Home Blog Page 405

แบงก์ชาติ เปิดหลักเกณฑ์ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล

0

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ออกหนังสือเวียน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ กลุ่มที่ไม่สามารถพิสูจน์รายได้ และกลุ่มที่ไม่มีทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกัน ให้สามารถใช้ข้อมูลทางเลือก (alternative data) เป็นข้อมูลประกอบในการขอสินเชื่อ

ทั้งนี้สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Loan) เป็นสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องใช้ข้อมูลทางเลือก เช่น การชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ รายได้หรือพฤติกรรมการซื้อขายออนไลน์ ในการประเมินความสามารถหรือความเต็มใจในการชำระหนี้ รวมทั้งใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในขั้นตอนการให้บริการสินเชื่อ ได้แก่ การเบิกจ่ายและรับชำระคืนสินเชื่อ และการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ เช่น อัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียม และการแสดงภาระหนี้

ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลแก่ผู้บริโภคแต่ละราย รวมไม่เกิน 20,000 บาท และมีกำหนดระยะเวลาการชำระคืนสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลแต่ละสัญญาไม่เกิน 6 เดือน โดยไม่จำกัดวัตถุประสงค์ในการกู้ยืม และกำหนดอัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมกันไม่เกิน 25%ต่อปี

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลจะช่วยให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ กลุ่มที่ไม่สามารถพิสูจน์รายได้ และกลุ่มที่ไม่มีทรัพย์สินสามารถใช้เป็นหลักประกัน สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลทางเลือกต่าง ๆ ในการให้บริการ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงช่วยสร้างข้อมูลรอยเท้าดิจิทัล (digital footprint) ในระบบการเงินให้กับประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการใช้บริการทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคต

โดยผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล สามารถแจ้งความประสงค์มายัง ธปท. โดยผู้ประกอบธุรกิจต้องสามารถสาธิตผลิตภัณฑ์และบริการต้นแบบ (Minimum Viable Product: MVP) ที่สะท้อนรูปแบบการให้บริการตามที่ ธปท. กำหนด

ซีพีเอฟ เดินหน้าสู่การเป็น “องค์กรคาร์บอนต่ำ” ลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมาย

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้าตามเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกต่อเนื่องในหลายกิจกรรมสู่การเป็น “องค์กรคาร์บอนต่ำ” เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อหน่วยการผลิตลงตามเป้าหมาย 25% ในปี 2568 เทียบกับปีฐาน 2558 สร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี ตลอดจนรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อมของมวลมนุษยชาติและโลกใบนี้อย่างยั่งยืน

ล่าสุด ซีพีเอฟ ได้รับมอบประกาศนียบัตรจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในงาน “ร้อยดวงใจ ร่วมใจลดโลกร้อน” ประจำปี 2563 จากการมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนจกในรูปแบบต่างๆ เช่น กิจกรรมชดเชยคาร์บอน เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และฉลากลดโลกร้อน โดยซีพีเอฟ เป็นหนึ่งในภาคเอกชนที่ร่วมกิจกรรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยืน ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน และดินน้ำป่าคงอยู่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ เพื่อสร้างสรรค์คุณค่าจากการดำเนินธุรกิจให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อบริษัทฯ และร่วมแก้ไขปัญหาสังคม ตอบสนองต่อนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยสู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ โดยนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาบริหารทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้ถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด และยังดำเนินการควบคู่ไปกับการปกป้องฟื้นฟูป่าชายเลนและป่าต้นน้ำที่สำคัญของประเทศ เพื่อลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังเป็นการการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงความรับผิดชอบในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างยั่งยืน ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคในชีวิตประจำวันและการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ซีพีเอฟ บรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2562 แล้ว 15% เทียบกับปีฐานปี 2558 ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้เดิมในปี 2563 และยังเดินหน้าลดต่อเนื่องตามเป้าหมาย 25% ในปี 2568 จากโครงการต่างๆ เช่น ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิต ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ไม่จำเป็นตลอดห่วงโซ่คุณค่า สนับสนุนการนำทรัพยากรทุกส่วนไปใช้ให้เกิดประโยชน์โดยไม่เหลือทิ้ง เป็นต้น

