Home Blog Page 368

ซีพีเอฟ เร่งส่ง “อาหารจากใจ” ให้ศูนย์ห่วงใยคนสาคร พร้อมรับมือโควิด

0

รายงานข่าวจากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟเดินหน้าต่อเนื่องให้การสนับสนุนชาวสมุทรสาครในการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหาร แก่โรงพยาบาลสนาม “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” ภายใต้ โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด -19” อย่างต่อเนื่อง พร้อมติดตั้งตู้แช่เย็นเสริมความพร้อมให้กับศูนย์ห่วงใยคนสาคร เพื่อเป็นกำลังใจกับการปฏิบัติงานของทีมแพทย์-พยาบาล และผู้ติดเชื้อ ให้จังหวัดสมุทรสาครกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด

ล่าสุด นายชัยวัฒน์ ปรีดิศรีพิพัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส และ นายธนะศักดิ์ พึ่งฮั้ว ที่ปรึกษาด้านนวัตกรรม ซีพีเอฟ ได้นำผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน จำนวน 3,000 แพ็ค และอาหารกับข้าวสำเร็จรูปอีก 600 กิโลกรัม มอบให้แก่ นายวัฒนา ตวงมณี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพันท้ายนรสิงห์ และนายแพทย์ศุภศรัณย์ ศุภพัฒนพงศ์ แพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสมุทรสาคร เพื่อนำไปแจกจ่าย แก่โรงพยาบาลสนาม “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร” 5 แห่ง ณ ศูนย์ห่วงใยคนสาครวัฒนาแฟคตอรี่ ต.พันท้ายนรสิงห์​ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยก่อนหน้านี้ ซีพีเอฟ ได้มอบผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานแก่ “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร ” ไปแล้วจำนวน 16,600 แพ็ค ผ่านทางนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังได้นำตู้แช่เย็นจาก ซีพี เฟรชมาร์ท ไปติดตั้งที่โรงพยาบาล และศูนย์ห่วงใยคนสาคร รวม 5 จุด ประกอบดัวย โรงพยาบาลสมุทรสาคร โรงพยาบาลกระทุ่มแบน ศูนย์ห่วงใยคนสาคร 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์วัฒนาแฟคตอรี่ สนามกีฬาจังหวัด และวัดโกรกกราก เพื่อช่วยเก็บรักษาคุณภาพอาหารพร้อมทานที่ซีพีเอฟให้การสนับสนุน เป็นการอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่

นายวัฒนา ตวงมณี นายกอบต.พันท้ายนรสิงห์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับการสนับสนุนอาหารปลอดภัย และตู้แช่เย็นจากซีพีเอฟ เพื่อแทนความห่วงใยให้กับทีมแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัคร รวมทั้งผู้ติดเชื้อที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามได้บริโภคอาหารคุณภาพ ปลอดภัย อย่างเพียงพอ นับเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระด้านการจัดเตรียมอาหารให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาลเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสนามได้เป็นอย่างดี โรงพยาบาลสนาม “ศูนย์ห่วงใยคนสาคร”​ ในจังหวัดสมุทรสาคร รวมทั้งศูนย์ห่วงใยคนสาครวัฒนาแฟคตอรี่ ก่อตั้งขึ้นรองรับและดูแลผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการทั้งคนไทยและแรงงานต่างชาติ เพื่อควบคุมอัตราการแพร่ระบาดในจังหวัดให้เร็วที่สุด

ทั้งนี้ ซีพีเอฟได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรับมือโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยสนับสนุนผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน ภายใต้ โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” ซึ่งริเริ่มโดย นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด้านสาธารณสุข ที่ทุ่มเทปฏิบัติงานดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ของโรงพยาบาล 15 แห่ง ในจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี และสนับสนุน กุ้งซีพี แปซิฟิก 300 กิโลกรัมให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย รวมทั้งมอบกุ้ง ซีพี แปซิฟิก 300 กิโลกรัมให้แก่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)​ พร้อมทั้งหน้ากากอนามัย ซีพี 30,000 ชิ้น เพื่อนำไปมอบให้แก่กลุ่มเปราะบางและแรงงานต่างชาติในจ.ระยองและจ.สมุทรสาคร

บริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน นำผลิตภัณฑ์อาหาร สำเร็จรูป 30,800 แพ็ค และไข่ไก่สด 10,000 ฟอง เพื่อแทนความห่วงใย และช่วยบรรเทาความเดือดร้อน เพื่อนแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวน 1,200 ครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่กักตัวในตลาดกลางกุ้ง มหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังร่วมกับ เครือซีพี ตามดำริของ นายสุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือซีพีและซีพีเอฟ ผนึกมอบอาหารและหน้ากากอนามัยผ่านสถานทูตเมียนมา รวมทั้งผนึกพลังกับ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ บมจ. โอสถสภา ที่ร่วมสนับสนุนซิมอินเทอร์เน็ต และเครื่องดื่ม เพื่อนำไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของแรงงานชาวเมียนมาในจังหวัดสมุทรสาครและพื้นที่เสี่ยงอื่นๆ รวมทั้งมอบหน้ากากอนามัยซีพี ช่วยแรงงานต่างชาติที่พำนักในประเทศไทยผ่านสถานเอกอัครราชทูต 3 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว อีกด้วย

ชวนคิด ตามติดปรากฏการณ์ GameStop

0

โดย นางสาวอรทัย นิ่มถาวร ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายธุรกิจตัวกลาง และนางพัฒนพร ไตรพิพัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบตลาดทุน 1 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

อาทิตย์ที่ผ่านมา จากการติดตามข่าวราคาหุ้น GameStop ซึ่งจดทะเบียนอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 900% ในเวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์เกิดอะไรขึ้น?

