Home Blog Page 408

ซีพีเอฟ หนุนใช้พลังงานทดแทน สร้างสมดุลสิ่งแวดล้อม

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจตามแนวคิด “เศรษฐกิจหมุนเวียน” เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตลอดห่วงโซ่การผลิต เช่น นำชิ้นเนื้อขนาดเล็กจากกระบวนการผลิตไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่า การใช้ระบบหมุนเวียนน้ำในการทำฟาร์มกุ้งโดยไม่ปล่อยน้ำออกสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ และการใช้พลังงานหมุนเวียน 3 ประเภท คือ พลังงานจากชีวมวล พลังงานจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) และพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ซึ่งเป็นพลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้พลังงานจากไฟฟ้าและน้ำมัน

ซีพีเอฟ กำหนดเป้าหมายการลดปริมาณการใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิตลง 15% ในปี 2568 เทียบกับปีฐาน 2558 ซึ่งปัจจุบันโครงการพลังงานต่างๆ ของบริษัทยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการโซล่าร์ รูฟท็อป บนหลังคาโรงงานและอาคารสำนัก จำนวน 24 แห่ง จะทยอยแล้วเสร็จในปี 2563 และโครงการนำร่องโซล่าร์เซลล์แบบติดตั้งบนพื้นดินในฟาร์มสุกร 16 แห่ง และพร้อมขยายสู่ทุกฟาร์มสุกรทั่วประเทศ ตลอดจนตั้งเป้าหมายยกเลิกการใช้ถ่านหินภายในปี 2565

ในปี 2562 ธุรกิจของ ซีพีเอฟ ในไทย มีการใช้พลังงานหมุนเวียนคิดเป็นสัดส่วน 26% ของการใช้พลังงานทั้งหมด แยกเป็นพลังงานจากชีวมวล (เศษไม้ ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด) 1.857 ล้านกิกะจูล พลังงานจากไบโอก๊าซ 1.017 ล้านกิกะจูล และพลังงานแสงอาทิตย์ 439 กิกะจูล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 425,000 ตันคาร์บอนไดอ๊อกไซดเทียบเท่าต่อปี ประหยัดเงินได้กว่า 250 ล้านบาท

ซีพีเอฟ กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปีฐานปี 2558 และยกเลิกการใช้ถ่านหินภายในปี 2565

นอกจากนี้ บริษัทยังมีการวางแผนบริหารจัดการพลังงานที่ดี มีการตรวจสอบและดูแลอุปกรณ์และเครื่องจักรสม่ำเสมอ การเลือกใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อลดการสูญเสียพลังงานในกระบวนการผลิต ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่อย่างสมดุล ซึ่งการใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่สนับสนุน ซีพีเอฟ ในการเดินหน้าสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารมั่นคงและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนภายใต้วิสัย “ครัวของโลกที่ยั่งยืน”

ซีพีเอฟ หนุน”รร.บ้านพรหมมาสามัคคี” ให้เด็กไทย/เด็กชาวเขา กินไข่ไก่ครบมื้อ

0


โรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่บริเวณที่ราบเชิงเขา และมีภูเขาล้อมรอบ ห่างไกลจากตัวเมืองจังหวัดกำแพงเพชรออกมาประมาณ 60 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของ”โรงเรียนบ้านพรหมมาสามัคคี” ตำบลคลองลานพัฒนา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร เปิดการเรียนการสอนระดับชั้นอนุบาล 2 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6  มีบุคลากรครู 12 คน จำนวนนักเรียน 147 คน เป็นเด็กไทย 79 คน ชนเผ่าอิ้วเมี่ยนหรือเย้า 25 คน และชนเผ่าล่าหู่หรือมูเซอ 43 คน ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่ฐานะค่อนข้างยากจน ด้วยบริบทสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่และอาชีพของคนในพื้นที่ที่มีอาชีพรับจ้างทำไร่มันสำปะหลัง ไร่อ้อย ซึ่งรายได้ไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่ประสบปัญหาภัยแล้ง   อย่างไรก็ตาม เด็กนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ มีโอกาสเข้าถึงและได้บริโภคไข่ไก่ โปรตีนคุณภาพที่มีราคาไม่แพง

