Home Blog Page 398

กระทรวงเกษตร หนุนส่งออกสินค้าเกษตร-ปศุสัตว์ รับเทรนด์อาหารปลอดภัยหลังโควิด-19

0

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในงานเปิดตัว หมูชีวา แบรนด์ ยูฟาร์ม ว่า กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายนำภาคเกษตรสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งหากนำเกษตรกรไปสู่จุดนั้นได้ ประเทศจะเข้มแข็ง ทั้งสังคมและเศรษฐกิจ ตัดปัญหารายได้น้อยของคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ทันที

ในสถานการณ์โควิด-19 แสดงให้เห็นชัดเจนว่าโลกต้องการอาหารปลอดภัย และการฟื้นตัวของภาคธุรกิจในหลายประเทศต้องใช้เวลานานมาก ไทยต้องพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสให้ได้ และภาคเกษตรมีความสำคัญมากในการพลิกฟื้นประเทศ ใครฟื้นเร็วกว่าคือได้เปรียบ เป็นโอกาสของธุรกิจ และของประเทศ

กระทรวงเกษตร พร้อมที่จะก้าวเดินไปด้วยกัน เพื่อสร้างรากฐานให้สังคมไทย ถ้าเกษตรกรเข้มแข็ง ชาติเข้มแข็ง เศรษฐกิจเข้มแข็ง และไทยจะเป็นผู้นำจากการผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพ เมื่อผลิตได้แล้ว และทำการเผื่อแผ่ไปสู่เกษตรกร ก็จะสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศ

ทั้งนี้ ความมั่นคงทางอาหารเป็นนโยบายของรัฐบาล และกระทรวงเกษตรฯ โดยจะร่วมมือกับเอกชนในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ออกมา ไม่เพียงรองรับความต้องการของผู้บริโภค แต่เพื่อผลักดันการส่งออกด้วย โดยผลิตภัณฑ์หมูชีวา เป็นสินค้าที่มีความสำคัญที่สามารถทำรายได้ให้ประเทศ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย เชื่อว่าไทยจะต้องติดอันดับผู้ส่งออกอาหารของโลก จากอันดับ 12 เป็น Top Ten ได้ในปีหน้า

ด้าน น.สพ. สรวิศ ธานีโต อธิบดี​กรม​ปศุสัตว์​ กล่าวว่า​กรมฯ มีหน้าที่ในการกำกับดูแลเรื่องสุขภาพ​สัตว์​ให้ปลอดโรค การส่งเสริม​การ​ผลิตของเกษตรกร​รายย่อย และการผลิตอาหาร​ปลอดภัย​ซึ่งเป็นเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค ที่กรมฯให้ความสำคัญมากขณะนี้

สำหรับหมูชีวา เป็นผลิตภัณฑ์​ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต และเป็นผลิตภัณฑ์​ที่คัดเลือกทุกองค์ประกอบเป็นอย่างดี เพื่อสุขภาพ​และเป็นการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพ​สัตว์​ ทั้งยังได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ ‘ปศุสัตว์​ OK’ นั่นหมายความว่าเป็นเนื้อหมูที่มาจากสัตว์​ที่เลี้ยงในฟาร์มมาตรฐาน GAP แปรรูป​จากโรงงานแปรรูป​ที่ได้รับใบอนุญาต​และคุณภาพ​จากกรมฯ สถานที่จำหน่ายถูกสุขลักษณะ​และสามารถตรวจสอบย้อนกลับ​ได้

​กระทรวงเกษตรและสหกรณ์​มุ่งมั่นผลักดันมูลค่าการส่งออกปศุสัตว์​ไทยสู่เป้าหมาย 2 แสนล้านบาท​ ในปี 2563​ ซึ่ง​จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์​มวลรวมภาคปศุสัตว์​ 5.6% ในปีนี้ จากการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์​

เอไอเอส ยกระดับวงการเกมในไทย เตรียมจัดงาน Thailand Zocial AIS Gaming Awards

0

นายอลิสแตร์ เดวิด จอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส เปิดเผยว่า เอไอเอส ร่วมกับ บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด (Wisesight) จัดงานมอบรางวัล Thailand Zocial AIS Gaming Awards งานประกาศรางวัลครั้งแรกของวงการเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทย เพื่อร่วมเชิดชูและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่ทำผลงานบนโซเชียลมีเดียยอดเยี่ยมในด้านเกมและอีสปอร์ตตลอดปีที่ผ่านมา ยกระดับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอีสปอร์ต อีโคซิสเต็ม พร้อมผลักดันไทยสู่อีกขั้นของการเป็นฮับอีสปอร์ตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถนำข้อมูลบนโซเชียล

