Home Blog Page 376

กยศ. ลดเบี้ยปรับ 80-100% พร้อมลดค่าปรับเหลือ 0.5% เป็นของขวัญปีใหม่สู้ภัยโควิด-19

0

นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเผยว่า จากการที่กองทุนได้มีมาตรการช่วยเหลือและให้โอกาสผู้กู้ยืมเงินที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มาอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางการเงินและเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้กู้ยืมเงิน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา 6 เดือน ดังนี้

1. ลดเบี้ยปรับ 100% กรณีชำระหนี้ปิดบัญชี สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกรายที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี สามารถชำระได้ที่ธนาคารกรุงไทยและธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยทุกสาขา ส่วนผู้กู้ยืมเงินที่ถูกดำเนินคดี ต้องลงทะเบียนขอรับสิทธิและนัดหมายวันที่ประสงค์จะชำระหนี้ปิดบัญชีได้ที่ www.studentloan.or.th โดยผู้กู้ยืมเงินต้องชำระค่าทนายความและค่าฤชาธรรมเนียมศาลให้เสร็จสิ้นก่อนปิดบัญชี
2. ลดเบี้ยปรับ 80% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีที่ชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ
3. ลดเงินต้น 5% สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้และชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว
4. ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

มาตรการดังกล่าวเป็นของขวัญปีใหม่ที่กยศ. มอบให้แก่ผู้กู้ยืมเงิน ผู้กู้ยืมเงินสามารถดูรายละเอียดช่องทางการชำระหนี้เพื่อรับสิทธิตามมาตรการต่างๆ ได้ที่ www.studentloan.or.th โดยตรวจสอบยอดชำระได้ที่แอปพลิเคชัน กยศ. Connect หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ไลน์บัญชีทางการ กยศ. (Line Official Account กยศ.) หรือโทร. 0 2016 4888” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด

AIS ผนึกช่อง 3 จัดเคาท์ดาวน์คอนเสิร์ตเสมือนจริงบนโลกออนไลน์ครั้งแรกในไทย

0

นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เอไอเอส และ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เตรียมพลิกโฉมการจัดงานคอนเสิร์ตที่เคยจัดแบบ Physical มาไว้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อให้คนไทยได้อยู่บ้านเฉลิมฉลองความสุขร่วมกับครอบครัวได้เหมือนเดิม ผ่าน “AIS 5G The Future of Virtual Celebration 2021” คอนเสิร์ตในรูปแบบ Virtual Reality (VR) หรือโลกเสมือนจริงผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ที่บ้าน ซึ่งให้ระบบภาพ แสง สี เสียง และเอฟเฟกต์เต็มอิ่มเสมือนจริงในรูปแบบมัลติมีเดีย อินเตอร์ แอคทีฟ 360 องศา พร้อมจัดเต็มดาราและศิลปินดัง กว่า 30 ชีวิต นำโดย แบมแบม GOT7, เป๊ก ผลิตโชค, เจมส์ จิรายุ, แต้ว ณัฐพร, เต้ย จรินทร์พร, มิว นิษฐา, พุฒ พุฒิชัย, วี วิโอเลต, ทอม อิศรา, เวียร์ ศุกลวัฒน์, เบลล่า ราณี, ปีใหม่ เอวาริณ, แอลลี่ อชิรญา, บิวกิ้น พุฒิพงศ์, พีพี กฤษฏ์, สกาย วงศ์รวี, TRINITY, Polycat, Slot Machine, Triumphs Kingdom, สาวสาวสาว และคลิปอวยพรปีใหม่สุดพิเศษจากลิซ่า BLACKPINK โดยเป็นการสร้างบรรยากาศการดูคอนเสิร์ตในรูปแบบใหม่ ประสบการณ์ใหม่ และให้ความรู้สึกใกล้ชิดกับศิลปินมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการฉลองเคาท์ดาวน์ในยุคนิวนอร์มัล และเปิดประตูคนไทยเข้าสู่ยุค 5G อย่างเต็มรูปแบบ

โดยคนไทยทุกคน ทุกเครือข่าย สามารถรับชมคอนเสิร์ต “AIS 5G The Future of Virtual Celebration 2021” ไปพร้อมกันได้ในวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ที่ AIS PLAY พิเศษ! รับชมใกล้ชิดแบบ 360° ที่แอปพลิเคชัน AIS 5G PLAY VR เริ่มตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป หรือรับชมผ่านช่อง 3 HD กด 33 แบบไม่มีโฆษณาคั่น ตั้งแต่เวลา 22.20 น.

ด้าน นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ กรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจโทรทัศน์ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่อง 3 ยินดีที่ได้ร่วมกับเอไอเอส เป็นสื่อกลางส่งสารความสุขไปยังคนไทยทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นายปรัธนา ได้กล่าวเพิ่มเติม ว่า เอไอเอส ยังได้ร่วมกับพันธมิตรมอบสิทธิพิเศษและเสริมกำลังดูแลเครือข่ายชุดใหญ่ต้อนรับปีวัว 2564 ประกอบด้วย

  • สิทธิพิเศษเฉพาะลูกค้าเอไอเอส สามารถใช้ 10 เอไอเอส พอยท์ แลกรับประกันภัยปีใหม่
    “อุ่นใจพลัส” ฟรี! จากเมืองไทยประกันชีวิต
    ผ่านแอปพลิเคชัน myAIS ได้ง่ายๆ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มกราคม 2564 คุ้มครองกรณีอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท พร้อมด้วยประกัน COVID-19 ส่งมอบความสุขส่งท้ายปีให้ลูกค้าเอไอเอสได้อุ่นใจมากยิ่งขึ้น
  • ตั้งการ์ดสูง! เสริมกำลังเครือข่ายเพิ่มความสามารถในการรองรับการใช้งานของเครือข่ายทั้ง AIS 5G, AIS 4G ADVANCED, AIS NEXT G, AIS SUPER WiFi  และ AIS Fibre เพิ่มอีก 300% พร้อมเสริมทัพวิศวกรดูแลเครือข่าย สแตนบายดูแลประสิทธิภาพเครือข่ายทั่วประเทศตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง ศูนย์บริหารเครือข่าย, ส่วนกลาง และศูนย์บริหารเครือข่ายส่วนภูมิภาค เพื่อให้พร้อมแก้ปัญหาในทุกกรณี ตลอดจนทีมงานบริการลูกค้า ทั้งทีม AIS Contact Center 1175 และโซเชียลมีเดียทุกช่องทาง สแตนบายดูแลให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

