Home Blog Page 417

วีจีไอ แจกกล่องปันน้ำใจ 1 หมื่นกล่อง บรรเทาความเดือดร้อนโควิด-19

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) ได้จัดโครงการ “กล่องปันน้ำใจ เพื่อช่วยคนไทยอย่างต่อเนื่อง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดเชื้อ covid-19 โดยทางบริษัทได้เชิญกลุ่มลูกค้าของทางบริษัท ร่วมกันมอบผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ เช่น ข้าวสาร ,น้ำดื่ม,และของใช้จำเป็นบรรจุในกล่อง kerry เพื่อส่งต่อให้กับผู้เดือดร้อน จำนวน 10,000 กล่อง

โดยขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับบริจาค “กล่องปันน้ำใจ” ได้ในวันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. – 18.00 น. บริเวณลานกิจกรรมหน้าวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

ภายในกล่องปันน้ำใจ ประกอบไปด้วย เครื่องอุปโภค บริโภคที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพ อาทิ ข้าวสาร,น้ำดื่ม และของใช้จำเป็น เพื่อส่งต่อให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19

สำหรับ ขั้นตอนในการรับ “กล่องปันน้ำใจ”

  • เข้าคิวตามลำดับ
  • สแกน QR Code หากไม่สามารถสแกนได้ ให้กรอกชื่อ-นามสกุล และเบอร์โทร
  • ประทับลายนิ้วมือเพื่อยืนยัน
  • ยืนรับประจำจุดที่ได้จัดเตรียมไว้ เจ้าหน้าที่จะนำกล่องมามอบให้

โดยจำกัด 1 กล่อง / 1 สิทธิ์ เท่านั้น

บริษัทขอความร่วมมือ ผู้มารับบริจาค สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา พร้อมตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารับกล่องปันน้ำใจ

สิงห์อาสาสร้างอาชีพโดนใจ สอนทำอาหาร delivery เต็มทุกรอบ

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด และมูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี ได้เปิดอบรมหลักสูตร “สร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่” ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 63 ที่ศูนย์นวัตกรรมด้านอาหาร Food Innovations Center จ.ปทุมธานี สิงห์อาสา เพื่อช่วยเสริมทักษะให้กับผู้เข้าอบรมนำไปต่อยอดสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยมี “เชฟป้อม” ธนรักษ์ ชูโต เชฟกะทะเหล็กอาหารจีน และ “เชฟปิ๊ก” สรมย์เวท ธีระพจน์ ครีเอทีฟเชฟ จากร้าน EST. 33 สอนทักษะการทำอาหารพร้อมให้ความรู้ด้านการเพิ่มมูลค่าของอาหารเดลิเวอรี่เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ปรากฏว่า ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น จนมีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการอย่างจำนวนมาก และเต็มในทุกคลาสตั้งแต่เปิดกิจกรรมมาในช่วงกลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา

ทั้งนี้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายเร่งด่วนในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติโควิด-19 ด้วยการเร่งจ้างงานและสร้างอาชีพ ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ โดยการเปิดอบรมกลุ่มทักษะด้านอาหาร 3 หลักสูตรคือ หลักสูตร 10 เมนูยอดนิยม อร่อยง่ายๆ สำหรับร้านอาหารตามสั่งทั่วไป กับ “เชฟบุ๊ค” บุญสมิทธิ์ พุกกะณะสุต, หลักสูตรสร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่ กับ “เชฟปิ๊ก” สรมย์เวท ธีระพจน์ ครีเอทีฟเชฟ จากร้าน EST. 33 และ หลักสูตรเครื่องดื่มร้อน-เย็น เต็มสูตร โดย ทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ, มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทีม R&D จากร้าน Farm Design และทีมบาริสต้า จากสิงห์ปาร์คเชียงราย ทั้งนี้มี เชฟชุมพล แจ้งไพร เชฟรางวัลมิชลิน 2 ดาว จากร้าน R.HAAN และ “เชฟป้อม” ธนรักษ์ ชูโต เชฟกะทะเหล็กอาหารจีน ร่วมวางหลักสูตร ซึ่งการอบรมครั้งนี้นับเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการอบรมกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร โดยตลอดทั้งโครงการมีผู้สมัครเข้ารับการอบรมจำนวนมากและต่างมีความเห็นว่าโครงการสามารถนำไปต่อยอดได้จริง