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังคงดำเนินธุรกิจตามทิศทางและเป้าหมายความยั่งยืนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ปี 2573 สู่การเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านความยั่งยืน คือ การมุ่งสู่การเป็นองค์กร Zero Waste ลดขยะและของเสียให้เป็นศูนย์ และการมุ่งสู่การเป็นองค์กร Carbon Neutral

นายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจอาหารสัตว์บก ซีพีเอฟ กล่าวว่า การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และฉลากลดโลกร้อน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในโครงการ CPF Green Revenue ตอกย้ำว่ารายได้ของบริษัทมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) เพิ่มขึ้นทุกปี จากผลิตภัณฑ์ที่สามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือได้รับรองฉลากสิ่งแวดล้อม ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้ผลิตภัณฑ์อาหารไก่เนื้อของบริษัทฯ 6 รายการ ได้รับฉลากลดโลกร้อน สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการลดการใช้วัตถุดิบและพลังงานได้ 77,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่า (ปี 2019) หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 1,280,000 ต้น ซึ่งอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ นอกจากจะให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการของสัตว์แล้ว ยังคำนึงถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ซอสพริก และซอสมะเขือเทศยังได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รวม 8 รายการ และยังเป็นปีแรกที่มีการจัดกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล รักษ์โลก ในรูปแบบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับศูนย์ หรือ “Carbon Neutral Event” สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 13 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการปลูกต้นไม้ 220 ต้น เสื้อวิ่งที่ทำมาจากขยะขวดพลาสติกใช้แล้ว จำนวน 22,000 ขวด มาผลิตเป็นเสื้อวิ่ง 2,200 ตัว

บีทีเอส จับมือกทม. จัดกิจกรรมแจกต้นไม้ 1 แสนต้น ส่งเสริมคนไทยรักษ์โลก

0

รถไฟฟ้าบีทีเอส ร่วมกับกทม.จัดกิจกรรม “บีทีเอสดูแลโลก เราดูแลคุณ” เพิ่มโอโซนให้คนกรุงเทพฯวันที่ 16 กันยายน 2563 เวลา 10.20 น. ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต

นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “บีทีเอสดูแลโลก เราดูแลคุณ” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรม “ปลูกเพื่อ ป(ล)อด ล้านต้น ลด PM 2.5” ภายใต้โครงการ Green City by MOAC ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และภาคเอกชน โดยมี นายสมศักดิ์ ชาติสุขศิริเดช ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมผู้บริหารรถไฟฟ้าบีทีเอส นายสุมิตร ศรีสันติธรรม ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ นางสาวนริศรา ศรีสันต์ ที่ปรึกษากลยุทธ์สื่อสารองค์กร นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตจตุจักร และผู้แทนจากโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นเกียรติเปิดงาน โดยกิจกรรมนี้ ยังมีการแจกต้นไม้ให้แก่ผู้โดยสาร เนื่องในวันโอโซนโลก (World Ozone Day)

นายสกลธี เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “ปลูกเพื่อ ป(ล)อด ล้านต้น ลด PM 2.5” ที่กรุงเทพมหานคร และรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมดังกล่าว ในการสนับสนุนต้นไม้ จำนวน 100,000 ต้น เพื่อช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) โดยกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการติดตั้ง เครื่องพ่นละอองน้ำบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส บริเวณสถานีศาลาแดง สถานีสยาม สถานีอโศก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา พบว่าสามารถช่วยลดการกระจายตัวของฝุ่นละอองขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี ครั้งนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมต่อเนื่อง ที่กรุงเทพมหานครได้ร่วมกับ รถไฟฟ้าบีทีเอส คืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนกรุงเทพฯ อีกครั้ง