หลังจากที่โรงเรียนเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน เตรียมรับแม่พันธุ์ไก่ไข่อีก 100 ตัว สู่การเลี้ยงเป็นรุ่นที่ 4 เป็นโครงการที่ส่งเสริมเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดารและห่างไกล ได้บริโภคไข่ไก่เพื่อบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการ ภายใต้ความร่วมมืออย่างยาวนาน โดย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายเแดน (ตชด.) และเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจ ดำเนินการโครงการมาตั้งแต่ปี 2532 เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารของโรงเรียนและขยายผลสู่ชุมชนรอบโรงเรียน 

คุณครูอัจฉรา คงอินทร์ คุณครูที่ดูแลชั่วโมงอยู่อย่างพอเพียงและชั่วโมงชุมนุม เล่าว่า โรงเรียนจัดฐานการเรียนรู้ซึ่งเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียนของโรงเรียน มีทั้งฐานการเรียนรู้ ก.ไก่พันธุ์ไข่ เป็นแหล่งเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ เด็กๆได้เรียนรู้ขั้นตอนการดูแลไก่ไข่ ให้น้ำ อาหาร ทำความสะอาด การป้องกันโรค นอกจากนี้ ยังมีฐานการเรียนรู้ส.ไส้เดือน ฐานการเรียนรู้ ป.ปลาชีวภาพ ฐานการเรียนรู้เห็ดนางฟ้า ฐานการเรียนรู้ ธ.ธนาคารจุลินทรีย์ ช่วยเสริมประสบการณ์ให้นักเรียนจากการลงมือปฏิบัติจริง และยังมีผลผลิตที่เด็กนักเรียนผลิตเองคือ ไข่ไก่ ผักสวนครัว เห็ดนางฟ้า ฯลฯ ที่จำหน่ายเข้าโครงการอาหารกลางวันนักเรียนผ่านระบบสหกรณ์   

“ผลผลิตไข่ไก่ที่ได้ โรงเรียนมีการบริหารจัดการให้นักเรียนได้บริโภคไข่ไก่เป็นมื้อกลางวัน ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ หรือ 120 ฟองต่อปีการศึกษา และพยายามให้เด็กๆได้บริโภคไข่ไก่ในมื้ออื่นๆ ให้ได้ทุกวัน บริโภคไข่ไก่ ในมื้ออื่นๆทุกวันโดยเฉพาะ วันหยุดเสาร์ อาทิตย์ และปิดเทอมแม้จะไม่ได้มาโรงเรียน ด้วยการนำผลผลิตที่เหลือจากที่ส่งเข้าโครงการอาหารกลางวันขายให้กับผู้ปกครองนักเรียน”  
ครู สิทธินนท์ ห้อยพรมราช รับผิดชอบโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ของรร.บ้านพรหมมาสามัคคี เล่าเพิ่มเติมถึง กิจกรรมโครงการเลี้ยงไก่ไข่ ฯ ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่ให้เด็กๆ ช่วยกันให้อาหารไก่ ทำความสะอาดเล้าไก่ เก็บมูลไก่ เก็บผลผลิตไข่ไก่ ทำให้รู้จักรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ผลผลิตไข่ไก่ที่เหลือจากส่งเข้าโครงการอาหารกลางวัน จะเน้นนำมาขายให้กับผู้ปกครองนักเรียนเป็นหลัก เพื่อให้นักเรียนมีโอกาสได้บริโภคไข่ไก่ในมื้ออื่นๆ นอกเหนือจากมื้อกลางวันที่นักเรียนได้บริโภคไข่ไก่อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 มื้อแล้ว โรงเรียนยังใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม โดยทุกๆ 3 วัน จะนำมูลไก่มาตากแห้ง เพื่อผสมกับปุ๋ยหมักใช้ใส่แปลงผัก และนำมูลไก่ตากแห้งเพื่อจำหน่ายให้ชุมชนด้วย