สำหรับ เดือนสิงหาคมนี้ บุญรอดบริวเวอรี่ เตรียมเปิดอบรมในกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านงานช่าง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับความร่วมมือกับเครือข่ายของสิงห์อาสาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ อาทิ มหาวิทยาลัย, สถาบันอาชีวศึกษา, หน่วยงานชั้นนำ นำองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในการสร้างอาชีพ เปิดคอร์สอบรมฟรีให้กับผู้ที่สนใจ โดยสามารถติดตามได้ที่เฟสบุ๊ค : Singha R-SA สิงห์อาสา นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ระบาด บริษัทได้ดำเนินการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบของการจ้างงานและสร้างอาชีพ เป็นมูลค่าการช่วยเหลือรวมกว่า 200 ล้านบาท ทั้งการจ้างงานเร่งด่วนผ่านโครงการสิงห์อาสาในการร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตัวเองทั่วประเทศ คือ โครงการสิงห์อาสาสู้ไฟป่า, โครงการสิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และ โครงการสิงห์อาสาสู้น้ำท่วม และอื่นๆ อีกมากมาย

โออาร์ ผนึกททท. ชวนคนไทยเที่ยวไทย ให้คะแนน Blue Card 2 เท่า พร้อมลุ้นรางวัลกว่า 9 ล้านบาท

0

          นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) และ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรมเพื่อเชิญชวนคนไทย ให้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และร่วมส่งเสริมนโยบายของ ททท. หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เริ่มคลี่คลาย ด้วย 2 กิจกรรม มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบลูการ์ด (Blue Card) เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของโออาร์ทั่วประเทศ

          นางสาวจิราพร เปิดเผยว่า โออาร์ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของ ททท. เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายขึ้น 2 กิจกรรม เพื่อมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบลูการ์ด เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ร้านค้าในเครือของโออาร์ทั่วประเทศ ได้แก่

  • แคมเปญ “เที่ยวนี้ สุข x2”  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Amazing Thailand Grand Sales 2020 ของ ททท. ที่มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบลูการ์ดรับคะแนนสะสม 2 เท่าจากคะแนนสะสมปกติ เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ทั่วประเทศ ได้แก่ สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ร้านคาเฟ่ อเมซอน เท็กซัส ชิคเก้น ศูนย์บริการยานยนต์ ฟิต ออโต้ ร้านฮั่วเซงฮงติ่มซำ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น พีทีที ลูบริแคนท์ส ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ และ ร้าน เพิร์ลลี่ ที ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 – 15 สิงหาคม 2563
  •  แคมเปญ “เที่ยว เลี้ยว ลุ้น” มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบลูการ์ด รับสิทธิลุ้นรับรางวัลใหญ่ รถยนต์ BMW X1 sDrive 18i (Iconic) 3 รางวัล และของรางวัลอื่นๆ รวมกว่า 1,500 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 9 ล้านบาท เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้านค้าในเครือโออาร์ ระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม 2563 – 31 ตุลาคม 2563 ตามเงื่อนไขดังนี้ 
    • เมื่อเติมน้ำมันเชื้อเพลิง ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ริการยานยนต์ฟิต ออโต้600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants ที่ PTT Station หรือ ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ ตั้งแต่  600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ ร้าน Café Amazon ตั้งแต่ 60 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ที่ ร้านสะดวกซื้อจิฟฟี่ตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ ศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ตั้งแต่ 600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าหรือใช้บริการที่ ร้าน Texas Chicken ตั้งแต่ 160 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าที่ ร้านฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ ตั้งแต่ 80 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ หรือ
    • เมื่อซื้อสินค้าที่ ร้านเพิร์ลลี่ ที ตั้งแต่ 60 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ

โดยสามารถรับสิทธิพิเศษจากทั้ง 2 กิจกรรม ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสมัครเป็นสมาชิกบลูการ์ดได้ทาง บลูการ์ด แอปพลิเคชัน หรือ เว็บไซต์ www.pttbluecard.com

