Home Blog Page 377

เครือซีพี เดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนภายในปี 2030

0

เครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดงาน “CG Network Recognition  Awards” ซึ่งถือเป็นการจัดงานมอบเกียรติบัตรเชิดชูผู้บริหารตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไปจากกลุ่มธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทั้งบริษัทจดทะเบียนและไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีส่วนร่วมเป็นกำลังสำคัญในการเป็นเครือข่ายสนับสนุนการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลของเครือฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนเครือฯให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนของเครือฯภายในปี 2030 โดยได้รับเกียรติจาก คุณ สุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นผู้มอบเกียรติบัตร ทั้งนี้มีผู้ได้รับเกียรติบัตรจำนวน 72 คนจาก 18 กลุ่มธุรกิจของเครือฯ

คุณ รงค์รุจา สายเชื้อ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านธรรมาภิบาล สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาลและสื่อสารองค์กร เครือฯ กล่าวสรุปผลการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลของเครือฯในปี 2563 ว่า  เครือเจริญโภคภัณฑ์มีความก้าวหน้าและสามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานด้านธรรมาภิบาลที่ตั้งไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการขับเคลื่อนภารกิจที่สำคัญ 3 ด้าน คือ การพัฒนาศักยภาพ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการเปิดเผยข้อมูลและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ในด้านการพัฒนาศักยภาพ สามารถบรรลุเป้าหมายได้ครบสมบูรณ์ มีการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างการกำกับดูแลกิจการที่ดีให้กลุ่มธุรกิจในเครือฯที่ไม่ได้จดทะเบียนที่ชัดเจนมากขึ้นทำให้เกิดความโปร่งใสของการปฏิบัติงาน มีการพัฒนาระบบการกำกับดูแล กระบวนการติดตามและการรายงานผล รวมไปถึงการพัฒนานโยบายและแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ธรรมาภิบาล โดยปีนี้ยังเป็นปีแรกที่ได้มีการจัดทำการประเมินตนเองเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นการจัดทำแนวปฏิบัติในการป้องกันความเสี่ยงจากการทุจริตคอร์รัปชั่นด้วย

ด้านการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของปีนี้ มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าภูมิใจ โดยพนักงานในเครือฯ 350,000 คนทั่วโลก ได้ร่วมทำการทดสอบและเข้ารับการอบรมจริยธรรมธุรกิจ หรือ Code of Conduct (CoC ) ซึ่งผลการดำเนินการในด้านการสร้างการเรียนรู้และทดสอบกับพนักงานทั่วโลกเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ พร้อมกันนี้ยังได้มีการจัดฝึกอบรม Top Executive Training 4 หลักสูตร และ Manager Training 4 หลักสูตร ตลอดจนมีการจัด CEO Interview สัมภาษณ์ผู้นำองค์กรในการผลักดันนโยบายด้านการกำกับและส่งเสริมกิจการที่ดี

สำหรับการเปิดเผยข้อมูลและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยได้มีการจัดทำรายงานประจำปี CG Report เผยแพร่สาธารณะเพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสของการดำเนินธุรกิจ และจัดทำจดหมายข่าว (Newsletter) รูปแบบออนไลน์ CG Voices รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการสื่อสารด้านธรรมาภิบาลให้กับพนักงานในเครือฯผ่านแพลทฟอร์ม CPG Connect และเว็บไซต์ We are CP

ซีพีเอฟ ชู “บัลลังก์โมเดล” สร้าง สมาร์ทฟาร์มเมอร์ ปลูกข้าวโพดยั่งยืน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมกับ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ภายใต้กลุ่มธุรกิจการค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ เดินหน้า ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อย ในเทศบาลตำบลบัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา ใช้ความรู้และเทคโนโลยีทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ปลดล็อกปัญหาความยากจน ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร ภายใต้ โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” ขับเคลื่อนห่วงโซ่การผลิตอาหารอย่างรับผิดชอบ ตรวจสอบย้อนกลับได้ ระบุวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์มาจากพื้นที่ปลูกถูกต้องมีเอกสารสิทธิ์ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม พัฒนาศักยภาพเกษตรกร เป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์เติบโตอย่างยั่งยืนในวิถีใหม่

นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฏ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นปีที่ 5 ของการดำเนินโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน”​ เกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการฯ 800 ครอบครัวในพื้นที่เทศบาลตำบลบัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา และใกล้เคียง ครอบคลุมพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 15,000 ไร่ ต่างพอใจกับผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในฤดูกาลนี้มาก ได้ผลผลิตที่ดีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งจากปริมาณฝนที่เพียงพอ และที่สำคัญ เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการปลูกมากขึ้น ผ่านการใช้เครื่องมือ และการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Chatbot เข้ามาช่วยเกษตรกรรายย่อยได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการปลูก การเก็บเกี่ยว จนถึงการจัดจำหน่ายผลผลิต

