Home Blog Page 400

ซีพีเอฟ ต้านภัยโควิดติดชายแดน ส่งอาหารปลอดภัยให้บุคลากรการแพทย์

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารสำเร็จรูป CP ในโครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” แก่บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพบพระ จ.ตาก เพื่อเป็นกำลังใจแก่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ดูแลคัดกรองผู้ป่วย และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมและประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน โดยมี คุณธารินี ศิริวัลย์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ เป็นผู้รับมอบ

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ จะจัดเตรียมอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานให้แก่โรงพยาบาลของรัฐ 5 แห่ง ใน จ.ตาก ได้แก่ โรงพยาบาลพบพระ, โรงพยาบาลแม่สอด, โรงพยาบาลท่าสองยาง, โรงพยาบาลแม่ระมาด และ โรงพยาบาลอุ้มผาง โดยทีมงานเดลิเวอรี่ของซีพี เฟรชมาร์ท จะจัดส่งอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์ถึงที่ทุกโรงพยาบาล

ซีพีเอฟ เป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยและได้แบ่งเบาภาระของ ก.สาธารณสุข ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือคนไทยและประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี ในครั้งนี้ บริษัทฯ ขอนำความเชี่ยวชาญด้านอาหาร มาช่วยแบ่งเบาภารกิจของทีมแพทย์ใน จ.ตาก อีกครั้ง เพื่อเติมกำลังกายและเป็นกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใกล้ชิดและมีความเสี่ยงอย่างมากในสถานการณ์นี้ เนื่องจาก จ.ตาก เป็นจังหวัดชายแดนที่มีแรงงานจากเมียนมาเข้าออกเป็นจำนวนมาก

ซีพี เช่าเหมาเที่ยวบินพิเศษ รับหัวใจจากผู้บริจาคที่ร้อยเอ็ด สานต่อ”ภารกิจหัวใจ” ในวันหัวใจโลก

0

เนื่องในวันหัวใจโลก เครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดเครื่องบินเช่าเหมาลำไฟล์ทพิเศษโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายของบริษัท สยามแลนด์ ฟลายอิ้ง จำกัด สานต่อภารกิจเป็นครั้งที่ 5 นำคณะแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย นำโดย นายแพทย์ พัชร อ่องจริต แพทย์ศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก เดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อผ่าตัดนำหัวใจและดวงตาจากร่างผู้บริจาค กลับมาเปลี่ยนถ่ายให้แก่คนไข้ที่กำลังรอรับความช่วยเหลือที่กรุงเทพฯ

โดยภารกิจครั้งนี้ ดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาอวัยวะให้อยู่ในสภาพดีต่อเนื่อง ประสบความสำเร็จเ่ช่นเดียวกับ 4 ครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยอดรวมอวัยวะที่ได้รับจากภารกิจสนับสนุนเครื่องบินเช่าเหมาลำของบริษัท สยามแลนด์ ฟลายอิ้ง จำกัดในเครือซีพี ตลอดทั้ง 5 ครั้ง ประกอบด้วย หัวใจ 5 ดวง ไต 10 ข้าง ดวงตา 4 ข้าง กระจกตา 2 ข้าง และตับ 2 ข้าง ซึ่งอวัยวะที่รับมาทั้งหมดนี้สามารถช่วยชีวิตใหม่ได้มากกว่า 15 คน

แนะวิธีป้องกันภัย ไม่ให้โดนโจรกรรมทางการเงิน

0

ภัยโจรกรรมทางการเงิน ปรากฏเป็นข่าว และสร้างความเสียหายด้านทรัพย์สินเงินทองกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน การเข้าถึงเทคโนโลยีการสื่อสารของผู้คนเป็นไปได้ง่ายและสะดวกขึ้น ทำให้มิจฉาชีพ หรือผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถใช้ช่องทางนี้ หลอกลวงเหยี่อ เพื่อขโมยเอาข้อมูลส่วนตัวเราไปหาประโยชน์ในทางที่มิชอบได้

ตัวอย่างสถานการณ์ที่อาจทำให้เรา หรือคนรอบข้าง ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ได้แก่