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ โออาร์ กล่าวอีกว่า ขอเชิญชวนคนไทยออกเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวระยะสั้น โดยเดินทางเป็นกลุ่มเล็กด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล และยังต้องให้ความสำคัญกับการรักษาสุขอนามัย รวมทั้งปฏิบัติตนตามแนวทางปกติในรูปแบบใหม่ (New Normal) ที่นอกจากจะเป็นการร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ในขณะเดียวกันยังเป็นโอกาสให้ประชาชนได้ผ่อนคลายความตึงเครียดหลังจากช่วงเวลาล็อกดาวน์

นอกจากนี้ โออาร์ยังได้สนับสนุนพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 40 แห่งบนเส้นทางสายหลักเป็นจุดแจกคู่มือ SAFETY & HYGIENIC ROADTRIP ของ ททท. ซึ่งเป็นคู่มือการเดินทางที่จะแนะนำแนวทางปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยภายใต้มาตรฐาน SHA (Amazing Thailand Safety & Health Administration) สำหรับการขับรถท่องเที่ยวในพื้นที่ 5 ภาคทั่วประเทศอีกด้วย

ด้าน นายยุทธศักดิ์  เปิดเผยว่า  ททท. ร่วมกับโออาร์จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2  ทั้งนี้ เป็นหนึ่งในความร่วมมือที่ ททท. ร่วมกับพันธมิตรต่างๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ภายหลังการระบาดของโควิด-19 อยู่ในระยะที่ปลอดภัยสำหรับการเดินทาง ททท. ได้มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว กล่าวคือ ได้มีการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) ภายใต้การท่องเที่ยวรูปแบบ New Normal ให้กับสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานการบริการและมีมาตรการความปลอดภัยทางสุขอนามัย  เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเป็นอันดับแรก ๆ และจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวเปลี่ยนเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ออกแบบการเดินทางด้วยตัวเอง และนิยมขับรถท่องเที่ยว เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ     ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้ถือบัตรสมาชิกบลูการ์ด ถือเป็นกลุ่มศักยภาพที่เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวได้

การบินไทยเปิดบินตรงลอนดอน สิงหาฯนี้

0

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การบินไทยให้บริการเที่ยวบินพิเศษจากกรุงเทพฯ สู่ลอนดอน สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการเดินทาง เช่น นักเรียนไทยที่เดินทางไปเรียน ผู้โดยสารชาวต่างชาติที่ตกค้างและต้องการเดินทางกลับสหราชอาณาจักร, นักธุรกิจ

โดยจัดเที่ยวบินที่ ทีจี 916 เส้นทาง กรุงเทพฯ-ลอนดอน จำนวน 3 เที่ยวบิน ในวันที่ 9 วันที่ 16 และวันที่ 23 สิงหาคม 2563 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 12.50 น. ถึงลอนดอน เวลา 19.10 น. (เวลาท้องถิ่น) ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และ Physical Distancing ในทุกขั้นตอนการโดยสาร

และ เน้นย้ำให้พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัดขณะปฏิบัติหน้าที่ สำหรับเที่ยวบินขากลับ เส้นทาง ลอนดอน-กรุงเทพฯ การบินไทยได้ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิบัติภารกิจรับคนไทยกลับบ้านอย่างต่อเนื่อง

ผู้โดยสารที่เดินทางถึงลอนดอน ต้องมีการกักตนเองอยู่ที่พัก 14 วัน ตามมาตรการของรัฐบาลสหราชอาณาจักร เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษ ประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19  สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามายังสหราชอาณาจักร ต้องกักต้วเองอยู่ที่พัก 14 วัน (Self-Isolating) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2563 และประเทศไทยอยู่ในรายชื่อประเทศที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ

สำหรับ บัตรโดยสาร กรุงเทพฯ-ลอนดอน (เที่ยวเดียว) ราคาเริ่มต้นที่: ชั้นธุรกิจ 92,085 บาท ชั้นประหยัด 25,295 บาท (ราคารวมทุกอย่าง) เปิดให้สำรองที่นั่ง ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 63 – 23 ส.ค. 63 วันเดินทาง คือ วันที่ 9 ส.ค., 16 ส.ค. และ 23 ส.ค. 63 สามารถสำรองที่นั่งได้ที่  https://bit.ly/39gMYY7

สำหรับ ผู้โดยสารที่มีบัตรโดยสารเส้นทาง กรุงเทพ-ลอนดอน อยู่แล้ว หรือ Travel voucher สามารถสำรองที่นั่งบนเที่ยวบินดังกล่าว ได้ที่ THAI Contact Center 02 356-1111

ดีเดย์ 21ก.ค. จัดกิจกรรม “เนื้อหมู..สู้โควิด” ขายหมูลดค่าครองชีพ 130 บาทต่อกก.