ด้านนายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กล่าวว่า บีทีเอสมุ่งมั่น และตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด กิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนทุกคนหันมาร่วมกันปลูกต้นไม้ ลดอัตราการเกิดก๊าซเรือนกระจก เพิ่มเติมอากาศบริสุทธิ์ให้กับคนกรุงเทพฯ โดยเบื้องต้นจะแจกต้นไม้รวม 20,000 ต้น มีทั้งหมด 5 ชนิด ประกอบด้วย เฟิร์นบอสตัน คล้านกยูง เศรษฐีเรือนใน ตีนตุ๊กแกเกาะผนัง และกระดุมทองเลื้อย ให้กับประชาชน และโรงเรียนนำร่อง 7 โรงเรียนใกล้แนวรถไฟฟ้า ได้แก่ โรงเรียนหอวัง โรงเรียนสตรีวรนาถบางเขน โรงเรียนอรรถมิตร โรงเรียนประชานิเวศน์ โรงเรียนวัดเสมียนนารี โรงเรียนเสนานิคม และวิทยาลัยอาชีวศึกษาสันติราษฎร์ในพระอุปถัมภ์ฯ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชน และเยาวชน ใส่ใจถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว และลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เสมือนการสร้างภูมิต้านทานให้กรุงเทพมหานครในระยะยาว อย่างยั่งยืนต่อไป

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส (คนที่สามจากซ้าย)

กิจกรรมแจกต้นไม้ จะจัดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. บริเวณ 2 สถานี ได้แก่ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหมอชิต และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสห้าแยกลาดพร้าว และในวันที่ 22 กันยายน 2563 (Car Free Day) ณ บริเวณทางเดินเชื่อมศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม ซึ่งจะแจกจนกว่าต้นไม้จะหมด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส โทรศัพท์ 0 2 – 617- 6000 Line official : @btsskytrain

แรงงาน เตรียมม.เร่งด่วนรองรับการว่างงานในทุกภาคส่วน

0

นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงการท่องเที่ยว  ที่ซบเซาลง ซึ่งทำให้หลายภาคส่วนได้คาดการณ์ว่าจะมีแรงงานกลุ่มภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยว จะว่างงานถึง 50,000 คน  กรมการจัดหางาน จึงได้เตรียมแนวทางและมาตรการรองรับปัญหาการว่างงาน ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสำคัญกับปัญหาการว่างงาน

ขณะนี้ กรมการจัดหางาน ได้เตรียมตำแหน่งงานว่างไว้รองรับแล้ว จำนวน 305,806 อัตรา โดยผู้ที่ต้องการหางานสามารถลงทะเบียนสมัครงานออนไลน์ได้ที่ smartjob.doe.go.th

นอกจากนี้ ยังมี 3 มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19  อย่างแรงงานกลุ่มภาคบริการในธุรกิจท่องเที่ยว  ประกอบด้วย 1. การจัดงาน JOB EXPO THAILAND 2020 ที่รวบรวมตำแหน่งงานกว่า 1,000,000 อัตรา ซึ่งจะมีตำแหน่งงานที่รวมถึงงานด้านบริการและการท่องเที่ยว สำหรับแรงงานที่สนใจทำงานลักษณะเดิม ขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานในตำแหน่งใหม่ ยังมีตำแหน่งงานอื่นๆ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน รวมทั้งตำแหน่งงานในต่างประเทศ อาทิ ไต้หวัน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น อิสราเอล มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ไว้รองรับ ซึ่งจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 กันยายนที่จะถึงนี้

2. มาตรการสนับสนุนการจ้างงานผู้สำเร็จการศึกษาใหม่ โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าจ้างร้อยละ50 ของเงินเดือน ในลักษณะ Co-payment  เป็นเวลา 1 ปี  เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2564 