โปรแกรม Chatbot เป็นหนึ่งเทคโนโลยีช่วยตอบโจทย์ในการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรรายย่อยในวิถีใหม่ ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเกษตรกร ได้เข้าถึงและรับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของเกษตรกร ได้แก่ ข้อมูลราคารับซื้อรายวัน สภาพอากาศ ที่จะเป็นตัวช่วยให้เกษตรกรในกำหนดเวลาปลูกและเก็บเกี่ยว เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงสุด ผลผลิตต่อไร่ดี และ ราคารับซื้อข้าวโพดของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ของซีพีเอฟ จะช่วยให้ เกษตรกรได้รับรู้ความเคลื่อนไหวของตลาดและราคารับซื้อข้าวโพดที่เป็นปัจจุบัน ช่วยป้องกันปัญหาเกษตรกรถูกเอาเปรียบ และมีทางเลือกในการจำหน่ายผลผลิตหรือเลือกขายให้กับโรงงานผลิตอาหารสัตว์ของซีพีเอฟโดยตรงได้

นายวิเชียร ใกล้สันเทียะ เกษตรกรในเทศบาลบัลลังก์ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 140 ไร่ กล่าวว่า โครงการเกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน และการเปิดรับซื้อผลผลิตโดยตรงของซีพีเอฟ เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มาก ช่วยแก้ปัญหาการถูกกดราคาผลผลิต การวัดความชื้น การชั่งน้ำหนักของโรงงานที่เป็นธรรมและได้มาตรฐาน ทำให้เกษตรกรมีกำลังใจที่จะพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ดีตามที่โครงการฯ เข้ามาช่วยแนะนำ ทำให้ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในปีนี้ดีขึ้น นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมของบริษัท ยังให้ความสำคัญกับดิน โดยมีการเข้ามาช่วยวิเคราะห์คุณภาพของดิน และให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยขี้ไก่และการฝังกลมตอซังข้าวโพด ไม่เผาแปลงเพาะปลูก ทำให้คุณภาพของดินดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“บัลลังก์โมเดล” นับเป็นพื้นที่แรกในการนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้เพื่อพัฒนาเกษตรกรรายย่อยสู่การเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตั้งแต่ การวิเคราะห์แร่ธาตุและอาหารในดินเพื่อทำสูตรปุ๋ยที่เหมาะสมให้ได้ผลผลิตดีที่สุด การนำเทคโนโลยี GIS (Geographic Information System) มาใช้ในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์สภาพพื้นที่เพาะปลูกอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่การจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุด นำโปรแกรม Chatbot มาใช้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีการสนับสนุนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ด้วยการจัดหารถเก็บเกี่ยวและรถขนส่ง รวมถึงช่วยเหลือค่าใช้จ่ายค่าเก็บเกี่ยวและค่าขนส่งบางส่วน เพื่อลดภาระต้นทุน แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดี และร่วมสนับสนุนการผลิตวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” เป็นความร่วมมือระหว่าง ซีพีเอฟ กับ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ซีพีเอฟ ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์บนพื้นที่มีเอกสารสิทธิ์ ได้ทำการเกษตรให้ได้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ บนพื้นฐานการเกษตรที่ดีตามมาตรฐาน เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง ใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างเหมาะสม และได้ต่อยอดร่วมมือกับภาครัฐ และเทศบาลตำบลบัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา สร้าง “บัลลังก์โมเดล”​ ตั้งแต่ปี 2559 เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในเทศบาลตำบลบัลลังก์ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์​ยั่งยืนแบบครบวงจร โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างต้นแบบกลุ่มเกษตรกรที่มีความรู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามหลักวิชาการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีการบริหารจัดการในรูปแบบเกษตรแปลงใหญ่ นำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุน ปลดล็อกปัญหาราคาตกต่ำ และความยากจนของเกษตรกร ควบคู่กับการสร้างความพร้อมให้เกษตรกรไทยเข้าสู่ยุคเกษตรทันสมัย โดยใช้ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ และมีส่วนร่วมสนับสนุนการสร้างห่วงโซ่อาหารที่รับผิดชอบและยั่งยืน

ซีพีเอฟ ปลดล็อกศักยภาพบุคลากรสร้างผู้นำแห่งอนาคต

0

จัดเสวนาพิเศษ The Creator : Be a Leader Who Creates Future Leaders

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ The Creator : Be a Leader Who Creates Future Leaders เพื่อสนับสนุนให้ผู้นำได้ปลดล็อกศักยภาพของตน สู่การเป็นนักสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้ประสบความสำเร็จในงานตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยผู้เข้าร่วมเสวนาจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงของผู้นำจากองค์กรขนาดใหญ่ และผู้นำจากบริษัทสตาร์ทอัพที่เติบโตเป็นองค์กรชั้นนำ สามารถบริหารคนรุ่นใหม่ด้วยมุมมองการเป็นผู้นำแบบชี้แนะแต่ไม่ชี้นำ เพื่อก้าวสู่การสร้างคนรุ่นใหม่ให้กลายเป็นผู้นำแห่งอนาคต

