกล่อง ส่งฟรีถึงหน้าบ้านผู้เดือดร้อน สู้โควิด-19

0

กลุ่มบ.บีทีเอส เดินหน้าช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง จัดทำกล่อง “บรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” ให้ เคอรี่ เอ็กเพรส จัดส่งถึงหน้าบ้านประชาชนในกรุงเทพและปริมณฑล 20,000 ชุด หลังก่อนหน้านี้ทุ่ม 70 ล้านทำกรมธรรม์ประกันชีวิตให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และ อสม. มากกว่า 3 แสนคน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงาน

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทบีทีเอส เปิดเผยว่า บริษัทในกลุ่มบีทีเอส ได้จัดทำ โครงการ “บรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” จัดทำกล่อง จำนวน 20,000 ชุด ( 40,000 กล่อง น้ำหนักรวมกว่า 400 ตัน ) มูลค่ารวม 25 ล้านบาท โดยภายในกล่องจะประกอบด้วยข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงรสต่างๆ เพื่อส่งมอบแจกจ่ายให้กับครอบครัวที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ได้รับความเดือดร้อน โดยโครงการนี้เป็นโครงการต่อเนื่องของกลุ่มบริษัทบีทีเอสในการช่วยเหลือดูแลสังคมและประชาชนในวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

สำหรับโครงการ กล่อง “บรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” นี้ ทางทีมงานกลุ่มบริษัทบีทีเอส ได้มีการประสานงานกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างใต้สถานีรถไฟฟ้าตลอดแนวบีทีเอส ออกเก็บข้อมูลครอบครัวประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และได้มีการส่งข้อมูลรายชื่อและที่อยู่กลับมาให้บริษัทเพื่อดำเนินการจัดการแล้ว

โดยทีมงานจะใช้บริการขนส่งของบริษัท เคอรี่ เอ็กเพรส (ประเทศไทย) จัดส่งกล่อง “บรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” ให้ถึงบ้านของทุกท่าน เพื่อไม่ต้องให้เดินทางมารับสิ่งของด้วยตนเองที่สถานี เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความแออัดและรักษาระยะห่าง ตามนโยบาย ( Social Distancing ) ของรัฐบาล โดยทางบริษัทฯ จะเริ่มส่งกล่อง “บรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” ตั้งแต่มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป

“ครั้งนี้ผมได้นำเงินส่วนตัว มาเป็นเงินทุนหลักร่วมกับกลุ่มบริษัทบีทีเอส มูลค่ารวม 100 ล้านบาท จัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุน และเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานต่อสู้วิกฤติโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้ได้จัดทำกรมธรรม์ประกันชีวิตมูลค่า 60 ล้านบาท ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในโครงการ นักรบเสื้อขาวสู้ภัยโควิด-19 ของแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ 280,000 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่กลุ่มที่มีความเสี่ยง เช่น ผู้ช่วยพยาบาล นักรังสีเทคนิค เทคนิคการแพทย์อีก 100,000 คน

นอกจากนี้ ยังสมทบตั้งกองทุนเพื่อดูแลและเป็นกำลังใจให้กับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อีก 10 ล้านบาท และยังร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนับสนุนอาหารกล่อง เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนในโครงการ “ข้าวกล่องบรรเทาทุกข์ ส่งความสุข” แจกวันละ 500 กล่อง ในเขตพื้นที่ชุมชนแออัดต่างๆ ” นายคีรีกล่าว

“ในสถานการณ์อันยากลำบากนี้ เราได้เห็นหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชนและกลุ่มบุคคลต่างๆ ได้ออกมารวมพลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบต่างๆ จำนวนมาก พวกเรากลุ่มบริษัทบีทีเอส ขอร่วมเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ให้สามารถฟันฝ่าและผ่านวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน และขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะคลายความทุกข์ส่งความสุขเล็กๆ ให้กับประชาชนในยามยากลำบากในครั้งนี้ ” ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทบีทีเอสกล่าว

จากบางกอกน้อยสู่บางพลัด… CPF Food Truck ส่งอาหารปลอดภัยจากใจ..สู่ชุมชน

0

เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ “CPF Food Truck” รถสีแดงคาดดำโดดเด่นสะดุดตา นำเมนูอาหารแสนอร่อยไปบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาหารให้กับพี่น้องประชาชนชาวบางกอกน้อย ในโครงการ “อาหารปลอดภัย จากใจ…สู่ชุมชน” ที่ต่างได้รับการตอบรับอย่างดีจากชาวชุมชน และรถคันนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “ความสุข” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกๆคนได้อย่างแท้จริง