0

พร้อมผนึกกำลังพาณิชย์ขายหมูธงฟ้า-ห้างแม็คโครลดราคาเนื้อหมูทุกสาขาทั่วไทย

น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า สมาคมร่วมกับสมาชิกทั่วประเทศ จัดกิจกรรม “เนื้อหมู…สู้โควิด” จำหน่ายหมูสดลดค่าครองชีพประชาชนทุกภูมิภาคทั่วไทย ราคา 130 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อส่งตรงเนื้อหมูคุณภาพจากฟาร์มเลี้ยงถึงมือผู้บริโภค ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง นำร่องที่จังหวัดชลบุรีก่อนเป็นที่แรก ในวันที่ 21 กรกฎาคม และจัดจำหน่ายพร้อมกันทุกภาคในวันที่ 7 สิงหาคม ตอกย้ำความมุ่งมั่นของผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศในการดูแลประชาชน และให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในการดูแลราคาหมูมีชีวิตหน้าฟาร์ม ไม่ให้เกินกิโลกรัมละ 80 บาท เพื่อให้ราคาขายปลีกเนื้อหมูหน้าเขียงปลายทางไม่เกิน 160 บาทต่อกิโลกรัม ย้ำว่าเกษตรกรทั่วประเทศต่างร่วมกันบริหารจัดการทั้งระบบเพื่อดูแลผู้บริโภคภายในก่อนมาโดยตลอด และการผลิตยังคงเพียงพอกับการบริโภค ไม่เคยมีปัญหาขาดแคลน

น.สพ.วิวัฒน์ พงษ์วิวัฒนชัย อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ

“หมูมีชีวิตหน้าฟาร์มปัจจุบันราคาอยู่ที่ 78-79 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ต้นทุนสูงถึง 71 บาทแล้ว แต่เกษตรกรทุกคนยังร่วมกันตรึงราคาตามที่สัญญากับกรมการค้าภายใน แม้ว่าที่ผ่านมาจะต้องแบกรับภาระขาดทุนมานานกว่า 3 ปี และต้องเข้มงวดกับการทำตามมาตรฐานการป้องกันโรค ASF ด้วยระบบไบโอซีเคียวริตีเต็มรูปแบบ ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้นถึง 100-200 บาทต่อตัว เพื่อป้องกันประเทศไทยจากโรคนี้ รวมทั้งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้เนื้อหมูที่ปลอดภัย และไม่ต้องประสบภาวะขาดแคลนเนื้อหมูดังเช่นประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียที่ปริมาณหมูเสียหายจากโรคนี้ จนทำให้ราคาหมูเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว”

นอกจากนี้ สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ร่วมกับกรมการค้าภายใน จัดหมูราคาถูกเพื่อจำหน่ายในงานธงฟ้าพาณิชย์ ที่จะจัดสินค้าราคาประหยัดลดค่าใช้จ่ายให้กับพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกัน ห้างแม็คโคร ได้จัดโปรโมชั่นลดราคาเนื้อหมูทุกสาขาทั่วประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือนสิงหาคม เพื่อช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพของลูกค้าประชาชน

ค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 300 บาท ทำไมจะมีเงินล้านไม่ได้

0

ค่าแรงวันละ 300 ทำไมจะมีเงินล้านไม่ได้!! ถ้าคุณต้องทำงานหนักเพื่อจะได้ค่าแรงขั้นต่ำ วันละ 300 กว่าบาท ภารกิจพิชิตเงินล้าน…ทำได้ง่ายกว่าเยอะ!! เมื่อมีพี่หนู “แม่บ้านเงินล้าน” ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำได้มาแล้ว เราก็ต้องทำได้!!

ขอแค่ให้รู้จักใช้เงิน มีวินัยในการออม และนำเงินออมไปลงทุน!! ที่สำคัญคือขอให้ลงมือทำตั้งแต่วันนี้…และเดี๋ยวนี้!!