นางสาวพิมลรัตน์ รีพัฒนาวิจิตรกุล รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ด้านทรัพยากรบุคคล ซีพีเอฟ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ต้องการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ โดยเน้นการทำงานแบบรวดเร็วควบคู่กับคุณภาพ เพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วจะมีการประชุมร่วมกันระหว่างผู้บริหารในโครงการต่างๆเป็นประจำทุกเดือน แต่ครั้งนี้เป็นการเชิญวิทยากรผู้มีประสบการณ์ทั้งในด้านองค์กรและสตาร์ทอัพมาให้ถ่ายทอดเรื่องการทำงานจนประสบความสำเร็จ พร้อมทั้งเปิดให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ถ่ายทอดประสบการณ์และพูดคุยถึงปัญหาที่พบในการทำงาน

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จัดให้มีวิทยากรภายนอกมาร่วมเสวนา ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานอย่างมาก และในครั้งถัดไปทีมงานจะรวบรวมและจัดหัวข้อเสวนาโดยใช้ผลการสำรวจความคิดเห็นว่าผู้นำแต่ละท่านต้องการเพิ่มเติมทักษะด้านใดแก่ผู้นำรุ่นใหม่ที่ต้องการจะสร้าง เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร ซึ่งในที่สุดจะทำให้เกิดการต่อยอดและนำไปพัฒนาการทำงาน เป็นประโยชน์สูงสุดให้องค์กรต่อไป ” นางสาวพิมลรัตน์กล่าว

สำหรับวิทยากรที่ร่วมให้ความรู้ในครั้งนี้ ได้แก่ นายอภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer บริษัท SCG Cement-Building Materials จำกัด (SCG-CBM) ที่ร่วมเสวนาในหัวข้อ การบริหาร Talent ที่เป็นคนรุ่นใหม่ และการสร้าง Talent ใน way ใหม่ ขณะที่ นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท Ookbee ร่วมแบ่งปันในหัวข้อ คนรุ่นใหม่นำองค์กรและนำคนรุ่นใหม่ ให้สามารถ drive performance, fail fast learn fast โดยผู้เข้าร่วมเสวนาได้แลกเปลี่ยนมุมมองการเป็นผู้นำ เรียนรู้เส้นทางการเดินทางสู่การเป็นสุดยอดผู้นำ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้องค์กรอยู่รอดในยุค Digital Disruption และรู้วิธีปลดล็อคศักยภาพทีมงานก้าวสู่การสร้าง Agile & Innovation Culture

นายพงษ์ศักดิ์ ไตรภูธร หนึ่งในนักสร้างผู้นำที่เข้าร่วมงาน กล่าวว่า การเสวนาในครั้งนี้มีประโยชน์มากทำให้ได้รู้แนวความคิดของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ขณะที่ตนมีน้องในทีมที่ต้องดูแล จึงต้องคอยให้คำแนะนำ ให้โอกาสได้ลองผิด ลองถูกและร่วมรับผิดชอบในผลลัพธ์ หากเกิดความผิดพลาดก็ต้องเรียนรู้และหาแนวทางแก้ไข ส่วนเรื่องของการชี้แนะหรือชี้นำขึ้นอยู่กับบริบทนั้นๆ เพราะในบางครั้งจำเป็นต้องชี้นำหากน้องมีประสบการณ์ในงานน้อย ส่วนถ้าเป็นเรื่องใหม่ก็ต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ไปพร้อมกัน

ขณะที่นางสาววิภาวินี ชัยสุทธิโรจน์ อีกหนึ่งนักสร้างผู้นำ กล่าวว่า ได้เรียนรู้แนวทางการเป็นผู้นำที่ดี และการบริหารทีมที่จะสามารถนำไปปรับใช้ได้ ที่สำคัญคือการให้โอกาสทุกคนได้แสดงศักยภาพซึ่งจะทำให้เกิดการเป็นผู้นำ ตนเองรู้สึกประทับใจที่ได้มาเข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ ได้ความรู้ใหม่ๆ เปิดประสบการณ์ที่แตกต่างที่จะสามารถนำไปต่อยอดในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ การสร้างนักสร้างผู้นำ เป็นหนึ่งในกลยุทธด้านการพัฒนาบุคลากรของซีพีเอฟ ด้วยตระหนักดีว่า “คน” คือปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน

ซีพี เฟรชมาร์ท ยกระดับอาหารคุณภาพดี มาตรฐาน “ซูเปอร์มาเก็ตที่รัก”