  • GameStop ทำอะไร?

GameStop หรือ GameStop Corporationเป็นร้านขายวีดีโอเกมที่จดทะเบียนอยู่ใน New York Stock Exchange (NYSE) โดยธุรกิจของบริษัทเริ่มซบเซา ส่งผลต่อการดำเนินงานและราคาหุ้นของบริษัท อย่างไรก็ดีในเดือน ม.ค. 64 ราคาหุ้นของบริษัทกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 900% ภายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จากราคาปิด 35.50 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 64 ไปแตะที่ระดับ 347.51 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น เมื่อวันที่27 ม.ค. 64

  • ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างไร?

เมื่อบริษัท GameStop มีผลการดำเนินงานไม่ดี กองทุนต่าง ๆ ก็เข้ามาขายชอร์ต เพื่อทำกำไร เนื่องจากคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะลดต่ำลงไปอีก (การขายชอร์ต คือ การยืมหุ้นมาขาย โดยจะซื้อหุ้นคืนแก่ผู้ให้ยืมในภายหลัง ซึ่งถ้าหุ้นราคายิ่งตกลงมากก็จะได้กำไรมาก แต่หากหุ้นราคาขึ้นสูงกว่าราคาที่ขายไว้ ก็จะขาดทุนได้อย่างไม่จำกัด) โดยตามข่าวที่เปิดเผยผ่านสื่อต่าง ๆ สัดส่วนการขายชอร์ตของกองทุนสูงกว่า 80%ต่อมามีนักลงทุนรายย่อยทราบว่ากองทุนมีการขายชอร์ตในสัดส่วนที่สูงมาก จึงเห็นโอกาสในการสร้างกำไร โดยการโพสต์ข้อความชักชวนผู้ลงทุนรายย่อยในเว็บบอร์ด WallStreetBets ให้เข้ามาซื้อหุ้น และ stock options ของหุ้น GameStop จนส่งผลให้ราคาหุ้นเริ่มสูงขึ้น (stock options เป็นการให้สิทธิผู้ถือที่จะซื้อหรือขายหุ้นสามัญกับผู้ขาย options โดยต้องระบุสิทธิ์ให้ชัดเจน เช่น ให้สิทธิซื้อหรือขายจำนวนเท่าใด ณ ราคาใด ใช้สิทธิวันใด และส่งมอบอย่างไร) ซึ่งการที่ผู้ลงทุนรายย่อยกลุ่มดังกล่าวระดมไล่ซื้อและเก็บสะสมหุ้นไว้โดยไม่ขาย ขณะที่กองทุนที่ขายชอร์ตไว้ ต้องเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อนำไปส่งมอบ และตัดผลขาดทุน (cut loss) รวมทั้งสถาบันการเงินที่ขาย stock options ก็เข้าไปซื้อหุ้น GameStop ด้วย เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขาย stock options ทำให้ราคาของหุ้น GameStop สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมิได้มีปัจจัยพื้นฐานรองรับแต่อย่างใด และส่งผลให้กองทุนที่ขายชอร์ตขาดทุนจำนวนมากจากการต้องซื้อหุ้นเพื่อนำไปส่งมอบ จากเหตุการณ์ข้างต้น สร้างความตื่นตัวให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งวุฒิสภา และ ก.ล.ต. โดยได้มีการยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาเพื่อให้มั่นใจถึงความมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม
และความน่าเชื่อถือของตลาดทุน รวมถึงการคุ้มครองผู้ลงทุน

  • ประเด็นชวนคิด

กรณีนี้ มีประเด็นน่าสนใจว่า กลไก เครื่องมือ หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในปัจจุบัน ยังมีช่องว่าง มีความไม่เท่าเทียม หรือก่อให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มผู้ลงทุนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น GameStop เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็ว โดยไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ยังอาจสะท้อนให้เห็นช่องว่างของกลไกการซื้อขายในตลาดที่เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ลงทุนต่าง ๆ ใช้ตลาดหุ้นเป็นเครื่องมือในการซื้อขายให้เป็นไปในทิศทางที่ตนเองต้องการได้โดยง่าย อันกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกลไกตลาดโดยรวม จึงมีประเด็นชวนคิดดังนี้