Bluebik แนะองค์กรกำจัดจุดอ่อนระบบจัดการข้อมูล อุดช่องโหว่ภัยไซเบอร์

0

นางฉันทชา สุวรรณจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Chief Operation Officer (COO) บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (Bluebik) บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ปัจจุบันข้อมูลลูกค้าได้กลายเป็นสินทรัพย์สำคัญขององค์กร องค์กรจึงต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security) เพื่อป้องกันความเสี่ยงข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหล การถูกโจรกรรมข้อมูล รวมถึงการต้องปรับกระบวนการให้สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของภาครัฐ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ Personal Data Protection Act (PDPA) ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 พ.ค. 2564

ฉันทชา สุวรรณจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Chief Operation Officer (COO) บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด

การประเมินความพร้อมหรือช่องโหว่การบริหารจัดการข้อมูลขององค์กร ควรเริ่มด้วยการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อระบุแหล่งที่มาข้อมูล โครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล การเข้าถึง การไหลของข้อมูล จากนั้นประเมินความเสี่ยงและวิเคราะห์ช่องโหว่ของมาตรการที่องค์กรดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน และกำหนดมาตรการที่ต้องมีในการบริหารจัดการเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมาตรการ รวมถึงกระบวนการบริหารจัดการข้อมูล องค์กรควรพิจารณาตั้งแต่ขั้นตอนการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล (Consent) ซึ่งต้องแจ้งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมชี้แจงวัตถุประสงค์การเก็บ การประมวลข้อมูล รายละเอียด ระยะเวลา และสิทธิของเจ้าของข้อมูล

“การประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการในการบริหารจัดการข้อมูลเป็นสิ่งที่องค์กรส่วนใหญ่ละเลย โดยองค์กรจำนวนมากมักให้ความสำคัญและพุ่งเป้าไปที่การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ซึ่งแท้จริงแล้วเทคโนโลยีมีส่วนช่วยเพียง 10% เท่านั้น และหากขาดการประเมินความพร้อมในการบริหารจัดการข้อมูล ก่อนการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อาจประสบปัญหาว่าเทคโนโลยีดังกล่าวอาจไม่ได้เหมาะสมหรือตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงขององค์กรในด้านการบริหารจัดการข้อมูล”

ขั้นตอนหลังจากประเมินช่องโหว่ คือการกำหนดแนวทางการจัดการข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหา ในปัจจุบันกระบวนการทำงานของธุรกิจส่วนใหญ่อยู่บนช่องทางออนไลน์และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้มีข้อมูลปริมาณมากไหลเวียนภายในองค์กร โดยข้อมูลดังกล่าวอยู่กระจัดกระจาย ไม่ได้รวมอยู่ในที่เดียวกัน หรืออาจจะไม่ได้จัดเก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ ส่งผลไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าแหล่งข้อมูล (Source of Data) จัดเก็บอยู่ตรงไหนบ้าง ทำให้การป้องกันความเสี่ยงกรณีข้อมูลรั่วไหลหรือสูญหายเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กร เนื่องจากอาจเกิดปัญหาที่ส่วนใดของการเก็บข้อมูลก็ได้

การปรับการจัดการข้อมูล เพื่ออุดช่องโหว่ความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลข้อมูล ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ

  1. จัดทำ Data Mapping ซึ่งเป็นการจัดโครงสร้างข้อมูล เพื่อตรวจสอบว่าองค์กรมีข้อมูลอะไร และข้อมูลถูกเก็บไว้ที่ใดบ้าง โดยจะแสดงถึงแหล่งข้อมูลต้นทางปลายทาง ความสัมพันธ์ของข้อมูล และการไหลเวียนของข้อมูล ทำให้องค์กรนำข้อมูลไปใช้งานได้ง่ายขึ้น และหากเกิดปัญหาข้อมูลรั่วไหลหรือถูกขอให้ลบข้อมูล จะช่วยให้ระบุตำแหน่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
  2. จัดลำดับความสำคัญของข้อมูล (Prioritization) เป็นการนำข้อมูลที่จัดให้เป็นระบบแล้ว มาจัดลำดับความสำคัญตามระดับความอ่อนไหวของข้อมูล (Sensitivity Level) ซึ่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหวหมายถึงข้อมูลที่เสี่ยงสร้างความเสียหายต่อบุคคลหรือองค์กรหากมีการเปิดเผยข้อมูลนั้น โดยการจัดลำดับความสำคัญของข้อมูลจะช่วยให้องค์กรสามารถออกแบบนโยบาย แนวทางจัดการข้อมูล และวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสมในอนาคต
  3. พัฒนาระบบควบคุมการเข้าถึงข้อมูล (Access Control System) เพื่อช่วยสร้างความปลอดภัยรัดกุมในการจัดการข้อมูล โดยระบบที่องค์กรควรพัฒนาเพิ่ม เช่น ระบบการให้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลและการยืนยันตัวตน การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อรักษาความปลอดภัย (Encryption) รวมถึงการทำข้อมูลให้เป็นนิรนาม (Anonymization) ซึ่งหมายถึง การทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นต้น
  4. กำหนดค่าและทดสอบระบบ (Configuration and Testing) โดยควรเริ่มจากการกำหนดมาตรฐานการตั้งค่าระบบปฏิบัติการ ระบบฐานข้อมูล และอุปกรณ์อื่นๆ ภายในเครือข่าย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกขั้นในการเข้าถึงข้อมูล รวมถึงต้องจัดเก็บการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า และตรวจสอบการตั้งค่าอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับระบบการจัดเก็บข้อมูล
  5. ผลักดันสู่การปฏิบัติจริง (Implementation) ทางองค์กรควรมีทีมงานเฉพาะกิจในการวางแผนและบริหารจัดการ เพื่อผลักดันการให้แผนการจัดการข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมาย โดยคณะทำงานควรเป็นมาจากตัวแทนที่เหมาะสมจากแต่ละฝ่ายงานที่เกี่ยวข้อง