โรงเรียนทำบัญชีรายรับรายจ่ายในกิจกรรมเลี้ยงไก่ไข่ ฯ ตั้งแต่ปีแรก จนถึงปัจจุบัน มีรายได้จากการจำหน่ายไข่ไก่เกือบ 7 หมื่นบาท โดยในปีที่หนึ่ง จะมีกำไรมากหน่อยเพราะทางซีพีเอฟ สร้างโรงเรือนเลี้ยงที่ได้มาตรฐานให้พร้อมกับอุปกรณ์ รวมทั้ง พร้อมมอบพันธุ์ไก่ และอาหารไก่ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จากนั้นในปีที่สองเป็นต้นมา ทางโรงเรียนนำรายได้จากการขายไข่ไก่ในปีแรกมาบริหารจัดการเป็นทุนในการดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่ได้อย่างต่อเนื่อง  

ด.ช.ธีรพัฒน์ จาจุน หรือ น้องธีร์ เด็กนักเรียนชาวเขาเผ่ามูเซอ ชั้น ป. 6 เล่าว่า ไข่ไก่จากโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯ ของโรงเรียน ทำให้พวกเราได้บริโภคอาหารกลางวันที่ทำจากไข่สัปดาห์ละ 2 -3 มื้อ เช่น ไข่น้ำ ไข่พะโล้ ผัดบวบใส่ไข่ เมนูที่ผมชอบก็คือ ไข่น้ำ ซึ่งนอกจากผมจะได้ทานไข่ไก่ในมื้ออาหารกลางวันที่โรงเรียนแล้ว ผลผลิตไข่ไก่ที่เหลือซึ่งโรงเรียนขายให้ผู้ปกครองนักเรียน ทำให้เราได้บริโภคไข่ไก่เป็นอาหารมื้อเช้าทุกวัน เช่น ไข่ดาว ไข่เจียว และบางวันที่ได้รับประทานไข่ไก่ครบทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น   

ด.ช.ธนัตถ์ งามเฉลียว น้องนิว อายุ 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 ซึ่งได้รับมอบหมายจากคุณครูให้ช่วยดูแลโครงการเลี้ยงไก่ไข่ฯต่อจากรุ่นพี่ที่จบการศึกษาไปแล้ว เล่าว่า ทุกๆเช้าผมและเพื่อนๆ คือ ดุ๊ก (ด.ช.อนุพนธ์ ยอดหงษ์ ) กล้า (ด.ช.วันชนะ จันทร์ประทัด) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน มีหน้าที่ให้อาหารไก่ตอน 08.00 น. ดูแลทำความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงไก่ และให้อาหารไก่อีกครั้งตอน 15.30 น.และช่วยกันเก็บไข่ไก่ นำส่งโครงการอาหารกลางวันเพื่อทำอาหารกลางวันให้นักเรียน และไข่ไก่ที่เหลือก็จะนำมาจำหน่ายให้ผู้ปกครองนักเรียน พวกเราได้เรียนรู้วิธีการเลี้ยงไก่ไข่จากพี่ๆซีพีเอฟ ส่วนไข่ไก่ที่โรงเรียนขาย แม่ก็จะซื้อไปทำกับข้าวที่บ้าน ทำให้ผมได้กินไข่ครบทุกมื้อ

นอกจากนี้ ในทุกๆเดือนคุณครูจะแจกไข่ไก่กับนักเรียนที่ช่วยดูแลเลี้ยงไก่ไข่คนละ 1 แผงเพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน   “โรงเรียนบ้านพรหมมาสามัคคี” เป็น 1 ใน 855 โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน โครงการที่ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารของโรงเรียน ทำให้เด็กและเยาวชนได้บริโภคอาหารโปรตีนจากไข่ไก่ ซึ่งนอกจากเด็กๆ จะได้บริโภคเมนูจากไข่ไก่เป็นอาหารกลางวันที่โรงเรียนแล้ว ยังได้บริโภคไข่ไก่ในมื้อเช้าและมื้อเย็นที่บ้าน จากที่โรงเรียนนำผลผลิตไข่ไก่ขายให้ผู้ปกครองในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด เพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนได้บริโภคไข่ไก่ครบทุกมื้อ หนุนการเติบโตสมวัยทั้งทางร่างกายและสติปัญญา