  1. ประเด็นแรก การขายชอร์ตในจำนวนที่มากจนเปิดโอกาสให้มีช่องทางในการซื้อขายที่ส่งผลต่อราคาหุ้น หากไม่กำหนดกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลให้เหมาะสม อาจจะทำให้เกิดกรณีไม่สามารถซื้อหุ้นคืนได้ ในเวลาอันสั้น จากการเก็บสะสมหุ้นไว้ของผู้ลงทุนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (short squeeze) เช่นเดียวกับกรณีหุ้น GameStop หากพิจารณาเครื่องมือในการกำกับดูแลที่ผ่านมาในบ้านเรา หลักทรัพย์ที่ขายชอร์ตได้ต้องเป็นหลักทรัพย์ที่มี สภาพคล่องโดยอยู่ใน SET 100 มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ market cap สูง เฉลี่ย 3 เดือน ไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท มีการกำหนดปริมาณการให้ยืมสูงสุดที่ บล. สามารถให้ยืมได้เมื่อเทียบกับเงินกองทุนของ บล. เป็นต้น ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวก็จะช่วยป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะ GameStop ได้ในระดับหนึ่ง โดยในส่วนของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีข้อห้ามในการขายชอร์ตเช่นกัน แต่อาจมีรายละเอียดของกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องแตกต่างกันไป
  2. ประเด็นที่สอง การเผยแพร่ข้อความใน social media ในลักษณะชักชวนให้เข้าไปซื้อขายหลักทรัพย์ จนส่งผลให้ผู้ลงทุนจำนวนมากเข้าไปซื้อขายและส่งผลกระทบให้สภาพการซื้อขายของหลักทรัพย์นั้นผิดไปจากสภาพปกติ โดยที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นกรณีที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากในการกระทำต่าง ๆ ควรมีความเหมาะสม คำนึงถึงเหตุและผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาลงทุนต่าง ๆ ควรคำนึงถึงคุณค่าและความเสี่ยงของหลักทรัพย์ เช่น ปัจจัยพื้นฐาน โอกาสในการเติบโตและการทำกำไรของบริษัท ดังนั้น ราคาที่จะซื้อจะขายจึงควรจะสอดคล้องกับมูลค่าของหลักทรัพย์นั้นด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การกระทำในลักษณะดังกล่าว ยังอาจสร้างความไม่เป็นธรรมในการซื้อขายหลักทรัพย์ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนโดยรวม ซึ่งในกรณีนี้กฎหมายและกฎเกณฑ์ของทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ก็มีกำหนดไว้เพื่อการกำกับดูแล โดยกรณีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็มีกฎเกณฑ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการกำกับดูแลกรณีดังกล่าวได้
  3. ประเด็นที่สาม การให้บริการของโบรกเกอร์ หรือ platform (ตัวกลาง) ที่เกี่ยวข้อง ควรมีบทบาทขอบเขต หรือมีการให้คำแนะนำ และยับยั้งพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างไร โดยในส่วนของการกำกับดูแลตัวกลางทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย จะมีหลักการในทำนองเดียวกัน ที่กำหนดให้ตัวกลางซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจมืออาชีพ ต้องให้บริการแก่ผู้ลงทุนอย่างเท่าเทียมกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ลงทุน มีความเข้าใจในความเสี่ยงของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอกับผู้ลงทุน ให้คำแนะนำและเปิดเผยข้อมูลสำคัญ ๆ อย่างเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน เช่น ในกรณีที่หุ้นมีราคาปรับตัวสูงขึ้นโดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ โบรกเกอร์ก็ควรมีบทบาทในการให้คำแนะนำที่เหมาะสมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่ตัวกลางเป็นเพียง online platform ซึ่งไม่มีบริการด้านการให้คำแนะนำ ก็ต้องมีระบบงานที่ทำให้มั่นใจได้ว่า การส่งคำซื้อขายของลูกค้าที่ผ่าน platform ตนเอง เป็นไปอย่างเป็นธรรม มีระบบ ระเบียบ เรียบร้อย ไม่เกิดผลกระทบต่อผู้ลงทุนและตลาดโดยรวม และหากมีพฤติกรรมการส่งคำสั่งไม่เหมาะสม ควรมีกลไกหรือบทบาทในการยับยั้ง โดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของตลาดทุนโดยรวม

ผลจะเป็นอย่างไรต่อไป?

กรณีนี้ ปรากฎข่าวตามสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ว่า ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างติดตามตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นที่มีความผันผวน อันนำไปสู่การปรับตัวที่สูงขึ้นอย่างมากของราคาหุ้น GameStop และหุ้นตัวอื่น ๆ รวมถึงพิจารณามาตรฐานในการประกอบธุรกิจของตัวกลาง ที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของผู้ลงทุนมีการให้บริการอย่างเป็นธรรม ไม่ทำให้ผู้ลงทุนเสียประโยชน์ และพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย หากพบการกระทำผิดที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้ลงทุน และเพื่อให้มั่นใจว่า ระบบการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไป ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

ที่มา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

ทิพยประกันภัย จับมือ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มอบประกันโควิด-19 ฟรีให้ลูกบ้าน ทุนประกัน 1 แสนบาท

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) มีความร่วมมือกันในการมอบความคุ้มครอบประกันภัยไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ให้กับลูกบ้านของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค

โดยคุณณฐินี ธนะรัชต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุ และ คุณณาศิส ประเสริฐสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารการลงทุน บมจ. ทิพยประกันภัย กับ คุณวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บมจ. พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จับมือกันมอบความคุ้มครองประกันภัยโควิด-19 วงเงินคุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท เป็นระยะเวลา 1 ปี ให้แก่ลูกบ้านที่ได้ชำระค่าสาธารณูปโภคให้กับบริษัทตลอดปี 63 ที่ผ่านมา รวมถึงลูกบ้านที่ได้แนะนำเพื่อนเพื่อการจองซื้อบ้านในโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค รวมจำนวนกว่า 7,000 กรมธรรม์ คิดเป็นวงเงินคุ้มครองทั้งสิ้น 700 ล้านบาท

ทั้งนี้จากความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัท เพื่อสร้างความอุ่นใจแทนความห่วงใยและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ พร้อมกับเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินชีวิตประจำวันให้กับทั้งลูกค้าและลูกบ้านได้มากยิ่งขึ้น

ซีพีเอฟ ชูโมเดลความสำเร็จ พาชุมชนฝ่าโควิด 19 สร้างความมั่นคงทางอาหารและพึ่งพาตนเอง

0

นายสุธี สมุทระประภูต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่าบริษัทดำเนินโครงการยุทธศาสตร์สร้างสุขชุมชนพื้นที่เขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี โดยส่งเสริมชุมชนที่อาศัยรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ทำโครงการปลูกผักตามวิถีธรรมชาติ (ระยะเวลาดำเนินโครงการ ปี 2562-2566) และโครงการปล่อยปลาลงเขื่อน (ระยะเวลาดำเนินโครงการ ปี 2563 – 2566) ซึ่งทั้งสองโครงการเป็นการสร้างแหล่งอาหารในระดับชุมชน โดยซีพีเอฟใช้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ พร้อมทั้งสนับสนุนการตั้งกองทุนหมุนเวียนเพื่อให้ชุมชนสามารถดำเนินโครงการได้อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 ทั้งโครงการปลูกผักวิถีธรรมชาติและโครงการปล่อยปลาลงเขื่อน เป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัยของชุมชน และจะเป็นต้นแบบในการขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ต่อไป