“การปรับโครงสร้างระบบเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เป็นสิ่งที่องค์กรต้องให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่กลับมาน่ากังวลอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ ทำให้องค์กรตระหนักเรื่องนี้น้อยลง แตกต่างจากในช่วงแรกๆ ที่องค์กรต่างตื่นตัวเรื่องการปรับกระบวนการและการจัดการข้อมูลเพื่อให้สอดรับกับ PDPA ที่กำลังจะบังคับใช้ในปี 2564”

ทั้งนี้ จากประสบการณ์ของบลูบิค ในการให้คำปรึกษาแนะนำองค์กรเกี่ยวกับแนวทางการปรับกระบวนการธุรกิจให้สอดรับกับ PDPA มองว่า องค์กรควรให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูล โดยไม่มองข้าม 3 ประเด็น ได้แก่ 1. การให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง PDPA กับบุคลากรในองค์กร เพื่อให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติงานจริง 2. การกำหนดกระบวนการทำงานให้มีความชัดเจน ตั้งแต่การวางนโยบายและแผนกลยุทธ์การนำข้อมูลไปใช้งาน พร้อมระบุความชัดเจนของสิทธิ์ หน้าที่ และความรับผิดชอบ รวมไปถึงขั้นตอนการตรวจสอบหากเกิดกรณีข้อมูลรั่วไหล และ 3. การเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมกับขนาดและระบบข้อมูลขององค์กร รวมถึงควรปรับเทคโนโลยีให้ทันสมัย เอื้อต่อการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องโครงสร้างข้อมูล บุคลากร กระบวนการ และเทคโนโลยีจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในการอุดช่องโหว่ความเสี่ยง และรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หวั่นโควิด-19 ระลอกใหม่ ทุบเศรษฐกิจพัง 4.5 หมื่นล้านบาท

0

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ถ้าสถานการณ์ลากยาว 1 เดือน กระทบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 4.5 หมื่นล้านบาท

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ ที่เริ่มต้นจากตลาดกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อต้นเดือน ธ.ค.2563 และนำมาสู่การล็อกดาวน์ชั่วคราวจังหวัดสมุทรสาคร ตั้งแต่ 19 ธ.ค.2563 ถึง 3 ม.ค.2564 และ ยังพบจำนวนผู้ติดเชื้อกระจายตัวไปยังพื้นที่ต่างๆ ในหลายจังหวัดของประเทศไทย

เบื้องต้น ภายใต้กรณีที่ไม่พบคลัสเตอร์ของจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดอื่น หรือเหตุการณ์ไม่ลุกลามจนนำมาสู่การล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย อาจได้รับความสูญเสีย คิดเป็นมูลค่าราว 45,000 ล้านบาท ในกรอบเวลา 1 เดือน

จำแนกผลกระทบได้ ดังนี้ 

ความสูญเสียที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าประมงและอาหารทะเล ที่อาจมีมูลค่ารวมกันราว 13,000 ล้านบาท จากความเป็นไปได้ที่อาจจะเกิดการชะลอการบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเลในระยะสั้น นอกจากนี้ การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวในระยะถัดไปก็อาจจะได้รับผลกระทบบ้างโดยเฉพาะในด้านขั้นตอนการตรวจสอบและกระบวนการต่างๆ ที่คู่ค้าอาจหยิบยกให้ผู้ประกอบการไทยมีการดำเนินการเพิ่มเติม ถึงแม้ขณะนี้จะยังไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก็ตาม

ทั้งนี้ สมุทรสาคร นับเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำ โดยปริมาณสัตว์น้ำสดที่ใช้ในธุรกิจการประมงและการแปรรูปสัตว์น้ำเค็ม มีสัดส่วนเกือบ 40% ของทั้งประเทศ (ไม่รวมวัตถุดิบนำเข้า)การล็อกดาวน์ จึงส่งผลกระทบต่อกิจกรรมการค้าและการผลิตหมวดนี้ไม่น้อย

อย่างไรก็ดี การสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยของสินค้าและกระบวนการผลิตโดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คงจะช่วยบรรเทาผลกระทบได้ นอกจากนี้ ผลกระทบดังกล่าวยังนับว่าอยู่ในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัด จากการที่ผู้บริโภคและผู้ใช้วัตถุดิบยังมีทางเลือกในการซื้อและจัดหาสินค้าจากแหล่งอื่น อีกทั้งมีประเภทอาหารที่หลากหลายและเพียงพอ ขณะที่โดยปกติประชาชนส่วนใหญ่ก็นิยมบริโภคสินค้าประมงและอาหารทะเลในสัดส่วนที่น้อยกว่าเนื้อสัตว์อย่างหมูและไก่อยู่แล้ว

ความสูญเสียจากการที่ประชาชนชะลอการทำกิจกรรมในช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ได้แก่ การเลี้ยงสังสรรค์ การจัดกิจกรรมต่างๆ การลดความถี่ในการใช้จ่ายที่ร้านค้าปลีก เป็นต้น (ไม่รวมการเดินทางท่องเที่ยว) ขณะที่ ประชาชนอาจมีการจัดหาหรือสำรองสินค้าจำเป็น เช่น หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ อาหารพร้อมปรุง/พร้อมทาน เป็นต้น เพิ่มเติมจากช่วงก่อนหน้านี้บ้าง รวมทั้งคงจะหันไปทำกิจกรรมผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นแทนการออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน

ความสูญเสียจากการชะลอการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ คิดเป็นเม็ดเงินที่หายไปประมาณ 17,000 ล้านบาท หรือราว 30% ของรายได้ท่องเที่ยวในช่วงเวลา 1 เดือน ภายใต้กรณีที่ยังไม่ได้มีประกาศห้ามการเดินทางข้ามจังหวัด โดยพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ จังหวัดในภาคตะวันตกและภาคกลาง รวมกรุงเทพฯ ตลอดจนจังหวัดรอยต่อชายแดนระหว่างไทยและเมียนมา อย่างไรก็ดี ประชาชนบางส่วนที่ยังต้องการเดินทางท่องเที่ยวในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังพื้นที่หรือจังหวัดที่ไม่พบจำนวนผู้ติดเชื้อทดแทนได้เช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว โควิด-19 รอบใหม่ ยังอาจสร้างผลกระทบด้านอื่นๆ ที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างชัดเจนด้วย อาทิ ผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการที่ค้าขายสินค้าอื่นๆ ในตลาด จากการที่ผู้คนหลีกเลี่ยงการสัญจรโดยเฉพาะการสัญจรไปในพื้นที่ที่มีการระบาดหรือพบผู้ติดเชื้อ เป็นต้น