วันนี้ รถ Food Truck ได้ขับเคลื่อนความสุขจากเขตบางกอกน้อยสู่เขตบางพลัดเป็นครั้งแรก เริ่มกิจกรรมกันที่ศูนย์ฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร บางพลัด โดยมีชาวบางพลัด  4 ชุมชนใกล้เคียง ทั้งชุมชนวัดบางพลัด ชุมชนพัฒนาซอย 79 ชุมชนดวงดี และชุมชนคลองสวนพริก มาร่วมกิจกรรมอย่างเป็นระเบียบ ไม่ลืมเรื่องของการรักษาระยะห่าง และการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด และชาวซีพีเอฟจิตอาสายังคงพร้อมใจร่วมกันมอบอาหารอุ่นร้อนๆให้กับทุกคนเช่นเคย

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า นับจากกิจกรรมที่บางกอกน้อยที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมารวม 10 ครั้ง และวันนี้ในพื้นที่บางพลัดถือเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นความตั้งใจที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับซีพีเอฟ แจกอาหารในพื้นที่ต่างๆในเขตกรุงเทพฯ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 โดยมีอาหารกล่องของ CP ที่บริษัทคัดสรรมาโดยเฉพาะ ทุกเมนูใช้วัตถุดิบอย่างดี รวมถึงไข่ต้ม CP และน้ำดื่มพร้อมอิ่มอร่อย รวมถึงสองพันธมิตรที่ร่วมกิจกรรมกันมาตลอดโครงการ ได้แก่ โอสถสภา ที่นำเครื่องดื่มมาแจก และ Mc ยีนส์ นำหน้ากากผ้ามาร่วมมอบ โดยหวังว่าการเข้ามาร่วมช่วยเหลือชุมชนและสังคม จะสามารถแบ่งเบาภาระต่างๆในช่วงนี้ได้

“ในภาวะเช่นนี้เราได้เห็นความมีน้ำใจของคนไทย ซึ่งทุกคนต่างช่วยกันทำตามมาตรการของรัฐบาล ไม่ให้มีการแพร่กระจายโรค ทุกคนทำ Social Distancing ใส่หน้ากาก ช่วยกันดูแลตัวเอง หากไม่นับกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ควบคุม จะเห็นว่ายอดการติดเชื้อเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจมาก ขอเชิญชวนทุกคนช่วยกัน “การ์ดอย่าตก” รักษามาตรฐานนี้ไว้ ที่ผ่านมารัฐบาลทำได้ดีมาก ในการดูแลคนป่วยให้หายจากโรคนี้ เพื่อให้ก้าวผ่านวิกฤตโควิดไปด้วยกัน” ประสิทธิ์ กล่าว

สำหรับ CPF Food Truck ซีอีโอ ซีพีเอฟ บอกว่าเป็นรถที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ มีระบบอุ่นร้อนได้ครั้งละ 100 แพ็ค เพื่อให้อาหารที่ทุกคนได้ทานถูกสุขอนามัย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ เมื่ออาหารที่ผลิตขึ้นมาอย่างดี จึงต้องการควบคุมตลอดกระบวนการเพื่อรักษาคุณภาพอาหาร เมื่อถึงจุดแจกก็อุ่นร้อนทำให้อาหารสะอาดปลอดภัยและอร่อย

กัญมณี เดชประดิษฐ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาชุมชน เขตบางพลัด กล่าวว่า สถานการณ์โควิด ส่งผลกระทบต่อประชาชน คนว่างงานเพิ่มขึ้น ปัญหาปากท้องจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ผ่านมามีหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือชุมชนในเขตบางพลัดบ้าง วันนี้การที่ซีพีเอฟนำ รถ Food Truck เข้ามาแจกอาหารถึงมือประชาชนทุกคนดีใจมาก ที่ได้รับอาหารที่ปลอดภัยและเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ดีสำหรับชาวบางพลัด ขอขอบคุณที่มาช่วยกันในยามยากเช่นนี้