  1. การฉ้อโกงโดยการสวมรอย ผู้ไม่ประสงค์ดีจะแอบอ้างเป็นพนักงานธนาคาร หรือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการ เพื่อหลอกถามข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลการเงิน และเรียกร้องให้แสดงธุรกรรมทางการเงิน
  2. การฉ้อโกงแบบฟิชชิ่ง เป็นรูปแบบในการปลอมแปลงผ่านชองทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อีเมล์ โทรศัพท์ หรือ sms ที่พยายามจะให้เราเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความรับ เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน ข้อมูลบัตรเครดิต
  3. การฉ้อโกงผ่านการประชุมออนไลน์ การไม่ได้ป้องกันการเข้าร่วมประชุมจากบุคคลภายนอกด้วยรหัสผ่าน อาจทำให้ข้อมูลลับทางธุรกิจและข้อมูลส่วนบุคคล รั่วไหลผ่านช่องทางการประชุมออนไลน์
  4. การฉ้อโกงผ่านการซื้อสินค้าออนไลน์ ผู้ไม่ประสงค์ดีหลอกขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยจะขาดการติดต่อหลังจากการทำธุรกรรมเสร็จ

วิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัวของเรา

ข้อมูลส่วนบุคคลในการทำธุรกรรมออนไลน์ 1. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวให้กับบุคคลที่สาม รวมไปถึงพนักงานธนาคาร 2. ทุกธนาคารไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า เช่น เลขที่บัญชี ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน รหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) รหัสเอทีเอ็มหรือ PIN ยอดเงินคงเหลือในบัญชี เลขบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ด รวมทั้งข้อมูลส่วนตวอื่นๆ ผ่านช่องทางต่างๆ (อีเมล โทรศัพท์ และ sms)

แอปพลิเคชั่นประชุมออนไลน์/ช่องทงออนไลน์อื่นๆ 1. อย่าเปิดเผยรหัสผ่านการเข้าร่วมประชุมแก่บุคคลที่สาม และควรแน่ใจว่ารหัสของเราเป็นความลับ 2. ถ้ามีข้อกังวลเกี่ยวกับตัวตนของผู้เข้าร่วมประชุม หรือความผิดปกติใดๆ ให้ออกจากแอปพลิเคชั่น หรือชองทางที่ใช้บริการอยู่ทันที

ช้อปออนไลน์ 1.ซื้อสินค้าจากร้านออนไลน์ บนแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ 2. ค้นหาประวัติความน่าเชื่อถือของร้านค้าก่อนชำระเงิน 3. ไม่ควรชำระเงินล่วงหน้า หรือมัดจำค่าสินค้า

ทั้งนี้ หากพบกรณี หรือพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ ให้รีบแจ้งธนาคารที่เรามีบัญชีอยูทันที และเปลี่ยนชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน รหัสเอทีเอ็ม บ่อยๆ

ที่มา ซิตี้แบงก์

เจ้าสัวธนินทร์ พร้อมผู้บริหารเครือซีพี จัดกิจกรรมเคารพธงชาติ ปฏิญาณตนเทิดทูน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา  นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วย ดร.อาชว์ เตาลานนท์ รองประธานอาวุโส นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร และผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ได้เข้าร่วมกิจกรรมเชิญธงชาติไทยและร้องเพลงชาติไทย เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย และได้ประกอบพิธีอัญเชิญธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา ณ บริเวณเสาธงชาติ สถาบันพัฒนาผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ จังหวัดนครราชสีมา 

พร้อมกันนี้นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวนำการปฏิญาณตน ในวันพระราชทานธงชาติไทยนี้ด้วย พร้อมผู้บริหารและพนักงานโดยยืนตรงเคารพธงชาติ อันเชิญธงไตรรงค์ขึ้นสู่ยอดเสา เพื่อเทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างพร้อมเพรียงกัน ด้วยความรำลึกถึงความเสียสละและพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ตลอดจนความเสียสละของบรรพบุรุษไทย ทำให้ประเทศชาติดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

สำหรับการจัดกิจกรรมครั้งสำคัญในวันนี้ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ มีศูนย์กลางที่สถาบันพัฒนาผู้นำ เครือเจริญโภคภัณฑ์ จ.นครราชสีมา ส่วนในกรุงเทพฯ มีการจัดกิจกรรมตามสำนักงานใหญ่ต่าง ๆ อาทิ อาคารทรู ทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก สำนักงานใหญ่ของบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ สำนักงานใหญ่ บมจ.สยามแม็คโคร ถนนพัฒนาการ