ทั้งนี้ ผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 ที่สร้างความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมข้างต้น เป็นกรอบการประเมินเบื้องต้นจนถึง ณ ขณะนี้เท่านั้น ซึ่งคงจะต้องมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องคงจะต้องร่วมมือกันในการดูแลและจำกัดผลกระทบทั้งในมิติด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้เหตุการณ์ค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ สามารถควบคุมได้ และภาครัฐมีมาตรการที่สร้างความมั่นใจให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ก็มีโอกาสที่มูลค่าความสูญเสียจะต่ำกว่าตัวเลขที่ประเมินไว้

กระทรวงคลังมอบของขวัญปีใหม่ปี 64 ให้ประชาชน

0

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ปี 2564 สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการ และลูกค้าสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารออมสิน

  • 1. มอบเงินจำนวน 500 บาท ให้กับลูกค้าที่มีประวัติการส่งชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 3 ปี ไม่มีประวัติการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือเป็นหนี้ NPLs โดยมีระยะเวลาโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 – มกราคม 2564
  • 2. เพิ่มรางวัลพิเศษของสลากออมสิน Digital “ฉลองปีใหม่ 2564” จำนวน 20 รางวัล รางวัลละ 1 ล้านบาท รวม 20 ล้านบาท สำหรับการออกรางวัลในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ 2564

2. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร

  • 1. โครงการชำระดีมีคืน สำหรับหนี้เงินกู้จัดชั้นปกติ โดยการโอนคืนดอกเบี้ยเงินกู้เข้าบัญชีเงินฝากให้แก่ (1) ลูกค้าเกษตรกรและบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง รายละไม่เกิน 5,000 บาท และ (2) ลูกค้ากลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตร สหกรณ์ นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง รายละไม่เกิน 50,000 บาท
  • 2. โครงการลดภาระหนี้ สำหรับหนี้เงินกู้ NPLs หรือมีดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 15 เดือน โดยการคืนดอกเบี้ยให้แก่ (1) ลูกค้าเกษตรกรและบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริง และ (2) ลูกค้ากลุ่มบุคคล กลุ่มเกษตร สหกรณ์ นิติบุคคล กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ชำระจริงทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564

3. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

  • 1. กลุ่มที่ 1 ได้รับสิทธิของขวัญปีใหม่ เป็นเงินจำนวน 1,000 บาท สำหรับผู้มีเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท มีประวัติการชำระดี 48 เดือน และชำระเงินค่างวดผ่านแอปพลิเคชัน GHB ALL ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2563
  • 2. กลุ่มที่ 2 ได้รับสิทธิของขวัญปีใหม่ เป็นเงินจำนวน 500 บาท จำนวนไม่เกิน 100,000 ราย สำหรับลูกค้าที่ไม่เป็นผู้รับสิทธิในกลุ่มที่ 1 มีการสมัครใช้งานแอปพลิเคชัน GHB ALL และผูกบัญชีเงินฝากในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2563 และชำระเงินค่างวดผ่านแอปพลิเคชัน GHB ALL ในเดือนกันยายน – ธันวาคม 2563ทั้งนี้ ธอส. จะดำเนินการโอนเงินตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2563 – 4 มกราคม 2564

4. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)

  • 1. เสริมสภาพคล่อง SMEs ไทย โดยลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (Front End Fee) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนดสำหรับโครงการสินเชื่อจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) (2) โครงการสินเชื่อ Smart SMEs และ (3) โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง SME D Happy แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 – 28 กุมภาพันธ์ 2564
  • 2. โครงการ “จ่ายดี มีเติม” สำหรับลูกค้าเดิมที่มีวงเงินสินเชื่อประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Term Loan) และมีประวัติชำระหนี้ดีจนถึง 31 ธันวาคม 2563 ธพว. จะเติมทุน เพื่อเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติมสูงสุดเท่ากับวงเงินสินเชื่อเดิม ทั้งนี้ เมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อเดิมจะต้องไม่เกินวงเงินสูงสุด 15 ล้านบาท

5. โครงการของขวัญปีใหม่ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม

  • 1. ช่วยจัดสรรการผ่อนชำระ สำหรับลูกหนี้ค่าประกันชดเชยขออนุมัติประนอมหนี้ครั้งแรก ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 โดยผ่อนชำระค่างวด ปีที่ 1 – 2 มากกว่าร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยประจำเดือน และปีที่ 3 – 5 มากกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยประจำเดือน
  • 2. ช่วยลดอัตราดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้ประกันชดเชยที่มีศักยภาพ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 โดยผ่อนชำระค่างวดไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยปกติ (ผ่อนชำระภายใน 5 ปี)
  • 3. ช่วยลดค่างวดผ่อนชำระ สำหรับลูกหนี้ค่าประกันชดเชยก่อนฟ้องและหลังฟ้อง ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 โดยผ่อนชำระค่างวด ปีที่ 1 – 2 มากกว่าร้อยละ 20 ของดอกเบี้ยประจำเดือน และปีที่ 3 – 5 มากกว่าร้อยละ 50 ของดอกเบี้ยประจำเดือนทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564

6. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย

  • 1. ด้านสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบการเริ่มต้นธุรกิจส่งออก สามารถยื่นขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเวลา 3 เดือน วงเงินสินเชื่อสูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย และสำหรับผู้ประกอบการ SMEs สามารถยื่นขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดร้อยละ 4 ต่อปี สำหรับ 1 ปีแรก วงเงินสินเชื่อสูงสุด 8 ล้านบาทต่อราย
  • 2. ด้านรับประกันการส่งออก สำหรับผู้เอาประกันรายใหม่จำนวน 100 รายแรก จะได้รับฟรี ค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อ ธนาคารผู้ซื้อ และผู้ซื้อสินค้า 1 ราย และสำหรับผู้เอาประกันรายเดิม จะได้รับส่วนลดค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อ ธนาคารผู้ซื้อ และผู้ซื้อสินค้า 2 ราย เหลือร้อยละ 50ทั้งนี้ ระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564

