Home Blog Page 411

กทม. เปิดรับสมัครงานหลายอัตรา

0

นางสาววรนุช สวยค้าข้าว ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า หน่วยงานของกรุงเทพมหานครเปิดรับสมัครงานหลายอัตรา ได้แก่

  • สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ เปิดรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นอาสาสมัครปฏิบัติงานที่ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ จำนวน 5 ตำแหน่ง ตำแหน่งละ 1 อัตรา ได้แก่ ตำแหน่งอาสาสมัครช่วยงานสังคมสังเคราะห์ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชี ตำแหน่งอาสาสมัครคนพิการ ตำแหน่งอาสาสมัครช่วยปฏิบัติงานสภาเด็กและเยาวชน และตำแหน่งอาสาสมัครพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร ผู้สนใจขอรับและยื่นใบสมัครด้วยตนเองได้ที่ ฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม ชั้น 4 อาคาร 2 สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 28 ส.ค. 63 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2235 9127 และ 0 2233 1224 – 8 ต่อ 7185 ในวันและเวลาราชการ หรือดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ http://www.bangkok.go.th/samphanthawong
  • สำนักงานเขตสายไหม เปิดรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเป็นลูกจ้างชั่วคราว เพื่อปฏิบัติงานในสังกัดฝ่ายโยธา และฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตสายไหม ในตำแหน่งนายท้ายเรือ อัตราค่าจ้างเดือนละ 9,400 บาท จำนวน 1 อัตรา ตำแหน่งพนักงานทั่วไป (กวาด) อัตราค่าจ้างเดือนละ 8,690 บาท จำนวน 1 อัตรา และตำแหน่งพนักงานทั่วไป (เก็บขนมูลฝอย) อัตราค่าจ้างเดือนละ 8,690 บาท จำนวน 11 อัตรา ผู้สนใจขอรับและยื่นใบสมัครด้วยตนเองได้ที่ ฝ่ายปกครอง ชั้น 2 สำนักงานเขตสายไหม ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. – 15 ก.ย. 63 สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2158 7349 ต่อ 7258 ในวันและเวลาราชการ หรือดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ http://www.bangkok.go.th/saimai
  • สำนักงานเขตหลักสี่ เปิดรับสมัครและคัดเลือกบุคคลเป็นพนักงานธุรการ สังกัดฝ่ายรายได้ สำนักงานเขตหลักสี่ เพื่อปฏิบัติหน้าที่งานด้านธุรการ รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และปฏิบัติงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้รับค่าตอบแทนเดือนละ 10,900 บาท หรือ 11,960 บาท (ในกรณีผู้ได้รับการคัดเลือกมีประสบการณ์ในการทำงานกับกรุงเทพมหานคร หรือเคยเป็นผู้รับจ้างเหมาบริการเป็นรายบุคคลให้กับกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป) ผู้สนใจขอรับและยื่นใบสมัครด้วยตนเองได้ที่ ฝ่ายรายได้ ชั้น 2 สำนักงานเขตหลักสี่ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. – 8 ก.ย. 63 สอบถามเพิ่มเติมโทร. 0 2982 2081 – 2 ต่อ 7415 – 7 ในวันและเวลาราชการ หรือดูรายละเอียดที่เว็บไซต์ http://www.bangkok.go.th/laksi

UTA แถลงความคืบหน้าสนามบินอู่ตะเภา จัดส่งแผนแม่บทแล้ว

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 63 คณะผู้บริหารบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด นำโดย นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกวิน กาญจนพาสน์ นายภาคภูมิ ศรีชำนิ และ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ร่วมแถลงความคืบหน้า โครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกครั้งที่ 1

ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์ กล่าวว่า บริษัท มุ่งมั่นตั้งใจที่จะดำเนินการพัฒนา “โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก” ให้เป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” รวมถึง การเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ในการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดจากรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดเป็นเมืองท่าและเมืองธุรกิจสำคัญของประเทศไทย ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างสะดวกสบาย ทันสมัย ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ

กวิน กาญจนพาสน์

นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ เปิดเผยว่า บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ได้จัดส่งแผนแม่บทตามที่กำหนดในสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เพื่อกำหนดตำแหน่งและจุดเชื่อมโยงของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่สำคัญต่างๆ ในโครงการฯ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไปแล้วเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามกำหนดเวลาภายใน 60 วัน นับจากวันที่ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ

ทั้งนี้ ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญที่แสดงถึงเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ในการเดินหน้าอย่างเต็มที่ในการพัฒนาโครงการสนามบินอู่ตะเภา โดยแผนแม่บทนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงจุดเชื่อมโยงของโครงการ กับโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญ เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สามารถประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ให้สนับสนุนการพัฒนาโครงการฯ ได้อย่างเต็มที่ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ คือ