“คุณนายพารวย” ได้รับการชี้แนะแนวทางจาก “พี่ก้อย” วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ กรรมการและอุปนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย (CFP) นักวางแผนการเงินอันดับต้นๆของประเทศ ที่ได้จัดทำ “แผนพิชิตเงินล้าน” ให้สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ รับค่าแรงขั้นต่ำเพียงวันละ 300 บาท ว่าต้องใช้จ่าย เก็บออมและลงทุนอย่างไรให้ได้ “จับเงินล้าน” มาลงมือปฏิบัติไปด้วยกันเลย!!

ถ้ารายได้วันละ 300 บาท และแต่ละสัปดาห์มีวันหยุด 1 วัน จะมีเวลาทำงานและมีรายได้ 26 วัน ก็จะมีรายรับ 7,800 บาทต่อเดือน ให้เก็บออมไว้ก่อนเลยวันละ 30 บาท (10% ของค่าแรง) ก็จะออมได้เดือนละ 780 บาท ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่าย 7,020 บาท

ให้จัดสรรเป็นงบค่าเช่าบ้าน+น้ำไฟ รวมเดือนละ 2,000 บาท ค่าอาหารวันละ 100 บาท ตกเดือนละ 3,000 บาท อีก 2,020 บาท ให้เป็นค่าเดินทาง+เสื้อผ้า+โทรศัพท์ (ปรับได้ตามความเหมาะสม)

ให้นำเงินออมที่ได้เดือนละ 780 บาท ไปลงทุน ถ้าเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 20 ปี จนอายุ 60 ปี หากได้ผลตอบแทน 3% ต่อปี ระยะเวลา 40 ปี จะมีเงินออม 726,928 บาท แต่หากได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี จะได้เงิน 1,187,220 บาท

แต่เงินออมจะเพิ่มเป็น 4,556,933 บาท หากลงทุนได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10%

และถ้าเราเป็นแรงงานมีฝีมือ หรือนายจ้างใจดีให้ค่าแรงวันละ 450 บาท ทำงาน 26 วัน จะมีรายได้ 11,700 บาทต่อเดือน ทำให้เก็บออมได้มากขึ้นเป็นวันละ 45 บาท เดือนละ 1,170 บาท เงินที่เหลือก็มาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้เป็นค่าเช่าบ้าน+น้ำไฟ เดือนละ 3,000 บาท ค่าอาหารวันละ 150 บาท ตกเดือนละ 4,500 บาท อีก 3,030 บาท จัดสรรเป็นค่าเดินทาง+เสื้อผ้า+โทรศัพท์

เงินออมที่นำไปลงทุน เดือนละ 1,170 บาท หากได้ผลตอบแทน 3% ต่อปี ในเวลา 40 ปี จะมีเงินออม 1,090,393 บาท และจะเพิ่มเป็น 1,780,830 บาท หากได้ผลตอบแทน 5% ต่อปี

แต่ถ้าได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี เงินออมจะกระโดดเพิ่มขึ้นเป็น 6,835,399 บาท!!!

นี่ยังไม่นับว่าหากขยันทำโอที หารายได้เสริม ทำอาหารหรือรับอาหารไปขายในที่ทำงาน หรือขายของออนไลน์ มีรายได้เพิ่มขึ้นก็ออมได้เพิ่มขึ้นและนำเงินมาลงทุนได้มากขึ้น

และเช่นเคย ท่องไว้ให้ขึ้นใจ คัมภีร์การออมให้สำเร็จที่ “พี่ก้อย” ย้ำเสมอคือต้อง “ออมก่อนใช้” การวางแผนและตั้งเป้าหมายการเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าคือการนำเงินออมไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยบรรลุเป้าหมาย!!

ขณะที่ยังคงแนะนำให้หาความรู้การออมการลงทุนได้ที่ www.set.or.th  กดต่อไปที่หัวข้อ “ความรู้การลงทุน” จะพบกับข้อมูลที่มีประโยชน์มากมาย.