7. โครงการของขวัญปีใหม่ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) สำหรับลูกค้าที่ขอใช้บริการสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล จะได้รับฟรีค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญาและค่าประเมินหลักประกัน และสำหรับลูกค้าทั่วไป ธอท. จะให้อัตรากำไรพิเศษในช่วงเดือนมกราคม 2564 โดยระยะเวลาดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564

8. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 ภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไปร้อยละ 50 แต่ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวันเช่นเดียวกับโครงการคนละครึ่ง โดยโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 2 นี้ แบ่งกลุ่มผู้ใช้สิทธิเป็น 2 กลุ่ม ประกอบด้วย1) ผู้ได้รับสิทธิเดิมตามโครงการคนละครึ่ง ไม่เกิน 10 ล้านคน จะได้รับสิทธิวงเงินสนับสนุนจากรัฐเพิ่มเติมคนละ 500 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2564 ซึ่งเมื่อรวมกับวงเงินตามสิทธิที่มีอยู่เดิม 3,000 บาท เท่ากับจะมีวงเงินรวม 3,500 บาท สามารถใช้จ่ายได้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 25642) ผู้ลงทะเบียนใหม่ ไม่เกิน 5 ล้านคน จะได้รับสิทธิวงเงินสนับสนุนจากรัฐคนละ 3,500 บาท สำหรับใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2564

9. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2ภาครัฐช่วยเหลือวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นให้แก่กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม 2564

10. การขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2564 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง

11. โครงการกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่ 10 บาท นิวนอร์มอลพลัสของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)สำนักงาน คปภ. ได้ร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย จัดทำกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่ 10 บาท นิวนอร์มอลพลัส ที่ให้ความคุ้มครองทั้งอุบัติเหตุและโรค COVID-19 ในคราวเดียวกัน ระยะเวลาคุ้มครอง 30 วัน อัตราเบี้ยประกันภัย 10 บาท/ราย (ผู้ประกอบการสามารถซื้อเพื่อมอบความคุ้มครองให้กับพนักงาน และลูกค้าของตนได้ และสำหรับบุคคลทั่วไปสามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป) ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง สูงสุดถึง 100,000 บาท และคุ้มครองกรณีโรค COVID-19 แบบ “เจอ-จ่าย-จบ” 3,000 บาท ทั้งนี้ สามารถซื้อกรมธรรม์ได้โดยตรงกับบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564

12. มาตรการเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางการเงิน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีมาตรการเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระทางการเงิน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564 ดังนี้ (1) มาตรการลดเบี้ยปรับ อัตราร้อยละ 100 สำหรับผู้กู้ยืมเงินทุกกลุ่มที่ชำระหนี้ปิดบัญชี (2) มาตรการลดเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 80 สำหรับผู้กู้ยืมเงินกลุ่มก่อนฟ้องคดีที่มาชำระหนี้ค้างทั้งหมดให้มีสถานะปกติ (ไม่ค้างชำระ) (3) มาตรการลดอัตราการคิดเบี้ยปรับจากเดิมอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเหลืออัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี สำหรับผู้กู้ยืมเงินที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด และ (4) เพิ่มอัตราการลดเงินต้นจากเดิมร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 กรณีชำระหนี้ปิดบัญชีในคราวเดียว กรณีผู้กู้ยืมเงินที่ไม่เคยผิดนัดชำระหนี้มาชำระหนี้คืนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา

13. โครงการของขวัญปีใหม่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จัดทำไมโครไซต์ Start to Grow (www.sec.or.th/starttogrow) เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลและความรู้ที่จำเป็นในการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผู้ประกอบการใหม่ (Start-Up) และประชาชนที่สนใจ ซึ่งรวมถึงวิธีการสำรวจความพร้อมและรูปแบบการระดมทุนที่เหมาะสมกับธุรกิจของตน ขั้นตอนและช่องทางติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการระดมทุน ข่าวสารกิจกรรมการให้ความรู้ และช่องทางการขอรับคำปรึกษาฟรีผ่านคลินิกระดมทุนโดยเปิดใช้งานไมโครไซต์ดังกล่าวแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2563

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมข้อ 1 ติดต่อธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือ 1115ข้อ 2 ติดต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555 หรือ 1593ข้อ 3 ติดต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000ข้อ 4 ติดต่อธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือ 1357ข้อ 5 ติดต่อบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999ข้อ 6 ติดต่อธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 271 3700ข้อ 7 ติดต่อธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 650 6999 หรือ 1302ข้อ 8 ติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3697 3527 3548 3509ข้อ 9 ติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3514 3513 3697ข้อ 10 ติดต่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 02 273 9020 ต่อ 3512 3509 3529 3525ข้อ 11 ติดต่อกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา โทร. 02 016 4888 กด 9ข้อ 12 ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โทร. 02 515 3999 หรือ 1186ข้อ 13 ติดต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โทร. 02 033 9999 หรือ 1207

แม็คยีนส์ ประกาศผลผู้ชนะประกวดเฟดยีนส์

0

คุณชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แม็คยีนส์ ได้จัดงานประกาศผลพร้อมมอบรางวัลให้กับผู้ชนะจาก การประกวดเฟดยีนส์ ในแคมเปญ Mc Jeans Fade Contest ปั้นเฟดปั้นฝัน ซึ่งจัดขึ้นระหว่าง ธ.ค. 62 –  ธ.ค. 63 โดยมีเวลาการเฟดรวม 1 ปี มีผู้ส่งกางเกงเข้าประกวดมากกว่า 400 คน โดยเป็นครั้งแรกที่แม็คยีนส์จัดให้สาวก RAW DENIM มาแข่งขันปั้นเฟดด้วยกางเกง MC JEANS 18 OZ. รุ่น 45 ปี LIMITED EDITION ซึ่งเป็นกางเกงยีนส์รุ่นพิเศษ ที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อฉลองการก้าวเข้าสู่ปีที่ 45  เงินรางวัลรวม 520,000บาท  และ ได้กรรมการที่เป็นที่รู้จักกันดีในสายปั้นเฟดระดับโลก ฉายากูรูแห่งยีนส์   ผู้คร่ำหวอดในวงการยีนส์มาเป็นเวลาหลายสิบปี Mr.Ruedi Karrer (Swiss Jeans Freaks) ซี่งเป็นผู้ก่อตั้ง Jeans Museum หรือพิพิธภัณฑ์ยีนส์ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มียีนส์เฟดสะสมมากกว่า 16,000 ตัว  มาช่วยคัดเลือกแม็คยีนส์ 18Oz.ที่เฟดแล้วสวยที่สุด จากประสบการณ์ระดับโลก

ชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด(มหาชน)

แคมเปญดังกล่าว เป็นการฉลอง 45 ปีแม็คยีนส์ และเป็นครั้งแรกของเวทีการประกวดเฟดยีนส์ในประเทศไทย ที่จะแสดงให้เห็นว่า ยีนส์ไทยอย่างแม็คยีนส์ มีคุณภาพในระดับสากล และจะได้เห็นยีนส์ตัวแรกของประเทศไทยได้ไปจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ยีนส์ ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

คุณสุณี เสรีภาณุ  รองประธานกรรมการบริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด(มหาชน)   กล่าวว่า การประกวดครั้งนี้ถูกจัดขึ้นมาเพราะอยากเห็นคนรักยีนส์ คนที่ทุ่มเทชีวิตและจิตวิญญาณให้กับยีนส์ ได้มีโอกาสสร้างสรรค์ยีนส์เฟดที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงาม มีคุณค่าที่เงินหาซื้อไม่ได้  และได้แสดงให้เห็นว่า แม็คยีนส์สามารถทำกางเกง Raw Denim เพื่อสาวกยีนส์ได้อย่างทัดเทียมกับแบรนด์ต่างประเทศ 

สุณี เสรีภาณุ  รองประธานกรรมการบริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด(มหาชน)

นอกจากเพื่อแสดงตัวตนของทุกคนผ่านรอยเฟดของยีนส์แล้ว แม็คยีนส์ยังตั้งใจมอบสิ่งดีๆกลับคืนสู่สังคมด้วย โดยร่วมสมทบเงินบริจาคเท่าเงินรางวัล รวมทั้งสิ้น 230,000 บาท มอบให้กับโครงการ One Man & The Sea เพื่อเกาะมันใน ซึ่งเป็นโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมที่นำโดยคุณโตโน่ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์  เพื่อนำไปใช้ในการช่วยชีวิตสัตว์ทะเลต่อไป

สำหรับผลการตัดสิน มีตังนี้

รางวัลที่ 1 ได้รับเงินสด 80,000 บาท พร้อมกับ Gift voucher Mcshop 20,000 บาท ได้แก่ คุณณัชพล มูลมี   

รางวัลที่ 2 ได้รับเงินสด 60,000 บาท พร้อมกับ Gift voucher Mcshop 8,000 บาท ได้แก่ คุณสุวิทย์ ประเสริฐสังข์

รางวัลที่ 3 ได้รับเงินสด 40,000 บาท พร้อมกับ Gift voucher Mcshop 5,000 บาท ได้แก่ คุณเฉลิมรัช ข่มจิตต์

รางวัลที่ 4 ได้รับเงินสด 30,000 บาท พร้อมกับ Gift voucher Mcshop 3,000 บาท ได้แก่ คุณสมนึก ไชยศิลป์

รางวัลที่ 5 ได้รับเงินสด 20,000 บาท พร้อมกับ Gift voucher Mcshop 2,000 บาท ได้แก่ คุณมงคลพร ศิริโสภณ

ทั้งนี้ สามารถติดตามกิจกรรมดีๆ จาก แม็คยีนส์ ได้ที่ Facebook Mcjeans

รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน : SET Awards 2020

0

วันก่อนตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมกับนิตยสารการเงินธนาคาร ประกาศมอบรางวัล SET Awards 2020 ให้กับผู้บริหารและบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นและความเป็นเลิศในด้านต่างๆ ที่น่ายกย่องชื่นชม โดยปีนี้มีรายชื่อบริษัทใหม่ๆที่ได้รับรางวัลหลายบริษัท

สำหรับมือใหม่หัดลงทุนหรือนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังศึกษาเพื่อเข้าลงทุนในตลาดหุ้น นอกจากการพิจารณาดูตัวเลขรายได้-กำไร-ขาดทุน และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจแล้ว ควรพิจารณาความรู้ความสามารถวิสัยทัศน์และความมีธรรมาภิบาลของผู้บริหาร

รวมทั้งความโดดเด่นของบริษัทที่มีเหนือบริษัทอื่นๆ จนได้รับการยกย่องให้มีความเป็นเลิศในด้านต่างๆ เช่นที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการคัดเลือกและมอบรางวัล SET Awards ให้กับผู้บริหารและบริษัทจดทะเบียนในทุกๆปี ซึ่งน่าจะเป็นอีกข้อมูลที่นักลงทุนใช้ประกอบการพิจารณาเลือกลงทุนระยะยาวในบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้

ดังนั้น “คุณนายพารวย” สัปดาห์นี้ จึงขอร่วมชื่นชมกับบริษัทเหล่านี้ โดยบริษัทที่ได้รับรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ (SET Award of Honor) Excellence in Investor Relations ปี 2017–2020 คือ บมจ.สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี (SAT)

ส่วนรางวัล Best Company Performance Awards ยอดเยี่ยม สำหรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน SET ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปสูงกว่า 100,000 ล้านบาท คือ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) ขณะที่ Outstanding Company Performance Awards โดดเด่น คือ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA)

ส่วน บจ.ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปสูงกว่า 30,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100,000 ล้านบาท คือ CBG ขณะที่ บจ.ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปสูงกว่า 10,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) ส่วน บจ.ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปสูงกว่า 3,000 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท คือ RJH และ บจ.ที่มีมูลค่ามาร์เกตแคปไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ได้แก่ บมจ. เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) ขณะที่ บจ.ในตลาด mai รางวัล Best Company Performance Awards คือ บมจ.อาฟเตอร์ ยู (AU)