นายประทีป อ่อนสลุง ชาวบ้านตำบลโคกสลุง ในฐานะผู้ประสานงานหลักของโครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปลูกผักตามวิถีธรรมชาติ กล่าวว่า ในช่วงของการดำเนินโครงการปลูกผักตามวิถีธรรมชาติ ระยะที่หนึ่ง (ปี 2562-2563) สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการครอบคลุม 7 หมู่บ้าน มีผลผลิตผักเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ครัวเรือนมีรายได้จากการจำหน่ายผักเพิ่มขึ้นตามไปด้วยสำหรับครัวเรือนที่ปลูกผักไว้บริโภคเองสามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ โดยในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด 19 รอบแรก ต้นปี 2563 และการระบาดรอบใหม่ ชุมชนไม่ได้รับผลกระทบเรื่องอาหารเพราะมีผลผลิตที่สะอาดและปลอดภัยเพียงพอบริโภค

ปี 2564 เข้าสู่ระยะที่สองของโครงการ มีแผนขยายจำนวนสมาชิก เพิ่มปริมาณผลผลิตผัก เพิ่มชนิดและจำนวนเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับจากสมาชิกเพื่อส่งเข้าธนาคารเมล็ดพันธุ์ตามวิถีภูมิปัญญาชุมชน จากปัจจุบันที่มีชนิดของเมล็ดพันธุ์ ที่ได้รับจากสมาชิก 45 ชนิด อาทิ มะเขือยาวม่วงพราว มะเขือไข่เต่า มะเขือหยดน้ำทิพย์ มะเขือคางกบ มะเขือเทศสีดา ถั่วฝักยาวแดง ถั่วฝักยาวสีม่วง กระเจี๊ยบมณีแม่โจ้ เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรมีเมล็ดพันธุ์ผักพื้นบ้านที่ปลอดสารไว้ขยายพันธุ์และกระจายไปยังชุมชนอื่นๆ โดยในอนาคตธนาคารเมล็ดพันธุ์จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจอีกด้วย

ด้าน นายกีรติศักดิ์ สุวรรณธนะกรณ์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 7 โคกสลุง ในฐานะประธานโครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ปล่อยปลาลงเขื่อน เปิดเผยว่า โครงการปล่อยปลาลงเขื่อนเป็นโครงการที่ซีพีเอฟสนับสนุนการเรียนรู้และอุปกรณ์การเพาะพันธุ์ปลา พร้อมกับนำประสบการณ์จากการดำเนินธุรกิจมาถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับการเพาะพันธุ์ปลาให้สมาชิกของโครงการฯ รวมทั้งการอนุบาลปลาก่อนปล่อยสู่แหล่งน้ำเพื่อเพิ่มอัตรารอดของปลา ทำให้มีปริมาณปลาเพิ่มขึ้น ชาวบ้านที่ทำประมงพื้นบ้านซึ่งเป็นสมาชิกของโครงการ มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายปลา จากเดิมที่มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 7,000-9,000 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 3,000 – 4,000 บาท ชุมชนในพื้นที่เองได้ประโยชน์จากการมีแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโควิด 19

โครงการยุทธศาสตร์สร้างสุข ชุมชนพื้นที่เขาพระยาเดินธง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เป็นโครงการที่ซีพีเอฟสร้างกิจกรรมการมีส่วนร่วมกับชุมชนและสร้างแหล่งอาหารที่ยั่งยืนของชุมชน ต่อยอดจากการดำเนินโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่า “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” ซึ่งในปี 2564-2568 เข้าสู่ระยะที่สองของโครงการ มีเป้าหมายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าพื้นที่เขาพระยาเดินธงรวม 7,000 ไร่

กรมชลฯ คุมเข้มจัดการน้ำหน้าแล้ง ขอทุกฝ่ายทำตามแผนเคร่งครัด

0

กรมชลประทาน ย้ำเหลือระยะเวลาอีกสามเดือนจะสิ้นสุดฤดูแล้ง ขอความร่วมมือทุกฝ่ายใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนจัดสรรน้ำฯที่วางไว้อย่างเคร่งครัด  ลดเสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคตลอดฤดูแล้งนี้

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ปัจจุบัน(1 ก.พ. 64) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกัน ทั้งสิ้น 44,358 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 58 ของความจุอ่างฯ รวมกัน  มีปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 20,427 ล้าน ลบ.ม. และจนถึงขณะนี้มีการใช้น้ำไปแล้ว 7,851 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 46 ของแผนฯ เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้น 11,019 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 44 ของความจุอ่างฯรวมกัน เป็นปริมาณน้ำใช้การได้ประมาณ 4,323 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีการใช้น้ำไปแล้ว 2,260 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 57 ของแผนฯ เนื่องจากปริมาณน้ำต้นทุนมีจำนวนจำกัด  จำเป็นต้องจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ ตามลำดับความสำคัญ โดยเน้นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ ควบคุมคุณภาพน้ำ ตลอดจนรักษาเสถียรภาพของคันคลองไม้ผล ไม้ยืนต้น และสำรองน้ำไว้สำหรับช่วงต้นฤดูฝนหน้า ทำให้ไม่สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการทำนารอบ2(นอกแผน)ได้อย่างเพียงพอ