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไวซ์ไซท์ กล่าวว่า ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกับเอไอเอส ในการเข้ามามีบทบาทยกระดับอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและได้รับการยอมรับในวงกว้าง โดยได้พัฒนา GAMING METRIC สำหรับวัดประสิทธิภาพบนโซเชียลมีเดียในด้านเกมและอีสปอร์ต เพื่อเชิดชูผู้เกี่ยวข้องในอีสปอร์ต อีโคซิสเต็ม อย่างเหมาะสม สร้างสรรค์ และมีผลงานยอดเยี่ยมบนโซเชียล สร้างมาตรฐานใหม่ที่ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล ซึ่งจะเป็นอีกส่วนสำคัญของการร่วมฟื้นฟูและผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

Thailand Zocial AIS Gaming Awards 2020 จะมีการมอบรางวัลเพื่อเชิดชูผู้ที่ทำงานได้ดีบนโซเชียลมีเดียจำนวน 33 รางวัลให้กับเหล่า Game publisher, Game Creator, e-Sport Player, e-Sport club, game caster รวมถึง devices และ gadget โดยแบ่งเป็น 7 กลุ่มรางวัล ได้แก่

1. The most popular game publisher จำนวน 13 รางวัล

2. The most popular game creator จำนวน 2 รางวัล

3. The most popular game creator by platform จำนวน 2 รางวัล

4. The most popular e-Sport Player and e-Sport club จำนวน 8 รางวัล

5. The most popular game caster จำนวน 1 รางวัล

6. The most popular game devices & gadget จำนวน 5 รางวัล

7. Special Awards จำนวน 2 รางวัล

Wisesight ได้พัฒนา GAMING METRIC โดยเก็บข้อมูลจากโซเชียลมีเดียทั้งหมด 5 ช่องทาง ได้แก่ Facebook, Instagram, Twitter, YouTube และ Twitch ซึ่งใช้เกณฑ์การวัดผลทั้งหมด 7 ปัจจัยด้วยกันคือ วัดปริมาณกลุ่มเป้าหมาย และผู้ติดตาม (Fans Base), วัดความสามารถในการโน้มน้าว (Intention), วัดระดับการแนะนำเนื้อหาให้กับเพื่อนหรือคนรู้จัก (Recommendation), วัดประสิทธิภาพ หรือความสนใจต่อเนื้อหา (Interaction), วัดระดับความสนใจของผู้ติดตามที่มีต่อเนื้อหา (View), วัดระดับการ กระจายเนื้อหาผ่านปริมาณการแชร์บนโซเชียลมีเดีย (Share), วัดปริมาณการพูดถึงผลงานของเกมครีเอเตอร์ เกมแคสเตอร์ นักกีฬา e-sport เกมต่างๆ จากโซเชียลมีเดีย และ (Social Voice)

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : ห้องเรียนนักลงทุน (3)

0

คราวที่แล้วเราได้ชี้ทางเลือกการลงทุนในตลาดทุน หรือลายแทงขุมทรัพย์ เพื่อนำเงินออมออกไปลงทุน สร้างผลตอบแทนให้งอกเงย ไว้ 6 ประเภท คือ 1.ลงทุนในหุ้น 2.ลงทุนอนุพันธ์ ทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง 3.กองทุนรวม เงินลงทุนเติบโตโดยมืออาชีพ 4. DW ลงทุนน้อยกว่า โอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า 5.อีทีเอฟ ซื้อง่ายขายคล่อง ผลตอบแทนตามดัชนี 6.ตราสารหนี้ เสี่ยงน้อยผลตอบแทนสม่ำเสมอ และมีการลงทุนทางเลือกอื่นๆ เช่น การลงทุนในทองคำและอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

วันนี้ “คุณนายพารวย” จะพามารู้จักการลงทุนในตลาดหุ้น คือการเข้าไปซื้อขายหุ้นสามัญในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผู้ถือหุ้นจะมีโอกาสได้ผลตอบแทน 2 ทางคือ จาก “เงินปันผล” เมื่อบริษัทมีกำไรและมีนโยบายจ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิ

และเมื่อกิจการมีผลการดำเนินงานดี กำไรเติบโต นักลงทุนก็อยากที่จะเข้ามาซื้อหุ้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นทำให้มีโอกาสได้ “กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น” ที่สูงขึ้นด้วย แต่ในทางกลับกันก็มีโอกาสขาดทุนจากราคาหุ้นที่ลดลงเช่นกัน

ก่อนอื่นจะต้องย้ำว่า การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ผู้ที่จะเข้ามาลงทุนจะต้องศึกษาหาความรู้สร้างความเข้าใจ วิเคราะห์ธุรกิจหุ้นที่จะเข้าลงทุนอย่างดี เช่น งบการเงิน แผนการดำเนินงานและการเติบโตในอนาคต และศึกษาบทวิเคราะห์มุมมองโบรกเกอร์

ขณะเดียวกันสิ่งที่จะบอกก็คือ จากข้อมูลสถิติพบว่า การลงทุนในตลาดหุ้นแม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน หากเรามีการลงทุนระยะยาวหรือให้เวลากับการลงทุน

ทั้งนี้ เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ www.set.or.th/investnow หัวข้อ “รอบรู้ออมหุ้น DCA” ได้รวบรวมข้อมูลและสถิติย้อนหลังพบว่า การลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์อื่น โดยผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ย 10 ปี (ปี 2551-60) การลงทุนในตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยปีละ 11.61% ขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทน 5.15% ลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทน 4.5% ขณะที่การทิ้งเงินฝากไว้ในบัญชีเงินฝากประจำให้ผลตอบแทนปีละ 1.73% เท่านั้น

นอกจากนี้ยังพบว่า การออมเดือนละ 5,000 บาท ในสินทรัพย์ต่างๆทุกเดือนเป็นเวลา 10 ปี ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2551-60 พบว่าออมเงินในหุ้นจะได้ผลตอบแทนงอกเงยรวมเป็น 1,100,000 บาท (คำนวณจากผลตอบแทนใน TDEX ซึ่งอ้างอิงการลงทุนใน SET50) ออมในพันธบัตรรัฐบาลได้ 780,000 บาท ออมทองคำ 750,000 บาท และฝากประจำได้ 650,000 บาท

ดังนั้น “คุณนายพารวย” อยากแนะนำมือใหม่ที่อยากลงมือลงทุนซื้อขายหุ้นด้วยตัวเองให้เริ่มจากการลงทุน “ออมหุ้น” ซึ่งขณะนี้หลายโบรกเกอร์มีบริการเปิดพอร์ตเพื่อให้ลงทุนผ่านโปรแกรมออมหุ้น

โดยเฉพาะการออมหุ้นแบบ DCA (Dollar Cost Averaging) ซึ่งเป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบ “ถัวเฉลี่ยต้นทุน” ด้วยการทยอยลงทุนหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ในจำนวนเงินที่เท่าๆกันอย่างสม่ำเสมอ และเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการลงทุน และช่วงเวลาลงทุนในแต่ละเดือน โดยสามารถเริ่มต้นออมหุ้นด้วยเงินไม่มาก โดยเริ่มได้ตั้งแต่เดือนละ 1,000 บาทเท่านั้น

ครั้งหน้าเราจะมาเรียนรู้และทำความรู้จักกับการออมหุ้นแบบ DCA กันให้มากขึ้น!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน.. สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ นสพ.ไทยรัฐ

ทรู 5G สร้างระบบนิเวศดิจิทัลเพื่อการศึกษาไทย ยกระดับสู่ Smart EducationSmart University

