Home Blog Page 364

รู้เก็บรู้ออม : ลงทุนยิ่งเร็ว–ยิ่งยาว–ยิ่งดี!!

0

จากการสำรวจผู้อ่านคอลัมน์ “รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุนสู่ความมั่งคั่ง” มีผู้อ่านที่ร่วมตอบแบบสอบถามจาก 27 จังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 4-15 ธ.ค.63 โดยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีอายุตั้งแต่ 19-63 ปี ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือนและเป็นคน Gen X

พบว่า ผู้อ่านส่วนใหญ่มากกว่า 72% สนใจอยากรู้เรื่อง “ความรู้เบื้องต้นก่อนลงทุน” มากที่สุด และอีก 61% สนใจอยากรู้เรื่องผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุน ขณะที่อีก 42% ต้องการบทความที่สร้างแรงบันดาลใจในการลงทุน

ความต้องการอยากรู้ของผู้อ่าน ตรงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการก่อกิดคอลัมน์นี้ขึ้นมาที่มุ่งให้ข้อมูลความรู้ด้านการเงินการออมการลงทุน เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งให้ “คนไทย” อ่านออกเขียนได้ทางการเงิน”!!

และมุ่งหวังส่งเสริมกระตุ้นให้ทุกคน “ลงมือ” วางแผนการเงิน สร้างวินัยการเงิน การใช้จ่าย-การออมและการลงทุน เพื่อนำไปสู่การมีอิสรภาพทางการเงิน และสู่วัยเกษียณอย่างมีคุณภาพและเป็นสุข ดังนั้น ผู้อ่านกลุ่มเป้าหมาย ที่เราคาดหวังคือ คนทุกเพศ-ทุกวัย เริ่มตั้งแต่นักเรียน-นักศึกษา ผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาและเข้าสู่วัยทำงาน รวมถึงผู้ที่อยู่ในระบบการทำงานอยู่แล้ว และผู้ที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณก็สามารถเรียนรู้และลงมือทำได้ ยิ่งเริ่มเร็ว-ยิ่งยาว-ยิ่งดี!! ตามตำราออมก่อนรวยกว่า

สัปดาห์ที่แล้ว “คุณนายพารวย” ชวนออมเงินด้วยการ “ออมหุ้น” ผ่านการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับคนวัยทำงานโดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน การลงทุนแบบ DCA คือการทยอยลงทุนแบบสม่ำเสมอ เช่น ซื้อหุ้น A ทุกวันที่ 1 ของเดือน ด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆกัน ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว หรือหากราคาหุ้นลงก็จะไม่ขาดทุนหนัก เพราะมีต้นทุนถัวเฉลี่ย ทั้งราคาสูงและต่ำ

DCA ไม่ได้มีเฉพาะการ “ออมหุ้น” เท่านั้น บางบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทำโปรแกรม DCA เลือกหุ้นพื้นฐานดี 3-5 ตัว ให้เราเฉลี่ยลงทุนพร้อมกันได้ เช่น ใส่เงินลงทุนทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท เพื่อแบ่งเฉลี่ยซื้อหุ้นทั้ง 3 ตัว และยังมีโปรแกรม” ออมกองทุนรวม” ที่สามารถใส่เงินเพื่อซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมแบบ DCA ได้เงินลงทุนขั้นต่ำสำหรับออมหุ้นแบบ DCA เริ่มได้ตั้งแต่ 1,000 บาท ส่วนกองทุนรวมเริ่มได้ตั้งแต่ 500 บาทขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละ บล.และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.)

แต่ก่อนอื่นต้องเปิดบัญชีลงทุนหุ้นหรือลงทุนกองทุนรวมก่อนเลย ซึ่งในเว็บไซต์ https://www.setinvestnow.com/ ได้รวบรวมช่องทางการเปิดบัญชีหุ้น–บัญชีกองทุนรวมผ่านออนไลน์ เพียงสแกน QR CODE ด้านล่างนี้ สมัครเสร็จก็ซื้อขายหุ้นและกองทุนรวมออนไลน์กันได้เลย!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุนน..สู่ความมั่งคั่ง โดยคุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

12 ก.พ. เปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียน “เราชนะ” วันสุดท้าย

0

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดรับลงทะเบียนโครงการเราชนะ สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์ 2564 ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com ว่า จากข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 มีประชาชนสนใจลงทะเบียนแล้วมากกว่า 10.73 ล้านคน โดยมีผู้ที่ผ่านการคัดกรองขอคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนยืนยันรับสิทธิ์โครงการฯ แล้วกว่า 6.8 ล้านคน โฆษกกระทรวงการคลังเน้นย้ำว่า ในวันพรุ่งนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2564) จะเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับลงทะเบียนโครงการฯ สำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป จึงขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจให้มาลงทะเบียนได้ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com

อย่างไรก็ดี สำหรับประชาชนที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ได้รับข้อความสั้น (SMS) แจ้งเตือนสถานะ “ลงทะเบียนไม่สำเร็จ” สามารถลงทะเบียนใหม่ทางเว็บไซต์ www.เราชนะ .com ได้ทันทีหลังจากที่ได้รับ SMS แจ้งเตือนและต้องดำเนินการให้เสร็จภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการเปิดรับลงทะเบียนโครงการฯ

สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับวงเงินสิทธิ์เข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐงวดที่ 2 ในวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 โดยสามารถสะสมวงเงินสิทธิ์เพื่อใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ กลุ่มผู้ถือบัตรฯ สามารถตรวจสอบวงเงินสิทธิ์คงเหลือ ได้ที่เครื่องกดเงินสดอัตโนมัติ (Cash Machine หรือ ATM) ของธนาคารกรุงไทย, เครื่องรูดบัตร (Electronic Data Capture หรือ EDC) ที่ร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น หรือระบบตรวจสอบวงเงินสิทธิ์คงเหลือผ่านระบบอัตโนมัติของธนาคารกรุงไทย โทร 0 2109 2345 กด 3 (ตลอด 24 ชั่วโมง)

นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยจะเปิดรับลงทะเบียนสำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ตั้งแต่วันที่ 15 – 25 กุมภาพันธ์ 2564 โดยประชาชนในกลุ่มดังกล่าวที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ สามารถนำบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ไปติดต่อขอลงทะเบียนได้ที่สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย หากประชาชนท่านใดที่อยู่ในกลุ่มดังกล่าวไม่มีบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด ขอให้ติดต่อขอทำใหม่ได้ที่สำนักงานเทศบาล สำนักงานเขต ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง หน่วยบริการจัดทำบัตรเคลื่อนที่ของกรมการปกครอง หรือสำนักงานหรือที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายในระยะเวลาดังกล่าว

AIS ผนึก MSIG ปล่อยประกันรถยุคใหม่ “ประกันขับดี” ใช้อุปกรณ์ติดรถคำนวณเบี้ยประกัน

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า AIS โดย AIS Insurance Service ร่วมกับ บริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MSIG ผู้นำธุรกิจประกันภัยและบริการด้านการเงินระดับโลก ภายใต้การสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. เปิดตัว “ประกันขับดี” ประกันภัยรถยนต์ที่ใช้ InsurTech เต็มรูปแบบครั้งแรกในประเทศไทย

โดยเป็นประกันภัยรถยนต์ที่มีการคำนวณเบี้ยประกันภัยจากพฤติกรรมการขับขี่ที่แท้จริงโดยใช้นวัตกรรมจาก IoT และเทคโนโลยีการสื่อสารเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสำนักงาน คปภ. ให้เข้าร่วมโครงการทดสอบที่นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการสำหรับธุรกิจประกันภัย (Insurance Regulatory Sandbox) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แผนประกันภัยรถยนต์ที่มีความสมเหตุสมผล จ่ายเมื่อขับ หากไม่ได้ขับก็ไม่ต้องจ่าย คิดค่าเบี้ยประกันตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ขับขี่รถยนต์จริงๆ สอดคล้องกับสถิติการขับขี่ในประเทศไทย ซึ่งพบว่า ผู้ขับขี่รถที่ไม่เกิดอุบัติเหตุเลยมีอยู่ถึง 60% กลายเป็นผู้ขับขี่ที่มีประวัติดี แต่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยเท่าๆ กับคนอื่นๆ

และคำนวณเบี้ยประกันภัยจากตัวแปรต่างๆ ที่ทันสมัยที่สุด โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจาก Big Data โดยมีอุปกรณ์ MSIG Car Informatics หรือ OBD II (On-Board Diagnostic) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กใช้ติดรถ สามารถเก็บค่าตัวแปรและค่าพฤติกรรมการขับรถในเชิงลึก และละเอียดกว่า Telematics ที่เก็บเฉพาะค่าระยะทางหรือชั่วโมง

OBD II จะเก็บข้อมูลเพื่อส่งคำนวณเบี้ยประกันภัยจากพฤติกรรมการขับขี่อย่างมีประสิทธิภาพ และถูกต้องแม่นยำตามการใช้งานจริง ด้วยแนวคิด “ขับไม่เหมือนกัน ทำไมต้องจ่ายเท่ากัน” โดยคำนวณผ่าน 5 ตัวแปรหลัก ได้แก่ ระยะทาง / ความเร็ว / ระยะเวลาการขับขี่ / ช่วงเวลาการขับขี่ และพื้นที่การขับขี่ ซึ่งช่วยประหยัดค่าเบี้ยประกันสูงสุดถึง 50% พร้อมบริการดูแลลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า คปภ. ได้อนุมัติให้ “ประกันขับดี” เข้าร่วมในโครงการทดสอบนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านประกันภัย หรือ Insurance Regulatory Sandbox โดยเป็นการร่วมมือระหว่างภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญและ มีศักยภาพ เพื่อเป็นการหลอมรวมและเพิ่มขีดความสามารถของเทคโนโลยีในการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์ม จึงหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค โดยเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้ขับขี่รถยนต์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีความยืดหยุ่น และมีการคิดเบี้ยประกันภัยตามการขับขี่จริง โดยสามารถซื้อง่ายและจ่ายสะดวก สอดรับกับพฤติกรรมการขับขี่ ช่วยให้เกิดวินัยในการขับขี่ที่ดี และมีส่วนลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย

นายรัฐพล กิติศักดิ์ไชยกุล กรรมการผู้อำนวยการ MSIG กล่าวว่า แนวคิดของประกันขับดีเกิดขึ้นในช่วง Lockdown ที่คนไทยทั้งประเทศต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานใหม่ จากการเดินทางไปออฟฟิศมาเป็น Work from Home จึงขับรถน้อยลง ไม่ได้ออกเดินทางไกลข้ามจังหวัด และปัจจุบัน คนขับรถแล้วจอดเพื่อต่อรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินมากขึ้น บริษัทจึงอยากจะพัฒนาแผนประกันภัยรถยนต์ที่มีเบี้ยประกันภัยสมเหตุสมผล จ่ายเมื่อขับและหากไม่ได้ขับก็ไม่ต้องจ่าย เป็นไปตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ขับขี่รถยนต์จริงๆ ตาม concept ที่ว่า “ขับไม่เหมือนกัน ทำไมต้องจ่ายเท่ากัน” เราใช้เวลาพัฒนาประกันขับดีอยู่กว่า 6 เดือนและพบว่าต้องใช้อุปกรณ์ OBD II หรือ MSIG Car Informatics และซิมการ์ดทำงานร่วมกัน ดังนั้น จะต้องเป็นบริษัทที่สัญญาณที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด จะเป็นบริษัทอื่นไม่ได้เลยนอกจาก AIS โดย MSIG Car Informatics จะเก็บพฤติกรรมการใช้รถจาก 5 ตัวแปรหลัก ได้แก่ ระยะทาง / ความเร็ว / ระยะเวลาการขับขี่ / ช่วงเวลาการขับขี่ และพื้นที่การขับขี่ ประกันขับดีจะมีค่าเบี้ยประกันพื้นฐานรายปี โดยประกันรถยนต์ชั้น 1 เริ่มต้นที่ 6,499 บาท ประกันรถยนต์ 2+ ราคา 3,299 บาท ทุกทุนประกันภัยและรถทุกรุ่น หลังจากนั้นจะคิดค่าเบี้ยประกันตามการขับขี่ ซึ่งเบี้ยประกันจะถูกคำนวณเป็นรายวัน แต่ละวันก็จะไม่เท่ากัน แต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับ 5 แฟคเตอร์ และเราจะรวบจากเบี้ยรายวันเพื่อคิดค่าเบี้ยประกันเป็นรายเดือน สามารถตรวจสอบเบี้ยได้เลยจากแอปพลิเคชันประกันขับดี การชำระเบี้ยจะตัดจากบัตรเครดิตที่ผูกไว้ตั้งแต่ลงทะเบียน นอกจากนี้ ประกันขับดียังถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของประกันภัยรถยนต์ที่ใช้รูปแบบ Parametric ต้องเข้า Insurance Regulatory Sandbox เพื่อทดสอบนวัตกรรม ซึ่ง MSIG เห็นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ต่อผู้เอาประกันภัยหรือผู้บริโภคในอนาคต จึงได้นำเสนอและทางสำนักงาน คปภ. ก็ได้อนุมัติให้เข้าโครงการเรียบร้อยแล้ว”

นายอลิสแตร์ เดวิด จอห์นสตั้น กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจพัฒนาธุรกิจใหม่ เอไอเอส กล่าวเสริมถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า “นอกจาก AIS Insurance Service จะทำหน้าที่เป็นตัวกลาง คัดสรรบริการประกันภัยที่ดีที่สุดจากพาร์ทเนอร์เพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้าแล้ว เรายังนำจุดแข็งจากการเป็น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ที่มีเครือข่ายครอบคลุมสูงสุด พร้อมคลื่นความถี่ที่มากที่สุด รวมไปถึง Digital Platform ที่ช่วยพลิกโฉมยกระดับให้บริการประกันภัย และสร้างความแตกต่างไปอีกขั้นจากเทคโนโลยีดิจิทัล โดยครั้งนี้ได้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์ MSIG Car Informatics ที่ฝังอุปกรณ์ IoT ให้สามารถส่งสัญญาณผ่านโครงข่ายของเอไอเอส และประมวลผลเข้าสู่ระบบ Cloud ของ MSIG ได้อย่างแม่นยำ มีเสถียรภาพ ตรงตามพฤติกรรมการใช้งานจริงของลูกค้าแบบ Real Time อีกทั้งยังได้สนับสนุนช่องทางการชำระค่าบริการรายเดือนผ่านระบบ Digital Payment Gateway ที่ช่วยอำนวยสะดวกและมีความปลอดภัยสูงสุด โดยถือเป็นต้นแบบของ InsurTech ครั้งแรกเพื่อลูกค้า ที่เราภาคภูมิใจอย่างยิ่ง”

“ประกันขับดี” พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ โดยลูกค้าที่สนใจสามารถศึกษาและสมัครแผน “ประกันขับดี” ได้หลากหลายช่องทาง อาทิ“ขับดี Service Center by MSIG” โทร. 065-924-1175 · เว็บไซต์ www.ais.co.th/insurance และแอปพลิเคชัน ประกันขับดี