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน

กรมชลประทานได้สั่งการให้โครงการชลประทานทั่วประเทศ บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนจัดสรรน้ำฤดูแล้งอย่างเคร่งครัด พร้อมติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาวิเคราะห์วางแผนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ของตน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งสำรวจพื้นที่เพาะปลูก สำหรับการวิเคราะห์และคำนวณการใช้น้ำ เพื่อวางแผนบริหารจัดการน้ำในปีต่อๆ ไปให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

และเน้นย้ำให้ประชาสัมพันธ์ถึงสถานการณ์น้ำผ่านศูนย์การเรียนรู้ กลุ่มผู้ใช้น้ำ และช่องทางอื่นๆ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนรวมทั้งเกษตรกรให้รับทราบอย่างต่อเนื่อง หากประชาชนหรือหน่วยใดต้องการความช่วยเหลือ สามารถร้องขอไปยังสำนักงานชลประทาน หรือโครงการชลประทานในพื้นที่ หรือโทร.1460 สายด่วนกรมชลประทานได้ตลอดเวลา

ทรีนีตี้ แนะธีมลงทุนหุ้นเดือน ก.พ. แข็งแกร่งกว่าตลาด-ผลตอบแทนดี

0

“ทรีนีตี้” มองตลาดหุ้นเดือน ก.พ.เป็นลักษณะแกว่งเล่นรอบ ประเมินแนวรับแรกที่ดัชนี 1,440 จุด  แนะ3 ธีมหุ้นน่าสนใจ Bond yield ต่ำ – SETHD และหุ้นได้ประโยชน์จากวิธีคำนวณดัชนีใหม่ ของตลาดหลักทรัพย์

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยทิศทางการลงทุนเดือน ก.พ.ว่า จะเป็นลักษณะการแกว่งในกรอบ หลังจากที่ปรับฐานลงมาแรงในช่วงปลายเดือนก่อน จากปัจจัย Valuation ที่ร้อนแรงเกินไป และการขายล็อคกำไรของนักลงทุน ก่อนเข้าสู่เทศกาลประกาศผลประกอบการ

อย่างไรก็ตาม ข้อดีก็คือการปรับฐานรอบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาสภาพคล่องแต่อย่างใด แถมทาง ทรีนีตี้ยังไม่กังวลใจกับการลดวงเงิน QE ของ Fed (QE tapering) อย่างน้อย ๆ ก็ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้อีกด้วย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการปรับตัวลงจะไม่ได้เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง แต่จะมีกลุ่มหุ้นที่แข็งแกร่งกว่าตลาด  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่มี Earnings momentum เชิงบวกและระดับ Valuation ไม่สูงมากนัก

ประเมินแนวรับแรกของ SET Index ประจำเดือนนี้ที่ระดับ 1,440 จุด ซึ่งจะเป็นระดับที่ทำให้ Earning yield gap (EYG) ของตลาดหุ้นไทยกลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ยระยะยาวอีกครั้ง ซึ่งนั่นหมายถึงว่าอาจจะเป็นจุดที่นักลงทุนต่างชาติหยุดการขายสุทธิหุ้นไทยได้ ส่วนแนวรับสำคัญประเมินที่บริเวณ 1,400 จุด ในทางกลับกันมองระดับแนวต้านการรีบาวด์ของดัชนีไว้ที่ 1,500 จุด

นายณัฐชาต กล่าวว่า เดือน ก.พ.มี 3 ปัจจัยหลัก ที่ต้องติดตาม คือ 1.การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 3 ก.พ. ที่ให้โอกาสการลดดอกเบี้ยในระดับ 50 % อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ของไทยที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป จากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและเงินเฟ้อของไทยที่ชะลอตัว  2. ความคืบหน้าของการปรับวิธีคำนวณดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ จาก Full market cap เป็น Free-float adjusted market cap ซึ่งจะส่งผลให้เกิดกลยุทธ์การลงทุนแบบ  Pair trade strategy หรือการซื้อหุ้นที่ได้ประโยชน์และขายหุ้นที่เสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงการคำนวณดัชนี และ 3. เทศกาลประกาศผลประกอบการ ซึ่งคาดว่าหุ้นขนาดกลาง-เล็กจะมีผลดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าหุ้นขนาดใหญ่

สำหรับธีมการลงทุนเดือนก.พ. หากดัชนี SET ยังลงไปไม่ถึงแนวรับที่ 1,440 จุด เดือน ก.พ.แนะนำถือลงทุนในหุ้น 3 ธีม ได้แก่ 1. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Bond yield ไทยที่อยู่ต่ำ เช่น กลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มไฟแนนซ์ มองตัวที่น่าสนใจได้แก่ GULF และ THANI  2. หุ้นปันผลสูง (SETHD) ที่มักปรับตัวได้ดีในช่วงนี้ของทุกปี โดยหากเลือกตัวที่มีความเชื่อมั่นทางสถิติสูงว่าจะส่งมอบผลตอบแทนที่เป็นบวกในเดือนก.พ.ได้ จะได้แก่ TISCO และ INTUCH และ 3. หุ้นที่เข้าข่ายได้รับน้ำหนักเพิ่มจากวิธีคำนวณดัชนีใหม่ (Free-float adjusted market cap) และยังมีแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/64 เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ได้แก่ SCC และ KBANK

ในขณะเดียวกัน หากในช่วงระหว่างเดือนดัชนี SET ปรับลงไปถึงบริเวณแนวรับที่ 1,440 จุด แนะนำ “ซื้อกลับ” ในหุ้นกลุ่มวัฏจักรที่เชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่กลุ่ม ออยล์แอนด์แก๊ส ปิโตรเคมี ซอฟต์คอมมูนิตี้ แพ็กเกจจิ้ง และโลจิสติกส์  มองหุ้นเด่นที่น่าสนใจในแต่ละกลุ่มได้แก่ BCP, IVL, STA, RCL, PTL             

