Home Blog Page 406

สิงห์อาสา เปิดหลักสูตรอีคอมเมิร์ซ สอนทำธุรกิจออนไลน์ สร้างรายได้ฝ่าวิกฤตโควิด-19

0

สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ เปิดหลักสูตร “อี-คอมเมิร์ซ ทำธุรกิจออนไลน์”  เป็นหลักสูตรที่9 จากโครงการสิงห์อาสาสร้างงานสร้างอาชีพ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจร้านค้าออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ เปิดโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจให้กับผู้ที่สนใจ เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. 63 ที่อาคารหอสมุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงใหม่ 

ผู้เข้าอบรมจะได้เรียนรู้เทคนิคการเตรียมความพร้อมและบริหารจัดการสู่ร้านค้าออนไลน์ ตั้งแต่การเลือกแพลตฟอร์ม หรือช่องทางให้เหมาะสมกับกลุ่มสินค้าและบริการ เทคนิคการขายสินค้าผ่านเว็ปไซต์อี-คอมเมิร์ซต่างๆ รวมถึงการทำการตลาดในโลกออนไลน์ ให้มีความน่าสนใจ เป็นที่ดึงดูดลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการจัดทำระบบร้านค้าออนไลน์ ขายสินค้าออนไลน์อย่างมืออาชีพ  

การอบรมหลักสูตร Office skills ประกอบด้วย 3 หลักสูตรย่อย เริ่มด้วย  อี-คอมเมิร์ซ ทำธุรกิจออนไลน์ จากนั้นจะจัดหลักสูตรกราฟิกดีไซน์เบื้องต้น อบรมการใช้โปรแกรม Adobe Photoshop และ Adobe Illustrator สำหรับทำธุรกิจ และหลักสูตรช่างคอมฯ เพื่อสร้างรายได้

โดยก่อนนี้ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ เริ่มจากการโครงการเร่งด่วนจ้างงาน สร้างรายได้ ในช่วงเดือน พ.ค. ผ่านการร่วมเป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตนเอง ได้แก่ สิงห์อาสาสู้ไฟป่า สิงห์อาสาสู้ภัยแล้ง และสิงห์อาสาสู้ภัยน้ำท่วม ต่อเนื่องด้วยโครงการสิงห์อาสาสร้างงานสร้างอาชีพที่จัดอบรมฟรีไปเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ที่ผ่านมา ในการอบรมกลุ่มทักษะวิชาชีพทางด้านอาหาร รวม 3 หลักสูตรคือ หลักสูตร 10 เมนูยอดนิยมอร่อยง่ายๆ หลักสูตรเครื่องดื่มร้อนเย็นเต็มสูตร และหลักสูตรสร้างตัวกับเมนูเดลิเวอรี่ มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมอบรมอย่างคับคั่งจนเต็มทุกรอบของการอบรม เพื่อนำไปต่อยอดสร้างธุรกิจของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม โครงการต่างๆ ที่บริษัทฯ จัดขึ้นเป็นโครงการที่มีการอบรมในหลักสูตรที่เข้ากับชีวิตประจำวันของประชาชน ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมในแต่ละโครงการตามหลักสูตรต่างๆ สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง โดยได้ใช้ศักยภาพของบริษัทในเครือทั้งหมด ความร่วมมือจากเครือข่ายของสิงห์อาสาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ วิทยากรผู้มีความรู้ความสามารถจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานชั้นนำของประเทศ เป็นผู้ดำเนินการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความเข้าใจได้ง่ายๆ ในระยะเวลาอันสั้น

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน มีผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากมายในหลายสาขาอาชีพ  บริษัท บุญรอดบริเวอรี่ จำกัด ได้เร่งให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนทั่วประเทศ ในรูปแบบของการจ้างงาน การสร้างอาชีพต่างๆ และนอกจากการสร้างงานสร้างอาชีพแล้ว บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ยังได้บริจาคเงินสนับสนุนการทำงานของบุคคลากรการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลหลัก 26 แห่งทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งสนับสนุนอาหารกับน้ำดื่มให้กับบุคคลากรการแพทย์และบุคคลากรหลักๆ ที่ทำงานด้านการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกด้วย  รวมเป็นมูลค่าการช่วยเหลือกว่า 200 ล้านบาท