0

ซีพี เฟรชมาร์ท เปิดกลยุทธ์รุกตลาด “ซูเปอร์มาเก็ตเรือธง” (Flagship Store) แหล่งรวมอาหารสด สะอาด ปลอดภัย ยกระดับคุณภาพพรีเมี่ยมรับสังคม “วิถีปกติใหม่” (New Normal) ส่งตรงถึงบ้านด้วยระบบสั่งซื้อออนไลน์ เสิร์ฟอาหารจากใจให้คนไทยทุกคน

ตั้งแต่ปี 2561 ซีพี เฟรชมาร์ท เดินหน้าแผนการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายฐานลูกค้า ด้วยการปรับรูปแบบร้าน จัดระบบและบริหารจัดการสินค้าและบริการด้วยความรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการรับผิดชอบต่อสังคมและใสใจสิ่งแวดล้อม สู่รูปโฉมใหม่โดยยกระดับให้เป็นซูเปอร์มาเก็ตเต็มรูปแบบมากขึ้น สินค้ามีความหลากหลายทั้งเนื้อสัตว์ ผักสด ผลไม้ และสินค้าอุปโภค เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ ร้านอาหาร ภัตตาคารและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์กระแสความต้องการของลูกค้ายุค “ดิจิทัล” ที่ดูแลตัวเองมากขึ้นและให้ความสำคัญกับอาหารสด สะอาด ปลอดภัย

ซีพี เฟรชมาร์ท มีการทยอยปรับปรุงตกแต่งสาขาเดิมเพื่ออำนวยความสะดวกลูกค้า โดยเน้นผลิตภัณฑ์และอาหารสดคุณภาพดีปลอดภัยให้ชุมชน ร้านอาหาร สามารถเข้าถึงได้ ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งสิ้น 350 แห่ง เพื่อรองรับความต้องการของชุมชนทั้งสินค้า ตลอดจนบริการสั่งซื้อออนไลน์ส่งถึงบ้านและร้านอาหารฟรี

ล่าสุด ซีพี เฟรชมาร์ท ได้รับการคัดเลือกจากผู้บริโภคให้เป็น 1 ใน 3 “ซูเปอร์มาเก็ตที่รัก” ในปี 2563 ดำเนินการคัดเลือกโดยเครือข่ายกินเปลี่ยนโลก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และองค์การอ็อกแฟม ประเทศไทย (Oxfam Thailand) โดยประเมินซูเปอร์มาร์เก็ตไทยจำนวน 8 แห่ง ใน 3 มิติ คือ 1. ความรับผิดชอบต่อสวัสดิการผู้บริโภค เช่น ความปลอดภัยของอาหาร ส่วนประกอบและที่มาของอาหาร กลไกการรับเรื่องร้องเรียน 2. ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมสำหรับคู่ค้า เช่น การส่งเสริมอาหารยั่งยืน การใช้ยาและสารเคมี การบริหารจัดการน้ำ และ 3.ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมของห้างค้าปลีก เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก การจัดการน้ำทิ้ง ความสัมพันธ์กับชุมชน

นายสุจริต มัยลาภ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจการค้าในประเทศ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า กระแสโลกยุคดิจิทัล และ disruption เป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ ต้องหานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า ซีพีเอฟ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารและอาหารสดระดับโลกด้วยมาตรฐานสากล มีเป้าหมายในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้มีความชัดเจนมากขึ้นให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งรูปแบบการให้บริการที่ร้าน การสั่งซื้อออนไลน์และส่งสินค้าที่บ้าน

“การปรับตัวของ ซีพี เฟรชมาร์ท นอกจากจะอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคและคู่ค้าของเราในระบบนิเวศสังคมไร้เงินสด หรือ Cashless Society แล้ว ยังมุ่งมั่นอำนวยความสะดวกด้วยบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ” นายสุจริต กล่าว

นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ซีพี เฟรชมาร์ท ยังให้การสนับสนุนคู่ค้ากว่า 100 ราย อย่างใกล้ชิด เช่น การจ่ายเงินค่าสินค้าตรงเวลา ส่งเสริมการขายสินค้า เป็นต้น ช่วยให้คู่ค้าสามารถวางแผนธุรกิจได้ต่อเนื่องและสามารถรักษาธุรกิจไว้ได้

ซีพีเอฟ ปั้นเชฟอาชีวะสู่มืออาชีพ ต่อยอดความรู้ เติมเต็มความฝัน

0

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดย ซีพี เฟรชมาร์ท ร่วมกับศูนย์บ่มเพาะของวิทยาลัยอาชีวศึกษาเสาวภา จัดโครงการ ปั้นฝันเชฟน้อยสู่มืออาชีพ (Young Chef rising star) เสริมสร้างทักษะการทำอาหาร การเลือกใช้วัตถุดิบปลอดภัย รวมถึงทักษะการขายให้กับน้องๆนักศึกษาอาชีวะภาควิชาคหกรรม โดยมีทีมเถ้าแก่กลาง ซีพี เฟรชมาร์ท เขตพระนครดูแลใกล้ชิด ได้ดำเนินโครงการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 จนถึงรอบตัดสิน และได้ผู้ชนะ 3 คนที่จะมีเมนูของตนวางขายจริงในร้านดัง 

ตลอดระยะเวลาของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้การทำอาหารจากเชฟมืออาชีพ หลักการเลือกใช้วัตถุดิบเพื่อนำมาประกอบเป็นเมนูต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ รวมถึงทักษะการขาย เพื่อให้น้องๆ อาชีวะสามารถเป็นเชฟได้อย่างมืออาชีพและต่อยอดประกอบธุรกิจของตนเองได้ในอนาคต โดยในรอบตัดสิน ผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้รับโจทย์ในการสร้างสรรค์เมนูจาก “ไก่เบญจา” โดยเมนูของผู้ชนะจะถูกเลือกให้เป็นเมนูประจำร้านอาหารนารา ไทย คูซีน พร้อมรับเงินรางวัลมูลค่า 5,000 บาท 

ผลการตัดสินในครั้งนี้ พิจารณาจากความโดดเด่นในด้านของการนำเสนอเมนูอาหาร การควบคุมต้นทุน นำวัตถุดิบประกอบเมนูอย่างสร้างสรรค์ รสชาติล้ำเลิศ และการจัดจานอาหารที่มีความดึงดูดน่าทาน ปรากฏว่ามีผู้ชนะทั้งหมด 3 คน ได้แก่ 

1.) นายคุณานนท์ สีงาม จากเมนู ไก่ย่างพริกเผา ห่อใบเตยซอสไข่เค็ม  

2.) นางสาววรรษมน แมสซิลี จากเมนูข้าวมันส้มตำไก่ย่างพริกแกงเผ็ด  

3.) นายเจษฎาภรณ์ สังเวียนดี จากเมนูเบญจาพาเพลิน  

นางนราวดี ศรีกาญจนา เจ้าของร้านอาหารนารา ไทย คูซีน กล่าวว่า ในปัจจุบันอาหารอร่อยอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสนใจหน้าตาอาหารด้วย และถึงแม้ว่าโจทย์ที่ใช้ในการแข่งขันจะมีไก่ย่างชูโรง แต่น้องๆ ก็สามารถรังสรรค์เมนูต่างๆ ออกมาได้อย่างลงตัว สร้างมูลค่าเพิ่มให้เมนูอาหารได้อย่างน่าประทับใจ จึงตัดสินเลือกทั้ง 3 เมนูเพื่อนำไปขายจริงในร้านนารา ไทย คูซีน กว่า 13 สาขา 

นายพาสกร ชูมี ผู้จัดการฝ่ายครัวกลาง ซีพีเอฟ เชฟที่ให้คำแนะนำกับน้องๆ กล่าวว่า น้องๆอาชีวะที่เข้าร่วมโครงการฯ มีความสามารถเฉพาะตัว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะปั้นน้องๆ ให้เป็นมืออาชีพ โดยได้มีการแนะนำเทคนิคในการทำอาหาร การเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ซึ่งในการรังสรรค์แต่ละเมนูต้องคำนึงถึงวัตถุดิบเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงคุณภาพ ความปลอดภัย มีมาตรฐาน ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าอาหารที่ส่งมอบนั้นมีความสะอาดและปลอดภัยตลอดห่วงโซ่อาหาร 

ด้านนางสาววรรษมน แมสซิลี ตัวแทนผู้ชนะในโครงการฯ กล่าวว่า รู้สึกดีใจกับความสำเร็จครั้งนี้ ตั้งแต่เข้าร่วมโครงการมีอุปสรรคความท้าทายมากมาย เช่น การเลือกใช้วัตถุดิบอย่างไรให้เหมาะสม มีปรับสูตรอาหารหลายครั้งเพื่อให้ได้รสชาติลงตัว โดยมีเชฟมืออาชีพของซีพีเอฟคอยให้คำแนะนำและสนับสนุนในทุกๆด้าน จนในที่สุดก็ได้เมนูอาหารที่ถูกคัดเลือกและได้นำไปขายจริง จึงอยากขอขอบคุณซีพีเอฟ และซีพี เฟรชมาร์ท ที่จัดโครงการดีๆ เปิดโอกาสให้นักศึกษาอาชีวะได้เรียนรู้ประสบการณ์จากมืออาชีพต่อยอดสู่สากล./ 

ซีพีเอฟ ทุ่มวิจัยพัฒนาเลี้ยงสุกรเพื่ออุตสากรรมเติบโตอย่างยั่งยืน

0

มองโรคระบาดยังทำให้สุกรขาดตลาด ราคาปีหน้ายังยืนสูง

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน โครงสร้างอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต การยั่งยืนได้ต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารต้นทุนให้ลดลง จากการสรรหาวัตถุดิบ การพัฒนาสายพันธุ์ให้ได้มาซึ่งพันธุ์ที่แข็งแรง และการเลี้ยงสุกรที่ต้องมีมาตรฐานอาชีวอนามัยเพื่อป้องกันโรคระบาด นอกเหนือไปจากการมีฟาร์มและการจัดการการเลี้ยงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมแหล่งน้ำในการผลิตที่เพียงพอ