นายศุภชัย เปิดเผยว่า วันนี้ถือเป็นวันดีที่ทุกคนภาคภูมิใจในความเป็นไทย โดยธงชาติไทยถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย ความสามัคคีและร่มเย็น มาจนถึงปัจจุบันครบ 103 ปี ในขณะที่ปัจจุบันเครือเจริญโภคภัณฑ์นั้นได้ดำเนินกิจการมาถึง 99 ปี ด้วยเพราะยึดมั่นในค่านิยม “3 ประโยชน์” ประกอบธุรกิจที่ก่อให้เกิดประโยชน์เพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชนชาวไทย และสุดท้ายจึงเป็นประโยชน์ต่อบริษัท 

ทั้งนี้ เครือซีพียึดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  ซึ่งในทุกประเทศที่เครือฯเข้าไปลงทุนได้อัญเชิญธงไตรรงค์ของชาติไทยโบกสะบัดหน้าโรงงานหรือสำนักงานทุกแห่ง เพื่อแสดงความเคารพต่อธงชาติไทยและเพื่อแสดงให้ชาวโลกเห็นถึงความเป็นไทยที่น่าภาคภูมิใจ

เอไอเอส จับมือ ไมโครซอฟท์ ขยายความเป็นพันธมิตร

0

ให้บริการโซลูชันอย่างเป็นทางการ ร่วมขับเคลื่อนภาคธุรกิจด้วยเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงระดับเวิลด์คลาส

 AIS ร่วมกับ Microsoft ประกาศขยายความร่วมมือการเป็นพันธมิตรครั้งสำคัญในฐานะผู้ให้บริการ Microsoft Licensing Solution Provider (LSP) ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจองค์กรในทุกระดับได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วยบริการโซลูชันประสิทธิภาพสูงจาก Microsoft ครบวงจร ถือเป็นผู้ให้บริการในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่ได้รับความไว้วางใจอย่างเป็นทางการจากองค์กรระดับโลกที่มองเห็นถึงศักยภาพในการส่งมอบสินค้าและบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงการทำงานบนเครือข่ายคุณภาพของเอไอเอส ที่มาพร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองด้วยมาตรฐานระดับโลกคอยให้คำปรึกษา

นายฮุย เวง ชอง กรรมการผู้อำนวยการ – AIS กล่าวว่า การขยายความร่วมมือกับ Microsoft ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกก้าวย่างสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อการช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจในยุคปัจจุบันที่ต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงรอบด้านอยู่ตลอดเวลา โดย AIS ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ให้บริการ Licensing Solution Provider (LSP) ที่สามารถนำโซลูชันเพื่อองค์กร เช่น Modern workplace, Azure, และ solutions สำหรับ IT Infrastructure อื่นๆ มาให้องค์กรสามารถเลือกใช้ได้ตามโจทย์ที่ต้องการได้มากขึ้น ตอบโจทย์การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ที่ผ่านมา AIS ได้สนับสนุนให้องค์กรต่างๆ ได้ใช้งานเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงจาก Microsoft และคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง จากการที่ AIS ได้รับเลือกให้เป็นผู้ให้บริการ Microsoft Edge Node และ AIS Azure ExpressRoute รายแรกและรายเดียวในไทยที่ช่วยให้ลูกค้าองค์กรได้รับประสบการณ์ใช้งานที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของค่าความหน่วงต่ำ (Latency) ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้งานเครือข่ายได้อย่างแม่นยำ และทำให้การเชื่อมต่อมีความเสถียรมั่นคง ตลอดจนมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้น ความร่วมมือครั้งนี้ จึงนำมาซึ่งความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเสริมความแข็งแกร่งภาคธุรกิจไทยร่วมกับ Microsoft อีกครั้ง


ด้านนายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความร่วมมือกับเอไอเอสทำให้สามารถสนับสนุนลูกค้าในประเทศไทยได้มากขึ้น และผลักดันให้ทุกองค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ดีกว่า ด้วยศักยภาพของผู้ให้บริการระดับ LSP เอไอเอสสามารถพัฒนาโซลูชันมากมายที่ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ เราต้องขอขอบคุณเอไอเอสในฐานะพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ผู้ร่วมกันเปิดโอกาสให้เราได้ยกระดับและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปพร้อม ๆ กัน