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

กรมควบคุมโรค มั่นใจโควิด-19 ระลอก 2 ไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก

0

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอก 2 ว่า ยังมีความมั่นใจว่า การระบาดในรอบที่ 2 จะไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก เนื่องจากประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการวิธีปฏิบัติตัวป้องกันโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี

ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขก็มีความพร้อมทั้งยาเวชภัณฑ์ เตียงผู้ป่วยมีการสำรองเพียงพอและสามารถควบคุมโรคได้เร็วให้อยู่ในวงจำกัด ไม่บานปลาย ซึ่งได้รับความร่วมจากภาครัฐเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชนทั่วไปเป็นอย่างดี ในการสร้างความตระหนักแต่ไม่ตระหนกต้องปรับตัวจนกว่าจะมีวัคซีน

อย่างไรก็ตามเพื่อให้การควบคุมโรคอยู่ในวงจำกัด จึงขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด และยังใช้แอปพลิเคชันไทยชนะในการเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ หรือหากประชาชนพบเห็นเหตุการณ์ที่เป็นความเสี่ยงสามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค

ด้านความคืบหน้าการคัดกรองบุคคลและประชาชนที่มีความเสี่ยงหลังจากตรวจพบทหารสัญชาติอียิปต์ติดโรคโควิด-19 เดินทางมาพักที่จังหวัดระยอง ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินมาตรการควบคุมป้องกันปัจจัยเสี่ยงโดยเร็ว พร้อมยกระดับการควบคุมโรคโดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่กับส่วนกลาง ในการคัดกรองบุคคลที่มีความเสี่ยงตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคมเป็นต้นมากระทรวงสาธารณสุขได้นำรถตรวจโรคติดเชื้อชีวนิรภัย พระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช้เป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ในการเก็บตัวอย่างโรคโควิด-19 ด้วยวิธี RT PCR

และย้ำว่า แม้จะตรวจไม่พบเชื้อแต่ขอให้การ์ดยังต้องสูง บุคคลที่ได้รับการตรวจต้องเฝ้าระวังด้านสุขอนามัย งดการออกจาบ้านเป็นระยะเวลา 14 วันงดใช้ของร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดกับบุคคลใกล้ชิดและโดยรวม

“สินค้าเกษตร-ปศุสัตว์” ตัวช่วย … พลิกเศรษฐกิจชาติ

0

บทความโดย สมคิด เรืองณรงค์

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน COVID-19  ไวรัสอณูเล็กๆที่ระบาดไปทั่วทุกภูมิภาค ก็ทำผู้ป่วยติดเชื้อไปแล้วกว่า 13.1 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้ต้องหมดลมหายใจตายจากบุคคลอันเป็นที่รักไปแล้วกว่า 5.7 แสนคน มันกำลังทำลายโลกทั้งใบ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคน ภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของโลก ความล่มสลายของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การล้มละลายของธุรกิจใหญ่อย่างสายการบิน การตกต่ำของตลาดหุ้นทั่วโลก หรือแม้แต่เรื่องใกล้ตัวอย่างเศรษฐกิจในบ้านเรา ก็หนีไม่พ้นความร้ายกาจของมัน

การประชุมประเมินสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทยปี 2563 ที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าหารือ ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า ภาพรวมการส่งออกของประเทศไทยตลอดปี 2563 จะติดลบถึง 8.7% แต่หากพิจารณาการส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2563 จะติดลบสูงถึง 22.50%  บั่นทอนเศรษฐกิจของประเทศที่อาศัยการท่องเที่ยวและส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างมาก … ถ้าแยกสินค้าส่งออกเป็นรายเซคเตอร์จะพบว่าสินค้าที่ยังคงขยายตัวได้ดีมีเพียง “กลุ่มสินค้าอาหาร” “กลุ่มสินค้าอิเลคทรอนิคส์และชิ้นส่วน” รวมถึง “กลุ่มอัญมณีและทองคำ” เท่านั้น  

เมื่อ “เงินทองคือของมายา…ข้าวปลาสิของจริง”  น่าจะเป็นประเด็นหลักสำหรับทุกชีวิตบนโลก “อาหาร” เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต และในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19… อาหารย่อมสำคัญกว่าอัญมณี ซึ่งก็น่าดีใจที่ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรม ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ในเล้ามีหมูมีไก่ เราไม่เคยขาดแคลนอาหาร และ “สินค้าเกษตร-ปศุสัตว์” นี่ล่ะที่จะเป็นพระเอก ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของชาติ ในวิกฤตไวรัสร้ายนี้ได้   