ออมสิน เปิดตัวสินเชื่อเสริมพลังฐานราก ให้กู้รายละ 5 หมื่นบ. ไม่ต้องค้ำประกัน แถมปลอดชำระหนี้ 6 งวดแรก

0

ออมสิน ปล่อยกู้สินเชื่อเสริมพลังฐานราก รายละไม่เกิน 5 หมื่นไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน ประคอง “คนมีรายได้ประจำ-อาชีพอิสระ”ธนาคารออมสิน เปิดตัว “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก” ตามติครม. ลุยปล่อยกู้เติมสภาพคล่องพ่อค้าแม่ค้า-ผู้มีอาชีพอิสระ-คนมีรายได้ประจำ ถูกกระทบจากCovid-19 ให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท พร้อมคลายเงื่อนไข ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน และปลอดชำระหนี้ 6 งวดแรก

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2563 มีมติเห็นชอบปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีรายได้ประจำที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (Covid-19) วงเงิน 20,000 ล้านบาท ที่ธนาคารออมสินได้ดำเนินการปล่อยกู้ไปเมื่อเดือนเมษายน 2563 ซึ่งธนาคารอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 1,012 ล้านบาท และยังมีวงเงินสินเชื่อคงเหลืออยู่อีกจำนวน 18,988 ล้านบาท จึงให้ปรับปรุงแนวทางช่วยเหลือแก่ประชาชนให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและครอบคลุมประชาชนผู้ประกอบอาชีพทุกกลุ่ม เห็นควรปรับปรุงการดำเนินโครงการด้วยการจัดสรรวงเงิน 10,000 ล้านบาท จากวงเงินเดิมที่เหลืออยู่ นำมาปล่อยกู้ผ่าน “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก” ภายใต้เงื่อนไขที่ผ่อนปรน

วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน

สำหรับสินเชื่อประเภทนี้ ต้องการช่วยเหลือบุคคลที่มีอาชีพค้าขาย ประกอบอาชีพอิสระ และผู้มีรายได้ประจำ รวมถึงบุคคลในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของCovid-19 ทำให้รายได้ลดลงหรือขาดรายได้ โดยเป็นสินเชื่อเพื่อการดำรงชีพ เพื่อการลงทุน/หมุนเวียนในกิจการ ให้วงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี ที่สำคัญไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกันเงินกู้ และปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หรือไม่ต้องชำระเงินงวดใน 6 เดือนแรก

โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : คนเมืองไม่ต้องกลัวน้ำแล้ง จริงไหม?

0

“อายักษ์” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
กูรูสวนนาป่าน้ำ

บอกว่าแนวโน้มการใช้น้ำบ้านเราสูงขึ้นทุกวัน เราจึงต้องหาวิธีกักเก็บและใช้อย่างประหยัด

แบงก์ชาติ ยกระดับกำกับดูแลการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม

0

ธปท. ยกระดับการกำกับดูแลการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม ให้ครอบคลุมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์ และนาโนไฟแนนช์ ตลอดจนเพิ่มแนวทางการบริหารจัดการระบบงานให้ชัดเจนและเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของผู้ให้บริการทางการเงินมากขึ้น พร้อมทั้งกำชับผู้ให้บริการทางการเงินดูแลลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 อย่างเหมาะสม

ตามที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผลักดันการกำกับดูแลเรื่องการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม ตั้งแต่ต้นปี 2561 โดยออกประกาศ เรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (market conduct) ให้สถาบันการเงิน บริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับถือปฏิบัติ ในครั้งนี้ ธปท. ได้ปรับปรุงประกาศ market conduct ดังกล่าวให้มีความชัดเจนและเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของผู้ให้บริการทางการเงินมากขึ้น รวมทั้งขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์ และผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ (นาโนไฟแนนช์) ด้วย โดยประกาศฉบับใหม่นี้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2563