บัตรแรบบิท ยืนหนึ่งผู้นำสมาร์ทการ์ด ยุคนิวนอร์มอล

0
ไอรินทร์ อริยพงศ์สถิต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด

ไอรินทร์ อริยพงศ์สถิต ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางของบัตรแรบบิทในปีที่ผ่านมา ว่า หลังจากเปิดตัวบัตรแรบบิทในฐานะสมาร์ทการ์ด ที่ให้ความสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส และร้านค้าพันธมิตรต่างๆ ไปแล้ว และวันนี้บัตรแรบบิทได้กลายเป็นบัตรที่ใช้สำหรับการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งในระบบขนส่งมวลชน ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจบริการ ในหลายๆ รูปแบบ โดยมุ่งมั่นที่จะวางบทบาทของบัตรใบนี้ ให้ตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

การดำเนินงาน 8 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ออกบัตรแรบบิทไปแล้วกว่า 14 ล้านใบ และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด บริษัทได้เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ถือบัตรให้ได้มากที่สุด ให้บัตรแรบบิทเป็นบัตรเดียวที่สามารถใช้ได้ทั้งช้อป กิน และเที่ยว ลดความเสี่ยงจากการสัมผัสเงินสด โดยได้ขยายการชำระเงินไปสู่ระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ นอกเหนือจากรถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่ว่าจะเป็น ไมโครบัส Y70E (หมอชิต – ศาลายา) รถโดยสารประจำทางในหัวเมืองต่าง ๆ ทั้ง ภูเก็ตสมาร์ทบัส โพธิ์ทองบัส (สงขลา – หาดใหญ่) และ RTC เชียงใหม่ รถประจำทางสาย 51 (ปากเกร็ด – มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) สาย 52 (ปากเกร็ด – บางซื่อ) สาย 104 (ปากเกร็ด – หมอชิต 2) สาย 147 (วงกลมเคหะธนบุรี) สาย 150 (ปากเกร็ด – บางกะปิ) และสาย 167 (เคหะธนบุรี – สวนลุมพินี) รวมไปถึงเรือโดยสาร ได้แก่ เรือคลองภาษีเจริญ เรือข้ามฟาก (ท่าพระจันทร์ – ท่ามหาราช) เรือเจ้าพระยาทัวริสท์โบ๊ท (ธงฟ้า) และเรือด่วนปรับอากาศ (ธงแดง) เพื่อแสดงจุดยืนให้ชัดเจนว่า บัตรแรบบิท เป็นบัตรใบเดียวที่ใช้จ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะได้หลากหลายที่สุด

สำหรับร้านค้าและบริการ ผู้ถือบัตรสามารถใช้แทนเงินสดเพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิง บริษัทเดินหน้าขยายพันธมิตรร้านค้า จนปัจจุบันมีร้านค้าพันธมิตรมากถึง 550 แบรนด์ พร้อมจุดให้บริการกว่า 15,000 จุด ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยผู้ถือบัตรแรบบิททุกใบ จะได้รับส่วนลดพิเศษ หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ มากมาย ทำให้บัตรแรบบิทตอบโจทย์ความเป็น “One for All” โดยแท้จริง

นอกจากนี้ บัตรแรบบิทยังได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อสนองความต้องการของภาคธุรกิจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ห้างร้าน หรือองค์กรต่างๆ โดยบัตรแรบบิทสามารถที่จะเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งาน เพื่อเป็นบัตรเข้า – ออกอาคาร (Access Control) ใช้ชำระค่าอาหารเครื่องดื่มภายในโรงเรียน หรือองค์กร (Canteen Solution) เป็นบัตรประจำตัวพนักงาน (Employee ID card) หรือเป็นบัตรประจำตัวนักเรียน (Student ID card) โดยมีบริษัทและองค์กรชั้นนำต่างๆ ที่ใช้บัตรแรบบิท เช่น บริษัท สหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) บริษัท สิงห์ เอสเตท จํากัด (มหาชน) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ และคอนโดมิเนียมชั้นนำต่างๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับเส้นรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยบัตรแรบบิทใบเดียวกันนี้ ยังสามารถจ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะ และจ่ายค่าสินค้า บริการต่าง ๆ ได้อีกด้วย เพียงเติมเงินเข้าบัตรแรบบิทก็สามารถใช้งานได้ทันที