และ 3. การจัดทำ Platform ไทยมีงานทำ.com ซึ่งเป็นการหาตำแหน่งงานเชิงรุกทั่วประเทศ โดยสำนักงานจัดหางานจังหวัดจะลงพื้นที่พบปะเจ้าของสถานประกอบการเพื่อขอตำแหน่งงานว่างที่มี ซึ่งจะครอบคลุมถึงงานด้านบริการและการท่องเที่ยว 

อย่างไรก็ดี กรมการจัดหางาน จะหามาตรการรองรับ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมส่งเสริมการจ้างงานภาคบริการควบคู่ไปกับการสนับสนุนเศรษฐกิจภาคการผลิตและบริการให้ฟื้นตัว เพื่อมิให้เกิดปัญหาไม่มีเงินจ่ายค่าจ้าง-คนงานถูกเลิกจ้าง “อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่ กำลังว่างงาน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัด หรือ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ซีพีเอฟ เดินหน้ารร. อิ่ม สุข ปลูกอนาคต นำร่องพัฒนาโรงเรียน สร้างทักษะธุรกิจให้เด็กนร.

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เดินหน้ามีส่วนร่วมส่งเสริมเด็กและเยาวชนไทยมีภาวะโภชนาการที่ดี นำร่องโมเดลสร้างความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียนและชุมชนอย่างยั่งยืน หนุน “โรงเรียนบ้านกระเทียม(ราษฎร์วิทยาคม)” ต.กระเทียม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ในโครงการซีพีเอฟ อิ่มสุข ปลูกอนาคต ตั้ง”ร้านอิ่มสุข” สร้างประสบการณ์ให้น้องๆ เรียนรู้ทักษะทั้ง ด้านการผลิต การตลาด การจำหน่าย เรียนรู้การคำนวณกำไรและต้นทุน

ซีพีเอฟ มุ่งมั่นให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงอาหาร ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และการสร้างทักษะในด้านการผลิตอาหาร โดยร่วมกับภาคีพันธมิตร ดำเนินโครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวันนักเรียน และ โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต และล่าสุด นำร่องพัฒนาโรงเรียนบ้านกระเทียม(ราษฎร์วิทยาคม) เป็นแหล่งเรียนรู้ทักษะการจัดการด้านการผลิต การตลาด การจำหน่าย ฯลฯ โดยเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีพิธีส่งมอบ “โครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต” ให้โรงรียน โดยมีนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานพิธี และน.สพ.จตุรงค์ โยธารักษ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจสุกร ซีพีเอฟ เป็นตัวแทนส่งมอบโครงการให้โรงเรียนด้งกล่าว

น.สพ.จตุรงค์ เปิดเผยว่า โรงเรียนบ้านกระเทียมฯ ถือเป็นโรงเรียนนำร่องแห่งแรกของโครงการที่มีการจัดตั้ง“ร้านอิ่มสุข โรงเรียนบ้านกระเทียม” ส่งเสริมการผลิตอาหารที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เป็นผลผลิตที่โรงเรียนผลิตได้เอง อาทิ ผักปลอดสาร ไข่ไก่ และมีสินค้าประเภทอื่นๆ จำหน่าย เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้งสด ฯ เป็นการบริหารจัดการในรูปคณะกรรมการของโรงเรียน นอกจากนักเรียนได้ฝึกทักษะอาชีพ และได้เรียนรู้การจัดการด้านการผลิต การจำหน่าย การตลาด ฯลฯ ชุมชนยังได้ประโยชน์จากการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัย เป็นตลาดของชุมชนด้วย

“ซีพีเอฟ สนับสนุนการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ต้นแบบในโรงเรียนและชุมชน โดยโรงเรียนบ้านกระเทียม(ราษฎร์วิทยาคม) เป็นโรงเรียนนำร่องในการตั้งร้านค้าอิ่มสุข ซึ่งเป็นร้านค้าของโรงเรียน จำหน่ายผลผลิตที่โรงเรียนผลิตได้จากโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต และสินค้าอื่นๆ และในขั้นต่อไป เด็กๆสามารถเข้ามาเรียนรู้เรื่องการผลิต การบริหารจัดการ การตลาด การทำบัญชี ซึ่งจะเป็นทักษะที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ” น.สพ.จตุรงค์ กล่าว