สำหรับอีกรางวัลสำคัญคือ Best Innovative Company Awards ยอดเยี่ยม ได้แก่ บมจ.ฮิวแมนิก้า (HUMAN) ได้รางวัลจากนวัตกรรม HUMATRIX : THE ULTIMATE WORK-LIFE PLATFORM และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ได้รางวัลจาก Nautilus นวัตกรรมหุ่นยนต์สำหรับตรวจสอบ ซ่อมและบำรุงรักษาท่อส่งปิโตรเลียมใต้ทะเล

ส่วน บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) ได้จากนวัตกรรมระบบผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วม 3 ระบบ คือเครื่องกังหันแก๊ส เครื่องกังหันไอน้ำ และเครื่องยนต์แก๊ส

ขณะที่ บจ.ที่ได้ Outstanding Innovative Company Awardsโดดเด่น คือ บลจ.บางกอกแคปปิตอล จากนวัตกรรม แพลตฟอร์ม Global Wealth การจัดสรรสินทรัพย์เพื่อการสะสมความมั่งคั่งที่ยั่งยืนของคนไทย และ บมจ.ซาบีน่า (SABINA) ได้รางวัลจากนวัตกรรมชุดชั้นในเรียบเนียนไร้ตะเข็บ “เกาะเก่งไม่กลัวหลุด” รวมทั้ง บมจ.ทีเอ็มที สตีล (TMT) ได้รางวัลจากนวัตกรรม STAY FLAT เหล็กแผ่นเรียบพิเศษ

สัปดาห์หน้ามาต่อกันว่ามีบริษัทใดบ้าง ที่มีความโดดเด่นในด้านการดูแลให้ความสำคัญกับสิทธิ ของผู้ถือหุ้นจนได้รับรางวัล Best Investor Relations Awards ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ซีพีเอฟ การ์ดไม่ตก คุมแรงงานไม่ออกนอกพื้นที่โรงงาน ย้ำกุ้งสดและผลิตภัณฑ์กุ้งปลอดภัยกินได้ไม่มีโรค

0

บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ยืนยัน “การ์ดไม่ตก” คงมาตรการป้องโควิดเข้มงวด พร้อมยกระดับป้องกันโรคตั้งแต่ฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร (From Farm to Table) และในโรงงานหลังล็อคดาวน์สมุทรสาคร ย้ำกุ้งสดและผลิตภัณฑ์กุ้งปลอดภัยกินได้ไม่มีโรค

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดโดยยกระดับมาตรการความปลอดภัยสูงสุดตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนเข้มงวดเรื่องสุขอนามัยของพนักงานทั้งก่อนและหลังปฏิบัติงาน ทำให้แรงงานทุกคนปลอดภัย กระบวนการผลิตไม่สะดุด และส่งมอบอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคได้เพียงพอและต่อเนื่อง

หลังประกาศจังหวัดสมุทรสาครประกาศล๊อคดาวน์ ซีพีเอฟ มีการดำเนินการขอให้แรงงานทั้งหมดไม่ออกนอกพื้นที่โรงงาน และบริษัทจัดการด้านอาหารให้ เพื่อลดโอกาสการปะปนกับบุคคลอื่น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับอาหารปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดกระบวนการผลิต” นายไพโรจน์ กล่าว

ซีพีเอฟ ในฐานะผู้ผลิตกุ้งครบวงจรชั้นนำ มีการควบคุมการผลิตตั้งแต่ต้นทางการผลิตคือ อาหารสัตว์ ต้องตรวจสอบที่มาของแหล่งวัตถุดิบได้ การจัดการฟาร์มเลี้ยงในระบบไบโอซีเคียวริตี้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีช่วยป้องกันโรคในสัตว์น้ำ ควบคู่ไปกับนวัตกรรม 3 สะอาด คือ บ่อสะอาด ลูกกุ้งสะอาด และน้ำสะอาด เพื่อให้การเลี้ยงถูกสุขอนามัยตามหลักวิชาการ ช่วยให้กุ้งแข็งแรง ต้านทานโรคสูง ไร้สารตกค้าง จนถึงปลายทางการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารตามมาตรฐานสากล สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต

นอกจากนี้ แรงงานทุกคนของซีพีเอฟเป็นแรงงานถูกกฎหมาย ภายใต้บันทึกความตกลงระหว่างบริษัทฯ กับประเทศต้นทางแรงงาน ผ่านหน่วยงานที่รัฐบาลแต่ละประเทศให้การรับรอง และมีการนำเข้ามาถูกต้องตามมาตรฐานแรงงานไทย ประกอบกับความพร้อมของโรงงาน ทำให้สามารถติดตามตรวจสอบและควบคุมกระบวนการได้ทั้งหมด

นายไพโรจน์ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ยังให้ความรู้เกษตรกรซึ่งเป็นต้นทางการผลิตกุ้ง ในการป้องกันโควิดอย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งการลงกุ้งเลี้ยง การปฏิบัติต่อแรงงาน การจับกุ้ง โดยกระบวนส่งมอบทั้งหมดเป็นไปอย่างรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบ Logistic ของบริษัทที่สามารถขนส่งกุ้ง “ซีพีแปซิฟิค” จากปากบ่อส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ลดการสัมผัสคนได้มาก

“ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจในการบริโภคสัตว์น้ำทั้งกุ้งสดและกุ้งแปรรูป ด้วยการเลือกรับประทานสัตว์น้ำจากผู้ผลิตที่มีคุณภาพ ตรวจสอบย้อนกลับได้ ผลิตภัณฑ์มีความสด สะอาดและปรุงสุกร้อนเสมอ และไม่ต้องกังวลเนื่องจากมีโอกาสน้อยที่อาหารจะปนเปื้อนเชื้อโควิด-19” นายไพโรจน์ กล่าว

AIS ยันเจตนารมณ์ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน หลังติดโผ 4 ดัชนียั่งยืนหลักต่อเนื่อง

0

นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เอไอเอสให้ความสำคัญกับแนวทางในการดำเนินธุรกิจแบบเติบโตไปพร้อมกันทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน หรือ Sustainability Development ที่ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ, สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุล  ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลที่ดี เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศไทย สร้างคุณค่าแก่สังคมไทยในทุกภาคส่วน