AIS จับมือ GUNKUL – SCB นำร่องพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงาน

0

นายอราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายงานขับเคลื่อนนวัตกรรม เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ได้ประกาศความร่วมมือกับ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานทดแทนแบบครบวงจร และ บริษัท เอสซีบี เท็นเอ็กซ์ จำกัด บริษัทโฮลดิ้งคอมพานีในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าโครงการนำร่อง (Sandbox) ในการพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงาน PEER-TO-PEER ENERGY TRADING PLATFORM เพื่อสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาด ราคาถูก ครั้งแรกในไทย

นายอราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายงานขับเคลื่อนนวัตกรรม เอไอเอส

โดย เอไอเอส นำหมายเลขโทรศัพท์มือถือ หรือระบบ Mobile ID ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาสนับสนุนการทำงานของแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานดังกล่าว ซึ่งในอนาคตจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าได้อย่างเสรี โดย Blockchain จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการธุรกรรมการซื้อขายไฟฟ้าให้เกิดประสิทธิภาพ ขณะที่ผู้ซื้อหรือผู้ขายไฟฟ้าจะสามารถเชื่อมต่อเข้า Blockchain ผ่าน Mobile ID ที่ผ่านการตรวจสอบแล้วได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย จึงช่วยสร้างความมั่นใจและน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค ทั้งยังเป็นการขยายศักยภาพเทคโนโลยีและดิจิทัล แพลตฟอร์มที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคที่เป็น End Consumer อย่างแท้จริง

เอไอเอส ชวนทิ้งขยะอิเล็กทรอนิคส์ แลกคะแนน AIS POINT

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัทเปิดตัวแคมเปญใหม่ “เอไอเอส E-Waste ทิ้งรับพอยท์” ที่ร่วมภารกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมครั้งสำคัญไปกับเอไอเอส เปลี่ยนทุกการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นคะแนน AIS Points ใน 3 ขั้นตอน คือ

  • นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ 5 ประเภท ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต, แบตเตอรี่มือถือ, สายชาร์จ, หูฟัง และพาวเวอร์แบงก์ ไปยังเอไอเอสช็อปใกล้บ้าน
  • แจ้งกับพนักงานว่าต้องการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้ง
  • นำขยะหย่อนลงถัง และสแกน QR Code เพื่อรับ AIS Points จากแท็บเล็ตของพนักงาน ซึ่งจะแสดงผลจำนวน AIS Point ที่ได้รับทันทีผ่าน Notification โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบยอดรวม AIS Point ได้ที่ App My AIS

โดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ 1 ชิ้นมีค่า 5 คะแนน 1 หมายเลขสามารถรับ AIS Points ได้สูงสุด 10 คะแนนต่อวัน ระยะเวลาโครงการตั้งแต่ 1 กันยายน 2563 ถึง 31 ตุลาคม 2563

ทั้งนี้ ยังเน้นให้ความรู้การทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยตามหลักสากล ใน 3 ขั้นตอน คือ

  • ลบข้อมูลและภาพออกจากโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต (Format and Factory Reset)
  • ถอดเมมโมรี่การ์ดออกออกก่อนทิ้งทุกครั้ง
  • หากโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต แบตเตอรี่มือถือ และพาวเวอร์แบงก์ มีลักษณะผิดปกติ เช่น บวม หรือ เปลี่ยนสี ให้นำไปแช่น้ำทิ้งไว้ ประมาณ 5 ชั่วโมง เพื่อลดประจุพลังงาน และนำใส่ถุงหรือห่อกระดาษก่อนนำไปทิ้ง

ปัจจุบันโครงการ คนไทยไร้ E-Waste มีภาคีเครือข่ายทั่วประเทศรวมกว่า 52 องค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่จะร่วมสร้างการตระหนักรู้ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีอยู่รวมกันกว่า 2,000 จุดทั่วประเทศ

บุญรอดบริวเวอรี่ มอบ “ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา” ปีที่ 38