คลินิกแก้หนี้ ปรับเงื่อนไขเข้าโครงการใหม่ หนี้เสียก่อน 1 ก.พ. 64 สมัครได้

0

รายงานข่าว เปิดเผยว่า คลินิกแก้หนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ปรับเงื่อนไขใหม่ ให้คนเป็นหนี้เสียบัตร ก่อน 1 ก.พ. 64 สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ โดยเงื่อนไขและคุณสมบัติ มีดังนี้

  1. อายุไม่เกิน 65 ปี ที่มีรายได้
  2. เป็นหนี้เสียสารพัดบัตร หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน
  3. เป็น NPL ก่อน 1 ก.พ. 64
  4. หนี้รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท (ตามรายงานเครดิตบูโร ณ เดือน ม.ค. 64 มีสถานะค้างชำระ 91-120 วันขึ้นไป)

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ ใช้เอกสารดังนี้

  1. สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน / สำเนาทะเบียนบ้าน ของผู้สมัคร
  2. เอกสารการตรวจสอบข้อมูลภาระหนี้จากเครดิตบูโร
  3. เอกสารแสดงรายได้
    • พนักงานประจำ– สลิปเงินเดือน 3 เดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน
    • อาชีพอิสระ– รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน หรือเอกสารการแสดงการเสียภาษีเงินได้ 50 ทวิ
  4. เอกสารรายงานเครดิตบูโร

นางปนุท ณ เชียงใหม่ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า การปรับเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการ โดยขยายเวลาการเป็นหนี้เสีย จากเดิมวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564   คาดว่าจะช่วยผู้เป็นหนี้กลุ่มดังกล่าวที่ค้างชำระและเป็นหนี้ NPL ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้นและทันท่วงที โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่พลาดโอกาสหรือยังไม่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการเนื่องจากคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามเกณฑ์ที่ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” กำหนด รวมทั้งรองรับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19  การปรับหลักเกณฑ์ครั้งนี้ นับเป็นโอกาสดีที่สุดสำหรับลูกค้าที่สมัครเข้าโครงการ เพราะนอกจากจะได้รับดอกเบี้ยต่ำเพียง 4-7% ต่อปี และระยะเวลาการผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปีแล้ว  ยังจะได้รับมาตรการพิเศษ “ยาแรง 2 สูตร” ที่ขยายระยะเวลาออกไปถึงเดือน มิถุนายน 2564 ได้แก่ ยาสูตร 1  การเลื่อนกำหนดชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยแก่ผู้ที่ชำระไม่ไหว  โดยจะไม่ถือว่าผิดนัดชำระหนี้และไม่เสียประวัติ และ ยาสูตร 2  ลดดอกเบี้ยลง 1-2% สำหรับผู้ที่สามารถผ่อนชำระต่อเนื่องอีกด้วย

สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการหรือสอบถามรายละเอียดผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com  แอดไลน์ @debtclinicbysam   Facebook คลินิกแก้หนี้ หรือโทรสอบถามที่ Call Center 02-610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น.

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ -14 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ธนาคารแห่งประเทศไทยมีกำหนดจัดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล” ในรูปแบบออนไลน์ (Online mediation) ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรม กรมบังคับคดี ธปท. และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) เพื่อเป็นช่องทางช่วยประชาชนที่มีหนี้บัตรและสินเชื่อส่วนบุคคลแก้ไขปัญหาหนี้สินแบบครบวงจร   ไม่ว่าจะเป็นหนี้ดีที่ยังผ่อนชำระปกติแต่เริ่มขาดสภาพคล่องชั่วคราว หรือเป็นหนี้เสียแล้ว แต่ยังไม่มีการฟ้องหรืออยู่ระหว่างฟ้องดำเนินคดี หรือที่มีคำพิพากษาแล้ว โดยลูกค้าโครงการคลินิกแก้หนี้สามารถใช้ช่องทางของงานมหกรรมดังกล่าวสมัครเข้า “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” และเข้าร่วมการไกล่เกลี่ยปัญหาที่มีกับเจ้าหนี้ได้อีกทางหนึ่ง

นางปนุท กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่ต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลให้จำนวนลูกหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสดและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน มีแนวโน้มกลายเป็นหนี้เสียสูงขึ้น  “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเครื่องมือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของภาครัฐได้มีส่วนช่วยหาทางออกร่วมกันของเจ้าหนี้-ลูกหนี้  เพื่อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ได้รวดเร็ว และทำให้ลูกหนี้สามารถดำเนินชีวิตหรือธุรกิจต่อไปได้  อันเป็นการช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือนและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ  โดยในปี 2563  ที่ผ่านมา  มีผู้สนใจยื่นใบสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 62,000 ราย  มีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วรวมเป็นภาระหนี้เงินต้นสะสมกว่า 3,200 ล้านบาท โดยมีภาระหนี้เฉลี่ย 300,000 บาทต่อคน  นอกจากนี้ “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM”  ยังเดินสายจัดอบรมและให้ความรู้ทางการเงินแก่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ประชาชน กลุ่มนิสิตนักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ให้มีความรู้ด้านการวางแผนการเงินส่วนบุคคลและการออมเพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการเสริมสร้างวินัยและภูมิคุ้มกันทางการเงิน