  • การยืนยันแนวเส้นทางของรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
  • การแสดงแนวเส้นทางระบบโครงข่ายถนนเชื่อมต่อสู่สนามบินและเมืองการบิน
  • การแสดงข้อมูลของรันเวย์ที่ 2 ที่ทางกองทัพเรือเป็นเจ้าของโครงการ
  • การแสดงแนวเส้นทางของระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา และระบบเชื้อเพลิงเข้าสู่สนามบิน

นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กล่าวว่า บริษัทได้มอบหมายให้กลุ่มบริษัท OPi ซึ่งประกอบไป ด้วย Oriental Consultants Global (OCG), Pacific Consultants (PCKK), IBIS Company Limited (IBIS) เป็นผู้จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา โดย OCG และ PCKK เป็นบริษัทที่ให้การบริการด้านงานวิศวกรรมที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญในงานโครงการระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในระดับนานาชาติ มีผลงานสำคัญ ได้แก่ สนามบินนาริตะ, สนามบินฮาเนดะ, สนามบินคันไซ, สนามบิน Changi รวมถึงงานสนามบินสุวรรณภูมิ มีประสบการณ์มากกว่า 4,500 โครงการใน 150 ประเทศ

ส่วน IBIS เป็นบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาสัญชาติไทยที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญสูงในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางด่วน, ทางรถไฟ, ระบบขนส่งสาธารณะ และการบิน ทั้งในและต่างประเทศ และบริษัท To70 (Thailand) Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางด้านวิศวกรรมการบินและธุรกิจการบินระดับโลกซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศไทย จึงเป็นการผสมผสานระหว่างแนวคิดทางตะวันตก กับแนวทางการทำงานของตะวันออก โดยมีความเป็นไทยผสมอยู่อย่างลงตัว เพื่อให้เป็นสนามบินนานาชาติระดับโลกที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นไทยอีกด้วย

สำหรับความคืบหน้าอื่นๆ ของโครงการ ภายในช่วงระยะเวลาสองเดือนนับจากการลงนามในสัญญา ได้แก่

  • การสำรวจพื้นที่เบื้องต้น เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และการขออนุมัติเข้าพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อทำการสำรวจ Topographic เพื่อประกอบการออกแบบและก่อสร้าง ซึ่งทาง UTA คาดว่าจะเข้าสำรวจพื้นที่จริงและรับมอบพื้นที่จากทาง EEC ได้ภายในต้นเดือนกันยายน 2563
  • การเข้าสำรวจพื้นที่ TG MRO – ศูนย์ซ่อมบำรุงเครื่องบินของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อเตรียมการรื้อย้ายและเคลียร์พื้นที่สำหรับการก่อสร้างรันเวย์ที่ 2 และอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่

ทำความรู้จัก โครงการ ‘เปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ’ (เมื่อคุณหมุนเวียน) กุศโลบายลดขยะ

0

ความเชื่อ และความเป็นจริง
พลาสติก เปลี่ยนเป็นบุญได้

เรามีหลากหลายวิธีที่จะลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทุกวันให้น้อยลง ซึ่งการนำขยะหลายๆชนิดกลับมาผ่านกรรมวิธี เพื่อให้สามารถนำไปใช้ใหม่อีกครั้ง ก็เป็นหนทางหนึ่ง สำหรับ การลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้น ซึ่งโครงการ “เปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ” (เมื่อคุณหมุนเวียน) ของ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะลดปริมาณขยะ อย่างได้ผลดีแล้ว ยังเป็นกุศโลบายที่สอดคล้องกับความเชื่อตามแนวทางศาสนาพุทธ ของพุทธศาสนิกชน อีกด้วย

นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม(สส.) กล่าวว่า เวลานี้มีการติดตั้งจุดรับคืนขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวให้ประชาชนนำมาทิ้งกว่า 300 จุดทั่วประเทศ เช่น หน่วยงานภาครัฐทั้ง 20 กระทรวง มหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาเก็ต และร้านสะดวกซื้อที่เข้าร่วมโครงการ รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชนที่เข้าร่วมเป็นเครือข่าย

“พลาสติกที่จะนำมาคืนจะต้องสะอาดและแห้ง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ พลาสติกยืดและพลาสติกแข็ง พลาสติกยืด เช่น ถุงหูหิ้ว ถุงช็อปปิ้ง ฟิล์มหุ้มแพ็คขวดน้ำ ฟิล์มห่อสินค้า ฟิล์มหุ้มแพ็คกล่องนม ถุงน้ำแข็ง ซองไปรษณีย์พลาสติก พลาสติกกันกระแทก ถุงซิปล็อค/ซองยา ถุงขนมปัง ถุงน้ำตาลทราย ถุงผักผลไม้ สามารถนำไปคืนได้ที่ถังของโครงการ “เปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ” (เมื่อคุณหมุนเวียน) และ โครงการ “มือวิเศษxวน” ส่วนพลาสติกแข็ง เช่น กล่องพลาสติกใส่อาหาร แก้วกาแฟ หลอดพลาสติก ชุดช้อมส้อม ขวดพลาสติก สามารถนำไปคืนได้ที่ถังของโครงการ “เปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ” (เมื่อคุณหมุนเวียน) และโครงการส่งพลาสติกกลับบ้าน”อธิบดี สส. กล่าว