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ โรคระบาดในอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ทั้งโรคเพิร์ส (PRRS) และโดยเฉพาะโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ (ASF) ที่ทำให้การเลี้ยงสุกรในประเทศจีนและเวียดนามเสียหาย ส่งผลให้เกิดภาวะสุกรขาดตลาดอย่างมาก การพยายามกลับมาเลี้ยงใหม่ก็อาจจะยังประสบความเสียหายได้หากระบบการเลี้ยงไม่มีมาตรการป้องกันด้านชีวอนามัยที่เคร่งครัด ซีพีเอฟจึงมุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนามาตรฐานการเลี้ยงที่มีมาตรฐานชีวอนามัยที่สูง ประกอบกับการพัฒนาพันธุ์สุกรให้แข็งแรง มีความต้านทานโรคสูงอย่างต่อเนื่อง

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า การที่โรค ASF ทำให้สุกรขาดตลาดในประเทศจีน เวียดนามและประเทศเพื่อนบ้านของไทยส่งผลให้มีการนำเข้าสุกรจากประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก และความต้องการยังมีมาต่อเนื่อง ทำให้ราคาสุกรในไทยปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ การจะเร่งเลี้ยงสุกรในหลายประเทศให้มีผลผลิตเท่าก่อนมีโรค ASF ในภูมิภาคนี้อาจใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี และสุกรอาจไม่ใช่สินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐานอีกต่อไป ความสามารถในการเลี้ยงให้ปลอดโรคและมีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นปัจจัยหลักสำหรับความสำเร็จของธุรกิจสุกร จึงมองว่าในภูมิภาคนี้ราคาสุกรใน 1-2 ปีข้างหน้าจะยังคงอยู่ในระดับสูงจากภาวะสุกรขาดตลาด

มูลนิธิจำนงค์ ภิรมย์ภักดี มอบเงินบริจาค 3.5 ล้านบาท ให้รร.ตำรวจตระเวนชายแดน

0

คุณจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานมูลนิธิจำนงค์ ภิรมย์ภักดี (กลาง) เป็นประธานมอบเงินบริจาครวม    3.5 ล้านบาท ให้กับ รร.ตำรวจตระเวนชายแดนเทคนิคอาสา 1 อ.ท่าสองยาง จ.ตาก และ รร.ตำรวจตระเวนชายแดนเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อสมทบทุนสร้างอาคารเรียน โดยมี พล.ต.ท.วิชิต ปักษา  (ที่ 3 จากขวา)  ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และ  พ.ต.ท.สวัสดิ์ คำภิรานนท์ (ที่ 5 จากขวา) รองผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ 7 กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมรับมอบ  เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.63

เอไอเอส ยกระดับโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” สู่วาระแห่งชาติ

0

ผนึก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าชวนคนไทยทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อย่างถูกวิธี พร้อมขยายจุดรับทิ้งทั่วประเทศ

รายงานข่าว จากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส เปิดเผยว่า บริษัท ร่วมกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือในโครงการคนไทยไร้ E-Waste  เพื่อสร้างการตระหนักรู้ และการมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่าน 2 ความร่วมมือหลัก

  • ขยายจุดวางถังรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ณ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด หรือ ทสจ. ทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ต้องการทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี
  • ร่วมกับ อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน หรือ ทสม. เพื่อเป็นตัวแทนสื่อสาร สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บและทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกต้อง

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่เป็นอุปกรณ์สื่อสารและ ICT จัดเป็นเป็นปัญหาใหญ่ของคนทั่วทั้งโลก โดยมีตัวเลขจาก The global E-Waste 2020 by the United Nation University and the United Nations Institute for Training and Research,
the International Telecommunication Union and the International Solid Waste Association ที่รายงานเมื่อปี 2562 ว่า ทั่วโลกมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ถึง 53.6 ล้านเมตริกตัน และมีการใช้งานต่อคนถึงคนละ 7.3 กิโลกรัม ซึ่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกได้รับการ recycle อย่าง ถูกวิธี เพียง 17.4% หรือ คิดเป็น 9.3 ล้านเมตริกตันเท่านั้น ในขณะที่ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์ของเสียอันตรายจากชุมชนโดยกรมควบคุมมลพิษ ปี 2562 ประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อยู่ที่ 400,000 ตัน