ด้าน นายสุเทพ เกิดสมนึก ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านกระเทียม (ราษฎร์วิทยาคม) กล่าวว่า กิจกรรมทั้ง 10 กิจกรรม ในโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต ทำให้เด็กๆมีกระบวนการเรียนรู้ด้านการเกษตรและทักษะอาชีพสร้างกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ต้นน้ำ คือ การเลี้ยงไก่ไข่ การปลูกผัก กลางน้ำ คือ ผลผลิตที่ได้จากกิจกรรม และปลายน้ำ คือ ผลผลิตในร้านค้าอิ่มสุข ซึ่งโรงเรียนคาดหวังว่าความยั่งยืนของโครงการนี้ ขึ้นกับทางซีพีเอฟที่มีการจัดบุคลากรดูแลอย่างต่อเนื่อง ชุมชนและผู้ปกครองให้ความร่วมมือ รวมทั้งมีระบบการบริหารจัดการที่ดี

โรงเรียนบ้านกระเทียม(ราษฎร์วิทยาคม) เป็นโรงเรียนขนาดกลาง จำนวนนักเรียน 399 คน จัดการเรียนการสอนระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าร่วมโครงการซีพีเอฟ อิ่ม สุข ปลูกอนาคต เมื่อปี 2561 ซึ่งปัจจุบัน มี 10 กิจกรรม ประกอบด้วย1.โครงการอุโมงค์ผักและศูนย์การเรียนรู้ศาสตร์พระราชา 2.โครงการเลี้ยงไก่ไข่เพื่ออาหารกลางวัน 3. โครงการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ 4. โครงการหลุมพอเพียง 5. โครงการไม้ผลแบบผสมผสาน 6. โครงการนาข้าวอินทรีย์ 7. โครงการปลูกพืชไร่แบบผสม 8. โครงการปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ 9. โครงการแปลงผักปลอดสาร และ10. โครงการร้านค้าอิ่มสุข ปลูกอนาคต โรงเรียนบ้านกระเทียม

ซีพีเอฟ ไฟเขียวบ.ย่อยซื้อธุรกิจสุกรในจีน รุกธุรกิจครบวงจร

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2563  คณะกรรมการบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มีมติอนุมัติให้เสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติให้บริษัทย่อยในประเทศจีนเข้าซื้อธุรกิจสุกรในจีนจำนวน 43 บริษัท โดยบริษัทย่อยจะออกหุ้นใหม่เป็นการชำระราคาให้แก่ผู้ขายเพื่อควบรวมธุรกิจขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทสุกรชั้นนำในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดสุกรใหญ่ที่สุดในโลกที่มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี ใน 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2553 ถึง 2562

Chia Tai Investment Co., Ltd. หรือ CTI ประกอบธุรกิจหลักคือการผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ในสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของซีพีเอฟผ่าน C.P. Pokphand Co., Ltd. หรือ CPPที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ต้องการควบรวมธุรกิจอาหารสัตว์เข้ากับธุรกิจสุกรในสาธารณรัฐประชาชนจีนของ Chia Tai Animal Husbandry Investment (Beijing) Co., Ltd. หรือ “ผู้ขาย”ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด หรือ CPGโดยเป็นการเข้าซื้อกิจการบริษัทจำนวน 43 บริษัทมีมูลค่ารวมประมาณ 28,140 ล้านเรนมินบิ (หรือเทียบเท่ากับประมาณ 4,109ล้านเหรียญสหรัฐ     หรือประมาณ 131,287 ล้านบาท) โดย CTI จะออกหุ้นใหม่ให้แก่ผู้ขายเพื่อเป็นการชำระราคา ซึ่งทำให้การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ไม่มีภาระต้นทุนทางการเงินจากการเข้าซื้อเพิ่มขึ้น  

การเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้จะเป็นการสร้างโอกาสให้ CTIได้ขยายการประกอบธุรกิจเข้าสู่ตลาดสุกรของสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตเป็นการรวมการดำเนินธุรกิจในแนวดิ่ง (Vertical Integration) ซึ่งจะทำให้ CTI เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสุกรครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ การเลี้ยงสุกร โรงชำแหละและแปรรูปสุกร ซึ่งจะทำให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และมีการประสานประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เพื่อให้ธุรกิจของบริษัทครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบและขยายธุรกิจออกไปได้มากขึ้น

หากการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้สำเร็จ จะทำให้ CTI มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นจากธุรกิจสุกรที่มีผลกำไรที่ดี มีต้นทุนและประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น และจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อการขยายธุรกิจในอนาคต เนื่องจากการควบรวมธุรกิจครั้งนี้เป็นรายการเกี่ยวโยงกัน การอนุมัติการเข้าทำรายการจะต้องได้รับการอนุมัติโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย โดยซีพีเอฟได้กำหนดให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ปี 2563 ขึ้นเพื่อเสนอขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นรายย่อยในวันที่ 27 ตุลาคมนี้


เอไอเอส จับมือนิเทศ จุฬาฯ นำร่องแพลตฟอร์ม StarBooster หาคลื่นลูกใหม่วงการบันเทิงไทย

0

เอไอเอส โดย นายอราคิน รักษ์จิตตาโภค หัวหน้าฝ่ายงานขับเคลื่อนนวัตกรรม และคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีดา อัครจันทโชติ คณบดี ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการในการพัฒนาโซลูชัน และสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลให้กับวงการบันเทิงไทย เพื่อส่งเสริมให้นิสิตและบุคลากรคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตลอดจนบุคลากรเอไอเอส ได้มีความเชี่ยวชาญในสายงานทางนิเทศศาสตร์ยุคดิจิทัล สามารถร่วมกันคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคและสถานการณ์ของอุตสาหกรรมสื่อสารมวลชนและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทยที่เปลี่ยนแปลงไป

โดยมีโครงการนำร่อง คือ ทดลอง ทดสอบ แพลตฟอร์ม StarBooster ในรูปแบบการสนับสนุนศิลปิน ผ่านช่องทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการเฟ้นหาศิลปินคลื่นลูกใหม่ ที่เปิดโอกาสให้นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ทุกวงการปลดปล่อยพลังความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังได้เรียนรู้และพัฒนาศักยภาพด้านการแสดงกับบุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงได้รับโอกาสร่วมงานในฐานะนักแสดงให้กับทาง AIS PLAY’s Original Series อีกด้วย อันจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพของเด็กไทย พร้อมยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรมบันเทิงไทย โดยเฉพาะ Local VDO Platform ให้ทัดเทียมนานาประเทศ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเอไอเอสในการนำเทคโนโลยีและบริการดิจิทัลยกระดับอุตสาหกรรมทุกภาคส่วน

เครือซีพี รวมพลังจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ 2.8 หมื่นอัตรา

0

ทีมคณะผู้บริหารบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ร่วมผนึกกำลังธุรกิจหลักในเครือ เร่งเดินหน้าจ้างงานนักศึกษาจบใหม่อายุไม่เกิน 25 ปี จำนวน  28,000 อัตรา เพื่อร่วมขับเคลื่อนแก้ปัญหาการว่างงานของนักศึกษาจบใหม่ที่ สร้างโอกาส สร้างความมั่นคงทางอาชีพ (Job Security) สร้างประโยชน์ให้กับประเทศช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด เปิดเผยว่า  เครือเจริญโภคภัณฑ์ ภายใต้นโยบายประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ มีแนวทางรักษาความมั่นคงทางอาชีพมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 เครือซีพีมีนโยบายให้คำมั่นที่จะไม่มีการปลดพนักงาน  เพราะพนักงาน ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่สุด ในเวลาเดียวกันเครือฯ ได้ให้ความสำคัญในการช่วยฟื้นฟูประเทศ โดยในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในทุกอุตสาหกรรม และทำให้มีอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีกลุ่มบัณฑิตจบใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดแรงงานปีนี้อีก 4-5 แสนคน ทำให้เกิดปัญหาการว่างงาน ทั้งนี้เครือฯ และบริษัทในเครือฯ มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือกลุ่มเยาวชนดังกล่าว โดยมองว่าเด็กจบใหม่ไม่ได้มีความความผิดที่จบมาในช่วงวิกฤตดังกล่าว จึงไม่ควรให้คนกลุ่มนี้ตกงาน

ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์

เครือซีพี จึงผนึกกำลังบริษัทในเครือ พร้อมมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับนักศึกษาจบใหม่ โดยได้หารือกับผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจในเครือ ในการรับนักศึกษาจบใหม่อายุไม่เกิน 25 ปี ทั้งในส่วนของกลุ่มอาชีวะ และมหาวิทยาลัย จำนวน 28,000 อัตรา คิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงานในปัจจุบัน  ประกอบด้วย บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เตรียมรับเพิ่ม 8,000 อัตรา  บมจ.ซีพี ออลล์   (CPALL) เตรียมรับเพิ่ม 12,000 อัตรา  กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร เตรียมรับเพิ่ม 5,000 อัตรา และบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (True) เตรียมรับเพิ่ม  3,000 อัตรา ทั้งนี้เครือฯได้ให้ความสำคัญในการ “สร้างคน”  จะมีการพัฒนาศักยภาพด้วยการสร้างทักษะ upskill และ reskill โดยได้จัดโปรแกรมต่างๆ เน้นในด้านดิจิทัลให้กับพนักงานที่เข้ามาใหม่เพื่อให้สามารถทำงานในยุค 4.0 ได้อย่างเต็มศักยภาพ

“เครือซีพีเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ถือว่าเหมือนผ้าขาว จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติ  นอกจากนี้เครือฯมีระบบนิเวศน์ในหลายอุตสาหกรรม เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยชีวิตที่ดี ที่จะได้เรียนรู้ การทำงานเพิ่มทักษะ  และสามารถนำไปต่อยอดในหน้าที่การงาน หรือแม้แต่ต่อยอดในธุรกิจของตนเองในอนาคตอีกด้วย”

ด้าน นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพีเอฟ) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟพร้อมขานรับนโยบายนี้ โดยรับนักศึกษาจบใหม่เพิ่ม 8,000 อัตรา แบ่งเป็น กรุงเทพฯและปริมณฑล 4,000 อัตรา และต่างจังหวัดทุกภูมิภาค 4,000 อัตรา โดยมีตำแหน่งรับสมัครครอบคลุมฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในด้านของความเชี่ยวชาญในด้านไอที เพื่อสนับสนุนขยายธุรกิจด้าน Smart Farming  รวมไปถึงการทำธุรกิจในด้านการจัดส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ที่ต้องการรับพนักงานจำนวนมากเพื่อขยายตลาดในกลุ่มดังกล่าว

ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร

นายธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์  กล่าวว่า ซีพี ออลล์เร่งเดินหน้าการลงทุนในกลุ่มธุรกิจออนไลน์รับการเปลี่ยนแปลงในยุค 4.0  โดยเตรียมรับพนักงานเพิ่ม 12,000 ตำแหน่ง เน้นกลุ่ม NEW S-CURVE รวมถึงจะส่งเสริมธุรกิจSMEs รุ่นใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดการจ้างงานเพิ่มอีก 5,000 อัตรา ทั้งนี้เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศในช่วงวิกฤตโควิด-19

ธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร เผยว่า ธุรกิจของสยามแม็คโคร มี 130 กว่าสาขาทั่วประเทศ  แม็คโครต้องการคนจำนวนมากเพื่อรองรับการขยายสาขา  และมีนโยบายสร้างคน จึงพร้อมที่จะรับพนักงานที่เพิ่งจบการศึกษา สอดคล้องนโยบายของเครือฯ ที่ต้องการสร้างคนให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กร ในการนี้แม็คโครจะประกาศรับพนักงานที่จบการศึกษาใหม่เพิ่ม 5,000 อัตรา ตั้งแต่วุฒิการศึกษาระดับปวช.-ปวส. ขึ้นไป เน้นกลุ่มทักษะในด้านไอทีและดิจิทัล ตอบโจทย์การทำงานปรับตัวรับ New Normal

สุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร 

นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในช่วงโควิด-19 กลุ่มทรูฯได้รับพนักงานเพิ่มไปแล้ว 6,500 อัตรา และจะรับเพิ่มในช่วงเดือนกันยายนถึงธันวาคม 2563 อีก 3,000 อัตรา เพื่อเข้ามาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้กับองค์กร โดยจะเน้นอัตราการรับพนักงานด้านไอทีการบริการและการขาย  และจะมีการพัฒนาทักษะ  upskill และ reskill ให้กับพนักงานกลุ่มใหม่ที่เข้ามาทำงาน โดบเฉพาะความรู้ทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างคนตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในยุค 4.0 

อาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น

บีทีเอส ชวนร่วมกิจกรรมรักษ์โลก แจกต้นไม้ฟรี ลดPM2.5

0

รายงานข่าวจากบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผํู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเผยว่า บีทีเอส จัดกิจกรรม “บีทีเอสดูแลโลก เราดูแลคุณ” เพื่อเพิ่มออกซิเจน ลดมลพิษ PM 2.5 ให้โลกน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

โดยกิจกรรมดังกล่าว ทางรถไฟฟ้าบีทีเอสแจกต้นไม้ฟรี เพื่อให้ผู้รับสามารถนำไปปลูกสร้างพื้นที่ร่มรื่นให้กับบ้าน หรือประดับตกแต่งที่อยู่อาศัย

ทั้งนี้ ทางบีทีเอส กำหนดวันเวลาแจกต้นไม้ ดังนี้

วันที่ 16 กันยายน แจกที่บริเวณสถานีหมอชิต และสถานีห้าแยกลาดพร้าว เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป

และ วันที่ 22 กันยายน แจกบริเวณสถานีสยาม เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการร่วมสนุกลุ้นรับรางวัลเป็นถุงผ้า โดยผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพียงถ่ายรูปคู่กับต้นไม้ที่ได้รับจากบีทีเอส หรือต้นไม้จากทางบ้าน พร้อมแคปชั่นเด็ด ๆ คอมเมนต์ใต้โพสต์ ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับทันที ถุงผ้า ลิมิเต็ด จำนวน 40 รางวัล

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Fanpage รถไฟฟ้าบีทีเอส หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม แอดไลน์ @btsskytrain

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ : ออกบูธห้างในกรุงเทพ คุ้มไหม?

0

“รู้ทันปากท้อง” กับตลาดหลักทรัพย์ ตอน “ออกบูธห้างในกรุงเทพ คุ้มไหม?”

“อาซ้ง” ทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) กูรูค้าขาย

มีคำถามว่า มีสินค้าอยู่ต่างจังหวัด แล้วมีคนชวนมาออกบูธขายสินค้าที่กรุงเทพฯ คุ้มมั้ย

ก่อนอื่น หาคำตอบว่า สินค้าของเราคืออะไร ทำไมคนกรุงเทพต้องซื้อ มีสตอรี่มั้ย ส่วนต่างกำไร เพียงพอกับค่าเช่าหรือเปล่า

แนะให้ดูกำไรต้องเพียงพอกับต้นทุนและค่าใช้จ่าย สถานที่ก็สำคัญต้องเหมาะกับสินค้าของเราด้วย