0

นายอาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น  เปิดเผยว่า การสนับสนุนภาคการศึกษาไทยเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของกลุ่มทรูมาโดยตลอด โดยเฉพาะการนำศักยภาพด้านเทคโนโลยีสื่อสารร่วมสร้างโอกาสและเพิ่มการเข้าถึงองค์ความรู้แก่เยาวชนไทยในทุกรูปแบบ ซึ่งโครงการ  True5G World of Smart Education with Temi Robot Bootcamp เป็นโอกาสดีที่กลุ่มทรูจะนำศักยภาพความอัจฉริยะของทรู 5G ร่วมสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลให้วงการการศึกษาไทย พร้อมนำองค์ความรู้ยกระดับวงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้ก้าวสู่ Smart Education Smart University อย่างยั่งยืน โดยส่งมอบหุ่นยนต์อัจฉริยะ True5G Temi Connect &Carebot ให้แก่พันธมิตรสถาบันการศึกษา 20 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ทั้งยังจัด Bootcamp อบรมผ่านแพลตฟอร์ม “VLEARN” นำความรู้ความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำด้านดิจิทัลเทคโนโลยีครบวงจร ที่มีโซลูชันและเทคโนโลยีอัจฉริยะ ทั้ง AI, Robotics, Deep Data Analytics และ Smart IoT เสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ให้นิสิตนักศึกษามีความรู้เบื้องต้นด้านเทคโนโลยี 5G และหุ่นยนต์ รวมถึงการเขียนโปรแกรมของหุ่นยนต์ โดยใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะ True5G Temi Connect &Carebotผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ True5G  ในการพัฒนานวัตกรรม ต่อยอดไอเดียให้เป็นรูปธรรม โดยรับโจทย์จากห้างสรรพสินค้า แล้วนำมาพัฒนาสร้างโปรแกรม เพื่อให้เกิดการใช้งานหุ่นยนต์ได้จริง ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะให้นิสิตนักศึกษาสามารถต่อยอดไปเป็นสตาร์ทอัพได้ในอนาคต

โครงการดังกล่าว มุ่งเพิ่มศักยภาพและทักษะของนิสิตนักศึกษาในการพัฒนาแอปพลิเคชันหุ่นยนต์ที่ใช้งานได้จริงในธุรกิจค้าปลีก สนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่าสูงและเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศโดยมีพันธมิตรมหาวิทยาลัยชั้นนำ 20 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  มหาวิทยาลัยบูรพา และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมยังมีสิทธิพิเศษ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค โค-เวิร์คกิ้ง สเปซ” ให้นิสิตนักศึกษานั่งฟรี 12 เดือน และรางวัลเงินสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมรวมมูลค่ากว่า 750,000 บาท โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่วันที่1 กันยายน 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564

ด้าน ผศ. ศศิธร แก้วมั่น คณบดีคณะวิทยาการสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า Temi Robot ทำให้การเรียนการสอนเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นโครงการที่ดีที่ทำให้นักศึกษาได้เรียนรู้และสามารถเห็นการพัฒนาจากโจทย์จริงๆ และมีผู้ใช้ประโยชน์จากผลงานของนักศึกษาจริงๆ ทั้งยังสามารถนำไปต่อยอดใช้งานในรูปแบบอื่นได้ด้วย

การมอบหุ่นยนต์อัจฉริยะ True5G Temi Connect &Carebotแก่มหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่จุดประกายการสร้างสรรค์นวัตกรรม 5G เพื่อยกระดับภาคการศึกษาไทยสู่ Smart Educationซึ่งมหาวิทยาลัยถือเป็น hub ที่สำคัญมาก มีองค์ความรู้มากมาย มีการทดลองและพัฒนาด้าน Innovation และ R&D เป็นการนำเทคโนโลยี 5G มาพัฒนาต่อยอด และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่Smart Nation อย่างยั่งยืนต่อไป

บีทีเอสทดสอบเดินรถเส้นทางวัดพระศรีมหาธาตุ-คูคต เตรียมเปิดบริการปลายปีนี้

0

นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้นำขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอส เข้าดำเนินการทดสอบการเดินรถ ต่อจากสถานีวัดพระศรีมหาธาตุ จำนวน 7 สถานี ตั้งแต่ สถานีพหลโยธิน 59, สถานีสายหยุด, สถานีสะพานใหม่, สถานีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช, สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ, สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต ซึ่งเป็นสถานีปลายทางของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต -สะพานใหม่-คูคต รวมระยะทาง 9.8 กิโลเมตร เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการเปิดทดลองให้บริการภายในปลายปี 2563 นี้

สุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บีทีเอส

การทดสอบการเดินรถได้นำรถไฟฟ้าวิ่งทดสอบในราง (Test Track) ทั้งเส้นทาง และวัดระยะระหว่างโครงสร้างกับตัวรถไฟฟ้า รวมถึงตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้ง ไม่กีดขวางการเดินรถ

ภาพรวมการทดสอบเดินรถไป-กลับระหว่าง 7 สถานี ผลการทดสอบเป็นไปได้อย่างราบรื่น ไม่มีข้อบกพร่อง

โดยเตรียมทดสอบระบบรวม (System Integration Test) เช่น ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบการสื่อสาร เพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานทุกระบบสอดคล้องกัน มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัย

ความคืบหน้าการก่อสร้างงานโยธา และติดตั้งระบบไฟฟ้าทั้งโครงการแล้วเสร็จ 100 % พร้อมเปิดให้บริการตลอดเส้นทาง ภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้รถไฟฟ้าบีทีเอสมีสถานีให้บริการทั้งหมด 59 สถานี รวมระยะทางทั้งสิ้น 68.25 กิโลเมตร

สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือส่วนต่อขยายตั้งแต่สถานีพหลโยธิน 59 ถึง สถานีคูคต ได้มีการดำเนินการติดตั้งประตูกั้นชานชาลา (Platform Screen Doors หรือ PSD) เรียบร้อยทั้ง 7 สถานี และทดสอบการใช้งานพร้อมให้บริการ ส่วนความคืบหน้าการติดตั้งประตูกั้นชานชาลาที่ สถานีสุรศักดิ์ และสถานีทองหล่อ ทางบริษัทฯ ได้ดำเนินการติดตั้งตามแผนเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ก.ล.ต.เผยยอดผู้สัมภาษณ์งาน 1,200 คน ประกาศผล 20 ต.ค.นี้

0

จากการที่ก.ล.ต. ได้จัดทำ “โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน” เพื่อเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่เข้าสู่เส้นทางอาชีพในตลาดทุน โดยเริ่มเปิดรับสมัครระหว่าง วันที่ 26 – 28 กันยายน 2563 ในงาน Job Expo Thailand 2020 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ซึ่งจัดโดยกระทรวงแรงงาน รับสมัครผ่านช่องทางออนไลน์ และจัดงาน “สมัครงานกับ ก.ล.ต.” วันที่ 5 ตุลาคม 2563 ณ อาคารกีฬานิมิบุตร กรุงเทพมหานคร นั้น

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า สำนักงาน ก.ล.ต.ได้เปิดรับสมัครงาน 11 กลุ่มลักษณะงาน เพื่อเปิดให้ผู้จบการศึกษาใหม่ที่สมัครงานใน “โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน” เข้าร่วมงานกับสำนักงาน ก.ล.ต. ในวันที่ 5 ตุลาคม นี้ มีผู้เข้ารับการสัมภาษณ์กว่า 1,200 คน ซึ่งพบว่า มีผู้จบการศึกษาจากหลากหลายสาขาและจากสถาบันการศึกษาทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด สำนักงาน ก.ล.ต. ขอขอบคุณผู้สนใจสมัครและเข้าร่วมรับสัมภาษณ์ในครั้งนี้ โดยจะประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกในวันที่ 20 ตุลาคม 2563 และจะสามารถเริ่มงานได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 มีสัญญาการจ้างงาน 1 ปี สำนักงาน ก.ล.ต. หวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ร่วมสนับสนุนให้ผู้จบการศึกษาใหม่ได้มีอาชีพ”

ทั้งนี้ “โครงการเสริมศักยภาพคนรุ่นใหม่สู่ตลาดทุน” จะเปิดรับสมัครผู้จบการศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรี และปวส. จำนวน 100 อัตรา มีระยะเวลาการจ้างงาน 1 ปี โดยผู้สมัครต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่เกิน 25 ปี หรือหากอายุเกิน 25 ปีต้องจบการศึกษาในปี 2560 – 2563 ไม่จำกัดสาขา

กลุ่มทรู ยืนหนึ่งนวัตกรรมดิจิทัล คว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ 63

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า   นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษเนื่องในวันนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2563 จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำโดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ทั้งนี้ ในงานดังกล่าว ยังได้มีการมอบรางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านเศรษฐกิจ ระดับรางวัลเกียรติคุณ ประเภทองค์กรขนาดใหญ่ แก่กลุ่มทรู โดย ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้แทน ในฐานะองค์กรที่คิดค้นและพัฒนาผลงานนวัตกรรมที่สามารถสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม 

สิงห์ปาร์คฯ เปิดโครงการ “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ปลุกกระแสท่องเที่ยวเชียงราย ช่วงปลายฝนต้นหนาว

0

“สิงห์ปาร์ค เชียงราย” จับมือหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ปลุกกระแสท่องเที่ยวปลายฝนต้นหนาว  ผุดโปรเจ็ค “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ต้อนรับนักท่องเที่ยวเดินทางสู่จังหวัดเชียงราย สัมผัสธรรมชาติเขียวขจี มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พลิกฟื้นชีวิต ฝ่าวิกฤติโควิด-19  ดีเดย์ตุลาคมนี้ คาดสร้างงาน ดันรายได้ให้จังหวัดเชียงราย

