Home Blog Page 418

เป็นหนี้นอกระบบ เครียดมาก ใครช่วยที

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์
ตอน “เป็นหนี้นอกระบบ เครียดมาก ใครช่วยที”

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ กูรูปลดหนี้

แนะแนวทางแก้หนี้นอกระบบ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายยังสำคัญ เพิ่มเติมทำบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน

เพื่อตัดบางส่วนไปใช้หนี้

ย้ำ! อย่าหนีหนี้

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ ยันราคาหมูหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาท ย้ำดูแลไม่ให้กระทบค่าครองชีพ

0

เกษตรกรเลี้ยงหมู ยืนยันราคาหมูหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาท โอดเลี้ยงหมูขาดทุนสะสม 3 ปี ย้ำดูแลผู้บริโภคตามที่สัญญากับพาณิชย์ วอนเห็นใจมีอาชีพเดียว ขอปล่อยตามกลไกตลาดก่อนเจ๊ง

นายสุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ เปิดเผยถึงสถานการณ์สุกรในปัจจุบันว่า ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของเกษตรกรทั่วประเทศยังคงยืนราคาที่ 78-79 บาทต่อกิโลกรัม ตามที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติประกาศราคาแนะนำ โดยเกษตรกรภาคเหนือยืนยันให้ความร่วมมือรักษาระดับราคาสุกรขุนไม่ให้เกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม ตามที่ให้สัญญากับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ไว้ว่าจะร่วมกันดูแลไม่ให้มีปัญหาขาดแคลนสุกร และไม่ให้ราคาสูงจนกระทบค่าครองชีพประชาชน

สุนทราภรณ์ สิงห์รีวงศ์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือ

โดยระดับราคาดังกล่าวถือว่าเกษตรกรพอมีรายได้กลับมาต่อทุนเพื่อเลี้ยงสุกรในรุ่นถัดไปเท่านั้น ขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงสุกรยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่างปรับตัวขึ้น ตามความต้องการใช้ที่เพิ่ม ที่สำคัญเกษตรกรทั้งประเทศยังต้องต่อสู้กับ โรค ASF ในสุกร ทำให้มีต้นทุนการป้องกันและเฝ้าระวังโรคเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัจจุบันการบริโภคของประชาชนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะร้านต่างๆที่กลับมาเปิดดำเนินการ และโรงเรียนเปิดเทอม ขณะที่ปริมาณผลผลิตหมูขุนออกสู่ตลาดน้อยลง หมูเป็นที่จับมีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม สมาคมเน้นย้ำให้กลุ่มผู้เลี้ยงรักษาระดับราคาภายในประเทศเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน แม้ว่าเกษตรกรจะมีต้นทุนการเลี้ยงหมูสูงถึง 71 บาทแล้วก็ตาม แต่ทุกคนก็พร้อมตรึงราคาหมูหน้าฟาร์มไว้ที่ไม่เกิน 80 บาทต่อกิโลกรัม

“หมูไทยราคาไม่ได้สูงไปกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่ต้องรับมือกับโรค ASF ที่ระบาดอย่างหนักอย่างจีน เวียดนาม เมียนมา ที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จากการขาดแคลนหมูอย่างหนัก เพราะภาวะโรค ช่วงนี้ที่ราคาหมูขยับขึ้นตามกลไกตลาด ขอให้ประชาชนเข้าใจและเห็นใจเกษตรกรที่ต้องเผชิญปัญหาราคาหมูตกต่ำจากผลผลิตล้นตลาดนานกว่า 3 ปี ทำให้ต้องแบกรับภาระขาดทุนสะสมตลอดระยะเวลาดังกล่าว หากเห็นว่าหมูมีราคาสูง ทุกท่านยังมีทางเลือกรับประทานโปรตีนอื่นๆทดแทนได้ ทั้งปลา ไข่ ไก่ แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรมีอาชีพเลี้ยงสุกรในการหล่อเลี้ยงชีวิต  หากถูกควบคุมมากจนเกินไปเกษตรกรอาจไม่สามารถไปต่อในอาชีพนี้ได้”

ด้าน นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า เกษตรกรทั่วประเทศยืนหยัดให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน ดูแลราคาหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาท มาโดยตลอดเพื่อให้ราคาขายหมูหน้าเขียงไม่เกิน 160 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยราคาเป็นไปตามกลไกตลาด จากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น เหมือนกับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ อย่างไรก็ตามราคาหมูไทยยังคงถูกที่สุดในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญเกษตรกรวอนขอความเห็นใจ เพราะมีอาชีพเดียวไม่สามารถเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นได้ ขณะที่ผู้บริโภคมีทางเลือกในการรับประทานโปรตีนอื่นๆทดแทนได้ ทั้งไก่ ไข่ ปลา รวมถึงอาหารธรรมชาติที่ออกมามากในช่วงนี้

สุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

ราคาหมูปัจจุบันนี้เพียงแค่เกษตรกรพออยู่ได้ โดยเพิ่งจะขายได้ราคานี้ หลังจากแบกรับภาระขาดทุนสะสมมาตลอด จากภาวะหมูล้นตลาดและราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น เกษตรกรยืนราคานี้ไว้ไม่กระทบกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคจนเกินไป ยืนยันว่าปริมาณหมูมีเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ ผู้บริโภคไม่ต้องกังวล การปรับราคานี้สะท้อนกลไกตลาดที่แท้จริง นับว่าเป็นราคาที่เหมาะสม

นอกจากนี้ สมาคมได้ร่วมกับสมาชิก จัดกิจกรรมจำหน่ายหมูสดลดค่าครองชีพประชาชนทั่วไทย ส่งตรงจากฟาร์มถึงมือผู้บริโภคไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง นำร่องที่จังหวัดชลบุรีก่อนเป็นที่แรก ในวันที่ 21 กรกฎาคม และขายพร้อมกันทุกภูมิภาค วันที่ 7 สิงหาคม

ที่ผ่านมามีความวิตกกังวลเรื่องโรค ASF ในสุกร ที่ระบาดในหลายประเทศ เกษตรกรทุกคนต่างเข้าเลี้ยงสุกรอย่างระมัดระวัง พบว่าสุกรในระบบของไทยหายไปกว่า 20% จากเดิมในปี 2562 ไทยที่มีสุกรในระบบประมาณ 20,000,000 ตัว ที่สำคัญเกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น จากการเฝ้าระวังและป้องกัน ASF อย่างเข้มงวด ทำให้เกษตรกรมีค่าใช้จ่ายเพิ่มถึงตัวละ 100 บาท แต่ทุกคนยินดีดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้โรคนี้มาทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร และเกษตรกรผู้เพาะปลูกในห่วงโซ่การผลิต ทั้งยังเป็นการปกป้องผู้บริโภคไม่ให้ต้องได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับประเทศอื่นในภูมิภาค

เกษตรกรเลี้ยงหมู ยันดูแลราคาเต็มที่ เตรียมขายหมูถูกลดค่าครองชีพปชช. สู้ภัยโควิด

0

นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาสุกรหน้าฟาร์มอยู่ที่ 78-79 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นระดับราคาที่เกษตรกรทั่วประเทศยืนหยัดให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน ดูแลราคาหน้าฟาร์มไม่เกิน 80 บาท ทำให้ราคาขายหมูหน้าเขียงไม่เกิน 160 บาทต่อกิโลกรัม เป็นการดูแลค่าครองชีพให้กับประชาชน โดยราคาเป็นไปตามกลไกตลาด จากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้น เหมือนกับทุกประเทศในภูมิภาคนี้

สุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

อย่างไรก็ตามราคาหมูไทยยังคงถูกที่สุดในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญเกษตรกรวอนขอความเห็นใจ เพราะมีอาชีพเดียวไม่สามารถเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นได้ ขณะที่ผู้บริโภคมีทางเลือกในการรับประทานโปรตีนอื่นๆทดแทนได้ ทั้งไก่ ไข่ ปลา รวมถึงอาหารธรรมชาติที่ออกมามากในช่วงนี้

“การปรับเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ หลังจากหลายกิจการเริ่มกลับมาดำเนินการ ประกอบกับโรงเรียนเปิดภาคเรียน แต่เกษตรกรยังคงราคา 78-79 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้เกษตรกรพออยู่ได้ โดยเพิ่งจะขายได้ราคานี้ หลังจากแบกรับภาระขาดทุนสะสมมาถึง 3 ปี จากภาวะหมูล้นตลาดและราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น เกษตรกรยืนราคานี้ไว้ไม่กระทบกับการใช้จ่ายของผู้บริโภคจนเกินไป ยืนยันว่าปริมาณหมูมีเพียงพอกับการบริโภคในประเทศ ผู้บริโภคไม่ต้องกังวล การปรับราคานี้สะท้อนกลไกตลาดที่แท้จริง นับว่าเป็นราคาที่เหมาะสม นอกจากนี้ สมาคมฯได้ผนึกกำลังกับสมาชิก จัดกิจกรรมจำหน่ายหมูสดลดค่าครองชีพประชาชนทั่วไทย ส่งตรงจากฟาร์มถึงมือผู้บริโภคไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง นำร่องที่จังหวัดชลบุรีก่อนเป็นที่แรก ในวันที่ 21 กรกฎาคม และขายพร้อมกันทุกภูมิภาค วันที่ 7 สิงหาคม”