ล่าสุด มีปริมาณพลาสติกที่ได้รับคืน แบ่งเป็นพลาสติกยืด 44.05 กิโลกรัม และพลาสติกแข็ง 86.46 กิโลกรัม หลังจากนี้จะนำขยะทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล และอัพไซคลิ่งเพื่อนำไปเป็นส่วนผสมการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ตลอดจนเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น รีไซเคิลเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ (ถุงหูหิ้ว ไม้เทียม) การอัพไซเคิลเป็น “จีวรรีไซเคิล” ซึ่งบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ได้ร่วมกับวัดจากแดง ริเริ่มขึ้น

นายรัชฎา บอกด้วยว่า นอกจากนี้จะนำไปผลิตชุด PPE สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์รักษ์โลกอื่น ๆ ซึ่งจะมอบให้กับมูลนิธิสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อรักษาและช่วยชีวิตสัตว์ทะเล หรือกลุ่มอาสาสมัคร ชุมชน วัด หรือโรงเรียน ที่ขาดแคลนอุปกรณ์ในการดำรงชีวิตหรือขาดแคลนทุนทรัพย์

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรี ทส. กล่าวว่า สำหรับโครงการ“เปลี่ยนพลาสติกเป็นบุญ” (เมื่อคุณหมุนเวียน) เป็นการใช้กลไกประชารัฐบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน ในการจัดการขยะพลาสติกอย่างครบวงจร เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรูปธรรม ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการทั้งภายในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอีก 19 กระทรวง

รวมถึงเครือข่ายภาคเอกชนหลายองค์กร นำโดยกลุ่มความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติกและขยะอย่างยั่งยืน หรือกลุ่ม PPP Plastics และเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนแห่งประเทศไทย (TRBN) ซึ่งองค์กรและบริษัทเหล่านี้อยู่ในห่วงโซ่พลาสติกที่จะช่วยสนับสนุนการดำเนินโครงการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ โดยจะนำขยะพลาสติกกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล หรืออัพไซคลิ่ง เพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคใช้อีกครั้ง

ขณะเดียวกันยังช่วยลดปริมาณการใช้ขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวไม่ให้หลุดลอดสู่สิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกขยะ การนำขยะพลาสติกกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล ซึ่งจะเป็นการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และจัดการขยะพลาสติกอย่างครบวงจร อีกทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจในการจัดการขยะพลาสติกตั้งแต่ต้นทาง และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการสร้างความตระหนักแก่ประชาชน และคืนประโยชน์กลับสู่สังคมไทย

จะมีการวางแผนขยายเครือข่ายและยกระดับการดำเนินงานจัดการปัญหาขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนมากยิ่งขึ้น เช่น การคมนาคมขนส่งของประเทศ โครงข่ายอินเตอร์เน็ต และโทรคมนาคมต่าง ๆ

เป็นแผนการลด และกำจัดปริมาณขยะ ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกคน ทุกภาคส่วน

มูลนิธิ LPN ร่วมกับซีพีเอฟ ปรับการเรียนรู้ให้แรงงาน ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน

0

มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (Labour Protection Network : มูลนิธิ LPN) ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในองค์กรอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับการอบรมสู่รูปแบบออนไลน์ รับวิถีใหม่ (new normal)

นายสมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิ LPN เปิดเผยว่า ปีนี้ นับเป็นปีที่ 3 ที่มูลนิธิฯ ร่วมมือกับ ซีพีเอฟ ดำเนินการศูนย์รับฟังเสียงพนักงาน “Labour Voices Hotline by LPN” ซึ่งเป็นช่องทางรับฟังเสียงพนักงานโดยองค์กรอิสระ ควบคู่กับการจัดอบรมด้านสิทธิมนุษยชนให้แก่คนงานทั้งไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมายแรงงาน ความปลอดภัยและชีวอนามัยในการทำงาน และแนวทางการปฏิบัติที่ดีของบริษัทฯ และเพื่อตอบรับมาตรการความปลอดภัยและการป้องกันโรคระบาดในกระบวนการผลิตอาหารที่เคร่งครัด มูลนิธิฯ จึงปรับรูปแบบการจัดอบรมคนงานตามสถานประกอบการต่างๆ สู่การอบรบรมออนไลน์ ควบคู่กับการเยี่ยมแรงงานต่างชาติถึงหอพักเพื่อพบปะพูดคุยแบบ Focus Group ซึ่งเป็นกิจกรรมกลุ่มย่อยนอกสถานประกอบการและนอกเวลาทำงาน เพื่อให้แรงงานรู้สึกผ่อนคลายที่จะพูดแสดงความเห็น สอบถามข้อสงสัยในการปรับตัวในการดำเนินชีวิต รวมถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม

สมพงค์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน

นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้เพิ่มการจัดอบรมแรงงานต่างชาติก่อนเดินทางมาทำงานในประเทศไทยถึงที่ประเทศต้นทาง ได้แก่ กัมพูชา และเมียนมา ประเทศละ 1 ครั้ง

“การจัดอบรมแรงงานก่อนเดินทางมาทำงานกับซีพีเอฟ จะช่วยให้แรงงานข้ามชาติทุกคนได้รับทราบถึงข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ ทั้งเรื่องการทำงาน ลักษณะความเป็นอยู่ในประเทศไทย สิทธิ สวัสดิการต่างๆ รวมทั้ง แนะนำให้แรงงานข้ามชาติทุกคนได้รู้จักและสามารถเข้าถึงช่องทางรับฟังเสียงพนักงาน Labour Voice by LPN” นายสมพงค์กล่าว

ช่องทางรับฟังเสียงพนักงาน Labour Voices Hotline by LPN และ การอบรมให้ความรู้สิทธิมนุษยชน เป็นการสร้างต้นแบบความร่วมมือภาคเอกชน-ภาคประชาสังคม ช่วยดูแลบุคลากรในองค์กรเหมือนคนในครอบครัว และส่งเสริมการอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ และความทุ่มเทในการทำงาน นำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกมั่นใจที่ได้บริโภคสินค้าที่มาจากกระบวนการผลิตที่มีการปฏิบัติที่ดีต่อแรงงานตลอดห่วงโซ่ตามมาตรฐานสากล

ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การจัดอบรมโดยมูลนิธิฯ ให้กับแรงงาน มีส่วนช่วยให้แรงงานข้ามชาติของซีพีเอฟทำงานและใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยด้วยความมั่นใจ และเมื่อติดปัญหาอะไร แรงงานสะดวกใจที่จะโทรศัพท์มาขอคำปรึกษาผ่าน ศูนย์ Labour Voices Hotline by LPN ซึ่งเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ที่เป็นคนไทย เมียนมา และกัมพูชา คอยให้คำแนะนำได้ตลอดเวลา

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มูลนิธิฯ เห็นความตั้งใจของซีพีเอฟในการดูแลและปกป้องสุขภาพของพนักงานทุกคนอย่างจริงจัง ส่งผลให้ไม่พบการรายงานการติดเชื้อโควิดในพนักงานของซีพีเอฟ นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังได้รับการสนับสนุนจากซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ไข่ไก่สด น้ำดื่ม เพื่อนำไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนพี่น้องแรงงานต่างชาติในพื้นที่ต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง หรือไม่ได้รับค่าจ้างในช่วงเวลาดังกล่าวอีกด้วย

AIS ปูพรม 5G SA ครบ 77 จังหวัด ยกระดับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เพื่อภาคอุตสาหกรรม

0

นายวสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส เดินหน้าขยายพื้นที่ให้บริการเครือข่าย 5G SA (Stand Alone) ครบทั้ง 77 จังหวัด  ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการต่อยอดนวัตกรรมเครือข่าย AIS 5G ที่จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อภาคอุตสาหกรรมไทย เนื่องจากการพัฒนานวัตกรรมเครือข่าย 5G จำเป็นต้องอาศัยคุณสมบัติของ 5G SA โดยเฉพาะ ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานทั้งด้านความเร็ว ความหน่วงต่ำ และการเชื่อมต่อเทคโนโลยี IoT จำนวนมาก 

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าฝ่ายงานปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ เอไอเอส

รวมถึง เทคโนโลยี 5G Network Slicing ที่ช่วยปรับแต่งคุณสมบัติเครือข่ายและทรัพยากร เพื่อให้สอดคล้องและยืดหยุ่นกับลักษณะการใช้งานแต่ละรูปแบบ ในแต่ละพื้นที่ของภาคธุรกิจได้อย่างคล่องตัว ทำให้สามารถรับประกันคุณภาพของการเชื่อมต่อและความเร็วได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเทคโนโลยี 5G Multi – access Edge Computing (MEC) ที่สามารถนำ Application Server ให้เข้าใกล้ผู้ใช้งานมากที่สุด ช่วยให้สามารถใช้งานเครือข่ายด้วยการเข้าถึงแบบไร้สาย เพื่อให้บริการประมวลผลในปริมาณมากและมีความปลอดภัยสูงสุด ก็ล้วนเป็นศักยภาพที่ทำได้เฉพาะใน 5G SA เท่านั้น 