การประกาศความร่วมมือครั้งนี้ มีนายพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด  ร่วมกับ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางกรุณา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย กับ นางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดเชียงราย, นายวิโรจน์ ชายา นายกสมาคมโรงแรมเชียงราย และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ปลุกกระแสการท่องเที่ยว ในโปรเจ็ค “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ”  เพื่อใช้จุดเด่นเรื่องธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายในช่วงปลายฝนต้นหนาว สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน  อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย

นายพงษ์รัตน์ เปิดเผยว่า สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของจังหวัดเชียงราย ตั้งใจสนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนทุกภาคส่วนธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น ททท. สำนักงานเชียงราย เทศบาลนครเชียงราย ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวหลายๆกลุ่มในจังหวัด ร่วมกันผลักดันโครงการ “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ในช่วง Green Season ทั้งนี้ทาง สิงห์ปาร์คเองก็ยังเตรียมแพ็คเกจ ทั้งการท่องเที่ยว และร้านอาหาร ไว้รองรับนักท่องเที่ยวตลอดฤดูกาลท่องเที่ยวนี้ด้วย

ช่วงหน้าฝน เชียงรายมีทัศนียภาพที่สวยงาม บรรยากาศธรรมชาติเขียวสดชื่น เหมาะกับการท่องเที่ยวอย่างมาก มีความชุ่มชื้นของความเป็นป่าเขา และอากาศดี ประกอบกับเชียงรายเองก็เรียกได้ว่าเป็นจังหวัดท่องเที่ยวอยู่แล้ว จึงมีความพร้อมในการรับรองนักท่องเที่ยว และขอเชิญชวนให้มาท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย สำหรับสิงห์ปาร์ค ก็มีทั้งร้านอาหาร และการท่องเที่ยวภายในสิงห์ปาร์คเอง หรือในส่วนอื่นๆ เช่น ธุรกิจของโรงแรมที่ได้มีการร่วมมือกันเพื่อที่จะผลักดันโปรเจ็ค แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ ให้สามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เปิดเผยว่า เทศบาลนครเชียงราย ได้จัดตั้ง Information Hub เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้งที่สนามบิน สถานีขนส่งเชียงราย ไนท์บาซ่า โดยเฉพาะที่ตลาดไนท์บาซ่า จะมีการจัดแสดงพิเศษ หรือกิจกรรมส่งเสริมชุมชน จำหน่ายสินค้าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ มีความคราฟต์ รูปแบบเฉพาะของชุมชนเชียงรายที่หาดูได้ยาก ขณะเดียวกันได้ประสานสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย และภาคีเครือข่าย จัดทำแพ็คเกจท่องเที่ยวรองรับฤดูกาลท่องเที่ยว กรีน ซีซั่น ที่ครบวงจร สอดคล้องเป็นเอกภาพทุกภาคส่วน เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวตั้งแต่มาถึงที่เชียงราย มุ่งสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวฤดูฝนที่สวยงามไม่แพ้ในช่วงไฮ ซีซั่น ฤดูหนาว

ด้านผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย เผยว่า ทางจังหวัดได้เตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนในช่วงนี้ เพื่อให้มาท่องเที่ยวอย่างมีความมั่นใจ มาแล้วปลอดภัยและสะดวกสบาย ทั้งนี้เราได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งด้านที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝากและสินค้าที่ระลึก รวมทั้งข้อมูลด้านการเดินทางท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนในช่วง Green Season นี้ โดยเชียงรายนั้นมีทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวอันหลากหลาย ทั้งด้านธรรมชาติป่าเขาในเขตอุทยานแห่งชาติ นาขั้นบันได ไร่ชา วัดวาอาราม วิถีชีวิตชนเผ่าและชาติพันธุ์ ดนตรีพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง รวมถึงสัมผัสศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมหลากหลาย ที่จะสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวไม่รู้ลืม

ในส่วนของผู้ประกอบการทางด้านโรงแรม ที่พัก ร้านอาหารต่างๆ รวมไปถึงผู้ประกอบการรถเช่าในจังหวัดเชียงราย ได้จัดเตรียมแพคเกจและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยที่จะมาเยือนเมืองเชียงรายในช่วงฤดูวันฝนพรำนี้ โดยสำหรับกลุ่มโรงแรมและที่พักมีโปรโมชั่นในหลายระดับราคา หรือไม่ว่าจะความพร้อมของมาตรฐานเรื่องระบบขนส่ง รถทัวร์ รถตู้ ที่เตรียมรอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน

สำหรับฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วง Green Season “แอ่วเจียงฮายวันฝนพรำ” ครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ และความกินดีอยู่ดีให้คนเชียงรายได้เป็นอย่างดี และจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในจังหวัดอย่างมากมาย ขอเชิญชวนคนไทยทั่วประเทศ เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเชียงรายในช่วงฤดูฝนนี้ รับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

เครือซีพี ผนึกประชาคมโลก ประกาศเจตนารมณ์ Race to Zero นำองค์กรสู่ยุคเศรษฐกิจปลอดคาร์บอน

0

เว็บไซต์ UNFCCC   รายงานการประชุม Climate Week NYC ของสหประชาชาติ โดยระบุว่านายศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอ เครือซีพี ประกาศเจตนารมณ์ “Race to Zero” หรือ “ปฏิบัติการแข่งขันเพื่อคาร์บอนเป็นศูนย์” พาองค์กรธุรกิจก้าวสู่ยุค “เศรษฐกิจปลอดคาร์บอน” ตั้งเป้าหมายนำเครือซีพีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2030 พร้อมชูวิสัยทัศน์ใช้เทคโนโลยี-นวัตกรรมขั้นสูงในกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  

กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC ) เผยแพร่บทความ “Commitments to Net Zero Double in Less Than a Year” ในสัปดาห์ Climate Week NYC ระหว่างวันที่ 21 – 27 ก.ย. 2563 ซึ่งจัดโดยสหประชาชาติ โดยระบุว่า นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้กล่าวว่าในฐานะกลุ่มบรรษัทผู้นำของเอเชียที่มีธุรกิจหลักด้านอาหารและการเกษตร  เครือซีพีมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคการเกษตร และส่งเสริมให้ผู้บริโภคเลือกรับประทานอาหารที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้เครือซีพีมีความมุ่งมั่นและมีเป้าหมายในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2573 โดยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและสร้างสรรค์นวัตกรรม รวมถึงการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรและนักลงทุนทั้งหลายของเราจากหลากหลายธุรกิจในเครือทั่วโลก

นอกจากนี้ นายศุภชัยยังได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องการใช้พลังของเครือซีพีช่วยขับเคลื่อนภาคเกษตรลดโลกร้อน ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ และปรับใช้แนวทางการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ที่มีประสิทธิภาพและเร่งนำมาตรการประหยัดพลังงานมาใช้ ขณะที่การลดขยะอาหารจะต้องได้รับแรงสนับสนุนจากทั้งผู้บริโภคและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน อีกทั้งการสร้างความตระหนักรู้ผ่านระบบการศึกษา ความเป็นผู้นำทั้งในและนอกองค์กร และการทำงานร่วมกันจะช่วยทำให้สิ่งนี้เป็นจริง 

การปรับตัวไปสู่การเป็นองค์กรที่ดำเนินเศรษฐกิจด้วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ได้นั้น จะต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการผลิตจะทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำระบบดิจิทัลมาใช้ในระบบจะทำให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งต้องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเกษตรกร ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของเครือซีพี ดังนั้นการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้ถึงระดับเป็นศูนย์ ควรเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดความสามารถของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทุกบริษัทเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ขยายผลได้

ด้านความเห็นของซีอีโอชั้นนำของโลกคนอื่น ๆ ที่ได้ร่วมในงาน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น นายแบรด สมิธ กรรมการผู้จัดการของไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น บอกว่า ไมโครซอฟท์จะเป็นองค์กร Carbon Negative และ Water Positive ภายในปี 2030 คือจะต้องดูดซับคาร์บอนมากกว่าที่ปล่อยออกไป และสร้างน้ำสะอาดคืนสู่ธรรมชาติให้มากกว่าที่ใช้ไป , นายแจน เจ็นนิสช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาฟาร์จโฮลซิม เห็นว่า หลายประเทศมุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด การลงทุนก่อสร้างโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคเป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องตระหนักถึงการพัฒนาการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน และส่งเสริมระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน และนาย ฌอง-ปอลล์ เอกอน ซีอีโอ L’Oreal (ลอรีอัล) กล่าวว่า ลอรีอัลได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปี 2020 ได้ถึง 80% บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิต การวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกระจายสินค้า เพื่อให้สินค้าของบริษัทสร้างผลบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

สืบสานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” วัดสุทธาโภชน์ ส่งเสริมการท่องเที่ยว

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2563 นายเกรียงยศ สุดลาภา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เดินทางมาเป็นประธานเปิดงานประเพณี ”ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” พระภิกษุสงฆ์และสามเณร จำนวน 115 รูป วัดสุทธาโภชน์ ประจำปี 2563 โดยมี นายธนะสิทธิ์ เมธพันธ์เมือง ผู้อำนวยการเขตลาดกระบัง พร้อมด้วย ผู้บริหารเขตกลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัด ผู้แทนสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนประธานสภาวัฒนธรรมเขตลาดกระบัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชน ร่วมพิธี ณ บริเวณริมฝั่งคลองลำปลาทิว ท่าน้ำวัดสุทธาโภชน์ เขตลาดกระบัง

งานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” เป็นประเพณีของชาวไทยเชื้อสายรามัญที่ยังคงยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมายาวนานกว่า 100 ปี หลังวันออกพรรษาของทุกปี และเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของคนไทยที่มีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาด้วยการทำบุญตักบาตรมาแต่ครั้งอดีตกาลตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในสมัยก่อนนั้นยังไม่มีถนนหนทางที่สะดวก ยังคงใช้แม่น้ำลำคลองในการเดินทางไปมาหาสู่ติดต่อกัน รวมถึงการทำบุญตักบาตรของชาวบ้านในสมัยก่อนนั้น พระภิกษุสงฆ์จะออกรับบิณฑบาตโดยทางเรือ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมของชาวลาดกระบังที่ยังคงเห็นความเป็นรากเหง้าแก่นแท้ของความเป็นไทย เพื่อสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามมาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับงาน “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” ของวัดสุทธาโภชน์ มีประชาชนทั้งในพื้นที่เขตลาดกระบังและปริมณฑลตลอดจนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าร่วมงานทั้งสองฝั่งคลองลำปลาทิวหน้าวัดสุทธาโภชน์เป็นจำนวนมาก โดยผู้ร่วมงานจะแต่งกายด้วยชุดไทยรามัญ นับว่าเป็นประเพณีตักบาตรพระทางเรือแห่งเดียวของกรุงเทพมหานครที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมดังกล่าว โดยกิจกรรมประเพณีตักบาตรพระร้อยทางเรือ ประกอบด้วย การตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ในเรือจำนวน 115 รูป ในช่วงเช้า การถวายสำรับคาวหวานในช่วงสาย การถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ และการแข่งขันเรือพายพื้นบ้าน 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทเรือมาด 9 ฝีพาย และเรือมาด 12 ฝีพาย ชิงถ้วยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในช่วงบ่าย ซึ่งในแต่ละกิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นได้มีการดำเนินการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 อย่างเข้มงวด อาทิ จัดให้มีจุดคัดกรองเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าร่วมงาน จำนวน 8 จุด มีการรณรงค์ให้ผู้ร่วมงานสวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาในการจัดกิจกรรม รวมถึงมีจุดให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือทั่วพื้นที่จัดกิจกรรม

รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า งานประเพณี “ตักบาตรพระร้อยทางเรือ” ของวัดสุทธาโภชน์ เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยเชื้อสายรามัญที่ยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์แรกหลังวันออกพรรษาของทุกปี มีพี่น้องประชาชนทั้งในพื้นที่เขตลาดกระบังและปริมณฑล รวมทั้งนักท่องเที่ยว ที่มีความเลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนาหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานทำบุญตักบาตรพระร้อยทางเรือเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่ยังคงอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ได้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามและมีความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน นอกจากนี้ในช่วงบ่ายยังมีการจัดการแข่งขันประเพณีเรือพายพื้นบ้าน ซึ่งแสดงออกถึงความรัก ความสามัคคีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องท้องถิ่นลาดกระบัง ที่สมควรอนุรักษ์สืบสานให้อยู่คู่ลำน้ำลำปลาทิวตลอดไป ซึ่งกรุงเทพมหานครยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามของชาวลาดกระบังให้คงอยู่คู่กับกรุงเทพมหานครสืบไป อีกทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครตามนโยบายของพล.ต.อ อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ต้องการให้คนกรุงเทพฯ มีความภาคภูมิใจในรากฐานทางวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยสืบไป รวมถึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยอีกด้วย

ที่มา สำนักงานประชาสัมพันธ์ กรุงเทพมหานคร