ซีพีเอฟ ยกระดับสูงสุดคุมเข้มการผลิต การันตีบรรจุภัณฑ์อาหารปลอดภัย

0

นายกิตติ หวังวิวัฒน์ศิลป์ ประธานคณะทำงานบรรจุภัณฑ์ยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปโดยหันมาใส่ใจและเน้นเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของอาหาร และมั่นใจในอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-To-Eat) มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการคุมเข้มมาตรการความปลอดภัยในการผลิตอาหารทุกขั้นตอน ตามมาตรฐานการผลิตระดับโลกทั้ง GMP (Good Manufacturing Practice) และ HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) มาโดยตลอด และยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัยขั้นสูงสุดตลอดกระบวนการผลิต รวมทั้งให้ความสำคัญกับการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่เป็นพลาสติกประเภท Food Grade ที่มีคุณสมบัติป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคจากภายนอก และยังคุณค่าทางโภชนาการในอาหารตลอดการจัดเก็บ ไม่ทิ้งสารตกค้างเมื่อสัมผัสกับอาหาร

ซีพีเอฟ เลือกใช้พลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์อาหารที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล โดยบริษัทฯ มีการทดสอบบรรจุภัณฑ์ทุกๆ ขั้นตอนของทุกเมนูก่อนจะวางจำหน่ายจริงในตลาด ยิ่งไปกว่านี้ รวมถึงต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ นอกจากนี้ ซีพีเอฟได้ใช้เครื่องจักรในการบรรจุอาหาร เพื่อให้ปลอดเชื้อ และเพิ่มดีกรีความเข้มข้นในการป้องกันการปนเปื้อนบนบรรจุภัณฑ์ตลอดกระบวนการจัดเก็บและขนส่งถึงช่องทางจำหน่าย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผลิตภัณฑ์อาหารซีพี

ในการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ ซีพีเอฟคำนึงกับมิติของความปลอดภัยอาหาร และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม บริษัทจึงเลือกใช้พลาสติก Food Grade ที่ปลอดภัยต่อการบริโภค เช่น การใช้พลาสติก PP (Polypropylene) ที่ทนต่อความร้อน สามารถใช้อุ่นร้อนในไมโครเวฟได้ และสำหรับอาหารพร้อมทานแช่แข็ง เกี๊ยวกุ้ง ไส้กรอก และอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานต่างๆ

ในมิติของความยั่งยืน นอกจากคำนึงถึงเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร บริษัทยังให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) หรือ ย่อยสลายได้ (Compostable) ซึ่งปัจจุบัน บรรจุภัณฑ์อาหารของซีพีเอฟ ร้อยละ 99.99% เป็นพลาสติกประเภทที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือย่อยสลายได้ โดยซีพีเอฟ นับเป็นบริษัทแรกของไทยที่ใช้ถาดพลาสติกใสชีวภาพ (Polylactic acid หรือ PLA) ซึ่งเป็นพลาสติกที่ทำจากพืชและย่อยสลายได้ทั้งหมด ซึ่งบริษัทใช้ถาด PLA กับสินค้ากลุ่มเนื้อหมูสดและไก่สดแช่เย็นตั้งแต่ปี 2558 และบริษัทฯ ยังเดินหน้าพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เอื้อต่อการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยใช้บรรจุภัณฑ์อาหารที่มาจากพลาสติกที่ใช้วัสดุชนิดเดียว (Mono Material) ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำบรรจุภัณฑ์หลังใช้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ทั้งหมด ทั้งนี้ ซีพีเอฟ ใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกเป็นวัสดุชนิดเดียว กับผลิตภัณฑ์เนื้อหมูสดและไก่สดแช่เย็น CP Selection และ ซีพี ไข่ม้วน ออมเล็ต ที่วางจำหน่ายแล้วที่ร้าน เซเว่นอีเลฟเว่น

ขณะเดียวกัน ซีพีเอฟได้เริ่มปรับมาใช้ฟิล์มยืดหุ้มถาดอาหาร ที่เป็นวัสดุ Non-PVC ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในกระบวนการรีไซเคิล เพื่อให้เป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีความปลอดภัยด้านอาหารและความยั่งยืนอย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ ในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 ซีพีเอฟยังได้ส่งอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์อย่างปลอดภัยนี้ ให้กับทีมแพทย์ พยาบาล กลุ่มเปราะบาง และแรงงานข้ามชาติ ในจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด ภายใต้ โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19” ขานรับนโยบายของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนในกลุ่มเปราะบางได้บริโภคอาหารคุณภาพปลอดภัย ในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกด้วย