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด  จัดพิธีมอบทุนการศึกษา “ทุนบุญรอดพัฒนา นิสิต นักศึกษา” ประจำปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 38 โดยมี นายวุฒา ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ นายวรวุฒิ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมเป็นประธาน โดยในปีนี้ ยังคงจำนวนทุนการศึกษาที่ 337 ทุน รวมทั้งสิ้น 8,425,000 บาท ให้แก่นิสิต นักศึกษาใน 22 สถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยทุนเรียนทั้งหมดเป็นทุนต่อเนื่อง 4 ปีจนจบการศึกษาแบบให้เปล่า ไม่ต้องใช้ทุนคืน ตอกย้ำเจตนารมณ์แห่งการให้ เพื่อตอบแทนสังคมของบุญรอดบริวเวอรี่ ที่ให้ความสำคัญมาตลอด 87 ปีของการดำเนินธุรกิจ

สำหรับนิสิต นักศึกษาที่ได้รับทุน ต้องมีคุณสมบัติเป็นเด็กที่เรียนดี ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยบริษัท บุญรอดฯ จะเข้าพิจารณาร่วมกับสถาบันการศึกษา โดยคาดหวังให้เด็กที่ได้รับทุนทุกคน จะนำความรู้และโอกาสที่ได้รับ ไปพัฒนาประเทศชาติต่อไป ซึ่งตลอดเวลา 38 ปีที่ผ่านมา “ทุนบุญรอดพัฒนานิสิต นักศึกษา” ได้มอบทุนฯรวมแล้วกว่า 8,765 ทุน

โดยสถาบันที่ได้รับมอบทุนมีทั้งสิ้น 22 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.เกษตรศาสตร์, ม.ขอนแก่น, ม.เชียงใหม่, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้า
คุณทหารลาดกระบัง, ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, ม.ธรรมศาสตร์, ม.นเรศวร, ม.บูรพา, ม.มหาสารคาม, ม.มหิดล, ม.แม่โจ้, ม.รามคำแหง, ม.ศรีนครินทรวิโรฒ, ม.ศิลปากร, ม.สงขลานครินทร์, รร.นายร้อยพระจุลจอมเกล้า, รร.นายเรือ, รร.นายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, รร.นายร้อยตำรวจ และวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า

CP-CPF ส่งมอบอาหารให้มูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์ ช่วยเหลือชาวสุโขทัยที่ประสบภัย

0

เครือซีพี-ซีพีเอฟโดย นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์จำกัดและประธานกรรมการบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด(มหาชน) ร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพสะอาดปลอดภัยของเครือซีพี-ซีพีเอฟให้แก่มูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์เพื่อดำเนินงานตามโครงการ”หนึ่งใจ…ช่วยเหลือผู้ประสบภัย” 

ประกอบด้วย ไก่สด480 กิโลกรัมเนื้อหมู 480 กก., ไข่ไก่ 1,800 ฟอง, ไส้กรอก 500 แพ็ค, น้ำดื่ม18,000 แพ็ค, ข้าวสาร1,000 ถุง และกล่องบรรจุภัณฑ์ 3,000 ชุดเพื่อนำไปจัดทำอาหารปรุงสุกพร้อมทานและถุงยังชีพบรรเทาความเดือดร้อนและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยชาวสุโขทัยได้ก้าวผ่านวิกฤตไปด้วยกัน โดยมีนายวิรัตน์ ตันหยง รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ เป็นตัวแทน ส่งมอบที่วัดหนองป่าตอสามัคคีธรรม ต.ท่าทอง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย

พีทีที สเตชั่น ดัน เอ็กซ์ตร้า ฟอร์ซ แก๊สโซฮอล์ อี 20 ครองยอดขายอันดับหนึ่ง

0

นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน  บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) เปิดเผยว่า เทคโนโลยี เอ็กซ์ตร้าฟอร์ซ แก๊สโซฮอล์ อี 20 ของสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (PTT Station) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงที่ได้เริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา และได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีด้วยยอดขายอันดับหนึ่ง โดยเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง เริ่มตั้งแต่การศึกษาข้อมูลพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของผู้ขับขี่ทั่วประเทศ และนำมาปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำมันให้ตรงกับไลฟ์สไตล์การใช้งานของผู้ขับขี่มากที่สุด นวัตกรรม เอ็กซ์ตร้าฟอร์ซ แก๊สโซฮอล์ E20 ประกอบด้วยคุณสมบัติพิเศษHigh octane คือการให้ค่าออกเทนที่สูงกว่า ทำให้เครื่องยนต์เดินเรียบ ทำงานเต็มสมรรถนะ พร้อม Acceleration เพิ่มสารเอ็กซ์ตร้า ฟริคชั่น โมดิฟายเออร์ (Xtra Friction Modifier) ให้อัตราเร่งแซงดีขึ้น ขับขี่ได้อย่างลื่นไหล เพิ่มความแรงเร็วได้ตามต้องการ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมปฏิบัติการ GDI support ที่ผนึกกำลัง สารเติมแต่งเอ็กซ์ตร้า อินโน โพรเทคชั่น  (Xtra Inno protection) สามารถชะล้างสิ่งสกปรกที่อุดตันหัวฉีดน้ำมันในเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ระบบฉีดตรง Gasoline Direct Injection (GDI) คืนประสิทธิภาพหัวฉีดได้ 100%

ที่ผ่านมา พีทีที สเตชั่น มุ่งมั่นพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงสูตรใหม่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ พีทีที สเตชั่น เป็นผู้นำในการออกผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างดีที่สุด และจะยังคงมุ่งมั่นคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมอันโดดเด่น เพื่อสร้างความแตกต่างทางธุรกิจ ควบคู่ไปกับพัฒนาแนวคิดลีฟวิ่ง คอมมิวนิตี้ (Living Community) ในการดำเนินธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้บริโภค ตลอดจนให้สถานีบริการน้ำมัน เป็นศูนย์กลางของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ในการร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน เพื่อเติบโตร่วมกันไปอย่างยั่งยืน

เชสเตอร์ จัดแคมเปญใหญ่ฉลองครบรอบ 33 ปี ตั้งเป้ารุกตลาดเดลิเวอรี่เต็มรูปแบบ

0
รุ่งทิพย์ พรหมชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด

นางรุ่งทิพย์ พรหมชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ยอดขายในช่องทางเดลิเวอรี่สูงขึ้นกว่า 40% จากการปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ ประกอบกับมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษมากมาย เช่นเมนูข้าวกล่องใหม่ เรียกว่า Box Set ที่เสิร์ฟเมนูจานหลักและเมนูทานเล่นไว้ในกล่องเดียว เพื่อช่วยลดค่าครองชีพผู้บริโภค ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยปีนี้ เชสเตอร์จะเน้นการขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่มากขึ้น และปรับกลยุทธ์มาทำการตลาดในรูปแบบออนไลน์ มุ่งเน้นพัฒนาระบบการสั่งสินค้าในรูปแบบ E-Commerce สำหรับการซื้อสินค้าในยุคนิวนอร์มอล โดยยังคงมาตรฐานของอาหารที่ร้อน สดใหม่ นอกจากนี้ยังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปรับเปลี่ยนใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่นบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภท PLA (Polylactic Acid) ที่สามารถย่อยสลายได้ 100% และคงนโยบายใช้จานเซรามิก ช้อน-ส้อมสแตนเลส สำหรับลูกค้าที่นั่งทานในร้าน เพื่อลดการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง

และในโอกาสครบรอบ 33 ปีของเชสเตอร์ บริษัทจัดแคมเปญชุดใหญ่ด้วยคอมโบสุดคุ้มราคา เพียง 199 บาท และ ปีนี้เพิ่มความพิเศษขึ้นอีกกับชั่วโมงทอง Happy Hour ลดราคา 55% เมนูพิเศษ เฉพาะช่วงเวลา 14.00-17.00 ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2563 และเป็นธรรมเนียมของเชสเตอร์ ในวันที่ 9 กันยายน ทุกปี จะมีเมนูไก่ย่างพร้อมเครื่องดื่มราคาพิเศษ ชุดละ 19 บาทเท่านั้น โดยลูกค้าสามารถสั่งชื้อได้ทั้งหน้าร้าน Take away สั่งเดลิเวอรี่ โทร 1145 สั่งผ่านหน้าเว็บไซต์ Chesters.co.th และพาร์ทเนอร์ Food Aggregator เพื่อขยายขอบเขตการจัดส่งให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ตอบรับวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง

ซีพีเอฟ ยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยสูงสุด เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสวัสดิภาพสัตว์

0

นายสัตวแพทย์พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตรฐานอาหารสากล ซีพีเอฟ ในฐานะประธานคณะกรรมการสวัสดิภาพสัตว์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาปรุงอาหารทานเองที่บ้านมากขึ้น และตระหนักถึงเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ จะต้องปลอดภัยและมาจากการผลิตที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นตามมาด้วย ซีพีเอฟ จึงมุ่งมั่นสร้างสรรค์มูลค่าเพิ่มของสินค้าที่เหนือกว่า บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ใส่ใจในทุกขั้นตอนและคำนึงถึงหลักสวัสดิภาพสัตว์ตลอดกระบวนการผลิต ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ พร้อมทุ่มเทวิจัยศึกษาหาแนวทางและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อส่งมอบอาหารที่ปลอดภัยสูงสุด และดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

นายสัตวแพทย์พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล รองกรรมการผู้จัดการ ด้านมาตรฐานอาหารสากล ซีพีเอฟ

ซีพีเอฟได้ริเริ่มใช้หลักสวัสดิภาพสัตว์ในการเลี้ยงไก่เนื้อมาเป็นระยะเวลากว่า 31 ปี ตั้งแต่ปี 2532 โดยนำเทคโนโลยีโรงเรือนระบบปิดปรับอากาศ หรือโรงเรือนอีแวปพร้อมอุปกรณ์อัตโนมัติ มาใช้เป็นรายแรกของภูมิภาคอาเซียน ส่งผลช่วยให้ไก่มีสุขภาพพื้นฐานดี ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตตลอดการเลี้ยง

ปัจจุบัน กิจการซีพีเอฟในไทยและต่างประเทศ มีเจ้าหน้าที่ด้านสวัสดิภาพสัตว์กำกับดูแลฟาร์มไก่เนื้อทุกแห่งคอยตรวจสอบและให้คำแนะนำ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกฟาร์มสามารถปฏิบัติตามแนวทางสวัสดิภาพสัตว์ถูกต้องและต่อเนื่อง

บริษัทได้เริ่มนำเทคโนโลยี smart farm มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและส่งเสริมสวัสดิภาพสัตว์ในฟาร์มไก่เนื้อ โดยติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ และระบบอัตโนมัติในการประมวลผลข้อมูลในฟาร์ม และช่วยควบคุมการจัดการฟาร์ม เพื่อให้ไก่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสมตลอดช่วงการเลี้ยง พร้อมกับสร้างเสริมให้ไก่มีความสุขด้านจิตใจ ด้วยการเพิ่มวัสดุสำหรับจิกเล่นไว้ในโรงเรือน หรือมีคอนไว้ให้ไก่ปีนป่าย

นอกจากนี้ บริษัทได้พัฒนาเนื้อไก่พรีเมียม “Benja Chicken” จากแบรนด์ยูฟาร์ม ในปี 2561 เป็นผลิตภัณฑ์ไก่สดรายแรกของโลกที่เลี้ยงด้วยข้าวกล้อง เลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ เป็นผลิตภัณฑ์ไก่ 100% จากธรรมชาติ ปลอดสาร เป็นผลิตภัณฑ์ไก่สดที่ได้รับการรับรองจาก NSF สถาบันระดับโลก ว่าปราศจากยาปฏิชีวนะ ไม่มีการใช้ฮอร์โมนตลอดการเลี้ยงดู และเป็นนวัตกรรมอาหารที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคและเชฟทั้งในและต่างประเทศ