ส่วน ศิโรรัตน์ วิเศษวิทย์สกุล หนึ่งในชาวซีพีเอฟจิตอาสา บอกว่า ขอบคุณบริษัทที่จัดกิจกรรมนี้ ทำให้ได้มีโอกาสมาร่วมนำอาหารปลอดภัยมอบให้ถึงมือพี่น้องประชาชน และมีส่วนช่วยเหลือคนไทยที่ตอนนี้ต้องประสบกับปัญหาโควิด 19 ซึ่งจะมาร่วมกิจกรรมต่อๆไปอีก ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน

โครงการ “อาหารปลอดภัย จากใจ…สู่ชุมชน” ที่ชาวซีพีเอฟจิตอาสานำรถ CPF Food Truck เคลื่อนที่ไปมอบความสุข ในทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ ในเขตบางกอกน้อย บางพลัด  ห้วยขวาง  บางขุนเทียน บางบอน และหนองแขม รวม 6 เขต นอกจากโครงการในกรุงเทพแล้ว ในอนาคตมีแผนขยายไปต่างจังหวัดเพิ่มเติม ส่วนในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ บริษัทจะร่วมกับสมาคมตำรวจ และสมาคมวิชาชีพผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะแท็กซี่ มอบอาหารให้พี่น้องแท็กซี่ เพื่อช่วยเหลือสังคมต่อไป

9 ข้อพึงระวังสำหรับการขับรถช่วงหน้าฝน

0

ช่วงฝนตกแบบนี้ สิ่งที่ต้องห่วงมากที่สุดคือ ความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มีข้อควรระวังในการขับรถมาฝาก

1. ตรวจสอบความพร้อมของรถ
ระบบไฟส่องสว่างและไฟสัญญาณต่าง ๆ สภาพของยางปัดน้ำฝน ระดับน้ำฉีดกระจก ระบบเบรก สภาพยาง ดอกยาง แรงดันลมยาง (ลมยางที่อ่อนเกินไป และดอกยางที่น้อยเกินไป จะทำให้ยางรีดน้ำได้น้อยลง และรถลื่นไถลได้ง่าย)

2. เปิดไฟหน้ารถให้เรียบร้อย
ให้เปิดไฟหน้ารถ ไฟตัดหมอก (ถ้ามี) เมื่อฝนตกหนัก จะทำให้ผู้ร่วมทางคนอื่น ๆ สามารถที่จะสังเกตเห็นรถเราได้ง่ายขึ้น

3. ระวังความลื่นของถนนช่วงฝนตกใหม่ ๆ
ช่วง 5 นาทีแรกที่ฝนตกใหม่ ๆ จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ เพราะถนนจะลื่นมากจากคราบดินคราบฝุ่นที่พึ่งโดนน้ำ ทำให้กลายเป็นโคลนซึ่งจะลื่นมาก

4. ลดความเร็ว ขับในระดับที่เหมาะสม
ใช้ความเร็วให้เหมาะสมกับทัศนวิสัยการมองเห็น และให้เว้นระยะจากรถคันหน้าให้มากกว่าเดิม 2 เท่า เพราะถนนที่ลื่นทำให้การเบรกต้องใช้ระยะที่มากขึ้น รวมถึงการขับรถเร็วสูงก็ทำให้ควบคุมรถได้ยากขึ้น และหากเจอแอ่งน้ำก็อาจจะทำให้รถเหินน้ำจนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้

5. ไม่ควรเบรกกะทันหัน
หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน และเบรกโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้รถเสียการทรงตัวจนไม่สามารถควบคุมรถได้

6. สังเกตหลุมหรือแอ่งน้ำบนถนนเสมอ
จุดที่มีน้ำขังบนถนน หรือแอ่งน้ำข้าง ๆ เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง หากขับมาด้วยความเร็วสูงรถจะเกิดการเหินน้ำ จนไม่สามารถควบคุมรถได้

7. บริเวณน้ำท่วมขัง ไม่มั่นใจความลึกให้หลีกเลี่ยง
การขับขี่บริเวณที่น้ำท่วมขังให้สังเกตระดับความลึกจากรถคันหน้าหรือขอบฟุตบาทข้างทาง เพื่อประเมินสถานการณ์