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การผลักดันให้เกิดการให้บริการทางการเงินที่โปร่งใสและเป็นธรรม เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ ธปท. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยประกาศ market conduct ฉบับใหม่นี้ นอกจากจะยังเน้นให้ผู้ให้บริการทางการเงิน ต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการระบบงาน 9 ระบบที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการแล้ว จะเพิ่มแนวทางการนำหลักเกณฑ์ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับผู้ให้บริการทางการเงินแต่ละประเภท (proportionality approach) เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ ขนาดองค์กร ประเภทผลิตภัณฑ์ และกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมทั้งปรับปรุงให้มีความชัดเจนมากขึ้นในทางปฏิบัติ โดยเพิ่มตัวอย่างที่ควรและไม่ควรปฏิบัติ เช่น การกำหนด KPI ควรพิจารณาปัจจัยคุณภาพการขายและเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมจากยอดขายด้วย สำหรับการขายผลิตภัณฑ์ที่ไม่รับประกันเงินต้น เช่น กองทุนรวมและประกันชีวิต ต้องชี้แจงและย้ำให้ลูกค้าทราบถึงกรณีที่อาจไม่ได้รับคืนเงินต้นเต็มจำนวนด้วย

นอกจากนี้ ยังได้ปรับแนวทางการขอความยินยอมกรณีเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการให้บริการที่ทำให้ลูกค้ามีภาระหรือความเสี่ยงเพิ่มเติม เช่น การปรับเพิ่มวงเงินบัตรเครดิต โดยเปลี่ยนแนวทางจากเดิมที่หากลูกค้าไม่ปฏิเสธจะถือว่าลูกค้ายอมรับการเพิ่มวงเงินนั้น (opt out) เป็นต้องให้ลูกค้าแจ้งยืนยันยอมรับการเพิ่มวงเงิน (opt in) แล้วเท่านั้น หรือในการออกบัตรเครดิตให้ลูกค้า ผู้ให้บริการทางการเงินไม่สามารถแถมบัตรกดเงินสดให้ลูกค้าโดยที่ลูกค้าไม่ได้ขอสมัครบัตรกดเงินสดดังกล่าว ตลอดจนยังกำหนดให้ ธปท. สามารถเปิดเผยรายชื่อกรรมการ และ/หรือผู้บริหารระดับสูงที่ถูกเปรียบเทียบปรับจากการที่ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ market conduct ได้ด้วย

ก.ล.ต. รับสมัครงาน ‘คนรุ่นใหม่’ 100 ตำแหน่ง

0

รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. เตรียมจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่ พร้อมรับ “คนรุ่นใหม่” 100 ตำแหน่ง ภายใต้โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน

ทั้งนี้ ก.ล.ต. จัดทำ “โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน” เพื่อเปิดรับผู้จบการศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรี และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รวม 100 ตำแหน่ง เข้าทำงานกับ ก.ล.ต. โดยมีระยะเวลาการจ้างงาน 1 ปี โดยสอดรับกับ “มาตรการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน” เพื่อสร้างงานและช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านตลาดทุนและเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่เข้าสู่เส้นทางอาชีพในตลาดทุน

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ “มาตรการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน” ตามที่คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 มาตรการดังกล่าวถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากและเป็นการส่งเสริมการจ้างงานให้กับผู้จบการศึกษาใหม่ ก.ล.ต. จึงจัดทำ “โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน” ซึ่งสอดรับกับมาตรการดังกล่าว โดยจะจ้างงานผู้จบการศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรีและปวส. จำนวน 100 ตำแหน่ง ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 15 ของจำนวนพนักงานทั้งหมดของ ก.ล.ต. และมีระยะเวลาการจ้างงาน 1 ปี

รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต.