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึก LH Bank เปิดตัวประกันยูนิตลิงค์ “แอล เอช แบงก์ เฟล็กซี่ อินเวสท์ ลิงค์”

0

บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ร่วมกันเปิดตัวประกันยูนิตลิงค์ “แอล เอช แบงก์ เฟล็กซี่ อินเวสท์ ลิงค์ (LH Bank Flexi Invest Link)” ซึ่งเป็นประกันชีวิตควบการลงทุนที่สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้ตามความต้องการ โดยมีทีมที่ปรึกษาทางการเงินให้คำแนะนำเพื่อตอบโจทย์การสร้างผลตอบแทนที่ดีผ่านการลงทุนในกองทุนรวมที่ได้คัดสรรมาให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้า

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต หรือ MTL เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคตื่นตัวต่อการเตรียมความพร้อมทางการเงินเพื่อรองรับค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ ตลอดจนความต้องการวางแผนเกษียณและแผนสุขภาพในระยะยาว มีมากขึ้น ความร่วมมือระหว่าง MTL กับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ทันสมัยและหลากหลาย      ผ่านช่องทางการให้บริการต่างๆ ของธนาคารจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้สะดวกและง่าย ด้วยประสบการณ์ด้านการประกันชีวิตกว่า 70 ปีและความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ยูนิตลิงค์ของบริษัท ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มซึ่งลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองชีวิตได้ตามความต้องการ ไม่จำกัดจำนวนเงินเอาประกันภัยสูงสุด อีกทั้งยังเลือกการเพิ่มความคุ้มครองเพิ่มเติมด้านอื่นได้ ทำให้ลูกค้าออกแบบ  การชำระเบี้ยประกันภัย และวางแผนจัดการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพในอนาคตได้

ด้านนางสาวชมภูนุช ปฐมพร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH Bank) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาท ทำให้พฤติกรรมการซื้อประกันชีวิตเปลี่ยนไป โดยลูกค้าต้องการความยืดหยุ่นและสภาพคล่องมากขึ้น แต่แบบประกันทั่วไปไม่สามารถตอบโจทย์ได้ ธนาคารจึงนำความเชี่ยวชาญด้านการเงินผนวกกับความเชี่ยวชาญด้านประกันชีวิตของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดตัวประกันชีวิตควบการลงทุน “แอล เอช แบงก์ เฟล็กซี่ อินเวสท์ ลิงค์ (LH Bank Flexi Invest Link)” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายในชีวิต เช่น การวางแผนเกษียณ การวางแผนสุขภาพในระยะยาว และการสร้างหลักประกันให้ทายาท โดยมีทีมที่ปรึกษาทางการเงินและนักวางแผนการเงิน (Wealth Advisory Banking) ให้บริการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ลูกค้าทุกกลุ่มได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ การหยุดพักชำระเบี้ยประกันภัย หรือถอนเงินลงทุนออกบางส่วนจากกรมธรรม์ประกันภัย ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นสูง

โดยมี 2 แบบประกันให้เลือก ได้แก่

  • แอล เอช แบงก์ เฟล็กซี่ อินเวสท์ ลิงค์ วัน พลัส (LH Bank Flexi Invest Link One+) สามารถทำประกันได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน ถึงอายุ 80 ปี จ่ายเบี้ยประกันเพียงครั้งเดียว เริ่มต้นที่ 50,000 บาท คุ้มครองชีวิตยาวนานถึงอายุ 99 ปี เลือกความคุ้มครองชีวิตได้ตามความต้องการและไม่จำกัดจำนวนเงินเอาประกันภัยสูงสุด สามารถปรับเพิ่มหรือลดความคุ้มครองได้ปีละ 1 ครั้งโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับเบี้ยประกันภัยหลักสามารถนำไปลงทุนในกองทุนรวมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
  • แอล เอช แบงก์ เฟล็กซี่ อินเวสท์ ลิงค์ ดีไซน์ (LH Bank Flexi Invest Link Design) สามารถทำประกันได้ตั้งแต่อายุ 30 วันถึงอายุ 70 ปี เบี้ยประกันภัยรายปีเริ่มต้นที่ 20,000 บาทต่อปี ชำระเบี้ยประกันภัยถึงอายุ 99 ปีและคุ้มครองชีวิตยาวนานถึงอายุ 99 ปี สามารถถอนเงินลงทุนบางส่วนออกจากกรมธรรม์หรือเลือกหยุดพักชำระเบี้ยประกันภัยได้ เพิ่มความอุ่นใจด้วยสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ อีลิท เฮลท์ (Elite health) เพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LH Bank ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ โทร.1327

FSMART เปิดแผนปี 64 ยกระดับ “ตู้บุญเติม” สู่ “ตู้อัจฉริยะ” บริการทางการเงินครบวงจร ลุยดันยอดใช้บริการโต 20%

0

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ FSMART)  เปิดเผยทิศทางดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ว่า จะเดินหน้าขยายธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก คือ 1. ธุรกิจเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ  2. ธุรกิจให้บริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร 3. ธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและการกระจายสินค้า โดยมีเป้าหมายเพิ่มยอดการใช้บริการผ่าน “ตู้บุญเติม” ให้มีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 20% จากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และการเพิ่มบริการใหม่ ๆ  