ด้วยความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลเทียบเท่าระดับโลก ถือเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่กำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ที่เหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาว ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีดิจิทัล จะเป็นข้อได้เปรียบสำหรับการแข่งขันบนเวทีโลก และนำไทยก้าวสู่ยุค Industry 4.0 ได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป

ทั้งนี้ เอไอเอส ถือเป็นโอเปอร์เรเตอร์เพียงรายเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้บริการ 5G Dual Mode ทั้งแบบ SA (Stand Alone) เครือข่าย 5G เฉพาะ และ NSA (Non-Stand Alone) เครือข่าย 5G ที่ทำงานร่วมกับ 4G บนคลื่นความถี่ 2600 MHz

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เดินหน้าลดโลกร้อน จับมือ 50 องค์กรลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

0

ผ่านโครงการ Care the Bear ต่อเนื่องปี 3 พร้อมพัฒนาเครื่องมือวัดสู่ Digital Eco Calculator Kit

นางสาวนพเก้า สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้ากลุ่มงานสื่อสารองค์กรและพัฒนาเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ริเริ่มโครงการ Care the Bear ภายใต้แนวคิด “Change the Climate Change” ตั้งแต่ปี 2561 โดยร่วมกับพันธมิตร ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ และธุรกิจเพื่อสังคม ช่วยกันขับเคลื่อนการลดภาวะโลกร้อนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยใช้หลักการ 6 Cares มุ่งเปลี่ยนแปลงในมิติของผู้บริโภคให้มีส่วนช่วยลดโลกร้อน ซึ่งสอดคล้องกับ Sustainable Development Goals (SDGs) ข้อที่ 13 “Climate Action”

หลักการ 6 Cares ภายใต้โครงการ Care the Bear ถือเป็นคู่มือในการสร้างพฤติกรรมร่วมลดโลกร้อนใน 6 ด้าน ได้แก่ การรณรงค์เดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะ การลดการใช้กระดาษและพลาสติก การงดใช้โฟม การลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ไฟฟ้า การลดการใช้อุปกรณ์ตกแต่งในงาน และรณรงค์ให้ทานอาหารให้หมด

ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ มิ.ย. 2561 – มิ.ย. 2563 มีพันธมิตร 50 องค์กร ร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว 7,712 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหญ่ (อายุ 10 ปี) จำนวน 856,904 ต้น โดยมีองค์กรภาคีหลัก คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และพันธมิตรอื่นร่วมขับเคลื่อน ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทจำกัด หน่วยงานภาครัฐ สมาคม สถาบันการศึกษา โรงแรม สถานที่จัดการประชุม และกิจการเพื่อสังคม

โครงการ Care the Bear ได้ช่วยสร้างจิตสำนึก ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กร หรือชุมชน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยผลที่ได้จากการคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจกนี้สามารถเปิดเผยในรายงานประจำปี และรายงานความยั่งยืนขององค์กรได้ ซึ่งหลักการคำนวณการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นไปตามมาตรฐานองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)

“จากหลักการที่ว่า หากเราสามารถวัด หรือมีเครื่องมือวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เราจะรู้ว่าเราควรวางแผนหรือกำหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการ ออกแบบกิจกรรม หรือกระบวนการทำงานแต่ละโครงการต่างๆ อย่างไรให้มีรูปแบบที่ลดการทำให้โลกร้อน” และเพื่อให้การใช้งานได้ง่ายขึ้น ปีนี้โครงการ Care the Bear ซึ่งก้าวสู่ปีที่ 3 ได้พัฒนาเครื่องมือคำนวณค่าการลดก๊าซเรือนกระจกบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม Digital Eco Calculator Kit ซึ่งสะดวก ใช้งานง่าย สามารถดาวน์โหลดข้อมูลย้อนหลังมาจัดทำเป็นรายงานต่างๆ ได้อย่างง่าย นอกจากนี้ ยังนำเสนอความรู้เกี่ยวกับหลักการ 6 Cares และเทคนิคการลดโลกร้อนในรูปแบบบทความ อินโฟกราฟิก และคลิปวิดีโอ อีกด้วย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน บนหลักการ Triple Bottom Line (People-Planet-Profit) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสิ่งแวดล้อม โดยขับเคลื่อนการทำงานผ่าน SET Social Impact Platform ทั้งนี้ เป็นทั้งการขับเคลื่อนร่วมกับธุรกิจเพื่อสังคม (social enterprise) ที่แก้ไขปัญหาสังคมในหลากมิติ หลายประเด็น และการริเริ่มโครงการร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม (Climate Action) ภายใต้แนวคิดหลัก “ร่วมดูแล (Care) ร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลง (Change)” ทั้งนี้ เครื่องมือ Digital Eco Calculator Kit นี้ จะช่วยขยายโครงการให้เกิดความมีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน หรือเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ให้แพร่หลายมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งหวังให้ “วิถี” หรือการมีไลฟ์สไตล์ที่ใส่ใจในเรื่องดังกล่าว เป็นค่านิยมของสังคมไทย โดยในปี 2563 จะมีการขยายผลการใช้เครื่องมือนี้ไปยังชุมชน ที่มีการจัดการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Tourism) รวมถึงบริษัทและสถานศึกษาต่างๆ” นางสาวนพเก้ากล่าวเพิ่มเติม