หมูไทย ใครๆก็ต้องการ

               ก่อนหน้าโควิด-19 วงการหมูทั่วโลกก็ปั่นป่วนจากการระบาดของโรค ASF ที่ระบาดหนักในจีน​ มองโกเลีย​ เวียดนาม​ กัมพูชา​ เกาหลี​ เมียนมาร์ ลาว ฯลฯ โรคนี้ทำให้หมูมีอัตราการตาย 100%  ปัจจุบันยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกัน และส่งผลให้ปริมาณหมูหายไปจากโลกหลายร้อยล้านตัว​ เกิดภาวะหมูขาดแคลนในหลายประเทศ เมื่อไม่เพียงพอระดับราคาหมูในตลาดโลกจึงทะยานสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ในจีนและเวียดนามที่ราคาหมูพุ่งขึ้นถึง 300%  เมื่อผนวกกับปัญหาโควิด-19 ที่ระบาดในมนุษย์ ส่งผลให้คนงานโรงงานอาหารในสหรัฐและยุโรปต้องเสียชีวิตและหยุดงาน ยิ่งกระทบปริมาณเนื้อสัตว์และอาหารของโลก ทำให้ภาวะขาดแคลนอาหารเป็นอันตรายใกล้ตัวของประชาชนในหลายๆประเทศมากยิ่งขึ้น  

            เกษตรกรไทยเก่งมากที่สามารถร่วมมือกันป้องกันโรค ASF ได้สำเร็จเป็นหนึ่งเดียวของภูมิภาคนี้ ทำให้ผู้บริโภคไทยไม่ต้องเผชิญกับภาวะหมูขาดแคลน ระดับราคาหมูในประเทศไทยจึงถูกที่สุดในภูมิภาค เป็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ทั้งเกษตรกร ทั้งผู้บริโภค และเศรษฐกิจของประเทศ  “หมูไทย” จึงเป็นความมั่นคงทางอาหารของเรา ที่เป็นหน้าเป็นตา เป็นที่หมายปองและต้องการของนานาประเทศถึงกับมีการส่งคนเข้ามาเจรจาขอนำเข้าหมูไทยไปบ้านเขาเพื่อลดปัญหาขาดแคลนให้ประชาชน

            สินค้าเกษตร-ปศุสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หมูไทย” จึงฉายแสงออร่า เป็นพระเอกขี่ม้าขาวที่จะช่วยพลิกเศรษฐกิจของไทยได้อย่างชัดเจน ลำพังแค่ส่งออก… หมูเป็น …ไปตามประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ก็นำเข้าเงินตราแก่ไทยมหาศาล ยังไม่นับรวมการส่ง “หมูซีก” ไปฮ่องกง หรือที่อื่นๆ ซึ่งล้วนอ้าแขนต้อนรับ เพราะคุณภาพที่เหนือชั้น ปลอดภัย ปลอดโรค และหาไม่ได้ง่ายๆในขณะนี้  … “หมู” จึงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ดีที่สุดของไทย และโอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ หากไทยไม่รีบคว้าไว้ ก็เท่ากับเราทิ้ง “ความหวังของชาติ” ไปอย่างไร้ค่าที่สุด

ระดับราคาหมู….มีที่มา 

จากสถานการณ์ที่กล่าวมา ทำให้ระดับราคาหมูหน้าฟาร์มในประเทศไทยที่แม้จะถูกที่สุดในภูมิภาค ก็อาจขยับขึ้นบ้าง ซึ่งก็เป็นเพราะซัพพลาย-ดีมานด์ในตลาดโลกดังกล่าว เมื่อผนวกกับเหตุผลที่กรมการค้าภายในอธิบายไว้ว่า “ราคาที่ขยับส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการผ่อนคลาย ให้ธุรกิจต่างๆสามารถเปิดดำเนินการได้มากขึ้นหลังจากสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในประเทศคลี่คลายในทิศทางที่ดี ส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคาร ห้างค้าปลีก และโรงแรมต่างสั่งซื้อเนื้อหมูมาสำรองสต็อกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและผู้บริโภค ประกอบกับเป็นช่วงที่โรงเรียนเพิ่งเปิดเทอมทำให้ความต้องการเนื้อหมูมากจากก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นระยะสั้นๆและไม่นานราคาหมูก็จะกลับมาอยู่ในระดับปกติ”   ก็นับเป็นเหตุเป็นผลที่ฟังขึ้นและยอมรับได้  