8. ปิดแอร์ขณะขับลุยน้ำ และใช้เกียร์ต่ำ
ขณะขับรถลุยบริเวณที่น้ำท่วมขังให้ปิดระบบปรับอากาศ และใช้เกียร์ต่ำ (เกียร์ L หรือเกียร์ 1) เพื่อไม่ให้รอบเครื่องยนต์ต่ำเกินไปและน้ำอาจจะย้อนเข้าเครื่องยนต์ทางท่อไอเสียได้

9.หลังขับลุยน้ำ ย้ำเบรกบ่อย ๆ รีดผ้าเบรกให้แห้ง
เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่น้ำท่วมขังมาแล้ว ให้ย้ำเบรกบ่อย ๆ เพื่อรีดให้ผ้าเบรกแห้ง ป้องกันการเบรกแล้วลื่น และหากต้องจอดรถเป็นเวลานาน ๆ ด้วย ควรหลีกเลี่ยงการใช้เบรกมือด้วยเพื่อป้องกันอาการเบรกติด

ที่มา บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR

AIS แนะวิธีป้องกันสแปมรบกวนใน IMessage

0

จากกรณีที่ช่วงนี้ มีกระแสผู้ใช้งาน iPhone ในหลายประเทศ ได้รับข้อความสแปมใน iMessage โดยไม่รู้สาเหตุ และเกิดความกังวลถึงความปลอดภัย

ในประเทศไทย มีผู้ใช้มือถือหลายเครือข่าย พบปัญหาเช่นกัน เอไอเอส เข้าใจถึงความกังวลดังกล่าว และเร่งหาสาเหตุของปัญหาเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้งาน โดย AIS ขอย้ำในเบื้องต้นว่า ข้อความสแปมเหล่านั้นไม่ได้ถูกส่งจากเอไอเอส ทั้งนี้ ผู้ใช้งานสามารถป้องกันข้อความสแปมดังกล่าว ได้ 2 วิธี ดังนี้

1. บล็อกผู้ส่งข้อความ (Block Sender)

โดยเข้าไปที่เมนูข้อความ → เปิดการสนทนา → แตะผู้ติดต่อที่ด้านบนของการสนทนา → แตะ i → แตะชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ หรือ ที่อยู่อีเมล เลื่อนไปที่ด้านล่างสุดของหน้าจอ แล้วแตะปิดกั้น

2. ปิดการใช้งาน iMessage

โดยเข้าไปที่เมนูตั้งค่า → เลือกข้อความ → เลื่อนแถบปิดที่เมนู iMessage

ทั้งนี้ แนะนำให้กดรายงาน (Report) iMessage ที่มีลักษณะเข้าข่ายสแปมหรือข้อความขยะ หากได้รับจากบุคคลที่ไม่ได้ถูกบันทึกอยู่ในแอปฯ รายชื่อ โดยเมื่อเข้าไปที่เมนูข้อความ → เปิดการสนทนา → จะเห็นลิงก์ “แจ้งว่าเป็นขยะ” ภายใต้ข้อความ → แตะแจ้งว่าเป็นขยะ → แตะลบและแจ้งว่าเป็นขยะ จากนั้นแอพข้อความจะส่งต่อข้อมูลและข้อความของผู้ส่งไปยัง Apple และลบข้อความออกจากอุปกรณ์ของท่าน

เอไอเอสขอยืนยันว่า บริษัทให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยได้ปฏิบัติตามและทบทวนขั้นตอนการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุดตามมาตรฐานระดับสากลอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ลูกค้าและประชาชนโปรดมั่นใจและเชื่อมั่นในมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยที่บริษัทดำเนินการมาโดยตลอด