“ก.ล.ต. ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการจ้างงานสำหรับผู้จบการศึกษาใหม่ และ “โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน” นี้ยังเป็นการสร้างโอกาสและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านตลาดทุนให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปต่อยอดเพื่อเข้าสู่เส้นทางอาชีพในตลาดทุนได้ต่อไป”

ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะแจ้งประชาสัมพันธ์รายละเอียดการรับสมัครให้ทราบต่อไป โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec.or.th เฟซบุ๊กเพจ “สำนักงาน กลต.” และทวิตเตอร์ “ThaiSEC_News”

ซีพีเอฟ เดินหน้าโครงการ ‘อิ่ม สุข ปลูกอนาคต’ สร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน

0

“อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” สร้างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อน้องๆ รร. บ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์)

โรงเรียนบ้านบึงกระโดน (ศิริสิงห์อุปถัมภ์) เป็นโรงเรียนเล็กๆ ตั้งอยู่ที่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ. ชลบุรี เปิดการเรียนการสอนชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันมีจำนวนนักเรียน 60 คน เป็นเด็กนักเรียนไทย 30 คน และเด็กต่างด้าว 30 คน ประกอบด้วยเด็กพม่า 20 คน และเด็กกัมพูชา 10 คน ผู้ปกครองนักเรียนส่วนใหญ่ฐานะยากจน หาเช้ากินค่ำ จากอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อย ตัดอ้อย รับจ้างแยกขยะ และหาของเก่าเพื่อนำไปขายต่อ

ด้วยฐานะและสภาพความเป็นอยู่ทำให้เด็กหลายครอบครัวขาดโอกาสในการเข้าถึงอาหารที่มีโภชนาการที่ดี โรงเรียนจึงเป็นแหล่งที่จะส่งเสริมให้เด็กๆ ได้บริโภคอาหารคุณภาพอย่างเพียงพอ ซึ่งโรงเรียนบ้านบึงกระโดน ฯ ได้รับการสนับสนุนจากโรงงานผลิตอาหารสัตว์น้ำบ้านบึง บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน ) หรือ ซีพีเอฟ ให้เข้าร่วม “โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” ตั้งแต่ปี 2558 เริ่มต้นจากกกิจกรรมปลูกผักปลอดสาร เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง ตะไคร้ พริก มะเขือ ซึ่งที่ผ่านมา ผลผลิตจากแปลงผักสวนครัวของโรงเรียน นำส่งเข้าโครงการอาหารกลางวันและจำหน่ายให้ชุมชน

ปีนี้ โรงเรียนต่อยอดกิจกรรมในโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ทำโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน ทำให้นักเรียนมีแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีจากไข่ไก่ไว้รับประทาน บรรเทาภาวะทุพโภชนาการในเด็ก ยกระดับความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ส่งเสริมอาชีพ และทักษะให้นักเรียน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน และยังสามารถถ่ายทอดความรู้ไปสู่ชุมชนได้

คุณครูอภิสรา แซ่เตียว ผู้อำนวยการโรงเรียน เล่าว่า การสร้างความมั่นคงทางอาหารเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก โรงเรียนเข้าร่วมโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ด้านการเกษตร เช่น การปลูกผักสวนครัว และการเข้าร่วมโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน ก็เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารอีกรูปแบบหนึ่ง ทำให้นักเรียนมีแหล่งอาหารโปรตีนคุณภาพดีจากไข่ไก่ไว้รับประทาน และยังเป็นกิจกรรมที่สอดรับกับกิจกรรมการเรียนรู้ของโรงเรียน

ผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวด้วยว่า โรงเรียนฯเป็นสถานศึกษาแบบอย่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และการบริหารจัดการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของกระทรวงศึกษาธิการ และจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการในกิจกรรมชุมนุมของโรงเรียนในชั่วโมงสุดท้ายของวันพุธของทุกสัปดาห์ โดยจัดกิจกรรมเชิงนวัตกรรม“หนึ่งห้องเรียนหนึ่งโครงการอาชีพ : ONE CLASS ONE PROJECT” โดยชั้น ป. 1 ทำโครงงานแปรรูปจากกล้วย เป็นผลผลิตจากต้นกล้วยที่ปลูกในรั้วโรงเรียน ชั้น ป.2 และ ป.3 จัดทำโครงการปลูกผักสวนครัว
ผลผลิตจำหน่ายให้โครงการอาหารกลางวันและชุมชน ชั้นป.4 ทำโครงงานทำไข่เค็ม ชั้น ป.5 จัดทำโครงการทำน้ำสมุนไพร และชั้น ป.6. จัดทำโครงงาน งานประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ เช่น กล่องนม ถุงนม