ที่ผ่านมามีความวิตกกังวลเรื่องโรค ASF ในสุกร ที่ระบาดในหลายประเทศ เกษตรกรทุกคนต่างเข้าเลี้ยงสุกรอย่างระมัดระวัง พบว่าสุกรในระบบของไทยหายไปกว่า 20% จากเดิมในปี 2562 ไทยที่มีสุกรในระบบประมาณ 20,000,000 ตัว ที่สำคัญเกษตรกรต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น จากการเฝ้าระวังและป้องกัน ASF อย่างเข้มงวด ทำให้เกษตรกรมีค่าใช้จ่ายเพิ่มถึงตัวละ 100 บาท แต่ทุกคนยินดีดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้โรคนี้มาทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกร และเกษตรกรผู้เพาะปลูกในห่วงโซ่การผลิต ทั้งยังเป็นการปกป้องผู้บริโภคไม่ให้ต้องได้รับความเดือดร้อนเหมือนกับประเทศอื่นในภูมิภาค

กรมชลฯ เล็งใช้เทคโนโลยีช่วยกักเก็บน้ำ หลังคาดปริมาณฝนมากขึ้นช่วงก.ค.-ก.ย. วอนชาวนารอฝนก่อนปลูกข้าว

0

กรมชลประทาน เล็งนำเทคโนโลยี มาใช้กักเก็บน้ำ หลังกรมอุตุฯ คาดการณ์ ก.ค.-ก.ย. ฝนมากขึ้น แต่ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนน้อย ส่วนลุ่มเจ้าพระยาขอความร่วมมือรอฝนก่อนเพาะปลูกข้าว 5.3 ล้านไร่

นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ ช่วงเดือน ก.ค.-กลางเดือน ก.ย.นี้ จะมีฝนตกมากขึ้นทั่วประเทศ กรมชลประทานจึงเตรียมหารือหน่วยงานด้านเทคโนโลยีสำรวจทางน้ำ เพื่อร่วมกันกำหนดแผนเร่งด่วนในการเก็บกักน้ำและให้ทุกเขื่อนเตรียมทุกวิธี  เพื่อเก็บน้ำไว้ให้ได้มากสุดและให้สำรวจ ประเมินปริมาณน้ำและอุปสรรคที่ทำให้น้ำไม่ไหลเข้าเขื่อน เพราะช่วงที่ผ่านมาแม้จะเป็นช่วงฤดูฝน แต่ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนยังมีน้อย โดยเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง  มีน้ำไหลเข้าเขื่อนทั่วประเทศ ปริมาณ 39.47 ล้าน ลบ.ม./วัน แต่มีการระบายออกเพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่จำเป็น 78.40 ล้าน ลบ.ม./วัน

ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน

ส่วนผลการเพาะปลูกพืชเกษตรตามแผนการผลิตทั่วประเทศ 17.33 ล้านไร่ ณ วันที่ 8 ก.ค. 2563 มีการเพาะปลูกได้ 7.07 ล้านไร่ หรือ 40% ของแผน แบ่งเป็นแผนการปลูกข้าว 16.79 ล้านไร่ เพาะปลูกได้ 6.972 ล้านไร่ หรือ 41.53% ของแผน, พืชไร่และพืชผัก แผนการเพาะปลูก 0.54 ล้านไร่  เพาะปลูกได้ 0.098 ล้านไร่ หรือ 18.3% ของแผน สำหรับพื้นที่ส่วนที่ยังไม่ได้เพาะปลูกข้าวนาปีอีกจำนวน 5.47 ล้านไร่ ขณะนี้ยังมีฝนทิ้งช่วง กรมชลประทานจึงได้วางแผนจัดสรรน้ำและหมุนเวียนการส่งน้ำในช่วงที่มีปริมาณฝนตกลดลง เพื่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ และส่งน้ำให้กับพื้นที่นาปีที่ได้เพาะปลูกไปแล้วในลุ่มเจ้าพระยา จำนวน 2.63 ล้านไร่ จากแผนการเพาะปลูก 8.01 ล้านไร่ โดยเพิ่มการระบายน้ำเข้าสู่แม่น้ำน้อยจากอัตรา 10 ลบ.ม./วินาที เป็น 20 ลบ.ม./วินาที คลองชัยนาท-ป่าสัก และแม่น้ำท่าจีน จะยังคงการรับน้ำไว้ที่ 15 ลบ.ม./วินาที

กรมชลประทาน ขอความร่วมมือเกษตรกรให้รอฝนตกสม่ำเสมอก่อน คาดว่าตั้งแต่กลางเดือน ก.ค. เป็นต้นไป จะสามารถทำการเพาะปลูกได้ โดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยา ที่มีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีเกือบ 50% ของแผนการปลูกข้าว เหลือประมาณ 5.38 ล้านไร่ ขอให้รอน้ำฝนก่อน เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่เกิดความเสียหาย หากมีการปลูกข้าว