องค์กรที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Care the Bear สามารถดูข้อมูลได้ที่ www.setsocialimpact.com หรือ Facebook: SET Social Impact หรือสอบถามเพิ่มเติม SET Contact Center 0 2009 9999

โออาร์ เคียงข้างเกษตรกรไทย เปิด ‘พื้นที่ปันสุข’ ในพีทีที สเตชั่น ขายลำไยราคาพิเศษ

0

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์  และ นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)  ชวนคนไทยสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนลำไยโดยเปิด “พื้นที่ปันสุข” ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ให้กลุ่มเกษตรกรจากจังหวัดเชียงใหม่ นำลำไยพันธุ์อีดอ มาจำหน่ายในราคาพิเศษกล่องละ 100 บาท (กล่องละ 3 กิโลกรัม) ตั้งแต่วันที่ 19 – 29 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 08:00 น. เป็นต้นไปที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น 4 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลได้แก่ 

  • สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บจ.ปิโตรเลียมอเวนิว ถนนแจ้งวัฒนะ 
  • สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บจ.พลังไทยเพื่อไทย ถนนเสรีไทย
  • สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น สาขาแยกประชาอุทิศ-ลาดพร้าว ถนนประดิษฐมนูญธรรม และ
  • สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น บจ.ประดับดาว กรุ๊ป ถนนราชพฤกษ์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.  1365 Contact Center

ทั้งนี้ การเปิด “พื้นที่ปันสุข” ที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรวมพลังสร้างรอยยิ้มเกษตรกรไทยที่โออาร์ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ประสบปัญหาในการหาช่องทางจำหน่ายผลิตผล การร่วมกับ ธ.ก.ส. เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรนำลำไยพันธุ์อีดอ มาจำหน่ายในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการ ถือเป็นอีกแนวทางในการช่วยเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้มีช่องทางระบายสินค้า และทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อลำไยพันธุ์อีดอที่มีคุณภาพจากกลุ่มเกษตรกรโดยตรง และสอดคล้องกับหลักการในการดำเนินธุรกิจของ โออาร์ ที่มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจชุมชน ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมควบคู่การมอบบริการที่ปลอดภัยให้กับคนไทย เพื่อให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

เอไอเอส จับมือมธ. เปิดแคมป์บ่มเพาะนักศึกษาสู่ผู้ประกอบการนวัตกรรมดิจิทัล

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อไม่นานมานี้  เอไอเอส ร่วมกับ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดกิจกรรม AIS Young Digital Talent Camp เฟ้นหานักศึกษาที่มีความชื่นชอบ หลงใหลในเทคโนโลยี ฉายแววนวัตกรรุ่นใหม่ เข้าร่วมกระบวนการบ่มเพาะ (Incubator) สร้างทักษะ สร้างอาชีพ และสร้างนวัตกรรมให้กับสังคมไทย

โดยเอไอเอส ให้ความสำคัญกับแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน การพัฒนาทักษะความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ เป็นอีกหนึ่งพันธกิจสำคัญ ซึ่งนอกจากการพัฒนาทักษะของพนักงานภายในองค์กรแล้ว ยังได้ทำงานร่วมกับองค์กรภายนอก ทั้งภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษา เพื่อพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของคนไทยอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกิจกรรม AYDT (AIS Young Digital Talent Camp) ที่ร่วมกับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นในครั้งนี้ นักศึกษาจะได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอน โดยมีทีมงานเอไอเอส ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเป็น Mentor คอยให้คำแนะนำ ถ่ายทอดองค์ความรู้ รวมถึงเทคนิคต่างๆ ทั้ง Technology, Design และ Business เพื่อเพิ่มศักยภาพและเตรียมความพร้อมให้กับนิสิต นักศึกษาสำหรับการทำงานในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุค Digital Disruption เป็นการช่วยพัฒนากำลังคนด้านดิจิทัลเพื่อเป็นกำลังสำคัญในพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงต่อไป