ผลสัมฤทธิ์จากการส่งเสริมเด็กๆ เข้าถึงอาหารและโภชนาการที่ดี ช่วยบรรเทาปัญหาทุพโภชนาการในเด็ก จากข้อมูล ปี 2562 พบว่าจำนวนนักเรียน 83 % ไม่มีภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งดีขึ้นกว่าปี 2561 ที่มีจำนวนของนักเรียนที่ไม่มีภาวะทุพโภชนาการอยู่ที่ประมาณ 75 %

ด.ญ.วรัญญา ทองจันทร์ หรือน้องบุ๋มบิ๋ม อายุ 11 ปี เรียนอยู่ชั้น ป. 5 และเป็นรองประธานนักเรียน ตื่นเต้นดีใจกับโรงเรือนเลี้ยงไก่ของโรงเรียนและแม่พันธุ์ไก่ไข่ 30 ตัว ที่โรงเรียนเริ่มทดลองเลี้ยงเป็นครั้งแรก บุ๋มบิ๋ม เล่าว่า ตั้งแต่โรงเรียนได้สนับสนุนแม่พันธุ์ไก่ไข่มาได้ 1 สัปดาห์ เธอเข้ามาช่วยดูแลให้อาหารไก่ ดูแลเรื่องน้ำ และเก็บไข่ มีพี่ๆ จากซีพีเอฟมาให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ไข่ การสังเกตไก่ป่วย การเก็บไข่ จากวันแรกที่เก็บผลผลิตไข่ไก่ได้ 3 ฟอง เพิ่มมาเป็น 7 ฟอง และเช้าวันนี้ เธอรู้สึกดีใจที่เก็บไข่ไก่ได้เพิ่มขึ้นเป็น
12 ฟอง ผลผลิตไข่ไก่ที่เก็บได้ส่งขายเข้าโครงการอาหารกลางวัน บุ๋มบิ๋ม เล่าต่อว่า การที่โรงเรียนปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเอง และเลี้่ยงไก่ไข่ ทำให้นักเรียนได้บริโภคผักที่สะอาด ปลอดสารพิษ และมีผลผลิตไข่ไก่ไว้ทำเป็นอาหารกลางวัน นอกจากนี้ นักเรียนสามารถนำความรู้จากการเลี้ยงไก่ไปเป็นอาชีพได้เมื่อโตขึ้น

ด้าน ด.ญ.นัฐลดา ยืนหยัดชัย หรือน้องออม อายุ 8 ปี นักเรียนชั้น ป.3 เล่าว่า เธอมีหน้าที่ช่วยรดน้ำในกิจกรรมปลูกผักสวนครัวทุกวันพุธก่อนเลิกเรียน ที่แปลงผักของโรงเรียน จะมีทั้งผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดขาว พริก ตะไคร้ มะเขือ ซึ่งโรงเรียนจะนำผักที่ปลูกไปทำอาหารกลางวันให้นักเรียน เมนูที่น้องออมชื่นชอบ ก็คือ แกงเขียวหวานใส่มะเขือที่โรงเรียนปลูก และ ที่บ้านของออมยังเคยซื้อผักกวางตุ้งของโรงเรียนไปทำกับข้าว ออมบอกว่า ดีใจที่วันนี้ โรงเรียนมีโครงการเลี้ยงไก่ด้วย เด็กๆจะได้มีไข่ไก่ไว้กิน ซึ่งนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยบำรุงสมอง และคุณครูยังเตรียมนำผลผลิตไข่ไก่มาแปรรูปเป็นไข่สมุนไพรด้วย

“ซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” มุ่งมั่นร่วมส่งเสริมเด็กและเยาวชนบริโภคอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน สร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียน เพื่อให้เด็กๆ ในโรงเรียนทั้งในเขตเมืองและในพื้นที่ห่างไกลมีโอกาสเท่าเทียมในการเข้าถึงอาหาร เติบโตอย่างสมวัยทั้งทางร่างกาย และสติปัญญา


ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดโลกร้อน เดินหน้าโครงการ Care the Wild ผนึกกำลังพันธมิตรปลูกป้องป่า

0

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผนึกกำลังพันธมิตรรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เดินหน้าโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” สร้างพื้นที่ป่า และติดตามการเติบโตของไม้ที่ปลูกตลอดโครงการ ช่วยลดโลกร้อน ตั้งเป้า 1 ปี ปลูกป่า 500 ไร่ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก 900,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

นาย ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ พัฒนาแพลตฟอร์ม “SET Social Impact” ส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อม โดยริเริ่มโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” ถือเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือ (Collaboration Platform) ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่า โดยมีกลไกการดำเนินงานด้วยการระดมทุนในการปลูกต้นไม้ใหม่ ปลูกต้นไม้เสริม และส่งเสริมการดูแลต้นไม้ ร่วมกับภาคีองค์กรเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน มีสัญลักษณ์ช้างรักษ์ป่า “พี่ปลูกป้อง” เชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศ พืช สัตว์ สิ่งแวดล้อม และร่วมระดมทุน “ปลูก” ต้นไม้ รวมทั้งเน้นการร่วมดูแลต้นไม้ที่ปลูกให้เติบโตบนหลักการธรรมาภิบาล จนกลายเป็นผืนป่าอย่างแท้จริง ภายใต้แนวคิด “ป้อง” กล่าวคือ ผู้ระดมทุนปลูก ร่วมติดตามการเติบโตของต้นไม้ การทำงานของชุมชน การมีส่วนร่วมในการขยายผลเพื่อพัฒนาชุมชน และร่วมดูแลเอาใจใส่ไม้ปลูกให้เติบโตเป็นส่วนสำคัญของการขยายแนวผืนป่าของประเทศ ผ่าน Application “Care the Wild”

โดยกรมป่าไม้ ได้นำเสนอพื้นที่ป่าชุมชนร่วมโครงการ รวม 717 ไร่ ในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ป่าชุมชนบ้านเขาหัวคน จ.ราชบุรี, ป่าชุมชนบ้านพุตูม จ.เพชรบุรี, ป่าชุมชนบ้านใหม่ จ.เชียงราย, ป่าชุมชนบ้านนาหวาย จ.น่าน, ป่าชุมชนบ้านหนองปิง จ.กาญจนบุรี, ป่าชุมชนบ้านโคกพลวง จ.นครราชสีมา และป่าชุมชนบ้านหนองทิศสอน จ.มหาสารคาม โดยแต่ละพื้นที่ของป่าชุมชนจะมีเอกลักษณ์ จุดเด่น ด้านระบบนิเวศและการพัฒนาชุมชนที่แตกต่างกัน องค์กรธุรกิจสามารถเลือกพื้นที่ในการสนับสนุนการปลูกไม้ได้หลากหลาย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน เรียนรู้ระบบนิเวศร่วมกับชาวบ้านผู้รักษาป่าได้อีกด้วย

“โครงการ Care the Wild มีเป้าหมายที่จะปลูกป่าจำนวน 500 ไร่ (100,000 ต้น) ร่วมกับองค์กรธุรกิจพันธมิตรในระยะเวลา 1 ปีแรกหลังเปิดโครงการ ซึ่งการปลูกป่าจะสร้างผลลัพธ์ในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 900,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี องค์กรที่เข้าร่วมโครงการนอกจากจะเป็นภาคีในความร่วมมือเพื่อลดโลกร้อนแล้ว ยังสามารถร่วมทำงานพัฒนาชุมชนได้อย่างยั่งยืน” ภากรกล่าว

แถลงข่าวเปิดโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect”

ปัจจุบันโครงการ Care the Wild มีองค์กรพันธมิตรที่เข้าร่วม ได้แก่ บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน ชมรมคัสโตเดียน ชมรมปฏิบัติการหลักทรัพย์ บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) และบริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) ทั้งนี้ องค์กรที่สนใจเข้าร่วมโครงการติดต่อได้ที่ [email protected] ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.setsocialimpact.com สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถร่วมปลูกป่าผ่าน Application “Care the Wild” ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ IOS และ Android เพื่อติดตามข้อมูลและกิจกรรม

