Home Blog Page 359

กลุ่มทรู โชว์แกร่ง รายได้ 1.3 แสนล. เติบโตทั้งมือถือและเน็ตบ้านดิจิทัลยังแข็งแกร่ง

0

นางสาว ยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยถึงผลดำเนินงานของปี 2563 ว่า ปีที่แล้วเป็นปีที่ท้าทาย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่กลุ่มทรูยังเติบโตเหนืออุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยเป็นผู้ให้บริการเพียงรายเดียวในที่มีรายได้จากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มสูงขึ้น

รวมทั้งธุรกิจบรอดแบนด์ก็มีรายได้เติบโต และฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นสูงกว่าตลาดเช่นกัน นอกจากนี้ แพลตฟอร์มคุณภาพและระบบนิเวศทางธุรกิจที่ครบวงจรของกลุ่มทรูยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล คลาวด์โซลูชั่นและวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูล

พบว่าธุรกิจ Truemove H มีรายได้พิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน เป็น 80,100 ล้านบาทในปี 2563 สวนทางกับอุตสาหกรรมที่รายได้รวมของผู้ให้บริการรายอื่นลดลงร้อยละ 6 จากปีก่อน มีจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิ 5.41 แสนรายในไตรมาส 4 ขยายฐานผู้ใช้บริการรวมเป็น 30.6 ล้านราย

ส่วน True Online มีรายได้บรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น 1.2 พันล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 4.6% จากปีก่อน เป็น 27,100 ล้านบาทในปี 2563 พร้อมจำนวนผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิ 390,000 รายในปี 2563 ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 ล้านราย เป็นผู้นำของตลาด

ขณะที่ True Visions มีรายได้จากการให้บริการ 10,700 ล้านบาทใน มีฐานลูกค้า 3.9 ล้านราย ปี 2563 โดยCOVID-19 ทำให้ทั้งรายได้และต้นทุนที่เกี่ยวข้องปรับตัวลดลง แต่รายได้จากการให้บริการของทรูวิชั่นส์เริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4 โดยเพิ่มขึ้นในอัตรา 4.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

และ True Digital Group เดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของกลุ่มทรู ด้วยบริการและแพลตฟอร์มคุณภาพ อย่าง True id ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีฐานผู้ใช้งานสูงถึง 1.12 ล้านรายในปี 2563 สำหรับแพลตฟอร์มบนจอโทรทัศน์ กล่องทรูไอดี ทีวี ได้ไต่ระดับไปอีกขั้น ด้วยยอดขายสูงถึง 2.1 ล้านกล่อง

ทั้งนี้ ถือเป็นความแข็งแกร่งของกลุ่ม True ที่มีความหลากหลายของธุรกิจ และพยายามนำธุรกิจต่างๆ มาเชื่อมต่อเพื่อเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะฝั่ง True Digital Group ที่เป็นศูนย์กลางของบริการต่างๆ และในอนาคตธุรกิจนี้น่าจะเติบโตมากขึ้น

รู้เก็บรู้ออม : อยากเทรด OR ต้องทำไง…ถ้าถือเป็นใบหุ้น!!

0

ครั้งที่แล้ว “คุณนายพารวย” พาเกาะกระแส “หุ้นมหาชน” บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือโออาร์ (OR) ที่มีผู้จองซื้อและได้รับการจัดสรรหุ้น OR เป็น “ผู้ลงทุนหน้าใหม่” ซึ่งไม่เคยมีพอร์ตหรือบัญชีซื้อขายหุ้นมาก่อนมากถึง 1.44 แสนราย จากจำนวนผู้จองซื้อทั้งหมด 4.8 แสนราย

และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้ที่ได้รับจัดสรรหุ้นที่ไม่มีพอร์ตซื้อขายหุ้น น่าจะเริ่มทยอย ได้รับ “หนังสือแจ้งผลการฝากหลักทรัพย์” กรณีที่กรอกข้อมูลในใบจองซื้อระบุว่า “เข้าบัญชี 600” หรือได้รับใบหุ้น กรณีที่กรอกข้อมูลในใบจองซื้อระบุว่า “ใบหุ้น” เนื่องจากบริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ฯ (TSD) ได้ทยอยส่งออกเอกสารให้ผู้ได้รับการจัดสรรหุ้นทางไปรษณีย์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา

แล้ว “ผู้ถือหุ้น OR” เหล่านี้จะต้องทำอย่างไรหากต้องการขายหุ้น!! เพราะหุ้น OR ได้เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ผู้ที่รับเป็น “ใบหุ้น” หรือฝากเข้า “บัญชี 600” อาจจะยังไม่ได้ซื้อหรือขายหุ้น OR กันเลย

ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำข้อมูลคอนเทนต์ที่สำคัญ และน่าสนใจในหัวข้อ “อยากเทรด OR ต้องทำไง ถ้ารับเป็นใบหุ้น หรืออยู่ในบัญชี 600” เผยแพร่ในเว็บไซต์ https://www.set.or.th  หน้า FAQs สำหรับผู้ถือหุ้น

แน่นอนสิ่งที่ทุกคนต้องทำก่อนอื่นเลยคือ เปิดพอร์ตบัญชีซื้อขายหุ้นกับบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ เมื่อเปิดพอร์ตเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถแจ้งเพื่อนำ “ใบหุ้น” เข้าพอร์ต หลังจากนั้นก็จะเริ่มซื้อขายหุ้นผ่านพอร์ตของเราโดยตรงได้เลย

เช่นเดียวกับผู้ที่ถือฝากหุ้นเข้า “บัญชี 600” หลังเปิดพอร์ตซื้อขายหุ้นแล้ว ก็ให้กรอกแบบฟอร์มคำขอโอน/รับโอนหลักทรัพย์จากบัญชี 600 โดยมี Link ให้โหลดแบบฟอร์มในหน้าเว็บไซต์นี้ได้เลย เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่า “ผู้ลงทุนมือใหม่”

นอกจากนี้ ยังมีคำตอบสำหรับคำถามยอดฮิต อีกหลายประเด็นเกี่ยวกับหุ้น OR เช่น หากยังไม่ได้รับใบหุ้นต้องทำอย่างไร?? หรือแจ้งที่อยู่จัดส่งใบหุ้นผิดต้องทำอย่างไร?? และยังมีกรณีเมื่อได้หุ้นจอง OR แล้ว ข้อมูลผู้ถือหุ้นไม่ถูกต้อง ต้องทำอย่างไร ลองเข้าไปหาคำตอบกัน!!

ปิดท้าย อย่าลืมว่าเมื่อมีบัญชีซื้อขายหุ้นของตัวเอง และได้เข้ามาเป็นผู้ลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวแล้วอย่าลืมกลับไปเช็กลิสต์ “มือใหม่อยากลงทุนหุ้นกับ 4 สิ่งที่ต้องมี” ที่ “คุณนายพารวย” ได้แนะนำไปคราวที่แล้วมาทบทวนกัน คือ 1.ต้องมีบัญชีซื้อขายหุ้น 2.มีโปรแกรมหรือ แอปฯซื้อขายหุ้น 3.มีบัญชีรับเงินปันผล ที่สำคัญ 4.ต้องมีความรู้ก่อนเริ่มลงทุน!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

รู้เก็บรู้ออม : เปิด Timeline มือใหม่อยากลงทุนหุ้น!!

0

กระแสฟีเวอร์ “หุ้นมหาชน” บมจ. ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) หุ้นค้าปลีกบริษัทลูกของ ปตท.ที่เพิ่งกระจายให้นักลงทุนและเข้าซื้อขายในตลาดหุ้น ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับตลาดหุ้นไทย มีประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเข้าร่วมจองซื้อหุ้นตัวนี้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์กว่า 5.3 แสนรายการ!! หักคนที่จองซ้ำหลายแบงก์แต่มีเลขบัตรประชาชนเดียวกันแล้วเหลือราว 4.8 แสนราย

ยังพบว่าในจำนวนคนที่จองซื้อและได้รับการจัดสรรหุ้นทั้งหมดนี้ เป็น “นักลงทุนหน้าใหม่” หรือเป็นผู้ที่ไม่เคยมีบัญชีพอร์ตซื้อขายหุ้นมาก่อนเลยมากถึง 30% ราว 1.44 แสนราย!! ชี้ให้เห็นว่า ประชาชนมีความตื่นตัว และมองหาโอกาสในการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนต่อยอดเงินออม และการเริ่มลงทุนผ่านหุ้นที่ทำธุรกิจใกล้ตัวเป็นที่รู้จักจับต้องได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ!!