CP Fresh จัดกิจกรรม ‘ซีพี มิตรแท้ธุรกิจอาหาร’ ดึงผู้ประกอบการท้องถิ่นฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน

0

CP Fresh ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งใหม่ใจกลางเมืองปากช่อง จ.นครราชสีมา จัดกิจกรรม “ซีพี มิตรแท้ธุรกิจอาหาร ร่วมก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน” โดยมี นายสิริพงศ์ อรุณรัตนา ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจสัตว์บก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ, นายวิโรจน์ อรุณพันธุ์ ประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารเขาใหญ่-ปากช่อง เชฟหนุ่ม นายชนินธร จันทรวรรณ และเชฟเก่ง นายณัฐพันธ์ เพิ่มศิลป์ ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ กลยุทธ์ และเทคนิควิธีการปรับตัว เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มกำไร โดยมีผู้ประกอบการร้านอาหารในเขาใหญ่เข้าร่วมกิจกรรม ณ ร้านครัวบินหลาอาหารใต้ ปากช่อง จ.นครราชสีมา

นายสิริพงศ์ เปิดเผยว่า การจัดงานในวันนี้ เป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการในชุมชน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ ที่จะช่วยสร้างโอกาสให้ธุรกิจในพื้นที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นกิจกรรมนำร่องในพื้นที่เขาใหญ่-ปากช่อง เพื่อให้เป็นต้นแบบ และขยายสู่จุดยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวอื่นๆ ต่อไป และเพื่อสนับสนุนแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจท่องเที่ยว การปรับตัวของธุรกิจอาหาร รับยุคท่องเที่ยว “วิถีใหม่” ที่เน้นใส่ใจด้านสุขภาพและความปลอดภัย ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารบริเวณเขาใหญ่-ปากช่อง ช่วยจุดประกายแนวคิดและแนวทางการปฏิบัติจริง เพื่อช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและทำกำไรได้

ทั้งนี้ CPF มุ่งมั่นพัฒนาอาหารคุณภาพ อร่อย ปลอดภัยที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีให้ผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และพร้อมให้คำปรึกษา แลกเปลี่ยนประสบการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทฯ ตอบโจทย์สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารในท้องถิ่น ร่วมก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 และเติบโตไปด้วยกัน

นายนนทณัฏฐ์ สร้อยสังวาลย์ เถ้าแก่เล็ก ในโครงการ Potential leaders development program (PLP) ของสถาบันผู้นำเครือเจริญโภคภัณฑ์ หนึ่งในผู้ดูแลร้าน CP Fresh ปากช่อง กล่าวว่า มีแนวคิดต่อยอดองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารในชุมชน ดำเนินธุรกิจตัวเบา ลดต้นทุนและสร้างกำไร

การจัดงานในครั้งนี้ ซีพีเอฟ ผนึกกำลังกับบริษัทในเครือ เช่น ทรู 7-Eleven ในการจุดประกายแนวทางการปรับตัว, Workshop การทำ Menu Application การนำเสนอสินค้าที่จะช่วยลดต้นทุนและบริหารจัดการสต๊อกได้ง่ายขึ้น และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างผู้ประกอบการ

ด้าน นายวิโรจน์ อรุณพันธุ์ ประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารเขาใหญ่-ปากช่อง กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจร้านอาหารในเขาใหญ่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก วันนี้เราต้องหันหน้ามาร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานการให้บริการและเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงในการกลับมาแพร่ระบาดของโควิด-19 ขอบคุณ CP Fresh ที่จัดกิจกรรมในครั้งนี้ และช่วยผลักดันให้กำลังใจผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถปรับตัวอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้ เมื่อภาคธุรกิจชุมชนเข้มแข็ง ภาคการท่องเที่ยวก็จะฟื้นตัวในไม่ช้า

โออาร์ ปล่อยแคมเปญ “ดีต่อใจ” ตอกย้ำเบอร์หนึ่งก๊าซหุงต้มของประเทศ

0

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์  ประกาศจุดยืนเบอร์หนึ่งก๊าซหุงต้มของประเทศ ในฐานะผู้นำตลาดการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคครัวเรือนภายใต้แบรนด์ ก๊าซหุงต้ม ปตท. และก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคอุตสาหกรรมมายาวนานมากกว่า 26 ปี  พร้อมส่งแคมเปญภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ดีต่อใจ” ภายใต้ภาพลักษณ์ก๊าซหุงต้มที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย ส่งต่อถึงมือผู้บริโภค ตอกย้ำความเป็นก๊าซหุงต้มคู่ครัวไทย “ก๊าซหมดทุกครั้ง…สั่งก๊าซหุงต้ม ปตท.”