นายทวีศักดิ์  กล่าวว่า ผลการบริหารจัดการน้ำฤดูฝน ปี 2563 ทั้งประเทศ ระหว่าง 1 พ.ค.-12 ก.ค.ปริมาตรน้ำในเขื่อนทั่วประเทศทั้งหมด 1,389 แห่ง ณ 1 พ.ค. มีปริมาตรน้ำ 76,641 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ปริมาตร 52,576 ล้าน ลบ.ม. ล่าสุด 12 ก.ค. ปริมาตรน้ำทั้งหมด 32,042 ล้าน ลบ.ม. ปริมาตรน้ำใช้การได้เหลือ 8,329 ล้าน ลบ.ม. หรือ 16% ของความจุเขื่อน แบ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ 35 แห่ง ณ 1 พ.ค. มีปริมาตรน้ำ     70,926 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ปริมาตร 47,384 ล้าน ลบ.ม. ล่าสุด 12 ก.ค. ปริมาตรน้ำทั้งหมด 30,322  ล้าน ลบ.ม. ปริมาตรน้ำใช้การได้เหลือ 7,045 ล้าน ลบ.ม. หรือ 15% ของความจุเขื่อน

น้ำในเขื่อนขนาดกลางที่มีความจุตั้งแต่ 2 ล้าน ลบ.ม. จำนวน 341 แห่ง ณ 1 พ.ค. มีปริมาตรน้ำ 5,039 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ปริมาตร 4,661 ล้าน ลบ.ม. ล่าสุด 12 ก.ค.ปริมาตรน้ำทั้งหมด 1,521 ล้าน ลบ.ม. ปริมาตรน้ำใช้การได้เหลือ 1,161 ล้าน ลบ.ม. หรือ 25% ของความจุเขื่อน   

น้ำในเขื่อนขนาดเล็กจำนวน 1,031แห่ง ณ 1 พ.ค. มีปริมาตรน้ำ 676 ล้าน ลบ.ม. มีน้ำใช้การได้ปริมาตร 531 ล้าน ลบ.ม. ล่าสุด 12 ก.ค. ปริมาตรน้ำ 199 ล้าน ลบ.ม. ปริมาตรน้ำใช้การได้เหลือ 123 ล้าน ลบ.ม. หรือ 23% ของความจุเขื่อน

กรมชลประทานได้ดำเนินการช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนทิ้งช่วง ระหว่างปลายเดือน มิ.ย.-กลางเดือน ก.ค.มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจำนวน 33 อำเภอ 230 หมู่บ้านใน 14 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย ตาก เลย ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี นครนายก เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร  และระนอง

การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น เพื่อทุเลาสถานการณ์ คือ นำรถบรรทุกจำนวน 26 คัน รวม 101 เที่ยว  ได้ปริมาณน้ำ 754,000 ลิตร ดำเนินการบรรทุกน้ำสะสมได้ 131 คัน รวม 8,002 เที่ยว คิดเป็นปริมาณน้ำทั้งหมด 53.2 ล้านลิตร ดำเนินการสูบน้ำจำนวน 69 เครื่อง สูบน้ำได้ 1.26 ล้าน ลบ.ม. และสามารถสูบน้ำได้สะสมปริมาณ 1,603 ล้าน ลบ.ม. สูบน้ำเพื่อช่วยภัยแล้ง เพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร 376.726 ล้าน ลบ.ม. สูบเพื่อผันน้ำ ช่วยในพื้นที่แห้งแล้งปริมาณ 1,226.37 ล้าน ลบ.ม.

นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมเครื่องจักรอื่นๆ เพื่อช่วยรับมือแล้งและฝนใหม่ที่จะมา จำนวน 145 หน่วย  ซึ่งประกอบด้วย รถแบ็คโฮ, รถบรรทุกเทท้าย, รถขุดตีนตะขาบ, รถตักหน้าขุดหลัง และเครื่องผลักดันน้ำ ยังมีการซ่อมแซม สร้างทำนบ ฝายจำนวน 7 แห่ง ขุดลอกแหล่งน้ำ จำนวน 37 แห่ง

ปรับแผนสร้างสวนป่าเบญจกิติ เร่งให้เสร็จทันเฉลิมพระเกียรติพระพันปีหลวง 12 ส.ค. ปีหน้า

0

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่าเบญจกิติ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนป่า เบญจกิติ ว่า ที่ประชุมหารือถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานสร้างสวนป่าเบญจกิติ บนเนื้อที่ 259 ไร่ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (กยท.) เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2564 ทั้งนี้ ได้ปรับแผนการก่อสร้างออกเป็น 2 ระยะ ซึ่งกรมธนารักษ์จัดทำแผนการดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อทราบแล้ว และ กยท. ได้ทำการส่งมอบรับมอบพื้นที่โรงงานยาสูบได้ครบทั้ง 3 ระยะ ไปแล้วเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา

สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

สำหรับแผนการก่อสร้างสามารถดำเนินการได้ทันที โดยในระยะที่ 1 คือ ช่วง 8 เดือนแรก กำหนดเป้าหมายการก่อสร้างพื้นที่ในส่วนสวนป่าให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อให้มีช่วงเวลาจัดเตรียมงานเฉลิมพระเกียรติวันที่ 12 สิงหาคม 2564 และระยะที่ 2 คือช่วง 8 เดือนหลัง ก่อสร้างปรับปรุงอาคารพื้นที่เดิมให้เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ ให้แล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จากเดิมต้องดำเนินการทั้ง 2 ระยะให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งการปรับแผนสร้างสวนป่าเบญจกิติ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการส่งมอบพื้นที่ของ กยท. ที่ได้ส่งมอบพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้วใน 3 ระยะ

“หลังจากส่งมอบพื้นที่ระยะ 3 แล้ว ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายใน 100 วัน ซึ่งได้เริ่มดำเนินการรื้อถอนไปเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2563 เท่าที่ประเมินปริมาณงานก่อสร้างและรื้อถอน ต้องใช้เวลาในการดำเนินงาน และอาจส่งผลต่อแผนการสร้างสวนป่า ที่ต้องใช้ระยะเวลา 16 เดือน ทั้งในการก่อสร้างสวนป่า และพิพิธภัณฑ์ ที่จะให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2564 จึงต้องมีการปรับแผนงานก่อสร้างใหม่ ซึ่งผมได้กำชับไปแล้วว่าในส่วนของงานสวนป่าต้องเสร็จสมบูรณ์ 100 % ภายในเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อให้สามารถเตรียมงานด้านอื่นๆ ให้ทันกับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จฯพระพันปีหลวง วันที่ 12 สิงหาคม 2564 ”

ทั้งนี้ในการปลูกต้นไม้ในสวนป่าเบญจกิติ ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ทีขะระ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ให้เสนอข้อแนะนำในการออกแบบสวนป่า ให้เป็นไปตามกระแสพระราชดำริของสมเด็จฯพระพันปีหลวง โดยออกแบบภูมิสถาปัตย์ให้มีต้นไม้ที่ออกดอกเป็นกลุ่มตามลักษณะพันธ์ไม้ดอกที่มีสีใกล้เคียงกัน เช่น ตะแบก อินทนิลเสลา เป็นสีม่วงปลูกรวมกัน เวลาออกดอกก็จะหนาแน่น เหมือนในต่างประเทศที่ปลูกซากุระ ซึ่งผู้ออกแบบเสนอผังการปลูกต้นไม้เป็นกลุ่มออกดอกทั่วสวนตลอดทั้งปี โดยมีพันธ์ไม้สำคัญ เช่น ชมพูพันธุ์ทิพย์ออกดอกสีชมพูช่วงเดือนธันวาคม สื่อถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 อีกฝั่งต้นไม้ดอกเป็นสีส้ม ออกดอกช่วงเดือนสิงหาคม สื่อถึงสมเด็จฯพระพันปีหลวง แกนกลางสวนเป็นต้นรวงผึ้ง มีดอกสีเหลือง กลิ่นหอม เป็นต้นไม้ประจำพระองค์ รัชกาลที่ 10 ออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม

นอกจากนี้ที่ประชุมหารือถึงการสร้างหอสูงชมเมืองเฉลิมพระเกียรติในพื้นที่สวนป่าเบญจกิติ ล่าสุดผู้ออกแบบเสนอแนวคิดก่อสร้างหอสูงชมเมืองเป็นรูปดอกบัวกลางน้ำ ประชาชนสามารถขึ้นไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ชมภูมิทัศน์ กรุงเทพฯ แบบ 360 องศา โดยจะให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย เพราะสวนป่าแห่งนี้ ได้ดำเนินการบนพื้นที่ที่มีมูลค่าสูงใจกลางเมือง ไม่สามารถหาได้อีกด้วยคุณค่าที่มีมหาศาล ดังนั้นน่าจะเตรียมสัญลักษณ์สำคัญเป็นที่เชิดชูในอนาคต นอกจากจะให้คนไทยเข้ามาเยี่ยมชมแล้ว ยังจะเป็นจุดดึงดูดที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย

“ผืนป่าแห่งนี้นอกเหนือจากเป็นปอดของคนกรุงเทพ ที่จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และดูแลด้านสิ่งแวดล้อม แล้ว ยังเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯทุกคน ที่แสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมของประชาชน เพราะไม่ว่าคนในระดับใด ทุกสาขาอาชีพ ทุกชาติศาสนา สามารถมาเยี่ยมชม มาใช้ สวนป่าเบญจกิติ ซึ่งถือเป็นสมบัติที่มีคุณค่าของประเทศได้” นายสันติ กล่าว