ที่ผ่านมา เอไอเอสได้อาสาเข้ามาเป็นศูนย์กลางและจัดทำโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” ขึ้น โดยมีเป้าหมายในการปลูกจิตสำนึกคนไทยให้เข้าใจและตระหนักถึงการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมในการกำจัด โดยจัดทำถังรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ให้สามารถนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ซึ่งประกอบไปด้วย โทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต, แบตเตอรี่มือถือ, พาวเวอร์แบงก์, สายชาร์จ, หูฟัง มาทิ้ง ได้ ณ จุดบริการของ AIS และจุดบริการของภาคีเครือข่ายซึ่งปัจจุบันมีแล้วมากกว่า 2,300 จุดทั่วประเทศ จากนั้นส่งต่อไปทำลายอย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากลในรูปแบบของ Zero Landfill

ล่าสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้การสนับสนุน ร่วมเป็นอีก 1 ภาคีเครือข่ายหลัก ยกระดับภารกิจ คนไทยไร้ E-Waste สู่วาระแห่งชาติ ในการขยายจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) พร้อมร่วมบูรณาการส่งต่อองค์ความรู้และปลูกจิตสำนึกคนไทย ผ่านการทำงานของ อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน หรือ ทสม. ที่จะเป็นตัวแทนหลักที่เข้าถึงประชาชนทั่วประเทศเพื่อสื่อสารเกี่ยวกับโทษภัยของขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste), ให้ข้อมูลการจัดเก็บและทิ้งอย่างถูกวิธี ตลอดจนส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในชุมชนอย่างยั่งยืน ซึ่งเอไอเอสต้องขอขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกลุ่ม ทสม. ที่เห็นความสำคัญของโครงการนี้และร่วมสนับสนุนอย่างดี 

ปัจจุบันโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” สามารถรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้จำนวนกว่า 6.3 ตัน โดยทางเอไอเอส ได้นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่เก็บรวบรวมได้จากจุดรับทิ้ง นำส่งให้กับ บริษัทเทส จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อกำจัดอย่างถูกวิธีด้วยกระบวนการ Zero Landfill (การจัดการขยะทำให้นำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ให้เกิดมูลค่าได้อีกครั้ง) ต่อไป

ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ประสบผลสำเร็จต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน/ประชาสังคม ภาคการศึกษา และภาคีเครือข่าย  ทั้งนี้ ทส. ดำเนินโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” เพื่อรวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทซากโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ต่อพ่วง ได้แก่ สายชาร์จ แบตเตอรี่ หูฟัง พาวเวอร์แบงก์ และนำไปจัดการอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรายได้จากการรีไซเคิล จะนำไปมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนาต่อไป

ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นในประเทศมีมากกว่า 400,000 ตันต่อปี แต่มีการเก็บรวบรวมและนำไปจัดการอย่างถูกต้องเพียง 500 ตัน ส่วนที่เหลือจะถูกเก็บไว้ตามบ้านเรือน ขายเป็นสินค้ามือสอง ขายให้รถเร่/ซาเล้ง นอกจากนี้ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2557 มีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ในปริมาณประมาณ 900 ตัน อย่างไรก็ตาม ในปี 2560 ปริมาณนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์มีมากกว่า 50,000 ตัน ทั้งนี้ ยังมีการตรวจพบโรงงานและสถานประกอบกิจการถอดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ดำเนินการอย่างไม่ถูกหลักวิชาการ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม จึงต้องมีการรวบรวมและนำไปจัดการอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ซีพีเอฟ ขนทัพอาหารคุณภาพ ร่วมงาน “พาณิชย์ลดกระหน่ำข้ามปี! New Year Grand Sale 2021”

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดงาน “พาณิชย์ลดกระหน่ำข้ามปี! New Year Grand Sale 2021” ภายใต้โครงการ “พาณิชย์ ลดราคา! ช่วยประชาชน” ล็อต 8″ เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมี นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร และ นายสุจริต มัยลาภ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจการค้าในประเทศ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ร่วมต้อนรับที่บูธ CP FreshMart ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์

นายสุจริต มัยลาภ กล่าวว่า ซีพีเอฟได้นำนสินค้าคุณภาพมาตรฐานส่งออกและตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต มาจำหน่ายในงาน เพื่อลดภาระค่าครองชีพ แบ่งเบาภาระคนไทยช่วงวิกฤตโควิด-19 ให้เข้าถึงอาหารคุณภาพดี สด สะอาด อร่อย และปลอดภัยในราคาประหยัด โดยมีให้เลือกสรรมากกว่า 200 รายการ พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ! ลดสูงสุด 72% ในร้าน CP FreshMart ทุกสาขาทั่วประเทศ

สำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ ได้แก่ อาหารแช่งแข็ง อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน อาทิ นักเก็ตไก่ 1 แถม 1 ราคา 69 บาท, หมูดำ ซีพี-คูโรบูตะ 1 แถม 1 ราคา 95 บาท, ซีพี สปาเก็ตตี้ 2 แพ็ก 99 บาท, ชิคเก้นริบ 2 แถม 1 ราคา 110 บาท, เกี๊ยวกุ้ง 2 แถม 1 ราคา 138 บาท, ซุปชาบูและน้ำสต็อก 45 บาท, ซุปผักแท้จากธรรมชาติ 100% CP Veg it UP เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ iMU, Fresh&Deep และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษ Happy New Year Set อาทิ ชุดของขวัญไข่แช่เย็น 199 บาท, ชุดของขวัญเพื่อสุขภาพ 219 บาท, อินโนวีเนส ชุดของขวัญเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 269 บาท และชุด Happy New Year Basket 2021 เป็นต้น

ผู้ที่สนใจมาร่วมงานได้ที่บูธ CP FreshMart ตั้งแต่วันนี้-18 ธ.ค. 63 หรือที่ร้านซีพี เฟรชมาร์ท กว่า 350 สาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้ออาหารทาง E-Commerce ได้ถึง 3 ช่องทาง ได้แก่ แอปพลิเคชัน CP FreshMart ซึ่งดาวน์โหลดได้จากมือถือทุกระบบ, เว็บไซต์ www.cpfreshmartshop.com และสายด่วนฮอตไลน์ โทร.1788 โดยร้านจะจัดส่งอาหารให้ฟรีแบบไม่ขั้นต่ำในรัศมี 3 กิโลเมตร ให้ถึงมือผู้รับภายในเวลาอันรวดเร็ว นับเป็นการตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ได้อย่างลงตัว ตั้งแต่วันนี้ – 28 ก.พ. 2564

ทิพยประกันภัย ร่วมสานต่อศาสตร์พระราชา ตามรอยเสด็จชลมารคครั้งแรกของรัชกาลที่เก้า

0

เยือนอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์ วิถีชีวิตริมคลอง ล่องเรือ ชมหิ่งห้อย จ.สมุทรสงคราม

นางวิชชุดา ไตรธรรม ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), ดร.ดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และมูลนิธิประเทศไทยใสสะอาดและประธานมูลนิธิธรรมดี กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ และมูลนิธิธรรมดี นำคณะครูอาจารย์จากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ กว่า 30 คน ร่วมกิจกรรมโครงการตามรอยพระราชา “ทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ครั้งที่ 11” ตามรอยเสด็จทางชลมารคครั้งแรก ของในหลวง รัชกาลที่ 9 เยือนอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์ วิถีชีวิตริมคลอง ล่องเรือ ชมหิ่งห้อย จ.สมุทรสงคราม เพื่อเรียนรู้และถอดรหัสพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร

พร้อมทั้งศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอัมพวาและสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนชาวริมคลองที่เพียบพร้อมไปด้วยแหล่งเรียนรู้ทั้ง ภูมิสังคม และ เศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสามารถนำไปต่อยอดและถอดบทเรียนสร้างนวัตกรรมด้านการเรียนรู้ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ต่อไป

อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ตำบลเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัจจุบันเต็มไปด้วยบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาชีพการทำสวนผัก ผลไม้ การเคี่ยวน้ำตาลมะพร้าว หรือเที่ยวตลาดน้ำที่ขึ้นชื่อ “ตลาดน้ำอัมพวา” ที่ยังคงสภาพวิถีตลาดนัดแบบชาวบ้านชาวสวนของชุมชนคนริมคลอง

นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จพระราชสมภพ ณ ตำบลอัมพวา พระองค์ทรงเป็นทั้งนักปกครอง นักปราชญ์ นักรบ และราชศิลปินของไทย รวมถึงเป็นเมืองของพระราชินีถึงสองพระองค์คือ สมเด็จพระอัมรินทรามาตย์ ในรัชกาลที่ 1 และ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินีในรัชกาลที่ 2

นางวิชชุดา ไตรธรรม กล่าวว่า “บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้น้อมนำพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย มาเป็นหลักในการปฏิบัติ พร้อมทั้งสนับสนุนนวัตกรรมการศึกษาที่เป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญในการพัฒนาครูรวมถึงบุคลากรด้านการศึกษาอย่างยั่งยืน สู่เยาวชนไทยที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ จึงได้จับมือกับองค์กรภาคี จัดโครงการทิพยสืบสาน รักษา ต่อยอด นวัตกรรมศาสตร์พระราชา ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 ทิพยประกันภัยยังคงให้การสนับสนุนการเดินทางตามรอยพระราชาอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเห็นถึงความสำคัญทุกการเรียนรู้ และทุกศาสตร์ที่พระองค์ทรงถ่ายทอดให้พวกเรา รวมถึง ครู-อาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรมนั้น สามารถช่วยเหลือประชาชนและสร้างสังคมแห่งความสุขที่ยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เข้าร่วมโครงการยังสามารถเป็นผู้คิดเองทำเองและสามารถอยู่กับสังคมได้อย่างพอเพียงและมีความสุขตลอดไป”