ทั้งนี้ ด้านการเติมเงิน บริษัทได้ขยายจุดเติมเงิน จากเดิมที่เติมเงินได้ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารบนสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที วันนี้ ผู้ถือบัตรแรบบิทสามารถเติมเงินกับพนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถโดยสารสมาร์ทบัส สาย 51, 52, 104, 147, 150, 167 และร้านค้าพันธมิตรอย่าง แมคโดนัลด์ 219 สาขาทั่วประเทศ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส 423 สาขาในกรุงเทพฯ และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ เช่น เทสโก้โลตัส เอ็กเพลส มินิบิ๊กซี ลอว์สัน108 รวมไปถึงศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ได้แก่ ศูนย์อาหารในเครือเดอะมอลล์ เครือซีพีเอ็น และอื่น ๆ อีกมากมาย และตู้เติมสบายพลัส และบริษัทกำลังพัฒนา โมบายแอพลิเคชั่น ให้กับผู้ถือบัตรแรบบิทได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยจะสามารถใช้งานกันได้ภายในต้นปีหน้านี้

ซีพีเอฟ สร้างโอกาสให้เป็นเจ้าของธุรกิจ ร้านอาหารห้าดาว และ สตาร์คอฟฟี่

0

นายสถิต สังขนฤบดี ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการธุรกิจห้าดาวและร้านอาหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า เพื่อช่วยสร้างงานให้กับประชาชนที่สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง แต่ไม่อยากเสี่ยงมาก ในสถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซีพีเอฟเสนอทางเลือกแนวทางการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารห้าดาวและธุรกิจแฟรนไชส์กาแฟสด แบรนด์ Star coffee เพื่อส่งเสริมอาชีพให้ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย (SMEs) ด้วยรูปแบบการลงทุนลักษณะแฟรนไชส์ ซึ่งที่ผ่านมามีเอสเอ็มอีที่เป็นเจ้าของร้านอาหารห้าดาวและร้านสตาร์คอฟฟี่ รวมกันกว่า 4,500 รายทั่วประเทศ

จากความสำเร็จที่เอสเอ็มอีเป็นเจ้าของกิจการเองกว่า 4,500 ราย ดังกล่าว น่าจะช่วยให้ผู้ว่างงานและผู้อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง ได้เห็นแนวทางที่จะสร้างงาน สร้างธุรกิจ โดยไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ เพราะแบรนด์ของธุรกิจห้าดาวและสตาร์คอฟฟี่ เป็นที่รู้จักและได้รับความน่าเชื่อถือในรสชาติที่อร่อย สะอาด ถูกหลักอนามัยอยู่แล้ว รวมทั้งผู้ประกอบการรายย่อยและเอสเอ็มอี ไม่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปลองผิดลองถูกในการพัฒนาร้าน พัฒนาสูตร โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ที่กระทบเศรษฐกิจช่วงนี้ ความเสี่ยงยิ่งสูงมากขึ้นไปอีก ซึ่งเห็นได้จากร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่มที่ปิดกิจการไป

การเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารห้าดาวและร้านสตาร์คอฟฟี่ ทางซีพีเอฟจะมีทีมงานเข้าไปเป็นที่ปรึกษา อบรมให้ความรู้ทางธุรกิจแบบครบวงจร ตั้งแต่การเลือกทำเล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจประเภทร้านอาหารและเครื่องดื่มให้ประสบความสำเร็จ การอบรมวิธีบริหารร้านให้ได้กำไร การบริหารจัดการสต๊อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพสินค้าใหม่สดเสมอ การอบรมงานบริการให้ยอดขายดีสามารถสร้างลูกค้าประจำ รวมทั้งช่วยในการออกแบบตกแต่งร้าน การอบรบสูตรอาหาร เครื่องดื่มใหม่ๆเป็นระยะ ที่สำคัญจะมีกิจกรรมการตลาดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ดึงลูกค้าเข้าร้านอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมืออาชีพ

ทั้งนี้ การร่วมทำแฟรนไชส์กับธุรกิจห้าดาวมีรูปแบบร้าน ทั้งรูปแบบคิออส(Premium Kiosk) พื้นที่ 3 × 3 ตารางเมตร งบลงทุนประมาณ 50,000 บาท และรูปแบบร้านอาหาร (Five Star Restaurant) ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถคืนทุนให้ผู้ประกอบธุรกิจได้รวดเร็วเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น ด้วยความหลากหลายของขนาดร้านที่มีตั้งแต่พื้นที่ 20 ตารางเมตร ถึง 100 ตารางเมตร ตามกำลังของผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ โครงการสนับสนุนแฟรนไชส์ร้านห้าดาวและสตาร์คอฟฟี่ เป็นหนึ่งในโครงการที่ซีพีเอฟ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาคนว่างงานจากผลกระทบโควิด-19 ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการ คือ โครงการรับสมัครนักศึกษาจบใหม่ โครงการคูปองแทนใจให้ผู้ประกันตน และโครงการสนับสนุนแฟรนไชส์ร้านห้าดาวและสตาร์คอฟฟี่ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ว่างงานได้สร้างอาชีพ สร้างธุรกิจเป็นของตนเอง โดยใช้เงินลงทุนเพียงหลักหมื่น คืนทุนเร็ว ใช้พื้นที่ขนาดเล็กเพื่อกระจายร้านเข้าถึงชุมชนได้ง่าย พร้อมมีรูปแบบที่ปรับให้เข้ากับกลุ่มผู้บริโภคแต่ละแห่งซึ่งได้รับความประสบความสำเร็จมาแล้วเป็นตัวอย่างให้เห็นทั่วประเทศ และเป็นการร่วมสนับสนุนนโยบาย”รวมไทยสร้างชาติ”ของรัฐบาล

สำหรับผู้สนใจเข้าเป็นแฟรนไชส์ธุรกิจห้าดาว สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://fivestar.in.th และผู้ที่สนใจเป็นแฟรนไชส์ธุรกิจสตาร์คอฟฟี่ สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://.starcoffee.in.th หรือสามารถติดต่อได้ที่โทร. 02-800-8000

เดินหน้าสร้างอาชีพต่อเนื่อง สิงห์อาสาเปิดหลักสูตรล่าสุด ช่างคอมฯ เพิ่มช่องทางสร้างรายได้

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า สิงห์อาสา โดย มูลนิธิพระยาภิรมย์ภักดี และ บริษัท บญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น จัดหลักสูตร “ช่างคอมพิวเตอร์” อบรมฟรีให้กับผู้ที่สนใจ เพื่อใช้เป็นช่องทางสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ดูแลตนเองและครอบครัว ฝ่าวิกฤตโควิด-19

โดยเป็นหลักสูตรที่ 10 ภายใต้โครงการสิงห์อาสาสร้างงานสร้างอาชีพ ในกลุ่ม Home service and Office skills  โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้สนับสนุนการจ้างงาน สร้างอาชีพ ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศมาแล้วอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจ้างงานผ่านการทำหน้าที่อาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตนและการสร้างอาชีพหลากหลายหลักสูตรหวังพี่น้องประชาชนใช้เป็นช่องทางในการประกอบอาชีพสร้างรายได้ทันที

ล่าสุด เมื่อวันที่ 26-27 กันยายน 2563 สิงห์อาสาได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น จัดหลักสูตร “ช่างคอมพิวเตอร์” ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นสาขาวิชาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และใช้เงินลงทุนไม่มากในการเริ่มอาชีพ

หลักสูตรดังกล่าว ได้คณาจารย์ประจำสาขาวิชาครุศาสตร์อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น เป็นผู้ออกแบบหลักสูตรและเป็นทีมวิทยากรถ่ายทอดความรู้ ทั้งภาคทฤษฎีพื้นฐานไปจนถึงภาคปฏิบัติเชิงลึก เริ่มตั้งแต่ระบบฮาร์ดแวร์ในส่วนขององค์ประกอบและการทำงานของอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ ระบบซอฟท์แวร์เกี่ยวกับการติดตั้ง การเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ รวมไปถึงการศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ พรบ.คอมพิวเตอร์และจรรยาบรรณสำหรับช่างคอมพิวเตอร์ เมื่อจบหลักสูตรผู้เข้าการอบรมจะได้รับใบประกาศนียบัตรรับรอง เพื่อการันตีถึงความรู้ความสามารถ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าและผู้ใช้บริการ

นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวทั้งในแง่ของการดำเนินชีวิตรวมถึงสภาพเศรษฐกิจที่เกิดการชะลอตัว หลายกลุ่มธุรกิจได้รับผลกระทบ เกิดปัญหาการว่างงานตามมา  ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ได้มีมติให้งบประมาณช่วยเหลือ สนับสนุนการทำงานของบุคลากรการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลหลัก 26 แห่งทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนอาหารน้ำดื่มให้กับบุคคลากรการแพทย์และบุคคลากรหลัก ที่เป็นด่านหน้าในการรับมือกับการแพร่ระบาดโควิด-19 รวมถึงเร่งบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ผ่านโครงการสิงห์อาสาทั่วประเทศ ทั้งในรูปแบบของการจ้างงาน เป็นอาสาสมัครดูแลท้องถิ่นตนเอง และการอบรมสร้างอาชีพ รวมเป็นมูลค่าการช่วยเหลือกว่า 200 ล้านบาท

AIS เปิดตัวหนังสือ ’30 ปี เอไอเอส ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา’

0
สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส

เอไอเอส จัดงานเปิดตัวหนังสือ 30 ปี เอไอเอส ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา พ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกและเล่มเดียว  ผลงานของ ‘สมชัย    เลิศสุทธิวงค์’ ซีอีโอมืออาชีพ ถ่ายทอดประสบการณ์การทำงานที่ไต่เต้าจากพนักงานธรรมดา ๆ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กรด้านโทรคมนาคมอันดับ​1 ของประเทศ

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส เปิดเผยว่า หนังสือเล่มนี้ เกิดจากความตั้งใจที่อยากสื่อสารเรื่องราวของเอไอเอส โดยตั้งชื่อหนังสือว่า ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา มาจากตัวตนขององค์กร ที่เป็นเพียงบริษัทธรรมดาแห่งหนึ่ง แต่มีความไม่ธรรมดาแฝงอยู่ นั่นคือการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมการสื่อสารใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สร้างความเปลี่ยนแปลงและยกระดับประเทศไทยให้ก้าวหน้า ทัดเทียมเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ซึ่งในทุก ๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้น ล้วนแฝงไปด้วยบทเรียนที่องค์กรสั่งสม กลายเป็นองค์ความรู้ที่จะส่งต่อให้กับคนในองค์กร และอีโคซิสเต็มที่เกี่ยวข้องให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ขณะเดียวกัน ในทุก ๆ ช่วงเวลา ยังได้สร้างความเป็นคนทำงานมืออาชีพให้กับชาวเอไอเอส ปลูกฝังการมีหัวใจบริการอยู่ทุกลมหายใจ การมีพลังที่จะส่งต่อความสุข, ความสะดวกสบายจากสินค้าและบริการของเอไอเอสให้กับลูกค้าและคนไทยทุกคน ทั้งหมดนี้หล่อหลอมเกิดเป็นดีเอ็นเอแบบคนเอไอเอสมาจนถึงทุกวันนี้

เนื้อหาในเล่ม เป็นบทบันทึกพัฒนาการการเปลี่ยนผ่านทั้งในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารของเมืองไทย ตั้งแต่ยุคบุกเบิก 1G เมื่อ 30 ปีก่อน จนปัจจุบันที่เครื่องมือสื่อสารอย่างสมาร์ทโฟนเปรียบเสมือนอวัยวะที่ 33 ของมนุษย์ และก้าวมาถึงยุค 5G ตลอดจนการพัฒนาคนมืออาชีพในแบบฉบับเอไอเอส เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยตนวางแนวทางการเขียนหนังสือโดยใช้ปรัชญา 3 คำ ในทุก ๆ บท ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ผมใช้ในการทำงาน กับทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องในชีวิตการทำงานอีกด้วย

หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์บนกระดาษ EcoFiber 100%  ช่วยลดการใช้ทรัพยากร รักษาสิ่งแวดล้อม และ E-Book ในรูปแบบมัลติมีเดียที่มีครบทั้งภาพและเสียง ซึ่งในหน้าสุดท้ายของแต่ละบท ผู้อ่านสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด หรือกดรับชมภาพความประทับใจในแต่ละช่วงเวลาตลอด 30 ปี ของ เอไอเอส ในรูปแบบคลิปวิดีโอ  