นายสุนทร เชื้อสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การตลาดพาณิชย์ โออาร์ เปิดเผยว่า  โออาร์ เป็นผู้ผลิตและจำหน่าย ก๊าซหุงต้ม ปตท. ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมายาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531ด้วยภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นเรื่องความปลอดภัย โดย ณ 30 มิถุนายน 2563  โออาร์ มีโรงบรรจุก๊าซที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยอยู่กว่า 180 แห่ง และมีร้านค้าก๊าซหุงต้ม ปตท. ในเครือข่ายกว่า 1,000 ร้านทั่วประเทศ  นอกจากนี้ โออาร์ ยังมีถังก๊าซให้เลือกใช้ถึง 4 ขนาด คือ 4 กิโลกรัม 7 กิโลกรัม 15 กิโลกรัม และ 48 กิโลกรัม ที่สามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่ภายในครัวเรือน จนถึงระดับร้านอาหาร และโรงแรม ซึ่งถังก๊าซทุกถังได้ผ่านมาตรฐาน 6 ขั้นตอนการควบคุมคุณภาพความปลอดภัย ของ ก๊าซหุงต้ม ปตท. ก่อนส่งต่อถึงมือผู้บริโภค

ล่าสุด โออาร์ เปิดตัวแคมเปญโฆษณา “ดีต่อใจ” ภาพยนตร์โฆษณาความยาว 30 วินาที เน้นการสื่อสารสู่ผู้บริโภคให้นึกถึงแบรนด์ ก๊าซหุงต้ม ปตท. ด้วยประโยคติดหู “ก๊าซหมดทุกครั้ง…สั่งก๊าซหุงต้ม ปตท.” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำก๊าซหุงต้มที่มั่นใจได้เรื่องความปลอดภัย ใส่ใจทุกขั้นตอน ก่อนส่งต่อถึงมือผู้บริโภค พร้อมอยู่เคียงข้างผู้บริโภคตลอดมา โออาร์ คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง จึงกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย 6 ขั้นตอน เพื่อควบคุมทุกขั้นตอนในกระบวนการบรรจุน้ำก๊าซ ตั้งแต่การเช็คสภาพถังก๊าซให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย มีเครื่องหมาย มอก. ประทับอยู่บนตัวถังก๊าซ โดยระบุวันหมดอายุ พร้อมทั้ง เดือนและปีของการทดสอบถังก๊าซครั้งล่าสุด ซึ่งจะต้องไม่เกิน 5 ปี และจะต้องมีข้อความระบุน้ำหนักบรรจุอย่างชัดเจน ซึ่งถังก๊าซที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จะถูกคัดแยกเพื่อนำไปซ่อม หรือทำลาย

ถังที่ผ่านมาตรฐานจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการทำความสะอาด ก่อนนำไปบรรจุก๊าซ โดยนำถังก๊าซขึ้นวางบนเครื่องบรรจุก๊าซ ชั่งน้ำหนักถังเปล่าก่อนบรรจุด้วยเครื่องชั่งที่มีความเที่ยงตรง ตั้งปริมาณน้ำก๊าซที่ต้องการบรรจุให้ตรงกับขนาดถัง ติดตั้งชุดหัวจ่ายและเริ่มบรรจุน้ำก๊าซ จากนั้นถังก๊าซจะถูกลำเลียงไปที่เครื่องชั่งน้ำหนักอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบให้น้ำหนักตรงตามมาตรฐาน โดยชั่งน้ำหนักถังก๊าซที่รวมน้ำก๊าซ หากน้ำหนักขาดหรือเกินมากกว่ามาตรฐานที่กำหนด จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการเติมหรือดูดน้ำก๊าซและนำกลับมาชั่งน้ำหนักใหม่อีกครั้ง จากนั้นถังก๊าซที่บรรจุแล้วจะถูกตรวจสอบความปลอดภัยอีกครั้ง โดยทุกถังจะผ่านการตรวจสอบรอยรั่วซึมของตัวถังก๊าซ วาล์ว เกลียววาล์ว ด้วยการจุ่มน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย 25 วินาที หากพบรอยรั่ว จะถูกคัดแยกออกทันที ปิดท้ายด้วยการซีลวาล์ว และการผนึกซีลสติกเกอร์ QC PASSED ระบุชื่อคลัง และวันที่ที่บรรจุ พร้อมตรวจสอบความติดแน่นของซีลเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนส่งมอบให้ร้านค้าก๊าซ เพื่อส่งต่อถึงผู้บริโภค ก๊าซหุงต้ม ปตท. จะยังคงพัฒนานวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยอย่างไม่หยุดยั้ง โดยคำนึงถึงมาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุดเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้บริโภคทุกคน