กลุ่มปตท. เตรียมจ้างแรงงาน/นศ.จบใหม่ 2.5 หมื่นอัตรา

0

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือปตท. เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. เตรียมจ้างแรงงานและนักศึกษาจบใหม่รวม 25,000 อัตรา ระหว่างปีพ.ศ. 2563 – 2564 ภายใต้โครงการ “Restart Thailand”  เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างทักษะอาชีพให้กับคนรุ่นใหม่ในทุกภูมิภาค และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนท้องถิ่นและระบบเศรษฐกิจไทย 

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

โดยประกอบด้วย   การจ้างแรงงานผ่านเครือข่ายกลุ่ม ปตท. เพื่อขยายธุรกิจและโครงการก่อสร้างต่างๆ จำนวน 22,000 อัตรา และ การจัดจ้างนักศึกษาจบใหม่ ระดับ  ปวช. ปวส. อาชีวศึกษา และปริญญาตรี ที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือกและมีภูมิลำเนาในพื้นที่ปฏิบัติงาน 2,630อัตรา ให้มีรายได้และโอกาสในการฝึกฝนทักษะอาชีพ ภายใต้สัญญาจ้างระยะเวลา 12 เดือน

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดรับพนักงานเพิ่มเติมในตำแหน่งที่ว่างในช่วงปี 2563 – 2564 อีก 1,000 อัตรา เพื่อผลักดันการดำเนินธุรกิจให้เดินหน้าตามเป้าหมาย   โดยในส่วนของการจัดจ้างนักศึกษาจบใหม่เข้าทำงานเสริมทักษะอาชีพในปี 2564  กลุ่ม ปตท.จะจัดอบรมเพื่อเสริมทักษะความรู้ให้กับนักศึกษาที่ผ่านการคัดเลือก ก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานตามภูมิลำเนาของตน ผ่านโครงการพัฒนาสังคมชุมชนท้องถิ่น รวม3 ด้าน ประกอบด้วย

1.ด้านพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำหรับเยาวชน  ผ่านงานครูผู้ช่วยสอน เพื่อยกระดับการเรียนรู้วิชาสามัญพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ รวมถึงวิชาภาษาอังกฤษและเทคโนโลยีสารสนเทศ 

2.ด้านพัฒนาศักยภาพชุมชนท้องถิ่น โดยฝึกอบรมผู้เข้าร่วมโครงการ ให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานเพื่อการเกษตร (SMART Farming) และฝึกอบรมทักษะการพัฒนายกระดับเศรษฐกิจชุมชน (SMART Marketing) อาทิ สินค้า แหล่งท่องเที่ยวและการบริการ ผ่านการสำรวจและเก็บข้อมูลศักยภาพพื้นที่และความพร้อมของชุมชน

3. ด้านการพัฒนาสิ่งแวดล้อม เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลในโครงการ Ocean for Life ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เช่น การสร้างศูนย์เพาะพันธุ์ลูกปู การจัดตั้งศูนย์เพื่ออนุรักษ์และเพาะพันธุ์เต่าทะเล รวมทั้ง โครงการเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ ผ่านงานพัฒนาและการวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการวิจัยป่าไม้และระบบนิเวศ  โครงการพัฒนาสวนป่าครัวเรือน เป็นต้น

ทั้งนี้ โครงการ “Restart Thailand” ยังมีโปรแกรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยให้หน่วยงานภายในองค์กรจัดกิจกรรมสัมนานอกสถานที่สำหรับพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า เพื่อสนับสนุนให้เกิดการกระจายเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้ง กำลังจัดทำโครงการให้ ปตท. และพนักงาน ร่วมกันกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอีกทางหนึ่ง