ยกเครื่องประเทศไทย

0

บทความ โดย บรรยง พงษ์พานิช

จุดตายของรัฐวิสาหกิจไทย

รัฐวิสาหกิจไทยมีปัญหามากมาย ที่มีกำไร ก็ล้วนมาจากการผูกขาด (Monopoly) หรือมีส่วนจากการผูกขาด ไม่ก็มีคู่แข่งน้อยราย (Oligopoly) แต่รายไหนที่ต้องแข่งกับเอกชน มีแต่ขาดทุนยับเยิน เช่น องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารที่เคยผูกขาด เคยทำกำไรได้สบายๆ แต่ประชาชนต้องใช้บริการที่ราคาแพง คุณภาพต่ำเตี้ยเมื่อเทียบกับนานาประเทศ แถมอัตคัตขาดแคลน ประชาชนคิดจะมีโทรศัพท์สักเครื่องต้องรอเป็นหลายปี จ่ายใต้โต๊ะวุ่นวาย แม้ต่อมาถึงยุคแบ่งสัมปทานไปให้เอกชนเข้ามาให้บริการด้วย (ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการเอา ‘อำนาจผูกขาด’ ไปทะยอยแบ่งให้เช่าแก่เอกชน) ตัวเองที่ลงแข่งกับเอกชนผู้รับสัมปทานด้วยก็ขาดทุนมากมาย ในขณะที่เอกชนกำไรมหาศาลรวยเอารวยเอา

หรือจะยกตัวอย่างกิจการด้านการขนส่ง ไม่ว่ารถไฟ รถเมล์ เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หรือบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ที่ผิวเผินดูเหมือนเป็นธุรกิจผูกขาด แต่แท้จริงต้องแข่งกับทางเลือกอื่นๆ เช่น รถไฟต้องแข่งกับสายการบินต้นทุนต่ำ (low-cost carriers) รถทัวร์ และรถบรรทุก รถเมล์ต้องแข่งกับรถร่วม รถแท็กซี่ ไปจนถึงวินมอเตอร์ไซด์ ผลปรากฏก็เลยล้วนขาดทุนบักโกรกเป็นหลักหมื่นล้านแสนล้านกันทั้งนั้น

อย่าง ‘การบินไทย’ รักคุณเท่าฟ้าก็เหมือนกัน เคยเป็นสายการบินชั้นนำของโลก มีกำไรต่อเนื่องมาช้านาน แต่พอถูกเปิดน่านฟ้าเสรี เปิดให้มีการแข่งขัน ซึ่งประชาชนอิ่มเอม ค่าเดินทางลดต่ำลง จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มพรวดจาก 10 ล้านคนเป็น 40 ล้านคน ชาวบ้านตาสีตาสามีทางเลือกเดินทางมากขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง ไฉน ‘ป้าม่วง’ ที่เคยยิ่งยงกลับกลายเป็นร่อแร่ ขาดทุนแทบทุกปีจนใกล้จะล้มละลาย

หลายคนชี้นิ้วไปที่นักการเมือง โดยเฉพาะการส่งกรรมการที่ ‘ไม่เก่ง’ (ไม่มีทักษะ) ‘ไม่ดี’ (โกง) ‘ไม่เกี่ยว’(ไม่มีประสบการณ์) มาบริหาร ทำให้รัฐวิสาหกิจร่อแร่

แต่มันเป็นแค่นั้นจริงหรือ…

ยกตัวอย่างการบินไทยที่กำลังโด่งดัง ถ้าไปดูรายชื่อกรรมการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นคนดี-คนเก่งจำนวนมากมาย เช่น นักวิชาการชั้นนำอย่างศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือข้าราชการชั้นยอดอย่าง ดร.เสนาะ อูนากูล ดร.พิสิฐ ภัคเกษม ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คุณบัณฑิต บุณยะปาณะ ดร.อำพน กิตติอำพน ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ หรือนักธุรกิจนักการเงินระดับเหยียบเมฆ เช่น ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย คุณชาติศิริ โสภณพณิช ฯลฯ

ท่านเหล่านี้ล้วนได้รับการยอมรับในความเก่ง ความดี ความซื่อสัตย์ มีความสามารถครอบคลุมทุกๆ ด้านอย่างยากที่จะหาคณะใดในประเทศมาเทียบ แต่ถามว่าทำไมการบินไทยยังมีสภาพอย่างที่เป็นอยู่ ขาดทุนต่อเนื่องยาวนานยิ่งกว่าสายการบินระดับเดียวกันทั่วโลก สรุปได้ว่าปัญหากรรมการ ‘ไม่เก่ง-ไม่ดี-ไม่เกี่ยว’ ไม่น่าจะใช่สาเหตุหลัก หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่สาเหตุเดียว