ด้าน นายสัตวแพทย์ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ กล่าวว่า ธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ ได้เดินหน้าปรับเปลี่ยนโรงเรือนสำหรับเลี้ยงสุกรแม่พันธุ์อุ้มท้องเป็นระบบการเลี้ยงคอกขังรวม เพื่อเป็นการให้อิสระแม่พันธุ์อุ้มท้องในการเคลื่อนไหวและมีปฏิสัมพันธ์กับสุกรตัวอื่นๆ ทำให้แม่สุกรรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด และสามารถแสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าภายในปี 2568 ฟาร์มแม่พันธุ์อุ้มท้องของซีพีเอฟในประเทศไทยจะเป็นคอกขังรวมทั้งหมด และในปี 2571 ฟาร์มสุกรอุ้มท้องของซีพีเอฟทั่วโลกจะเป็นระบบคอกขังรวม 100%

นายสัตวแพทย์ดำเนิน จตุรวิธวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจสุกรของซีพีเอฟ

นอกจากนี้ ซีพีเอฟยังพยายามลด ละ เลิก การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสุกรทั้งในรูปแบบของการทำหมัน การตัดหรือกรอฟัน และการตัดหาง ตามหลัก 3’Ts (No Testicles, No Teeth Clipping and No Tail Docking) พร้อมนำของเล่น เช่น ลูกบอล เชือก มาให้หมูได้กัดเล่น เพื่อลดความเครียด และสอดคล้องตามพฤติกรรมธรรมชาติที่หมูชอบสำรวจหาอาหารและเคี้ยวเล่น การเสริมของเล่นจะช่วยลดพฤติกรรมการกัดกันเองจนบาดเจ็บ

ทั้งนี้ ในปี 2562 ที่ผ่านมา ธุรกิจสุกรในประเทศไทยสามารถยกเลิกการตอนลูกสุกรกว่า 700,000 ตัว ยกเลิกการกรอเขี้ยวลูกสุกรมากกว่า 2 ล้านตัว ยกเลิกตัดใบหูมากกว่า 3 ล้านตัว และทยอยยกเลิกการตัดหางลูกสุกรกว่า 3,000 ตัว ขณะที่ ธุรกิจสุกร ในประเทศมาเลเซียและไต้หวัน ไม่มีการตัดหรือกรอฟันแล้ว 100%

สำหรับธุรกิจสัตว์น้ำ ปัจจุบันในการเพาะลูกกุ้งของซีพีเอฟได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ทำให้แม่พันธุ์กุ้งสามารถสร้างและวางไข่ได้ตามธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องตัดก้านตา (Female Non Eyestalk Ablation) รวมทั้งการนำโปรไบโอติกมาใช้ ช่วยให้กุ้งมีสุขภาพแข็งแรงขึ้น และช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น จึงทำให้ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะอีกด้วย

ซีพีเอฟ ยังได้ดำเนินการวัดผลการส่งเสริมสวัสดิภาพของสัตว์ (Welfare Outcome Measures :WOMs) เน้นการประเมินสุขภาพสัตว์ทั้งร่างกายและจิตใจ ของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ทั้งในประเทศไทยและกิจการต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับปัจจัยหลัก คือ อัตราการเลี้ยงรอด อัตราการเข้าคลอด จำนวนแม่หมูที่เลี้ยงในคอกขังรวม จำนวนหมูที่ไม่ตอน และไม่ตัดหาง ระยะเวลาการขนส่ง และการทำให้สลบก่อนการชำแหละ การแสดงออกพฤติกรรมทางธรรมชาติ เป็นต้น เป็นการสร้างมาตรฐานในอุตสาหกรรมการอุตสาหกรรมการผลิตอาหารให้คงความเป็นผู้นำในระดับสากลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยได้บริโภคอาหารปลอดภัย ตามมาตรฐานสากล มีสุขภาพที่ดี และเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วโลก

รู้ทันปากท้องกับตลาดหลักทรัพย์ ตอน ทำเกษตรยังไงให้รวย

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “ทำเกษตรยังไงให้รวย”

“อายักษ์” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย กูรูสวนนาป่าน้ำ

แนะสูตร 1-3-3-7 ทำเกษตรโดยเข้าใจปรัชญาแห่งความพอเพียง แล้วจะรวยทุกคน!