ส.กุ้งตะวันออกไทย จัดงาน Thai Aqua Expo 2020 นำสัตว์น้ำไทย ก้าวอย่างยั่งยืน

0

สมาคมกุ้งตะวันออกไทย โดยนางสาวพัชรินทร์ จินดาพรรณ นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย นายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย นายอุดร ส่งเสริม รองประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งคุณภาพ (COC) จังหวัดระยอง แถลงข่าวจัดงาน “สัตว์น้ำไทย 2020” (Thai Aqua Expo 2020) ภายใต้แนวความคิด “สัตว์น้ำไทย ก้าวอย่างไร ให้ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ 2-4 ธันวาคม 2563 ณ โรงแรมซันไรส์ ลากูน โฮเทล แอนด์กอล์ฟ บางคล้า ฉะเชิงเทรา

นายอุดร เปิดเผยว่า ในงานยังมีการเผยแพร่ความรู้ข้อมูลทางวิชาการ นวัตกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องให้กับเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย เพื่อยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำไทย ส่งเสริมการผลิตให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการตลาดสัตว์น้ำในประเทศและตลาดโลก สู่การผลิตอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรและผู้สนใจ

และเป็นโอกาสดีที่เกษตร​กรผู้เพาะเลี้ยง​สัตว์​น้ำจะได้รับรู้​ข้อมูลและรับทราบสถานการณ์​หลังโควิด-19 ซึ่งจะช่วยในการปรับตัวและปรับปรุงฟาร์ม การบริหารจัดการและผลผลิต​ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

นอกจากนี้ จะมีการแสดงนิทรรศการจากผู้ค้าปัจจัยการผลิตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 70 บูธ มาร่วมนำเสนอนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์ทั้งกุ้งและปลา รวมถึงความรู้ทางวิชาการ การลดต้นทุน การขาย การตลาด รวมถึงปัญหาอุปสรรคการนำเข้า-ส่งออก เพื่อถ่ายทอดให้กับเกษตรกรและผู้สนใจในงานด้วย

ซีพีเอฟ เปิดตัว ‘กุ้งซีพี แปซิฟิก’ อร่อย ดีต่อสุขภาพ

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดกิจกรรมชวนชิมผลิตภัณฑ์ “กุ้งซีพี แปซิฟิก” สายพันธุ์คัดพิเศษ ต้นกำเนิดจากทะเลแปซิฟิก ผลิตจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง พร้อมส่งตรงความสดสะอาดจากฟาร์มถึงมือผู้บริโภคด้วยระบบการขนส่งที่รวดเร็ว เพื่อรักษาความหวานจากธรรมชาติ เนื้อแน่นสัมผัสกุ้งได้เต็มคำ ทั้งในรูปแบบของกุ้งสด และ กุ้งต้มสุก ให้ผู้บริโภค สามารถหาซื้อได้ที่ร้านซีพีเฟรชมาร์ท ทั่วประเทศ, ร้านซีพีเฟรช อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ

กุ้งซีพี แปซิฟิก ผ่านกระบวนการเลี้ยงที่ดี ด้วยระบบการเลี้ยงกุ้ง CPF Combine Model และการใช้โปรไบโอติก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง ลดความเสี่ยงจากโรคของกุ้ง โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในระหว่างการเลี้ยงกุ้ง และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานของความยั่งยืน สามารถส่งต่อผลผลิตกุ้งที่มีคุณภาพและปลอดภัยสู่ผู้บริโภค

นายสัตวแพทย์สุจินต์ ธรรมศาสตร์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ระบบการเลี้ยงกุ้งของซีพีเอฟ ให้ความสำคัญต่อการดูแลห่วงโซ่อุปทานอย่างรอบด้าน เริ่มตั้งแต่การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ สู่ฟาร์มเลี้ยงตามหลักวิชาการและมาตรฐานสากล และการพัฒนาพันธุ์กุ้งที่โตไว สะอาด แข็งแรง ต้านทานโรค ไร้สารตกค้าง เป็นผลิตภัณฑ์สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต

“จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการเลือกซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ สะอาด ปลอดภัย ผ่านกระบวนการผลิตอาหารที่ได้มาตรฐานสากล จากผู้ผลิตที่ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิตและรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นใจอาหารปลอดภัยจากฟาร์มถึงโต๊ะอาหารอย่างยั่งยืน ซึ่งกุ้งซีพี แปซิฟิก ตอบทุกโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งความสด รสหวาน เนื้อแน่น อร่อย และเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ของซีพีเอฟ”