เมื่อ 6 ปีก่อนตอนที่มีรัฐประหารใหม่ๆ รัฐบาลคสช. ได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ที่เรียกกันเท่ๆ ว่า ‘ซูเปอร์บอร์ด’ และประกาศจะปฏิรูปขนานใหญ่ เริ่มตั้งแต่การศึกษาวิเคราะห์ปัญหาอย่างรอบด้าน ปรึกษาผู้รู้ทั่วโลก เช่น World Bank OECD ADB จนได้ข้อสรุปว่าจะต้อง ‘ยกเครื่อง’ ระบบบรรษัทภิบาล (Governance)ที่ ใช้บริหารรัฐวิสาหกิจทั้ง 56 แห่ง โดยคนร. ได้ทำข้อเสนอชัดเจน เป็นรูปธรรมออกมาเป็นร่างกฎหมายที่ผ่านการอนุมัติทั้งจากคนร. ครม. ผ่านการกลั่นกรองจากกฤษฎีกา และส่งเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ตั้งแต่ปี 2559

หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของแผนปฏิรูปตามร่างกฎหมายนี้ ก็คือการจัดตั้ง ‘บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ’ ที่เรียกกันว่า Super Holding Company ขึ้นมาทำหน้าที่เป็น ‘องค์กรเจ้าของ’ คอยกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ 13 แห่ง โดยมุ่งเน้นให้มีการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ปริมาณเพียงพอ ต้นทุนต่ำ โปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่มีการรั่วไหล และรักษากิจการให้ทวีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ สมกับที่เป็นสมบัติชาติ โดยแนวทางและหลักการของบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาตินี้ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และมีข้อพิสูจน์เรื่องประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมาแล้วหลายๆ แห่งของโลก เช่น Temasek ของสิงคโปร์ Khazanah Nasional ของมาเลย์เซีย SCIC (The State Capital Investment Corporation) ของเวียตนาม หรือ SASAC (The State-owned Assets Supervision and Administration Commission of the State Council ) ของจีน

น่าเสียดาย ที่พอส่งร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่สภาคนดี เหล่าสมาชิกส่วนใหญ่ของสนช. ดูจะไม่เห็นด้วยที่จะมีการริดรอนอำนาจการบริหารจัดการที่เดิมอยู่ในมือของนักการเมืองและเหล่าข้าราชการลงไป ประกอบกับมีการประกาศต่อต้านจากกลุ่มเอ็นจีโอขาประจำที่อ้างความรักชาติ-สมบัติชาติเป็นเหตุผลไม้ตายเสมอมา ร่างกฎหมายก็เลยถูกตัดทอนสาระสำคัญออกไปเกือบทั้งหมด พอร่างกฎหมายนี้ผ่านเป็นพรบ.ออกมา ก็เลยกลายเป็นว่าแทบไม่มีการปฏิรูปใดๆ การควบคุมการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจทั้งหลายยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมืองและข้าราชการประจำดังเดิม

การปฏิรูปใหญ่ที่คสช. เคยประกาศประโคมว่าเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ที่เพิ่มประสิทธิภาพและลดการรั่วไหลในการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ 56 แห่งที่ถือครองทรัพย์สินของประเทศอยู่กว่า 16 ล้านล้านบาท สุดท้ายก็เลยเป็นแค่ ‘ปะ-ติ-ลูบ’เหมือนการปฏิรูปอื่นๆ ในประเทศนี้ ที่พอไปแตะต้องกลุ่มอำนาจผลประโยชน์เดิมก็ล้วนแต่ดำเนินต่อไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนผลจะออกมาน่าผิดหวัง ย้อนไปในช่วงปี 2559ซึ่งทางผู้มีอำนาจยังแสดงเจตจำนงที่จะผลักดันให้การปฏิรูปให้เกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง ผมและท่านอื่นๆที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมาย (ขออนุญาตไม่เอ่ยนามท่านเหล่านั้น เพราะในวันนี้ไม่แน่ใจว่าท่านต้องการให้เอ่ยถึงหรือไม่) ได้ตระหนักถึงโอกาสที่จะเกิดกระแสต่อต้านตั้งแต่แรก จึงพยายามที่จะเดินสายชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประโยชน์ของการปฏิรูปนี้ให้แก่สื่อมวลชน สถาบันวิชาการ และแม้แต่พรรคการเมืองหลักทั้งสองฝ่าย ซึ่งปรากฎว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