ซีพีเอฟ ส่งเสริมเด็กไทยเข้าถึงอาหารมีโภชนาการ ไม่ขาดสารอาหาร ห่างไกลโรคอ้วน

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลก มุ่งมั่นมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะทุพโภชนาการที่กระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ จึงได้เดินหน้าช่วยบรรเทาปัญหาด้วยการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด ปลอดภัย ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ การสร้างทักษะในด้านการผลิตอาหาร การบริโภคที่ถูกหลักโภชนาการให้แก่เด็ก เยาวชน และผู้บริโภคทั่วประเทศ

โดยในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายส่งเสริมเด็ก เยาวชน รวมทั้งผู้บริโภค เข้าถึงข้อมูลด้านอาหารและโภชนาการ การเรียนรู้และทักษะเกี่ยวกับอาหาร ความรู้ด้านการโภชนาการ และการบริโภคอย่างยั่งยืน จำนวน 1.3 ล้านคน

ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับเรื่องการจัดอาหารและคุณภาพอาหารกลางวันของเด็ก โดยถ่ายทอดประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารผ่าน “โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน” ซึ่งดำเนินการร่วมกับมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบทและภาคีเครือข่าย ร่วมบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชนไทย ตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปัจจุบัน มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการแล้ว 824 โรงเรียน มอบโอกาสให้นักเรียนของโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดารมากกว่า 150,000 คน และโครงการ ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบันมีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ 80 โรงเรียน เข้าถึงอาหารคุณภาพดี โดยในปี 2562 ช่วยบรรเทาภาวะทุพโภชนาการของเด็กและเยาวชน ทั้งที่มีภาวะผอม และภาวะอ้วน เตี้ย ลดลงจาก 15 % เหลือ 11 %

ทั้ง 2 โครงการ ให้ความสำคัญกับการสร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนของโรงเรียนและชุมชน เน้นส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัตินอกห้องเรียน อาทิ เลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงปลา ปลูกผักสวนครัว สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน และนำประสบการณ์ที่ได้รับไปประกอบอาชีพต่อไปได้ในอนาคต เห็นได้จากในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด 19 โรงเรียนที่ร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน และ โครงการ ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต นำผลผลิตไข่ไก่มาจำหน่ายให้คนในชุมชนในราคาย่อมเยา ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครัวเรือนได้

ภาวะทุพโภชนาการ ความอดอยาก และโรคอ้วน เป็นปัญหาที่กระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ จึงได้กำหนดประเด็นขจัดความอดอยากและสร้างความมั่นคงทางอาหาร การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดี ของทุกคน การสร้างรูปแบบการผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน และสร้างความร่วมมือระดับสากลสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนไว้ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ประการ (Sustainable Development Goals : SDGs)

เตือนเสื้อผ้า หน้ากากผ้า รองเท้า เปียกชื้น เสี่ยงเกิดเชื้อราบนผิวหนัง

0

           แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ช่วงหน้าฝนหลายๆ มักจะพบปัญหาเสื้อผ้ามีกลิ่นอับชื้น เนื่องจากเปียกฝนหรือสวมใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นเป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง หรือ เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ก็ไม่ได้นำเสื้อผ้าที่เปียกไปแขวนผึ่งให้แห้ง แต่นำไปใส่ตะกร้าเพื่อรอการซัก หากทิ้งไว้นานๆ อาจทำให้เกิดเชื้อราบนเสื้อผ้า หรือแม้ว่าจะซักตากทำความสะอาดเสื้อผ้าเป็นอย่างดีแล้ว แต่เนื่องจากฝนตกทำให้เสื้อผ้าที่ตากไว้ไม่แห้งหรือแห้งไม่สนิท เมื่อนำมาแขวนรวมๆ กัน ก็อาจทำให้เกิดกลิ่นอับชื้นได้ เมื่อนำมาสวมใส่อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคผิวหนังจากเชื้อราตามมา อาทิ โรคกลาก เกลื้อน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง มีขุยรอบ ๆ เกิดอาการคัน ทำให้เป็นผื่นแพ้และติดเชื้อได้ ดังนั้น จึงควรรีบซักเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที หรือผึ่งให้แห้งก่อนใส่ตะกร้าเพื่อรอการซัก รวมถึงการสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยที่เปียกชื้นอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย

           เสื้อผ้าที่มีกลิ่นอับชื้นหรือปัญหาเชื้อราบนผ้าให้ทำความสะอาดเพื่อทำลายเชื้อราได้ด้วย 2 วิธี คือ