“ส่วนใน E-Book ยังเพิ่มเติมความเป็นหนังสือเสียง หรือ Audio Book ที่ร่วมถ่ายทอดโดยบุคคลพิเศษที่เกี่ยวข้องกับเอไอเอส ไม่ว่าจะเป็น “น้องแบงค์-วชิรธรรม” และ “น้องแพรก-วิษณุ” เยาวชนตัวแทนจากโครงการ AIS คนเก่งหัวใจแกร่ง, “คุณโอม-นัฐภูมิ” พนักงาน Call Center ผู้พิการ ที่ได้รับโอกาสเข้าทำงานกับเอไอเอส เป็นที่แรก หลังจากพยายามหาตำแหน่งงานที่เปิดรับผู้พิการอยู่นาน, “คุณเจมส์-จิรายุ” พรีเซ็นเตอร์ ​AIS 3G คนแรก และกลุ่มพนักงานเอไอเอสจากหลากหลายหน่วยงาน”

เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2563 เป็นต้นไป ในราคา 250 บาท ผ่าน 3 ช่องทางการจัดจำหน่าย ได้แก่ AIS Online Store, แอปพลิเคชัน OokBee, ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป และในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 25 (บูธมติชน H26) ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 11 ตุลาคม 2563 ณ ชาเลนเจอร์ 2         อิมแพค เมืองทองธานี โดยรายได้จากการจำหน่ายหนังสือทั้งหมด หลังหักค่าใช้จ่าย เอไอเอสจะมอบให้แก่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว (องค์การมหาชน)

ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารให้หมอ-พยาบาล คุมเข้มชายแดนป้องกันโควิด-19

0
ยประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารเพื่อแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ในโรงพยาบาลของรัฐ 5 แห่งของจังหวัดตาก ตาม “โครงการ CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” เพื่อแบ่งเบาภารกิจทีมแพทย์ในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 บริเวณชายแดน หลังยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเมียนมาสูงเกินกว่า 9,000 คน

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศเมียนมาที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่า 9,000 คน ส่งผลให้ประเทศไทยต้องคุมเข้มชายแดนเพื่อป้องกันคนไทยจากเชื้อไวรัสนี้ด้วย

ซีพีเอฟ เป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยและได้แบ่งเบาภาระของกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือคนไทยและประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 มาตั้งแต่ช่วงต้นปี วันนี้ ซีพีเอฟ ขอนำความเชี่ยวชาญด้านอาหารของบริษัทมาช่วยแบ่งเบาภารกิจของทีมแพทย์ในจังหวัดตากอีกครั้ง เพื่อเติมกำลังกายและเป็นกำลังใจให้แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องใกล้ชิดและมีความเสี่ยงอย่างมากในสถานการณ์นี้ เนื่องจากจังหวัดตากเป็นจังหวัดชายแดนที่มีแรงงานจากเมียนมาเข้าออกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ซีพีเอฟ จะจัดเตรียมอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานให้แก่ทีมแพทย์ในโรงพยาบาล 5 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลพบพระ โรงพยาบาลแม่สอด โรงพยาบาลท่าสองยาง โรงพยาบาลแม่ระมาด และโรงพยาบาลอุ้มผาง โดยทีมงานเดลิเวอรี่ของซีพี เฟรชมาร์ท จะจัดส่งอาหารให้บุคลากรทางการแพทย์ถึงที่ทุกโรงพยาบาล

“ได้เห็นข้อความของคุณหมอท่านหนึ่งในจังหวัดตากที่บอกกว่า คุณหมอมีหน้าที่ที่ต้องป้องกันเมืองหลวงหรือเมืองชั้นกลางของประเทศไว้ให้ได้ ถ้าทัพหน้าแข็งแรง ทัพหลวงก็อุ่นใจ… ผมก็อยากจะบอกคุณหมอว่า ซีพีเอฟ จะเป็นกองหนุนเติมเสบียง ส่งพลังให้ทัพหน้าของคุณหมอสู้ภ้ยโควิด-19 ได้อย่างเข้มแข็งและมั่นใจครับ” นายประสิทธิ์ กล่าว