ชป.เตรียมรับมือน้ำทะเลหนุน ปรับแผนสู้ความเค็มน้ำเจ้าพระยา

0

นายสัญญา  แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยหลังจากการลงพื้นที่เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในช่วงวันที่ 11-14 กุมภาพันธ์ 2564 นี้ ว่า จากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดค่าความเค็มเพิ่มขึ้นในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง โดยวานนี้(9ก.พ.64) ที่สถานีสูบน้ำประปาสำแล มีค่าความเค็มสูงกว่าเกณฑ์วิกฤติ 0.5 กรัมต่อลิตร รวม 12 ชม. และค่าความเค็มสูงสุดเมื่อเวลา 16.00 น. วัดได้ 1.63 กรัมต่อลิตร เนื่องจากในขณะนี้เป็นช่วงน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบในช่วงวันที่ 13 – 14 ก.พ.64 นี้ จะมีอิทธิพลของลมใต้ทำให้เกิด storm surge ส่งผลให้ระดับน้ำในเเม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากอ่าวไทยมีระดับน้ำเพิ่มขึ้น

สัญญา  แสงพุ่มพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน

กรมชลประทาน จึงได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนป่าสักฯ ตั้งเเต่วันที่ 10 ก.พ.64 เวลา 11.00 น.จากอัตรา 55 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 80 ลบ.ม.ต่อวินาที จนถึงวันที่ 16 ก.พ.64 เวลา 06.00 น. หลังจากนั้นลดเหลืออัตรา 45 ลบ.ม.ต่อวินาที  พร้อมเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนพระรามหก ในวันที่ 10 ก.พ.64 เวลา 14.00 น.จากอัตรา 45 ลบ.ม.ต่อวินาที เป็น 55 ลบ.ม.ต่อวินาที และตั้งเเต่วันที่ 11 ก.พ.64 เวลา 06.00 น.จะเพิ่มการระบายเป็น 70 ลบ.ม.ต่อวินาที ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ.63 เวลา 06.00 น.หลังจากนั้นจะทะยอยลดลงเหลือ 25 ลบ.ม.ต่อวินาที

ทั้งนี้ ได้กำชับให้โครงการชลประทานในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมค่าความเค็มที่กำหนดไว้  พร้อมขอความร่วมมือประตูระบายน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าทุกแห่งที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาลงมาจนถึงสถานีสูบน้ำสำแล ให้งดการรับน้ำหรือสูบน้ำในระยะนี้ เพื่อให้การควบคุมค่าความเค็มเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดและมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญขอให้ทุกภาคส่วนร่วมใจกันใช้น้ำอย่างประหยัดให้มากที่สุด โดยเฉพาะชาวเมืองหลวงและปริมณฑลที่ใช้น้ำจาก กปน. เพื่อให้ปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่อย่างจำกัดเพียงพอใช้ไปจนถึงต้นฤดูฝนหน้า

ขอหนังสือรับรองชำระเบี้ยประกันภัยง่ายๆ แค่คลิก MTL Click

0

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด ในช่วงของการยื่นหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษี 2563 ลูกค้าสามารถขอหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย เพื่อใช้เป็นหลักฐานหักลดหย่อนภาษีของปีภาษี 2563 ได้ที่แอปพลิเคชัน MTL Click ได้ง่ายขึ้น เพียงคลิกเข้าสู่ระบบ และกดตรงแถบ Banner  ขอหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย หลังจากนั้นสามารถคลิกเลือกกรมธรรม์ที่ต้องการ พร้อมกดดาวน์โหลดหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย และสามารถเลือกส่งอีเมลหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย เพื่อนำไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการหักลดหย่อนภาษีฯ ทั้งนี้ กรมสรรพากรกำหนดให้ผู้เอาประกันภัยที่ซื้อประกันสุขภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป และผู้เอาประกันภัยที่ซื้อประกันชีวิต ประกันชีวิตแบบบำนาญ และประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป จะต้องแจ้งความประสงค์ให้กับบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้บริษัทฯ นำส่งข้อมูลการชำระเบี้ยประกันภัยรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับกรมสรรพากร มิเช่นนั้นจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัยได้

ทั้งนี้ เนื่องจากกรมสรรพากรกำหนดให้ผู้มีเงินได้ที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันภัย ต้องแจ้งความประสงค์ต่อบริษัทประกันชีวิต เพื่อให้บริษัทประกันชีวิตนำส่งข้อมูลการชำระเบี้ยประกันภัยรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับกรมสรรพากร ทางบริษัท จึงขอยกเลิกการจัดส่งหนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัยรูปแบบกระดาษ ตั้งแต่ปีภาษี 2564 เป็นต้นไป และหากลูกค้าเคยแจ้งความประสงค์ต่อบริษัทฯ แล้ว ไม่ต้องแจ้งความประสงค์อีกในปีภาษีปัจจุบัน โดยสามารถแจ้งความประสงค์หรือตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th

ทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 นี้ บริษัทมุ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางการขายที่หลากหลาย ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มทุกเจเนเรชันในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) มากขึ้น โดยจะเน้นผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นด้วย ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน MTL Click เพื่อให้บริการในรูปแบบ Digital Face to Face Services ด้วยการเปิดให้บริการลูกค้าในรูปแบบ Video Call  เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมกับบริษัทฯ ได้ทุกที่ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน สามารถพูดคุย หรือรับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมทำธุรกรรมได้แบบเรียลไทม์ อาทิ การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ การชำระเบี้ยประกันภัยออนไลน์ บริการกู้ตามสิทธิกรมธรรม์ และบริการต่ออายุกรมธรรม์ เพื่อเป็นการตอกย้ำนโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ที่มุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต

11 บริษัทไทยติดอันดับ Gold class ความยั่งยืนสูงสุดของโลก

0

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับในรายงาน “The Sustainability Yearbook 2021” โดย S&P Global มีบริษัทไทย 11 ราย ที่มีความโดดเด่นด้านความยั่งยืน และถูกจัดอันดับความยั่งยืนระดับ Gold class  สูงสุดของโลก เป็นจำนวนสูงสุดจากการประเมินความยั่งยืนของบริษัททั่วโลกใน 40 ประเทศ รวมกว่า 7,000 บริษัท

โดยในจำนวนนี้เป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย 10 บริษัท ได้แก่

  • 1. บมจ. บ้านปู (BANPU)
  • 2. บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS)
  • 3. บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC)
  • 4. บมจ. ปตท. (PTT)
  • 5. บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP)
  • 6. บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)
  • 7. บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
  • 8. บมจ. ไทยออยล์ (TOP)
  • 9. ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE)
  • 10. บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU)

และบริษัทไทย 1 บริษัท ได้แก่

  • ThaiBev

นายภากร กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งเสริมตลาดทุนไทยให้เกิดการพัฒนาที่ยังยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนตามวิสัยทัศน์ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” พร้อมส่งเสริมให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญในการดำเนินงานโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ไปกับการสร้างผลประกอบการที่ดี เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสมดุลทั้งธุรกิจและสังคม (Balanced Growth)

โดยในปีนี้มี  29 บริษัทไทย ที่ได้รับการจัดอันดับใน The Sustainability Yearbook 2021 ซึ่งนับเป็นจำนวนมากเป็นลำดับที่เจ็ดของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และไต้หวัน

ซีพีเอฟ เดินหน้า “โครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย” ปีที่ 10

0

นายวุฒิชัย สิทธิปรีดานันท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหาร กองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย เปิดเผยว่า โครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย เป็นโครงการที่ซีพีเอฟดำเนินการมาต่อเนื่อง โดยมีพนักงานจิตอาสาสายธุรกิจต่างๆ ของซีพีเอฟทั่วประเทศ ช่วยเหลือและดูแลผู้สูงอายุไร้ที่พึ่งพิง ไม่มีลูกหลานดูแล ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซึ่งทุกๆเดือน บริษัทจะนำเงินช่วยเหลือเพื่อใช้ดำรงชีพไปมอบให้แก่ผู้สูงอายุที่ได้รับการพิจารณาเข้าโครงการ ฯ เดือนละ 2,000 บาท จนกว่าผู้สูงอายุจะถึงแก่กรรมหรือมีลูกหลานมารับไปดูแล รวมทั้งช่วยดูแลสภาพความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุไปแล้วรวม 869 ราย และล่าสุด ณ ปี 2563 มีจำนวนผู้สูงอายุที่เข้าร่วมโครงการฯ อยู่ที่ 345 ราย ซึ่งทุกๆปี จะมีการพิจารณาผู้สูงอายุรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ โดยมีเกณฑ์พิจารณา คือ อายุ 60 ปีขึ้นไป ไม่มีลูกหลานดูแล อาศัยอยู่ในรัศมีห่างจากฟาร์ม โรงงานของซีพีเอฟไม่เกิน 5 กิโลเมตร และอาศัยอยู่มาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ไม่ปรากฎว่าเป็นผู้ติดสุรา ยาเสพติด และการพนัน

“ซีพีเอฟตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุในสังคม ที่ต้องได้รับการใส่ใจดูแลอย่างเท่าเทียม โครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย เป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนสังคม รองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างมีคุณภาพ รวมถึงการปลูกฝังค่านิยมของความกตัญญูรู้คุณ ” นายวุฒิชัย กล่าว

นายวุฒิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงการระบาดรอบล่าสุด ซีพีเอฟ ยึดแนวทางปฎิบัติของบริษัทฯในการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด รวมไปถึงกรณีที่จิตอาสาซีพีเอฟลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนและนำเงินช่วยเหลือในการดำรงชีพไปมอบให้แก่ผู้สูงอายุ เข้มงวดเรื่องการเว้นระยะห่างในการสื่อสารกับผู้สูงวัย ต้องเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตร สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ใส่ถุงมือ และมีเจลล้างมือติดไปทุกครั้งที่ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้สูงวัย

จากการที่ซีพีเอฟ ดำเนินโครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย โดยมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งสอดรับกับแนวนโยบายของภาครัฐ ทางกรมกิจการผู้สูงอายุ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานที่ขับเคลื่อนภารกิจในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีหนังสือขอบคุณมายังโครงการฯ และขอบคุณบริษัทที่ขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว พร้อมทั้งชื่นชมการดำเนินโครงการกองทุนซีพีเอฟ คืนสุข ผู้สูงวัย ของซีพีเอฟ ที่ให้ความสำคัญกับการดูแล แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้สูงอายุ และร่วมสร้างสังคมแห่งการเอื้ออาทร เพื่อให้สังคมไทยเป็นเมืองน่าอยู่ ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