ความยั่งยืนถือเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งในปัจจุบัน ทุกองค์กรต้องมองถึงผลกระทบในระยะยาวที่จะเกิดต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กันอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ไม่ใช่เพียงผลกำไร ขาดทุน ในระยะสั้นเท่านั้น เอไอเอส มุ่งนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อาทิ 5G, ไฟเบอร์บรอดแบนด์และบริการดิจิทัล มาสร้างสรรค์ความเป็นเลิศเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงมุ่งสร้างประโยชน์และคุณค่าให้แก่ชุมชน สังคม ในการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ที่ผ่านมา เอไอเอส เดินหน้าผลักดันการสร้างสังคม Digital ที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ อุ่นใจไซเบอร์ ด้วยเป้าหมายในการสร้างภูมิคุ้มกัน รณรงค์ ปลูกจิตสำนึก พร้อมพัฒนาเครื่องมือคัดกรอง Content ที่ไม่เหมาะสมจากโลกดิจิทัล นอกจากนี้ยังผลักดันการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) เพื่อนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี และไม่เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” ที่ถูกยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ ผ่านการทำงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมภาคีเครือข่ายหลัก อาทิ TBCSD, TRBN , ไปรษณีย์ไทย พร้อมภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการสร้างการตระหนักรู้และขยายจุดรับทิ้งขยะ E-Waste ทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 2,400 จุด

และ ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษํท ที่ได้รับการยอมรับจากสถาบันจัดอันดับความยั่งยืนชั้นนำทั้งในไทย และ ต่างประเทศ จาก 4 สถาบันหลัก ประกอบด้วย

–         หุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSIประจำปี 2563 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่สะท้อนถึงการให้ความสำคัญในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ผ่านกระบวนการดำเนินงาน ทั้ง 4 ระดับ ได้แก่ การกำหนดนโยบาย การตั้งเป้าหมายและการนำนโยบายไปปฏิบัติ การวัดผลลัพธ์จากการดำเนินการ และการเปิดเผยข้อมูลของบริษัท โดย           เอไอเอสติดอันดับต่อเนื่องถึง 6 ปี

–         ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability IndicesDJSIปี 2563 ในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ของกลุ่มธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทย สะท้อนวิสัยทัศน์และนโยบายในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งคำนึงถึง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทให้เติบโตไปพร้อมๆกัน จนได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยเอไอเอสติดอันดับต่อเนื่อง

–         ดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good Index Series จากฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) ปี 2563 ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักลงทุน  โดยเอไอเอสติดอันดับต่อเนื่อง 6 ปี

–         ดัชนีความยั่งยืน ESG 100  ซึ่งใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากข้อมูลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมภิบาล (ESG) พร้อมผลประกอบการของบริษัทควบคู่ไปพร้อมกัน โดยใช้  เรตติ้งโมเดลที่พัฒนาขึ้นจากหลักการตามมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนของ GISR (Global Initiative For Sustainability Ratings)  โดยเอไอเอสติดอันดับต่อเนื่อง 6 ปี

“ความสำเร็จครั้งนี้ เกิดจากการรวมพลังของบุคลากรในองค์กรตั้งแต่ผู้บริหาร พนักงาน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ได้นำหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาปรับประยุกต์ใช้ในการทำงานตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่มีพลัง โดยเราจะยังคงเดินหน้าปฏิบัติตามพันธกิจนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป” นายสมชัย กล่าวย้ำ

CPF การันตี “กุ้งซีพี แปซิฟิก” ปลอดภัย ส่งตรงจากปากบ่อถึงมือผู้บริโภค

0

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เกิดโควิด-19 ในตลาดกลางขายกุ้งจังหวัดสมุทรสาคร อาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลกับการเลือกซื้อกุ้งเพื่อการบริโภค ในขณะที่ “กุ้ง ซีพีแปซิฟิก” เป็นกุ้งที่สด สะอาด ปลอดภัยกับผู้บริโภคทุกคน และเป็นกุ้งที่จับจากปากบ่อส่งตรงถึงมือผู้บริโภคทันที ณ ร้านซีพีเฟรชมาร์ท ซึ่งมีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด

ทั้งนี้ กระบวนการผลิต “กุ้งซีพีแปซิฟิก” จะเริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการเลี้ยงที่ดีด้วยระบบ CPF Combine Model ภายใต้แนวทาง “3 สะอาด” ซึ่งประกอบด้วย พื้นบ่อสะอาด น้ำสะอาด และ ลูกกุ้งสะอาด ปรับปรุงสภาพแวดล้อมของบ่อเลี้ยงกุ้งให้สะอาดขึ้น ช่วยให้กุ้งอยู่สบาย กินอาหารได้ดี มีอัตราการเติบโตที่ดี รวมถึง การใช้โปรไบโอติก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยง ลดความเสี่ยงการเกิดโรคของกุ้ง โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในระหว่างการเลี้ยง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับในสถานการณ์โควิด-19 ซีพีเอฟ ให้ความรู้เกษตรกรซึ่งเป็นต้นทางของการผลิตกุ้งในการป้องกันโควิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดการระบาดครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำการลงกุ้งเข้าเลี้ยง มาตรการป้องกันโรคของแรงงาน วิธีการจับกุ้ง ฯลฯ โดยกระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรอบคอบรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบ Logistic ของบริษัทที่สามารถขนส่งกุ้ง “ซีพีแปซิฟิก” จากปากบ่อส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ช่วยลดการสัมผัสของคนจำนวนมาก ตอบโจทย์วิถีปกติใหม่ (New Normal) ที่ต้องเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ลดการสัมผัสและลดการปนเปื้อนให้มากที่สุด เพราะความปลอดภัยของอาหารเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด

“ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยทางอาหาร การดูแลห่วงโซ่อุปทานการผลิตกุ้งอย่างรอบด้านจะเริ่มตั้งแต่การส่งเสริมการใช้วัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ที่ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ สู่ฟาร์มเลี้ยงตามหลักวิชาการและมาตรฐานสากล และการพัฒนาพันธุ์กุ้งที่โตไว สะอาด แข็งแรง ต้านทานโรค ไร้สารตกค้าง เป็นผลิตภัณฑ์สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต” นายไพโรจน์กล่าวทิ้งท้าย