ปีนี้ มั่นใจว่าธุรกิจให้บริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร จะเป็นธุรกิจดาวเด่น (New S-curve) ที่จะขยายฐานและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จากการเติบโตที่สูงขึ้น  ซึ่งเป็นผลจากการลดจำนวนสาขาและตู้ ATM ของธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ โดยตู้บุญเติมจะเข้าไปทำหน้าที่ทดแทน เพื่อให้คนไทยกว่า 75% หรือ 51 ล้านคน ที่ยังมีพฤติกรรมการใช้เงินสดเป็นหลัก เข้าถึงบริการทางการเงินได้  ซึ่งในจำนวนนี้มีถึงกว่า 30 ล้านคนที่ไม่มีบัญชีเงินฝาก รวมไปถึงกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ยังคงใช้เงินสดอยู่                   

โดบปีนี้บริษัทจะรุกให้บริการเปิดบัญชีธนาคารผ่านบริการพิสูจน์ตัวตนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC)  และเพิ่มบริการ “ตู้ถอนเงินสด (Mini ATM)” ไปยังพื้นที่ห่างไกล ที่ไม่มีธนาคารหรือตู้ ATM เพิ่มจากปัจจุบันที่มีให้บริการฝากเงิน และโอนเงิน โดยวางเป้าหมายให้ “ตู้บุญเติม” เปรียบเสมือนสาขาธนาคารในชุมชน ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ครบวงจรภายในตู้เดียว ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการธนาคารได้มากขึ้น

ส่วนบริการสินเชื่อ ยังคงเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มตัวแทนตู้บุญเติม เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนสำหรับดำเนินธุรกิจ จากบริการต่าง ๆ ที่เพิ่มเข้ามาทำให้ตู้บุญเติมมี Ecosystem ทางการเงินครบวงจร สร้างความสะดวกสบายต่อลูกค้าที่มีความต้องการบริการทางการเงินทุกกลุ่ม

“คาดว่าปี 2564 จะมีจำนวนธุรกรรม Banking Agent เพิ่มขึ้นกว่า 30% จากปี 2563 ที่ปัจจุบันเป็นตัวแทนให้บริการทางการเงินกับ 6 ธนาคาร และอยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติม มั่นใจว่าจากบริการใหม่ที่เพิ่มเข้ามา จะทำให้บริษัทสามารถรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ให้บริการตู้อัตโนมัติได้อย่างต่อเนื่อง”

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับธุรกิจเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ บริษัทจะเพิ่มศักยภาพตู้บุญเติมให้มีความเป็น “ตู้อัจฉริยะ” มากขึ้น โดยติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ ๆ เช่น กล้องและเครื่องอ่านบัตร เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการใหม่ ๆ เช่น บริการรับชำระค่าเบี้ยประกันต่าง ๆ โดยเฉพาะ พ.ร.บ. รถจักรยานยนต์และประกันโควิด-19 โดยมีแผนติดตั้งตู้ใหม่เพิ่มอีก 5,000 ตู้ในปีนี้ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งและเข้าไปทดแทนตู้ของคู่แข่งที่มีบริการน้อยกว่า และมีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ ยังมุ่งกลยุทธ์การบริหารจัดการตู้บุญเติม เน้นทำเลคุณภาพ เพื่อเพิ่มยอดเติมเงินและชำระเงิน รวมทั้งจำนวนครั้งการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น

สำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและการกระจายสินค้า บริษัทเตรียมเปิดตัว “คาเฟ่อัตโนมัติ” ภายใต้แบรนด์ “เต่าบิน” ชูนวัตกรรมเครื่องชงเครื่องดื่มคุณภาพพรีเมี่ยมกว่า 80 เมนู ด้วยเมล็ดกาแฟและวัตถุดิบคุณภาพสูง จุดเด่นคือ สามารถควบคุมรสชาติได้มาตรฐานเดียวกันทุกแก้ว ในราคาที่คุ้มค่า คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในไตรมาสแรกปีนี้ โดยมีเป้าหมายขยายจุดติดตั้ง 20,000 เครื่อง ภายใน 3 ปี นอกจากนี้ จะเดินหน้าขยายจุดติดตั้งตู้จำหน่ายน้ำมันอัตโนมัติ  และดำเนินธุรกิจกระจายสินค้าให้ร้านค้าปลีกชุมชน (โชห่วย) ทั่วประเทศ รวมถึงตู้ชาร์จไฟฟ้า (EV Charger) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งการให้บริการของบริษัทให้มากขึ้น

“ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ มีการขยายบริการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ ทำให้เกิดการกระจายรายได้จากธุรกิจดั้งเดิม เพิ่มความสมดุลของสัดส่วนรายได้ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ ตอกย้ำจุดแข็งของบริษัทในเรื่องนวัตกรรม สามารถผลิตตู้รูปแบบต่าง ๆ เพื่อรองรับโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ได้เสมอ โดยปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำเครือข่ายช่องทางบริการอัตโนมัติ จากจำนวนทำเลตู้บุญเติม ที่กระจายในทุกชุมชน ทั่วประเทศกว่า 130,000 ตู้ ให้บริการครบวงจรมากที่สุดครอบคลุม 86 บริการ ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด พร้อมลูกค้าที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ล้านคน ซึ่งเรามั่นใจได้ว่า FSMART จะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นายณรงค์ศักดิ์ กล่าว

โออาร์ เปิดทดลองใช้ฟรี EV Station Quick Charge ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น

0

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ พร้อมด้วย นายบุญมา พนธนกรกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน โออาร์ ร่วมประชาสัมพันธ์การทดลองเปิดให้บริการใช้งาน EV Station ในรูปแบบ Quick Charge ให้ผู้บริโภค เข้ารับบริการฟรี ที่สถานีบริการน้ำมัน PTT Station 5 แห่ง ด้วยกำลังไฟ 50 กิโลวัตต์ต่อเครื่อง หัวชาร์จ DC รูปแบบ CCS Combo 2 และCHAdeMO และหัวชาร์จ AC รูปแบบ Type 2 โดยสามารถชาร์จได้พร้อมกัน 2 หัวจ่าย ระหว่าง DC และ AC อีกทั้ง ยังมี EV Station ในรูปแบบ Normal Charge ที่เปิดให้บริการแล้ว 25 สถานี