  • วิธีที่ 1 ซักตามปกติแล้วนำไปต้มในน้ำเดือดนาน 15 นาที ถึง 1 ชั่วโมง
  • วิธีที่ 2 แช่ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่สามารถหาได้ในครัวเรือน ได้แก่ น้ำยาซักผ้าขาวที่มีส่วนผสมโซเดียมไฮโปคลอไรด์ โดยเติม 1 ฝา ต่อน้ำ 10 ลิตร แช่ผ้าไว้นาน 5-15 นาที หรือใช้น้ำส้มสายชู 2-3 ถ้วยตวง ต่อน้ำ 1-2 ลิตร แช่ผ้าไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง แล้วซักตามปกติ

จากนั้นนำไปตากแดดจัดหรือตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทจนแห้ง แล้วนำมารีดทั้งข้างในและข้างนอกตัวเสื้อ โดยก่อนทำความสะอาดเสื้อผ้า ควรอ่านป้ายสัญลักษณ์การดูแลรักษาเสื้อผ้า เพื่อเลือกวิธีทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดและป้องกันเสื้อผ้าชำรุด นอกจากนี้หน้ากากผ้า ควรเปลี่ยนทุกวัน หรือเปลี่ยนเมื่อรู้สึกเปียกชื้นในระหว่างวัน และซักหน้ากากผ้าทุกวันด้วยสบู่หรือผงซักฟอกแล้วตากแดดให้แห้ง กรณีสวมหน้ากากอนามัยให้เปลี่ยนหน้ากากเมื่อหน้ากากเปื้อนหรือเปียกน้ำ ส่วนผู้ที่มีอาการคันหลังสวมใส่เสื้อผ้า หน้ากากผ้า ช่วงหน้าฝน ไม่ควรเกาหรือปล่อยไว้จนลุกลาม ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป

           สำหรับรองเท้าที่เปียกชื้นจากการเดินลุยน้ำก็เป็นสาเหตุของเชื้อราหรือกลิ่นอับได้ เมื่อกลับถึงบ้านควรรีบถอดรองเท้าทันทีและทำความสะอาดเท้าด้วยสบู่และเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้า เพื่อป้องกันโรคน้ำกัดเท้า โรคเท้าเหม็น ส่วนรองเท้าที่เปียกควรนำไปซักทำความสะอาดทันที หรือใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดคราบสกปรกจากน้ำฝนและดินโคลน แล้วนำไปผึ่งโดยพิงรองเท้าในแนวเฉียงเข้ากับผนังจนแห้ง และไม่ควรใส่รองเท้าคู่เดิมซ้ำกันหลาย ๆ วัน เพื่อให้รองเท้าได้ระบายอากาศลดความอับชื้น และควรเตรียมรองเท้าที่สามารถใส่เดินลุยน้ำได้สำรองติดไว้ในช่วงหน้าฝนด้วย

กรมชลประทาน กับมาตรการจ้างงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย

0

ปัญหาภัยแล้งในแต่ละปี ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด หนีไม่พ้นพ่อแม่พี่น้องเกษตรกร

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรไทย ดังนั้น นอกเหนือภารกิจหลัก ในการทุ่มสรรพกำลังและความคิดในการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ใช้น้ำอย่างพอเพียงและเท่าเทียมแล้ว ทั้งการเกษตร และอุปโภคบริโภคแล้ว

เพื่อเป็นการบรรเทาช่วยเหลือเหลือพี่น้องเกษตรกรอีกทาง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีโครงการมาตรการจ้างงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ตามแนวคิดของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

โครงการดังกล่าว เน้นการจ้างงานครอบคลุมทั่วประเทศ กว่า 88,000 คน ระยะเวลาตั้งแต่ 3-7 เดือน

ทั้งนี้ หลังจากเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา สามารถช่วยเหลือจ้างงานพี่น้องเกษตรกรไปได้แล้ว ??,??? คน

คิดเป็นวงเงิน ?,??? ล้านบาท

ปัจจุบัน กรมชลประทาน ยังมีตำแหน่งงานรับได้อีกประมาณ 10,000 คน

ผู้ที่สนใจ หรือ ต้องการสมัครงาน สามารถสอบถาม หรือสมัครได้ที่ โครงการชลประทานใกล้บ้าน หรือ โทรสายด่วน ☎️ 1460

เอไอเอส จับมือ กรีนพหลโยธิน จัดชาเลนจ์รักษ์โลก ปลุกจิตสำนึก กำจัดขยะ E-Waste ถูกวิธี

0

          นางสาวนัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าส่วนงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส เตรียมจัดชาเลนจ์เพื่อสิ่งแวดล้อมครั้งใหม่ โดยชวนองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เข้าร่วมชาเลนจ์ “E-Waste The Battle ถ้ารักษ์จริง…มาทิ้งแข่งกัน” ประเดิมการแข่งขันนัดแรกกับมหามิตร “กรีนพหลโยธิน” 13 องค์กร ชั้นนำบนถนนเส้นพหลโยธิน ทั้งนี้ เพื่อสานต่อความตั้งใจที่ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 5 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ หรือเทียบเท่าการนำขยะ E-Waste ไปกำจัดอย่างถูกวิธีรวม 500,000 ชิ้น ภายในปี 2563 