เกษตรกรเองแม้จะมีการลงทุนด้านต่างๆเพื่อป้องกันโรค ASF อย่างมากกระทั่งประสบความสำเร็จ แต่กลับไม่ได้มุ่งหวังกดดันให้คนไทยด้วยกันต้องแบกรับค่าครองชีพซ้ำเติมในสถานการณ์โควิด-19  โดยได้ตกลงกับภาครัฐไว้ว่าจะรักษาระดับราคาหมูหน้าฟาร์มไว้ไม่ให้เกิน กก.ละ 80.- บาท เพื่อให้ราคาหมูเนื้อแดงหน้าเขียงไม่เกิน กก.ละ 160.- บาท หากใครพบการค้าขายหน้าฟาร์มหรือหน้าเขียงที่เกินกว่านี้ ขอให้ช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งกรมการค้าภายในที่ 1569 ทันที

วันนี้ก็มีเพียง “หมูไทย” ที่จะไปกอบกู้เศรษฐกิจชาติได้ทันที  จึงไม่ควรให้มีดราม่าราคาหมูภายในประเทศ มาบั่นทอนโอกาสของชาติ … อย่าลืมว่าห่วงโซ่การผลิตหมูนั้นยาวนักไม่ใช่เพียงเกษตรกร 2 แสนราย แต่ยังหมายรวมถึงชาวนาและเกษตรกรผู้ปลูกพืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งข้าวโพด รำข้าว ปลายข้าว มันสำปะหลัง อีกนับล้านครอบครัวที่จะสามารถขายผลผลิตได้มากขึ้นในราคาสูงขึ้น ที่จะได้ลืมตาอ้าปากไปด้วยกันอีกครั้ง เมื่อฐานรากในกลุ่มเกษตรกรเข้มแข็ง ทุกภาคส่วนของประเทศจะขับเคลื่อนได้ต่อเนื่อง … เป็นการพลิกวิกฤตเศรษฐกิจไทยในยุคโควิด-19 ให้กลับมาผงาดได้อย่างสง่างาม


นายกฯ สปป.ลาว ชื่นชม ซี.พี.ลาว สร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชน

0

นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ให้เกียรติเข้าเยี่ยมชมกิจการของ บริษัท ซี.พี.ลาว จำกัด พร้อมรับฟังภาพรวมการดำเนินธุรกิจ โดยมี นายทำนอง พลทองมาก กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และพนักงาน ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงงานผลิตอาหารสัตว์พูคำ บริษัท ซี.พี. ลาว จำกัด นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป. ลาว ได้กล่าวชื่นชม ซี.พี.ลาว ต่อผลสำเร็จ และเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีอาชีพที่มั่นคง สร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยที่บริษัทได้เข้าสนับสนุนการฝึกอบรมด้านเทคนิควิชาการให้แก่ประชาชน ได้ปลูกผักปลอดสาร และเลี้ยงสัตว์อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ทำให้ประชาชนมีงานทำมากขึ้น อีกทั้งทำให้ประชาชนได้เข้าถึงอาหารปลอดภัย ทั้งนี้นายกฯ ได้เสนอให้บริษัทฯ ดำเนินการต่อเนื่องและผลักดันต่อไป

และว่า การเข้ามาดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว ทำให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ แก่ประชาชน อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาปรับใช้ภายใน สปป.ลาว ทำให้เกิดการพัฒนาอีกด้วย

ซี.พี.ลาว เข้าดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว ภายใต้หลัก ปรัชญา 3 ประโยชน์ สู่ความยั่งยืน โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อประเทศที่เข้าไปดำเนินธุรกิจ ประโยชน์ต่อประชาชนของประเทศนั้น และประโยชน์ต่อพนักงานรวมถึงบริษัทฯ

เป็นหนี้นอกระบบ เครียดมาก ใครช่วยที

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์
ตอน “เป็นหนี้นอกระบบ เครียดมาก ใครช่วยที”

“อาแปะ” สาธิต บวรสันติสุทธิ์ กูรูปลดหนี้

แนะแนวทางแก้หนี้นอกระบบ การทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายยังสำคัญ เพิ่มเติมทำบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน

เพื่อตัดบางส่วนไปใช้หนี้

ย้ำ! อย่าหนีหนี้