นอกจากนี้ โออาร์ ยังได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “EV Station” (ใช้ได้ทั้งระบบ Android และ iOS ) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค ทั้งในด้านการค้นหาและนำทางสถานีชาร์จไฟฟ้า การจองช่วงเวลาชาร์จ การเปิด-ปิด หัวชาร์จด้วยตนเอง รองรับการชำระค่าใช้จ่ายออนไลน์ การออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และการตรวจสอบประวัติการใช้งาน ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภครูปแบบใหม่ที่เปลี่ยนสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย ให้พร้อมก้าวต่อไปสู่พลังงานแห่งอนาคต

สำหรับ สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ทั้ง 5 แห่ง ที่มี EV Station ในรูปแบบ Quick Charge ให้บริการ มีดังนี้

  1. สถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาพหลโยธิน กม. 25 กรุงเทพฯ
  2. สถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาวงแหวนกาญจนาภิเษก-ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
  3. สถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาพัฒนาการ ขาออก กรุงเทพฯ
  4. สถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาหนองแขม กรุงเทพฯ และ
  5. สถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาแยกหาดจอมเทียน พัทยา (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2564)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร 1365 Contact Center

กลุ่มทรู คว้ารางวัลระดับโลก “นายจ้างดีเด่นประจำประเทศไทย” 3 ปีซ้อน

0

คุณศรินทร์รา วงศ์ศุภลักษณ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่ม ด้านทรัพยากรบุคคล บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า  กลุ่มทรู ได้รับ รางวัลระดับโลก นายจ้างดีเด่นประจำประเทศไทย หรือ Top Employers Thailand 2021 จาก Top Employers Institute ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งกลุ่มทรู ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ในฐานะองค์กรสื่อสารโทรคมนาคมเพียงรายเดียวของไทย เป็นบทพิสูจน์ว่ากลุ่มทรู นอกจากจะให้ความสำคัญในการลงทุนด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่ใส่ใจอย่างมากกับการบริหารด้านทรัพยากรบุคคลอีกด้วย

เพราะเชื่อว่าคนเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้พร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง สะท้อนความมุ่งมั่นที่จะเป็น “People Organization” องค์กรที่คำนึงถึงพนักงานเป็นอันดับแรก โดยให้ความสำคัญและทุ่มเทกับการพัฒนาบุคลากรอย่างเต็มกำลัง ซึ่งในยุค 4.0 จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมทรัพยากรบุคคลของทรู ให้พร้อมกับการทรานสฟอร์มสู่องค์กรดิจิทัล ควบคู่กับมีนโยบายและแนวทางการดูแลพนักงานให้ทำงานอย่างมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งการปรับปรุงสถานที่ทำงาน ให้เป็น Co-Working Space ภายใต้ธีม Createch Living Space ที่ปรับรูปแบบออฟฟิศให้ทันสมัย มีความเป็นอิสระ พรั่งพร้อมด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี และบรรยากาศที่เอื้อให้พนักงานสามารถใช้ชีวิตไปพร้อมกับการทำงานที่มีความสุข สนุก เกิดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม ส่งเสริมให้พนักงานมีประสบการณ์ในการทำงานที่ดีขึ้น การพัฒนาทักษะแห่งอนาคตให้แก่พนักงาน

อีกทั้งให้ความใส่ใจดูแลพนักงานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ระบาด เช่น การปรับเพิ่มแผนประกันสุขภาพของพนักงาน เปิดสายด่วนให้คำปรึกษา และให้กู้ยืมเงินค่าเล่าเรียนบุตรโดยไม่คิดดอกเบี้ย พนักงานที่มีรายได้น้อยและครอบครัวเดือดร้อน จะได้รับ e-Coupon ใช้ซื้ออาหารในเครือ ตลอดจนสนับสนุนการทำงานที่บ้าน โดยใช้เทคโนโลยีช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น รวมถึงให้แพ็กเกจเสริมฟรีสำหรับใช้โทรและเน็ตไม่อั้น และสำหรับพนักงานหน้าบ้านที่ยังต้องดูแลลูกค้า ก็ให้ความใส่ใจมั่นใจเรื่องความปลอดภัย โดยจัดเตรียมหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ จัดหาอาหารให้รับประทานฟรี เพราะกลุ่มทรูถือว่าพนักงานทุกคนคือครอบครัว

ทั้งนี้ รางวัลนายจ้างดีเด่นประจำประเทศไทย Top Employer Thailand 2021 เป็นผลจากการพิจารณาคัดเลือกอย่างมีหลักเกณฑ์และโปร่งใส โดย Top Employers Institute เนเธอร์แลนด์ ที่เข้ามาตรวจสอบ พิสูจน์ และประเมินอย่างละเอียด ทั้งเรื่องนโยบายและกลยุทธ์ในการบริหารและดูแลบุคลากร กระบวนทัศน์และระเบียบปฏิบัติที่ใช้ การประเมินผลและการพัฒนาพนักงาน ตลอดจนการนำเทคโนโลยีมาใช้ดูแลพนักงาน ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กลุ่มทรู เดินหน้าสู่ความเป็นเลิศในการบริหารทรัพยากรบุคคล เพื่อผลักดันให้องค์กรเติบโตและก้าวหน้าอย่างยั่งยืนต่อไป