นัฐิยา พัวพงศกร หัวหน้าส่วนงานพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน เอไอเอส

            โดยการแข่งขันจะแบ่งองค์กรในกรีนพหลโยธินออกเป็น 2 ทีม ได้แก่ทีม A และ ทีม B ทั้งสองทีมจะต้องเชิญชวน พนักงาน ลูกค้า หรือผู้เข้ามาติดต่อให้เข้ามาร่วมทิ้งขยะ E-Waste ที่จุดรับทิ้งของแต่ละองค์กร เริ่มนับคะแนนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2563 โดยทีมที่ชนะและทีมที่แพ้จะได้รับเงินบริจาค เพื่อนำไปให้กับองค์กรหรือมูลนิธิที่เลือกไว้ ทั้งนี้เอไอเอส จะร่วมสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อใช้ในกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม

            พร้อมจับมือ KID KID องค์กรเพื่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อม นำแอปพลิเคชัน ECOLIFE มาช่วยอำนวยความสะดวกในการแข่งขัน โดยสามารถติดตามปริมาณการทิ้งของแต่ละองค์กรได้แบบเรียลไทม์ ผ่านเว็บไซต์ http://www.ecolifeapp.com และยังเปิดมิติใหม่ในการทิ้งขยะ E-Waste ซึ่งจะได้ทั้งช่วยโลก ได้ทำบุญ และได้ ECO POINT คะแนนสะสมสำหรับสายกรีน ซึ่งสามารถนำไปแลกของพรีเมี่ยมผ่านแอปพลิเคชัน ECOLIFE ได้

          ทั้งนี้ กรีนพหลโยธิน เป็นกลุ่มองค์กรที่จัดขึ้นโดยการทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายกับ 13 องค์กร ภาครัฐและภาคเอกชน บนถนนเส้นพหลโยธิน ประกอบด้วย สำนักงานเขตพญาไท, สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ, โรงพยาบาลพญาไท 2, บุญเติม, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, ธ.ออมสิน สำนักงานใหญ่, ธ.กสิกรไทย สำนักพหลโยธิน, ธ.กรุงไทย สาขาซอยอารีย์, ธ.เกียรตินาคิน สาขาพหลโยธิน, ธ.ยูโอบี สาขาถนนพหลโยธิน 8, ธ.กรุงเทพ สาขาซอยอารี, IBM และ Exim Bank เพื่อที่จะร่วมรณรงค์ ผลักดันให้เกิดการคัดแยกและทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี โดยกิจกรรมชาเลนจ์ครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นการสานสัมพันธ์ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเคยทำภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมร่วมกันในปีที่ผ่านมา

           ปัจจุบันโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” สามารถรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้จำนวนทั้งสิ้น 51,786 ชิ้น เทียบเท่าการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 517,860 กิโลกรัมคาร์บอนสมมูลย์ โดยทางเอไอเอส จะนำขยะ E-Waste ที่เก็บรวบรวมได้จากโครงการทั้งหมด ไปกำจัดอย่างถูกวิธีด้วยกระบวนการ Zero Landfill (การจัดการขยะทำให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้เกิดมูลค่าได้อีกครั้ง)

Blue Card ผนึก xCash เปิดตัวแคมเปญ “โอนกันได้ แลกกันง่ายๆ” ขยายฐานคนชอบเที่ยวกับช้อปปิ้งออนไลน์

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ร่วมกับ บริษัท ดิจิต้าไลฟ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DLC)  เปิดตัวความร่วมมือให้โอนคะแนนสะสมระหว่างสมาชิกแอปพลิเคชั่น บลูการ์ด (Blue Card) และ “เอ็กซ์แคช” (xCash)

โดยมีนายนิสิต พงษ์วุฒิประพันธ์ ประพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน โออาร์ และ นายนนทิ ศัพทเสวี ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท DLC   ร่วมกันเปิดแคมเปญ “โอนกันได้ แลกกันง่ายๆ”   เพื่อใช้จ่ายแลกซื้อสินค้าและบริการบนแอปพลิเคชั่นเอ็กซ์แคช และใช้คะแนน สะสมบลูการ์ด ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (PTT Station) และร้านค้าที่ร่วมรายการ  หรือรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ในแอปพลิเคชั่น บลูการ์ด  จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับผู้บริโภค นักช้อป นักเดินทาง ตั้งแต่ 15 กรกฎาคม 2563 จนถึง 15 มิถุนายน 2564  สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.xcashrewards.com/privilege