น่าเสียดายพอเอาเข้าจริงเมื่อถึงเวลาแตกหักของการผลักดันระยะสุดท้าย ผู้นำที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Will) ที่แข็งแรง และไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพียงพอเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะทำ พอถูกทักโน่นทักนี่ก็เลยล้มเลิกความตั้งใจที่จะทำเรื่องยากเอาง่ายๆ ทำแต่สิ่งเล็กน้อยเป็นเพียงลูบหน้าปะจมูกไป

จะอย่างไรก็แล้วแต่ ในช่วงเวลาของการเดินสายนั้นเอง ผมได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานเตรียมการจัดตั้งบรรษัทรัฐวิสาหกิจแห่งชาติ มีหน้าที่เตรียมการด้านต่างๆ ในการจัดตั้งองค์กร เช่น การทาบทามกรรมการและบุคลากรหลักเพื่อที่จะมาเริ่มบริหารองค์กรได้ในทันทีที่ผ่านกฎหมายออกมาได้สำเร็จ รวมถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจในแนวคิดการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยได้ไปขอความร่วมมือจากโปรดิวเซอร์และผู้กำกับระดับมือรางวัลที่ชำนาญการสื่อสารเรื่องยากให้เข้าใจง่าย มาจัดทำคลิปเพื่อเผยแพร่โดยเขากรุณาไม่คิดค่าตัว คิดแต่เพียงค่าใช้จ่ายต้นทุนในการจัดทำ

เชื่อไหมครับ คลิปหนังดูสนุกเข้าใจง่าย ที่ทำแล้วเสร็จพร้อมที่จะใช้ประชาสัมพันธ์ทั้งในสื่อหลัก และโซเชียลมีเดียนี้ ได้มีโอกาสฉายเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือในการประชุมคนร. เพราะพอฉายเสร็จ ท่านผู้นำหัวโต๊ะซึ่งวันนั้นบังเอิญอารมณ์บ่จอย ไม่รู้หงุดหงิดอะไรมา ตบโต๊ะประกาศเลยว่า “ไม่เอาๆ ไม่ได้เรื่องเลย ทำไมไปตำหนิคนเขาเยอะแยะ เนื้อหาไม่สร้างสรรค์อะไรเลย โยนทิ้งไปเลย เดี๋ยวผมคิดผมเขียนให้ใหม่เองก็ได้ เอาแบบให้มันสร้างสรรค์ๆ” ซึ่งท่านคงกำลังนึกถึงเพลงของท่าน แล้วพอท่านว่าดังนั้นก็มีพลเอกท่านหนึ่งในที่ประชุมเสริมขึ้นมาเลย “ใช่ๆ ที่พวกคุณทำมานี่ ผิดพระราชบัญญัติธงชาติไทยด้วย รู้หรือเปล่า” “ผิดพระราชบัญญัติการจราจรด้วยรู้ไหม” พลเอกอีกท่านเสริมต่อ

นี่แหละครับประวัติน่าเวทนาของคลิปประชาสัมพันธ์ที่ไม่ได้เคยถูกฉายอีกเลย และสุดท้ายท่านผู้นำสุดครีเอทีฟก็ไม่เคยคิดการประชาสัมพันธ์อะไรออกมา ซึ่งก็ดีไปอย่าง เพราะการปฏิรูปที่จบลงว่า “เราจะทำเหมือนเดิม” ย่อมไม่ต้องการการชี้แจงประชาสัมพันธ์ใดๆ

ในวันนี้ วันที่การบินไทยทำให้ทุกคนหันกลับมาสนใจการทำให้รัฐวิสาหกิจของเราแข่งขันได้ และรุ่งเรืองอีกครั้ง ผมในฐานะส่วนหนึ่งของคณะทำงานที่เคยทุ่มเทอย่างมากเพื่อให้เกิดการปฏิรูป และในฐานะประชาชนไทยที่ยังหวังว่าจะมีการปฏิรูปการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจอย่าง ‘แท้จริง’ ในวันหนึ่งข้างหน้า และในฐานะที่เป็นเจ้าของคลิปนี้ เพราะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายในการจัดทำ โดยไม่เคยไปเบิกเลยแม้แต่บาทเดียว จึงขอถือโอกาสนี้เอาคลิปเก่านี้มาเผยแพร่ เพื่อปลูกฝังความเข้าใจให้ท่านที่สนใจพอทราบหลักว่ารัฐวิสาหกิจที่ดีๆ นั้นเขาบริหารจัดการกันอย่างไร

.