แบงก์ชาติ จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล

0

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ร่วมกับสำนักงานศาลยุติธรรม กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ผู้ให้บริการบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จัดงาน “มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล” ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถึง 14 เมษายน 2564 โดยประชาชนที่มีหนี้บัตรและสินเชื่อส่วนบุคคล ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นหนี้ดีที่ยังผ่อนชำระปกติแต่เริ่มขาดสภาพคล่องชั่วคราว หรือหนี้ NPL ทั้งที่ยังไม่มีการฟ้อง อยู่ระหว่างฟ้อง หรือที่มีคำพิพากษาแล้ว สามารถใช้ช่องทางของงานมหกรรมในครั้งนี้เพื่อไกล่เกลี่ยปัญหาที่มีกับเจ้าหนี้ได้  อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันยังจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 งานมหกรรมที่จะจัดขึ้นจึงเป็นการไกล่เกลี่ยแบบออนไลน์ (Online mediation)

เป้าหมายสำคัญงานครั้งนี้ คือ การไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในส่วนที่มีคำพิพากษาและถูกบังคับคดีแล้ว ซึ่งไม่สามารถเข้าคลินิกแก้หนี้ได้ และปกติเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงขั้นตอนนี้เจ้าหนี้มักจะไม่ยอมเจรจา แต่ผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 21 แห่งได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่ต้องผ่อนปรนเงื่อนไขให้ปฏิบัติได้จริง เพื่อช่วยให้ทุกฝ่ายเดินต่อไปได้ โดยจะเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ในชั้นบังคับคดีเข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง ข้อเสนอที่ลูกหนี้จะได้รับในงานนี้จะมีความผ่อนปรนตามแนวทางของคลินิกแก้หนี้ ตัวอย่างเช่น ลูกหนี้จะผ่อนชำระเฉพาะเงินต้นเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยที่ค้างถ้ามีจะยกให้ ถ้าลูกหนี้จ่ายชำระตามแผนได้สำเร็จ และที่สำคัญจะมีระยะเวลาผ่อนชำระยาวถึง 5 ปี ซึ่งจะทำให้ค่างวดที่ลูกหนี้ต้องจ่ายไม่สูงนักและอยู่ในวิสัยที่ชำระได้ เช่น ถ้าเงินต้น 50,000 บาท ปีที่ 1-3 จ่ายเพียงเดือนละ 1,111 บาท ปีที่ 4-5 เดือนละ 416 บาท

สำหรับลูกหนี้ที่สถานะเป็น NPL ทั้งที่ยังไม่ถูกฟ้องหรือถูกฟ้องแล้ว สามารถใช้ช่องทางของงานมหกรรมไกล่เกลี่ยครั้งนี้สมัครเข้าคลินิกแก้หนี้ได้เลย และเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยของศาลไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากศาลรับข้อเสนอของคลินิกแก้หนี้เป็นหนึ่งข้อเสนอที่ใช้ในขั้นตอนไกล่เกลี่ยออนไลน์ของศาล ถือเป็นความคืบหน้าภายหลังที่การลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมมือระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรมกับ ธปท. นอกจากนี้ คลินิกแก้หนี้ได้ปรับเกณฑ์คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการจากเดิมที่จะต้องเป็นหนี้ NPL ก่อน 1 กรกฎาคม 2563 เป็น NPL ก่อน 1 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้ครอบคลุมถึงลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤติโควิด19 ด้วย

 นอกจากนี้ ลูกหนี้บัตรเครดิตที่ยังไม่เป็น NPL แต่เริ่มขาดสภาพคล่อง สามารถเข้าร่วมมหกรรมการไกล่เกลี่ยหนี้ได้ เช่น ขอเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่มีระยะเวลาผ่อนนานขึ้นที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดภาระลงได้ และดีกว่าการผ่อนขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ อาจขอให้เจ้าหนี้คงวงเงินบัตรเครดิตบางส่วนเอาไว้ได้อีกด้วย ทั้งนี้ การเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ระยะยาวดังกล่าวเป็นแนวทางหนึ่งของมาตรการขั้นต่ำในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของ ธปท. ซึ่งจะไม่กระทบประวัติในฐานข้อมูลเครดิตบูโร 

ประชาชนที่มีหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน สามารถเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ยออนไลน์ในครั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานศาลยุติธรรม กรมบังคับคดี  ธปท. และศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) รวมทั้งผู้ให้บริการทางการเงินที่เข้าร่วม ทั้งนี้ ขอแนะนำให้ศึกษาแนวทางกรอกข้อมูลอย่างละเอียด ตรวจเช็คไม่ให้ผิดพลาด เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว หากต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถติดต่อศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร 1213 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-16.30 น. กรณีนอกเวลาทำการท่านสามารถฝากชื่อและเบอร์โทรศัพท์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมล์มาที่ [email protected] เพื่อที่เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไป