Home Blog Page 419

ปรับแผนสร้างสวนป่าเบญจกิติ เร่งให้เสร็จทันเฉลิมพระเกียรติพระพันปีหลวง 12 ส.ค. ปีหน้า

0

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า เบญจกิติ ว่า ที่ประชุมหารือถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานสร้างสวนป่าเบญจกิติ บนเนื้อที่ 259 ไร่ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ทั้งนี้ ได้ปรับแผนการก่อสร้างออกเป็น 2 ระยะ ซึ่งกรมธนารักษ์จัดทำแผนการดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อทราบแล้ว และ กยท. ได้ทำการส่งมอบรับมอบพื้นที่โรงงานยาสูบได้ครบทั้ง 3 ระยะ ไปแล้วเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

สำหรับแผนการก่อสร้างสามารถดำเนินการได้ทันที โดยในระยะที่ 1 คือ ช่วง 8 เดือนแรก กำหนดเป้าหมายการก่อสร้างพื้นที่ในส่วนสวนป่าให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อให้มีช่วงเวลาจัดเตรียมงานเฉลิมพระเกียรติวันที่ 12 สิงหาคม 2564 และระยะที่ 2 คือช่วง 8 เดือนหลัง ก่อสร้างปรับปรุงอาคารพื้นที่เดิมให้เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ ให้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จากเดิมต้องดำเนินการทั้ง 2 ระยะให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งการปรับแผนสร้างสวนป่าเบญจกิติ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการส่งมอบพื้นที่ของ กยท. ที่ได้ส่งมอบพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้วใน 3 ระยะ

“หลังจากส่งมอบพื้นที่ระยะ 3 แล้ว ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายใน 100 วัน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการรื้อถอนไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2563 เท่าที่ประเมินปริมาณงานก่อสร้างและรื้อถอน ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน และอาจส่งผลต่อแผนการสร้างสวนป่า ที่ต้องใช้ระยะเวลา 16 เดือน ทั้งในการก่อสร้างสวนป่า และพิพิธภัณฑ์ ที่จะให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2564 จึงต้องมีการปรับแผนงานก่อสร้างใหม่ ซึ่งผมได้กำชับไปแล้วว่าในส่วนของงานสวนป่าต้องเสร็จสมบูรณ์ 100 % ภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อให้สามารถเตรียมงานด้านอื่นๆ ให้ทันกับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จฯพระพันปีหลวง วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ”

ทั้งนี้ในการปลูกต้นไม้ในสวนป่าเบญจกิติ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้เสนอข้อแนะนำในการออกแบบสวนป่า ให้เป็นไปตามกระแสพระราชดำริของสมเด็จฯพระพันปีหลวง โดยออกแบบภูมิสถาปัตย์ให้มีต้นไม้ที่ออกดอกเป็นกลุ่มตามลักษณะพันธ์ไม้ดอกที่มีสีใกล้เคียงกัน เช่น ตะแบก อินทนิลเสลา เป็นสีม่วงปลูกรวมกัน เวลาออกดอกก็จะหนาแน่น เหมือนในต่างประเทศที่ปลูกซากุระ ซึ่งผู้ออกแบบเสนอผังการปลูกต้นไม้เป็นกลุ่มออกดอกทั่วสวนตลอดทั้งปี โดยมีพันธ์ไม้สำคัญ เช่น ชมพูพันธุ์ทิพย์ออกดอกสีชมพูช่วงเดือนธันวาคม สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกฝั่งต้นไม้ดอกเป็นสีส้ม ออกดอกช่วงเดือนสิงหาคม สื่อถึงสมเด็จฯพระพันปีหลวง แกนกลางสวนเป็นต้นรวงผึ้ง มีดอกสีเหลือง กลิ่นหอม เป็นต้นไม้ประจำพระองค์ รัชกาลที่ 10 ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม

นอกจากนี้ที่ประชุมหารือถึงการสร้างหอสูงชมเมืองเฉลิมพระเกียรติในพื้นที่สวนป่าเบญจกิติ ล่าสุดผู้ออกแบบเสนอแนวคิดก่อสร้างหอสูงชมเมืองเป็นรูปดอกบัวกลางน้ำ ประชาชนสามารถขึ้นไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ชมภูมิทัศน์ กรุงเทพฯ แบบ 360 องศา โดยจะให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย เพราะสวนป่าแห่งนี้ ได้ดำเนินการบนพื้นที่ที่มีมูลค่าสูงใจกลางเมือง ไม่สามารถหาได้อีกด้วยคุณค่าที่มีมหาศาล ดังนั้นน่าจะเตรียมสัญลักษณ์สำคัญเป็นที่เชิดชูในอนาคต นอกจากจะให้คนไทยเข้ามาเยี่ยมชมแล้ว ยังจะเป็นจุดดึงดูดที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย

“ผืนป่าแห่งนี้นอกเหนือจากเป็นปอดของคนกรุงเทพ ที่จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และดูแลด้านสิ่งแวดล้อม แล้ว ยังเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯทุกคน ที่แสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมของประชาชน เพราะไม่ว่าคนในระดับใด ทุกสาขาอาชีพ ทุกชาติศาสนา สามารถมาเยี่ยมชม มาใช้ สวนป่าเบญจกิติ ซึ่งถือเป็นสมบัติที่มีคุณค่าของประเทศได้” นายสันติ กล่าว

ซีพีเอฟ ส่งเสริมเด็กไทยเข้าถึงอาหารมีโภชนาการ ไม่ขาดสารอาหาร ห่างไกลโรคอ้วน

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก มุ่งมั่นมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะทุพโภชนาการที่กระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ จึงได้เดินหน้าช่วยบรรเทาปัญหาด้วยการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การสร้างทักษะในด้านการผลิตอาหาร การบริโภคที่ถูกหลักโภชนาการให้แก่เด็ก เยาวชน และผู้บริโภคทั่วประเทศ

โดยในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายส่งเสริมเด็ก เยาวชน รวมทั้งผู้บริโภค เข้าถึงข้อมูลด้านอาหารและโภชนาการ การเรียนรู้และทักษะเกี่ยวกับอาหาร ความรู้ด้านการโภชนาการ และการบริโภคอย่างยั่งยืน จำนวน 1.3 ล้านคน

ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดอาหารและคุณภาพอาหารกลางวันของเด็ก โดยถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารผ่าน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ซึ่งดำเนินการร่วมกับมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทและภาคีเครือข่าย ร่วมบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชนไทย ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 824 โรงเรียน มอบโอกาสให้นักเรียนของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารมากกว่า 150,000 คน และโครงการ ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 80 โรงเรียน เข้าถึงอาหารคุณภาพดี โดยในปี 2562 ช่วยบรรเทาภาวะทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชน ทั้งที่มีภาวะผอม และภาวะอ้วน เตี้ย ลดลงจาก 15 % เหลือ 11 %

ทั้ง 2 โครงการ ให้ความสำคัญกับการสร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนของโรงเรียนและชุมชน เน้นส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัตินอกห้องเรียน อาทิ เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงปลา ปลูกผักสวนครัว สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน และนำประสบการณ์ที่ได้รับไปประกอบอาชีพต่อไปได้ในอนาคต เห็นได้จากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด 19 โรงเรียนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน และ โครงการ ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต นำผลผลิตไข่ไก่มาจำหน่ายให้คนในชุมชนในราคาย่อมเยา ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนได้

ภาวะทุพโภชนาการ ความอดอยาก และโรคอ้วน เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ จึงได้กำหนดประเด็นขจัดความอดอยากและสร้างความมั่นคงทางอาหาร การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ของทุกคน การสร้างรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และสร้างความร่วมมือระดับสากลสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการ (Sustainable Development Goals : SDGs)

เตือนเสื้อผ้า หน้ากากผ้า รองเท้า เปียกชื้น เสี่ยงเกิดเชื้อราบนผิวหนัง

0

           แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงหน้าฝนหลายๆ มักจะพบปัญหาเสื้อผ้ามีกลิ่นอับชื้น เนื่องจากเปียกฝนหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง หรือ เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ก็ไม่ได้นำเสื้อผ้าที่เปียกไปแขวนผึ่งให้แห้ง แต่นำไปใส่ตะกร้าเพื่อรอการซัก หากทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้เกิดเชื้อราบนเสื้อผ้า หรือแม้ว่าจะซักตากทำความสะอาดเสื้อผ้าเป็นอย่างดีแล้ว แต่เนื่องจากฝนตกทำให้เสื้อผ้าที่ตากไว้ไม่แห้งหรือแห้งไม่สนิท เมื่อนำมาแขวนรวมๆ กัน ก็อาจทำให้เกิดกลิ่นอับชื้นได้ เมื่อนำมาสวมใส่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังจากเชื้อราตามมา อาทิ โรคกลาก เกลื้อน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง มีขุยรอบ ๆ เกิดอาการคัน ทำให้เป็นผื่นแพ้และติดเชื้อได้ ดังนั้น จึงควรรีบซักเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที หรือผึ่งให้แห้งก่อนใส่ตะกร้าเพื่อรอการซัก รวมถึงการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยที่เปียกชื้นอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย

           เสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับชื้นหรือปัญหาเชื้อราบนผ้าให้ทำความสะอาดเพื่อทำลายเชื้อราได้ด้วย 2 วิธี คือ

  • วิธีที่ 1 ซักตามปกติแล้วนำไปต้มในน้ำเดือดนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
  • วิธีที่ 2 แช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่สามารถหาได้ในครัวเรือน ได้แก่ น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมโซเดียมไฮโปคลอไรด์ โดยเติม 1 ฝา ต่อน้ำ 10 ลิตร แช่ผ้าไว้นาน 5-15 นาที หรือใช้น้ำส้มสายชู 2-3 ถ้วยตวง ต่อน้ำ 1-2 ลิตร แช่ผ้าไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ

จากนั้นนำไปตากแดดจัดหรือตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทจนแห้ง แล้วนำมารีดทั้งข้างในและข้างนอกตัวเสื้อ โดยก่อนทำความสะอาดเสื้อผ้า ควรอ่านป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาเสื้อผ้า เพื่อเลือกวิธีทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดและป้องกันเสื้อผ้าชำรุด นอกจากนี้หน้ากากผ้า ควรเปลี่ยนทุกวัน หรือเปลี่ยนเมื่อรู้สึกเปียกชื้นในระหว่างวัน และซักหน้ากากผ้าทุกวันด้วยสบู่หรือผงซักฟอกแล้วตากแดดให้แห้ง กรณีสวมหน้ากากอนามัยให้เปลี่ยนหน้ากากเมื่อหน้ากากเปื้อนหรือเปียกน้ำ ส่วนผู้ที่มีอาการคันหลังสวมใส่เสื้อผ้า หน้ากากผ้า ช่วงหน้าฝน ไม่ควรเกาหรือปล่อยไว้จนลุกลาม ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป

           สำหรับรองเท้าที่เปียกชื้นจากการเดินลุยน้ำก็เป็นสาเหตุของเชื้อราหรือกลิ่นอับได้ เมื่อกลับถึงบ้านควรรีบถอดรองเท้าทันทีและทำความสะอาดเท้าด้วยสบู่และเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า เพื่อป้องกันโรคน้ำกัดเท้า โรคเท้าเหม็น ส่วนรองเท้าที่เปียกควรนำไปซักทำความสะอาดทันที หรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดคราบสกปรกจากน้ำฝนและดินโคลน แล้วนำไปผึ่งโดยพิงรองเท้าในแนวเฉียงเข้ากับผนังจนแห้ง และไม่ควรใส่รองเท้าคู่เดิมซ้ำกันหลาย ๆ วัน เพื่อให้รองเท้าได้ระบายอากาศลดความอับชื้น และควรเตรียมรองเท้าที่สามารถใส่เดินลุยน้ำได้สำรองติดไว้ในช่วงหน้าฝนด้วย

กรมชลประทาน กับมาตรการจ้างงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย

0

ปัญหาภัยแล้งในแต่ละปี ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด หนีไม่พ้นพ่อแม่พี่น้องเกษตรกร

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรไทย ดังนั้น นอกเหนือภารกิจหลัก ในการทุ่มสรรพกำลังและความคิดในการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ใช้น้ำอย่างพอเพียงและเท่าเทียมแล้ว ทั้งการเกษตร และอุปโภคบริโภคแล้ว

เพื่อเป็นการบรรเทาช่วยเหลือเหลือพี่น้องเกษตรกรอีกทาง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีโครงการมาตรการจ้างงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตามแนวคิดของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โครงการดังกล่าว เน้นการจ้างงานครอบคลุมทั่วประเทศ กว่า 88,000 คน ระยะเวลาตั้งแต่ 3-7 เดือน

ทั้งนี้ หลังจากเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา สามารถช่วยเหลือจ้างงานพี่น้องเกษตรกรไปได้แล้ว ??,??? คน

คิดเป็นวงเงิน ?,??? ล้านบาท

ปัจจุบัน กรมชลประทาน ยังมีตำแหน่งงานรับได้อีกประมาณ 10,000 คน

ผู้ที่สนใจ หรือ ต้องการสมัครงาน สามารถสอบถาม หรือสมัครได้ที่ โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือ โทรสายด่วน ☎️ 1460

เอไอเอส จับมือ กรีนพหลโยธิน จัดชาเลนจ์รักษ์โลก ปลุกจิตสำนึก กำจัดขยะ E-Waste ถูกวิธี

0

          นางสาวนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าส่วนงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส เตรียมจัดชาเลนจ์เพื่อสิ่งแวดล้อมครั้งใหม่ โดยชวนองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมชาเลนจ์ “E-Waste The Battle ถ้ารักษ์จริง…มาทิ้งแข่งกัน” ประเดิมการแข่งขันนัดแรกกับมหามิตร “กรีนพหลโยธิน” 13 องค์กร ชั้นนำบนถนนเส้นพหลโยธิน ทั้งนี้ เพื่อสานต่อความตั้งใจที่ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 5 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ หรือเทียบเท่าการนำขยะ E-Waste ไปกำจัดอย่างถูกวิธีรวม 500,000 ชิ้น ภายในปี 2563 

นัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าส่วนงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เอไอเอส

            โดยการแข่งขันจะแบ่งองค์กรในกรีนพหลโยธินออกเป็น 2 ทีม ได้แก่ทีม A และ ทีม B ทั้งสองทีมจะต้องเชิญชวน พนักงาน ลูกค้า หรือผู้เข้ามาติดต่อให้เข้ามาร่วมทิ้งขยะ E-Waste ที่จุดรับทิ้งของแต่ละองค์กร เริ่มนับคะแนนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563 โดยทีมที่ชนะและทีมที่แพ้จะได้รับเงินบริจาค เพื่อนำไปให้กับองค์กรหรือมูลนิธิที่เลือกไว้ ทั้งนี้เอไอเอส จะร่วมสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อใช้ในกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม

            พร้อมจับมือ KID KID องค์กรเพื่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อม นำแอปพลิเคชัน ECOLIFE มาช่วยอำนวยความสะดวกในการแข่งขัน โดยสามารถติดตามปริมาณการทิ้งของแต่ละองค์กรได้แบบเรียลไทม์ ผ่านเว็บไซต์ http://www.ecolifeapp.com และยังเปิดมิติใหม่ในการทิ้งขยะ E-Waste ซึ่งจะได้ทั้งช่วยโลก ได้ทำบุญ และได้ ECO POINT คะแนนสะสมสำหรับสายกรีน ซึ่งสามารถนำไปแลกของพรีเมี่ยมผ่านแอปพลิเคชัน ECOLIFE ได้

          ทั้งนี้ กรีนพหลโยธิน เป็นกลุ่มองค์กรที่จัดขึ้นโดยการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายกับ 13 องค์กร ภาครัฐและภาคเอกชน บนถนนเส้นพหลโยธิน ประกอบด้วย สำนักงานเขตพญาไท, สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ, โรงพยาบาลพญาไท 2, บุญเติม, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, ธ.ออมสิน สำนักงานใหญ่, ธ.กสิกรไทย สำนักพหลโยธิน, ธ.กรุงไทย สาขาซอยอารีย์, ธ.เกียรตินาคิน สาขาพหลโยธิน, ธ.ยูโอบี สาขาถนนพหลโยธิน 8, ธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารี, IBM และ Exim Bank เพื่อที่จะร่วมรณรงค์ ผลักดันให้เกิดการคัดแยกและทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี โดยกิจกรรมชาเลนจ์ครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการสานสัมพันธ์ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยทำภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมร่วมกันในปีที่ผ่านมา

           ปัจจุบันโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” สามารถรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้จำนวนทั้งสิ้น 51,786 ชิ้น เทียบเท่าการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 517,860 กิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ โดยทางเอไอเอส จะนำขยะ E-Waste ที่เก็บรวบรวมได้จากโครงการทั้งหมด ไปกำจัดอย่างถูกวิธีด้วยกระบวนการ Zero Landfill (การจัดการขยะทำให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้เกิดมูลค่าได้อีกครั้ง)

Blue Card ผนึก xCash เปิดตัวแคมเปญ “โอนกันได้ แลกกันง่ายๆ” ขยายฐานคนชอบเที่ยวกับช้อปปิ้งออนไลน์

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมกับ บริษัท ดิจิต้าไลฟ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DLC)  เปิดตัวความร่วมมือให้โอนคะแนนสะสมระหว่างสมาชิกแอปพลิเคชั่น บลูการ์ด (Blue Card) และ “เอ็กซ์แคช” (xCash)

โดยมีนายนิสิต พงษ์วุฒิประพันธ์ ประพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน โออาร์ และ นายนนทิ ศัพทเสวี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท DLC   ร่วมกันเปิดแคมเปญ “โอนกันได้ แลกกันง่ายๆ”   เพื่อใช้จ่ายแลกซื้อสินค้าและบริการบนแอปพลิเคชั่นเอ็กซ์แคช และใช้คะแนน สะสมบลูการ์ด ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และร้านค้าที่ร่วมรายการ  หรือรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ในแอปพลิเคชั่น บลูการ์ด  จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับผู้บริโภค นักช้อป นักเดินทาง ตั้งแต่ 15 กรกฎาคม 2563 จนถึง 15 มิถุนายน 2564  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.xcashrewards.com/privilege

บุญเติม ผนึกกำลังกสิกรไทย และเคบีทีจี เปิดตัวเทคโนโลยียืนยันตัวตนผ่านตู้บุญเติม ช่วยลูกค้ารายย่อยเข้าถึงบริการทางการเงิน

0

บมจ.ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จับมือ แบงก์กสิกรไทยและเคบีทีจี พัฒนาเทคโนโลยี Facial Recognition การยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยใบหน้าผ่านตู้บุญเติม สร้างมิติใหม่การให้บริการ ตอบรับโครงการ NDID (National Digital ID) ช่วยลูกค้ารายย่อยเข้าถึงบริการทางการเงินทั้งเปิดบัญชีเงินฝาก ขอสินเชื่อ ซื้อประกัน ขอเครดิตบูโร และสมัคร e-Wallet ที่ต้องยืนยันตัวตนได้ง่ายตลอด 24 ชั่วโมง ประเดิม 1,300 จุด หน้าร้านสะดวกซื้อและตามแหล่งชุมชนทั่วประเทศ ก่อนขยายเป็น 3,000 จุด ภายในปี 2563 คาดมีผู้ใช้บริการยืนยันตัวตนผ่านตู้บุญเติม 2-3 ล้านครั้งต่อปี

นายพงษ์ชัย อมตานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART ผู้นำเครือข่ายช่องทางบริการอัตโนมัติและการเงินครบวงจร ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย ภายใต้เครื่องหมาย “บุญเติม” เปิดเผยว่า FSMART ร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยและกสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป (เคบีทีจี) พัฒนาเทคโนโลยี Facial Recognition การยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยใบหน้าผ่านตู้บุญเติมหน้าร้านสะดวกซื้อและแหล่งชุมชนทั่วประเทศที่ยืนยันตัวตนได้ 1,300 จุดในขณะนี้ และจะขยายเพิ่มเป็น 3,000 จุด ในสิ้นปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้งานประมาณ 2 – 3 ล้านครั้งต่อปี โดยสามารถใช้บริการได้ง่ายตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่การเปิดบัญชีธนาคาร, บัญชี e-wallet และบัญชีบริการการเงินประเภทอื่นๆ พร้อมบริการยืนยันตัวตนสำหรับการขอสินเชื่อ การซื้อประกัน และการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ รวมถึงการบริการขอตรวจสอบประวัติและเครดิตบูโร และประวัติการเงินอื่นๆ ผ่านเครือข่าย NDID ทั้งในส่วนของลูกค้าและสถาบันการเงิน

การยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าผ่านตู้บุญเติม จะเป็นช่องทางช่วยให้ประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือลูกค้าที่ไม่สะดวกมาสาขาธนาคาร สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารและผู้ให้บริการอื่นๆ มากขึ้น และตอบรับโครงการ NDID (National Digital ID) การยืนยันตัวตนทางดิจิทัลที่ภาครัฐกำลังผลักดันให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในอนาคต ซึ่งตู้บุญเติมยังคงมีแนวโน้มใช้บริการทางการเงินมากขึ้น จากพฤติกรรมการซื้อสินค้าและบริการผ่านออนไลน์ ทั้ง Content (Streaming Game) และ e-Commerce รวมถึงความต้องการซื้อประกันชีวิตและสุขภาพในช่วงโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องผ่านจากตู้บุญเติมกว่า 130,000 จุดทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกพื้นที่ระดับจังหวัดจนถึงระดับชุมชน โดยบริษัทจะเพิ่มการบริการที่จำเป็นให้มากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการมากที่สุด

นายสุปรีชา ลิมปิกาญจนโกวิท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า บุญเติม เป็นพันธมิตรที่สำคัญของธนาคารในการเป็นธนาคารตัวแทนหรือแบงกิ้งเอเย่นต์ ในปี 2562 มีปริมาณธุรกรรมการเงินผ่านแบงกิ้งเอเย่นต์จากตู้บุญเติมกว่า 8 ล้านรายการ มูลค่าธุรกรรมกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตู้บุญเติมเป็นช่องทางที่ทำให้ลูกค้ารายย่อยที่ไม่สะดวกมาธนาคาร หรืออยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสาขา เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่ายขึ้น จึงนำมาสู่การเป็นพันธมิตรในการพัฒนาเทคโนโลยี Facial Recognition การยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยใบหน้าผ่านตู้บุญเติม เพื่อสร้างมิติใหม่การให้บริการทางการเงินที่ง่าย สะดวก 24 ชั่วโมง ทั้งการเปิดบัญชีเงินฝาก ขอสินเชื่อ ซื้อประกัน ขอเครดิตบูโร และสมัคร e-Wallet ที่ต้องมีการยืนยันตัวตน ความร่วมมือในวันนี้นอกจากช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบุญเติมแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น

ด้านนายเรืองโรจน์ พูนผล ประธาน กสิกร บิซิเนส – เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ เคบีทีจี เปิดเผยว่า เทคโนโลยี Facial Recognition การยืนยันตัวตน (e-KYC) ด้วยใบหน้าผ่านตู้บุญเติม ของธนาคารและเคบีทีจี เป็นเทคโนโลยีสำหรับคู่ค้าหรือผู้ให้บริการที่สนใจใช้ช่องทางนี้ให้เข้าถึงบริการต่างๆ ที่ต้องยืนยันตัวตน Facial Recognition เป็นการเปรียบเทียบใบหน้าจากภาพถ่ายผ่านตู้กับบัตรประชาชนที่มีความปลอดภัยและแม่นยำสูง ซึ่งจะตรวจจับจุดบนใบหน้า 512 จุด แต่ละจุดเสมือนเป็นพาสเวิร์ด 1 ตัว จึงเป็นการยากต่อการถูกปลอมแปลงรหัสทั้ง 512 ตัว ระบบใช้งานง่าย ไม่กี่ขั้นตอน ไม่ต้องเซ็นเอกสาร หรือถ่ายสำเนาบัตรประชาชนอย่างเดิม โดยไม่จำเป็นต้องมาสาขาหรือหน้าร้าน ก็สามารถสมัครบริการทางการเงินและบริการอื่นๆ ได้แบบเรียลไทม์ที่ตู้บุญเติมจากที่ไหนก็ได้

จัดเดินรถไฟหัวจักรไอน้ำเที่ยวพิเศษ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 ก.ค.นี้

0

การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดเดินขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 68 พรรษา 28 กรกฎาคม 2563 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการถวายความจงรักภักดีผ่านกิจกรรมพิเศษเฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้ เชิญร่วมสัมผัสเส้นทางประวัติศาสตร์ กรุงเทพ – พระนครศรีอยุธยา เริ่มเปิดจองตั๋วโดยสารตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นางสาวมณฑกาญจน์ ศรีวิลาศ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ รักษาการแทนผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การรถไฟฯ ได้จัดเดินขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และเพื่อเชิดชู พระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงน้อมนำ สืบสาน พระราชดำริ และพระราชกรณียกิจ ของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี ตลอดจนพระราชปณิธานอันแน่วแน่มั่นคงที่ทรงบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการถวายความจงรักภักดีผ่านกิจกรรมพิเศษเฉลิมพระเกียรติ

การรถไฟฯ ได้นำขบวนรถจักรไอน้ำประวัติศาสตร์ รถจักรไอน้ำแบบแปซิฟิค หมายเลข 824 และ 850 รุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลิตโดยบริษัท นิปปอน ชาร์เรียว ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาและซ่อมบำรุงอยู่ที่โรงรถจักรธนบุรี มาจัดเดินขบวนรถพิเศษนำเที่ยวในเส้นทางสายประวัติศาสตร์ระหว่างสถานีกรุงเทพถึงสถานีอยุธยา เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผ่านกิจกรรมในครั้งนี้ ทั้งนี้ ขบวนรถจักรไอน้ำพิเศษนำเที่ยวเส้นทางกรุงเทพ – อยุธยา – กรุงเทพ ขบวนที่ 901/902 จะออกจากสถานีกรุงเทพ (หัวลำโพง) ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2563 เวลา 08.10 น. ถึงสถานีอยุธยา เวลา 10.15 น. ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางท่องเที่ยวภายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประมาณ 6 ชั่วโมง และเที่ยวกลับออกจากสถานีอยุธยา เวลา 16.40 น. ถึงกรุงเทพ เวลา 18.45 น. โดยมีสถานีที่หยุดรับ – ส่งผู้โดยสาร ได้แก่ สถานีสามเสน บางซื่อ บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง รังสิต สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นหรือลงตามสถานีดังกล่าว ส่วนประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟสายกรุงเทพ – อยุธยา ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไปกับขบวนรถพิเศษ สามารถร่วมบันทึกภาพหัวรถจักรไอน้ำในเส้นทางที่ขบวนรถวิ่งผ่านได้

สำหรับอัตราค่าโดยสาร ไป – กลับ ผู้ใหญ่/เด็ก คนละ 290 บาท (บริการอาหารว่าง น้ำดื่มบนขบวนรถ ทั้งเที่ยวไป – กลับ พร้อมกิจกรรมบนขบวนรถไฟ) โดยผู้สนใจสามารถติดต่อซื้อตั๋วโดยสารได้ที่สถานีรถไฟทุกแห่งตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ www.railway.co.th หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย

เครือซีพี ตั้งศูนย์เพาะชำกล้าไม้ฯ ที่แม่แจ่ม รับคนตกงานจากพิษโควิด-19

0

นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) วิกฤต COVID-19 จะทำให้แรงงานมีความเสี่ยงถูกเลิกจ้างทั้งสิ้น 8.4 ล้านคน ทั้งแรงงานในภาคการท่องเที่ยว แรงงานในภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงานในภาคบริการอื่น โดยแรงงานที่ตกงานบางส่วนจะเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนาของตนเอง ทั้งนี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ตระหนักถึงปัญหาของผู้ถูกเลิกจ้างงานที่แม้กลับภูมิลำเนาก็จะยังไม่มีรายได้ เนื่องจากมีแรงงานภาคการเกษตรรอทำงานเต็มตามฤดูกาลอยู่ 

จอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐ เครือเจริญโภคภัณฑ์

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) จึงจัดตั้ง “ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว” ขึ้นที่ บ้านแม่วาก ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อรับผู้ตกงานจากผลกระทบโควิด-19 เข้ามาทำงานเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยศูนย์เพาะชำกล้าไม้ฯ นี้ประกอบไปด้วยโรงเรือนเพาะชำกล้าพันธุ์ไม้จำนวน 4 โรงเรือน สามารถเพาะชำกล้าไม้ระยะสั้นและระยะยาวรวม 102,500 กล้า/รอบ ประกอบด้วยการเพาะกล้าพืชผักระยะสั้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน  ไม้เพื่อการฟื้นฟูป่าและเพิ่มพื้นที่สีเขียว  ไม้ผลและพืชเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร เป็นต้น  ในอนาคตกล้าไม้ที่เกิดจากการเพาะนี้สมบูรณ์ จะถูกแจกจ่ายไปยัง 7 ชุมชนของทุกตำบลใน อ.แม่แจ่ม  

และหากโครงการนี้แล้วเสร็จ ศูนย์ดังกล่าวจะถูกส่งมอบต่อให้กับศูนย์วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ บ้านแม่วาก ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เพื่อใช้เป็นจุดเพาะชำกล้าผักเกษตรอินทรีย์ของชุมชนต่อไป

น้องธาม สวิงจิ๋ววัย 8 ขวบ หวดดีสุด คว้าแชมป์สนามแรก คลาสอี ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงกิ้ง 2020-2021

0

“น้องธาม” ธาม วุฒิเจริญวงศ์ สวิงจิ๋ววัย 8 ขวบ ทำสกอร์ดีที่สุดในการกอล์ฟเยาวชนรายการ ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงกิ้ง 2020-2021 ส่วนกลาง คลาส ซี,ดี,อี,เอฟ สนามที่ 1 ด้วยการคว้าแชมป์คลาสอี ชาย (7-8 ขวบ) เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ณ สนามรอยัลฮิลล์ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.นครนายก ซึ่งมีเยาวชนเข้าร่วมกันอย่างคึกคัก

การแข่งขันรายการนี้สนับสนุนโดย บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และ การกีฬาแห่งประเทศไทย จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-12 ก.ค.ที่ผ่านมา แบ่งการแข่งขันเป็น 8 คลาส ชาย-หญิง ได้แก่ คลาสซี (11-12 ปี), ดี (9-10 ปี), อี (7-8 ปี), เอฟ (6 ปีและต่ำกว่า) เก็บคะแนนสะสม โดยมีการแข่งขันกันทั้งสิ้น 6 สนามตลอดทั้งปีนี้ เพื่อเฟ้นหาตัวแทนนักกอล์ฟเยาวชน เพื่อคว้าสิทธิ์ไปร่วมการแข่งขัน ไอเอ็มจี จูเนียร์ เวิลด์ กอล์ฟ แชมเปี้ยนชิพ และ เอฟซีจี คัลลาเวย์ เวิลด์ จูเนียร์ ในปี 2021 ที่ประเทศสหรัฐ โดยอันดับ 1-3 จะได้รับถ้วยรางวัล และอันดับ 1-7 ชาย และอันดับ 1-5 หญิง จะได้รับประกาศนียบัตร

ผลการแข่งขันสนามแรก ปรากฏว่า นักกอล์ฟที่ทำสกอร์ดีสุดในการแข่งขัน มาจากคลาสอีชาย (7-8 ปี) แชมป์ คือ ธาม วุฒิเจริญวงศ์ อีเว่นพาร์ 144 (72-72) โดยที่มี สุวิจักขณ์ ประสิทธวณกุล รั้งอันดับสอง 8 อันเดอร์พาร์ 152 (76-76) และ ธนัทวัฒน์ คล้ายทับทิม 12 โอเวอร์พาร์ 156 (83-73) คว้าอันดับ 3 โดยแชมป์คลาสอีหญิง (พาร์ 58) พริชา จิตเสรี 20 โอเวอร์พาร์ 136 (72-64) อันดับ 2 ปุญญิศา ศิริศักดิ์ 24 โอเวอร์พาร์ 140 (69-71) และอันดับ 3 กชพรรณ พรโกเมธกุล 28 โอเวอร์พาร์ 144 (74-70) ด้านคลาสเอฟชาย (6 ปีและต่ำกว่า) แข่งขันพาร์ 54 แชมป์เป็นของ ณธาร นาคะนิธิ 34 โอเวอร์พาร์ 142 (73-69) และอันดับ 2 ธนภิธัช อำนาจครุฑ 37 โอเวอร์พาร์ 145 (75-70) โดยประเภทหญิงไม่มีการแข่งขัน

ด้านในคลาสซีชาย (11-12 ปี) แชมป์เป็นของ นิธิศพงษ์ ศรีฉัตรพิรุฬห์ 3 โอเวอร์พาร์ 147 (74-73), อันดับ 2 เป็น ปภาวิน คงมีลาภ 5 โอเวอร์พาร์ 149 (78-71) และอันดับ 3 รัตนบดินทร์ ทัศนีย์ทิพากร 14 โอเวอร์พาร์ 158 (79-79) ส่วนแชมป์คลาสซีหญิง ชนม์พรรษา ถวิลสังข์ 4โอเวอร์พาร์ 148 (76-72), อันดับ 2 หลุยส์ อูม่า ลานด์กราฟ 8 โอเวอร์พาร์ 152 (75-77) และ อันดับ 3 วรญา วิสิฐศักดา 13 โอเวอร์พาร์ 157 (83-74) ส่วนคลาสดีชาย (9-10 ปี) แชมป์เป็นของ ณัฎฐ์ อินทร 3 โอเวอร์พาร์ 147 (71-76) อันดับ 2 กฤษภาส ฮามิลตัน 4 โอเวอร์พาร์ 148 (76-72) และอันดับ 3 ไตรธันวา ทองสุข 6 โอเวอร์พาร์ 150 (75-75) โดยแชมป์ประเภทหญิงเป็นของ เอมาอร มณีฤทธิ์ ที่เฉือนเพลย์ออฟชนะ ขวัญชนก บุญจันทร์ หลังทั้งคู่สกอร์มาเสมอกันที่ 16 โอเวอร์พาร์ 160 โดยที่มี ปาลิดา กิตติพรชัยสกุล 17 โอเวอร์พาร์ 161 (80-81) รั้งอันดับ 3

สำหรับการแข่งขันรายการต่อไปของสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทย (สกท.) จะเป็นระหว่างวันที่ 17-19 ก.ค.นี้ ในรายการ ทีจีเอ-สิงห์ จูเนียร์ กอล์ฟ แรงกิ้ง 2020-21 ส่วนกลาง สนามที่ 1 คลาส เอส-เอ-บี ณ สนาม รอยัลฮิลล์ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา ก่อนที่ในวันที่ 8-9 ส.ค.นี้ จะเป็นการแข่งขัน ส่วนกลาง สนามที่ 2 ของ คลาส ซี-ดี-อี-เอฟ ที่ สนามบลูแซฟไฟร์ กอล์ฟ แอนด์ รีสอร์ท ต่อไป