กระแสฟีเวอร์หุ้นโออาร์ครั้งนี้ น่าจะกระตุ้นให้อีกหลายคนสนใจและอยากเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่อาจไม่รู้ว่าตัวเองพร้อมหรือยัง หรือต้องทำอย่างไรบ้าง?? “คุณนายพารวย” แนะนำให้เข้าไปในเว็บไซต์ https://www.setinvestnow.com ที่หน้าคลังความรู้ ซึ่งได้ให้เช็กลิสต์ “เปิด Timeline มือใหม่อยากลงทุนหุ้นกับ 4 สิ่งที่ต้องมี” ไว้ ดังนี้ 1.ต้องมีบัญชีซื้อขายหุ้น 2.มีโปรแกรมหรือแอปฯซื้อขายหุ้น 3.มีบัญชีรับเงินปันผล และที่สำคัญ 4.ต้องมีความรู้ก่อนเริ่มลงทุน!!

ที่หน้าเว็บนี้ เราจะสามารถเริ่มต้นลงมือทำทั้ง 4 อย่างได้เลย เพราะเขาได้อธิบายขั้นตอนง่ายๆพร้อมวาง Link ที่จะเชื่อมต่อเข้าไปทำธุรกรรมได้ทันที เริ่มจาก 1.มีบัญชีซื้อขายหุ้น ซึ่งปัจจุบันเปิดบัญชีลงทุนออนไลน์ได้ง่ายนิดเดียวแค่มีสมาร์ทโฟน หรือกดตาม Link ที่ได้วางไว้ให้ โดยทำ 4 ขั้นตอนง่าย คือ 1.คลิกเข้าไปที่ “เปิดบัญชีเริ่มลงทุน” 2.เลือกเมนู “เปิดบัญชีหุ้น” และเลือกโบรกเกอร์ 3.กรอกข้อมูลตามขั้นตอนของโบรกเกอร์นั้นๆ 4.รอ e-mail ยืนยันอนุมัติเปิดบัญชี…เท่านี้เราก็จะมีบัญชีเพื่อเริ่มซื้อขายหุ้นได้แล้ว

2.มีแอปเทรดหุ้น คือ “แอปพลิเคชันสำหรับซื้อขายหุ้น” หรือ Settrade Streaming ที่จะมาเป็นตัวช่วย ในการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต รวมทั้งการติดตามสภาวะตลาด ข้อมูลรายหุ้น และฟังก์ชันต่างๆที่จะช่วยให้เราลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.มีบัญชีรับเงินปันผล โดยสมัคร e-Dividend ซึ่งเป็นบริการของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) หรือ TSD ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการรับเงินปันผล หมดกังวลหมดปัญหาเช็คล่าช้าหรือสูญหายไม่ต้องเดินทางนำเช็คไปขึ้นเงิน ทำให้มีเวลาติดตามและศึกษาข้อมูลการลงทุนได้มากขึ้น

4.มีความรู้…สิ่งสำคัญและขาดไม่ได้คือ “ความรู้การลงทุน” แต่ไม่ต้องกังวลเพราะตลาดหลักทรัพย์ฯมีช่องทางติดตามอัปเดตความรู้การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งบทความ e-Book คลิปความรู้ โปรแกรมคำนวณทางการเงิน แถมยังมีคอร์สออนไลน์ครอบคลุมเนื้อหาการเงินการลงทุนกว่า 40 หลักสูตร ให้ได้เข้าเรียนกันฟรีๆ

“คุณนายพารวย” ได้นำ QR CODE เพื่อทำ 4 ขั้นตอนนี้มาไว้ให้แล้ว อ่านจบแล้ว มัวรออะไรลงมือกันเลยเจ้าค่ะ!!


ที่มา คอลัมน์ รู้เก็บรู้ออมรู้ใช้รู้ลงทุน..สู่ความมั่งคั่ง โดย คุณนายพารวย หน้าเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ชป.​หวั่นข้าวชาวนาขาดน้ำยืนต้นตาย​ พบปลูกเกินแผน 3 ล้านไร่

0

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงเกษตรกรที่มีการทำนาในช่วงฤดูแล้ง หลังผลสำรวจล่าสุดมีการทำนาปรัง ปี 2563/64 ทั่วประเทศ จำนวน 4.87 ล้านไร่ เกินแผนมากกว่า 2.97 ล้านไร่ หรือ 156.80% จากแผนการเพาะปลูกที่ตั้งไว้ 1.9 ล้านไร่ โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด มีการทำนาเกินแผนแล้ว 2.786  ล้านไร่  จากที่ไม่ได้กำหนดให้มีการทำนาในฤดูแล้งแต่อย่างใด เพราะปริมาณน้ำต้นทุนมีไม่เพียงพอ

ประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน

ทั้งนี้ กรมชลประทาน ไม่มีน้ำต้นทุนที่จะสนับสนุนการทำนา เกษตรกรต้องใช้น้ำในแหล่งน้ำของตัวเองและแหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ จากสถานการณ์น้ำที่จำกัดและการทำนาเกินแผนที่กำหนดไว้ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่อาจเกิดความเสียหายต่อนาข้าวใน 45 จังหวัดทั่วประเทศ ที่มีพื้นที่ทำนา 3.621 ล้านไร่ เฉพาะใน 4 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช มีการทำนาปรังถึง 3.075 ล้านไร่  

สำหรับการทำนาปรังในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาในฤดูแล้ง ปี 2563/64 พบว่ามีการทำนาปรังเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์ แม้ภาครัฐจะไม่สนับสนุนน้ำเพื่อทำนาปรัง โดยสัปดาห์ที่ 16 นับจาก พ.ย. 2563 มีการทำนาเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ 15 จำนวน 6,692 ไร่ หรือมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 836,662 ไร่ 

 “กรมชลประทานจึงขอความร่วมมือให้ชาวนาทำนาอย่างประณีต ไม่สูบน้ำเข้าไปเก็บในนาเกินความจำเป็น เพราะน้ำต้นทุนมีน้อย จึงต้องอาศัยความร่วมมือกันอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา ที่มีการทำนาเกินแผน เนื่องจากสภาพน้ำต้นทุนมีจำกัด ประตูระบายน้ำและอาคารเชื่อมต่อที่ดูแลโดย อปท. และ อบจ. จะให้เปิดรับได้เฉพาะน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค เป็นครั้งคราว ลดการเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง ในแม่น้ำ ปิง น่าน เจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าจีน ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.2563 – 30 เม.ย.2564”

นายประพิศ กล่าวว่า สำหรับปริมาณน้ำต้นทุน ฤดูแล้งปี 2563/64 ทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 พ.ย. 2563 มีปริมาณน้ำต้นทุนเหลือ 25,857 ล้าน ลบ.ม. มีแผนจัดสรรในฤดูแล้ง จำนวน 17,122 ล้าน ลบ.ม. มีเหลือสำรองน้ำสำหรับต้นฤดูฝน 8,735 ล้านลบ.ม. สำหรับน้ำที่จัดสรรในฤดูแล้งนี้ จำนวน 17,122 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็นการจัดสรรน้ำเพื่อกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ เพื่ออุตสาหกรรม 392 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้ไปแล้ว 202 ล้าน ลบ.ม. หรือ 52% ของน้ำที่ได้รับจัดสรร เพื่อการเกษตรฤดูแล้ง 6,508 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้ไปแล้ว 3,840 ล้าน ลบ.ม. หรือ 59%ของน้ำที่ได้รับจัดสรร เพื่ออุปโภคบริโภค 2,572 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้ไปแล้ว 1,516 ล้าน ลบ.ม. หรือ59%ของน้ำที่ได้รับจัดสรร น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศและอื่น ๆ 7,650 ล้าน ลบ.ม. มีการใช้ไปแล้ว 4,548 ล้าน ลบ.ม. หรือ 59%ของน้ำที่ได้รับจัดสรร  

ณ วันที่ 23 ก.พ. 2564 คงเหลือปริมาณน้ำใช้การได้รวมในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก มีจำนวน 18,346 ล้าน ลบ.ม. ผลการจัดสรรน้ำฤดูแล้ง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2563 ถึง 23 ก.พ. 2564 จำนวน 10,106 ล้าน ลบ.ม. หรือประมาณ 59% ของ แผนฯ คงเหลือ ที่จัดสรรจากแผนฯ 7,016 ล้านลบ.ม. หรือ สัดส่วน 41% ของแผนฯ

ซีพีเอฟ หนุนอาเซียน วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ Plant-based รองรับเทรนด์อาหารในอนาคต

0

นางอรอนุช ทัพพสารดำรง รองกรรมการผู้จัดการด้านกฎระเบียบอาหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่า​ บริษัท​ ​ร่วมกับ โปรเว็ก เอเซีย (ProVeg Asia) สนับสนุนการแข่งขันนวัตกรรมอาหารจากพืชของอาเซียนปี 2564 (Asean Food Innovatioin Challenge 2021) เพื่อสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ให้คิดสร้างสรรค์อาหารในอนาคต โดยเฉพาะอาหารที่มาจากพืช

ซีพีเอฟ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและวิจัยอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” โดยมีเป้าหมายผลิตอาหารปลอดภัยและสร้างความมั่นคงทางอาหาร ตามแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตลอดจนมุ่งมั่นสร้างอาหารทางเลือกและส่งเสริมการเข้าถึงอาหาร โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มุ่งเน้นสุขโภชนาการ สุขภาพและสุขภาวะที่ดี ซึ่งปัจจุบันมากกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดี ขณะเดียวกัน ในปี 2563 เด็ก เยาวชนและผู้บริโภค 1.3 ล้านคน ในประเทศไทย ได้รับการส่งเสริมให้เข้าถึงอาหารและเรียนรู้เกี่ยวกับอาหาร โภชนาการและการบริโภคอย่างยั่งยืน เพื่อให้การผลิตและการบริโภคมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในปีนี้ ซีพีเอฟ ร่วมกับผู้ผลิตอาหารชั้นนำระดับโลกและระดับภูมิภาคหลายราย ให้การสนับสนุน โปรเว็ก เอเซีย ซึ่งเป็นองค์กรวีแกนที่ไม่แสวงหากำไรและมีเป้าหมายในส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสวัสดิภาพสัตว์ การรักษาสิ่งแวดล้อม โดยจัดการแข่งขันในระดับภูมิภาค (Food Innovation Challenge) ภายใต้แนวคิดการพัฒนานวัตกรรมอาหารที่มาจากพืช “Plant-based innovation” มุ่งเน้นส่งเสริมนักศึกษา รวมทั้งนักวิจัยและพัฒนาอาหารรุ่นใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจ Startup ในอนาคต โดยมีมหาวิทยาลัย 20 แห่ง จาก 9 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว เมียนมา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย เข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัลรวม 5,000 เหรียญสหรัฐ กำหนดส่งผลงานเข้าประกวดได้จนถึงวันที่ 13 มีนาคม 2564 และจะมีพิธีประกาศรางวัลในเดือนมิถุนายน 2564 นี้

นางอรอนุช กล่าวว่า การแข่งขันในครั้งนี้ ซีพีเอฟ ได้กำหนดหัวข้อในการสร้างสรรค์นวัตกรรม คือ การพัฒนาโปรตีนจากพืชที่เป็นอาหารจานหลักในวิถีเอเซีย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องสร้างแบรนด์สินค้าของตัวเองและวางแผนการเปิดตัวสินค้าให้ครบถ้วน ซึ่งบริษัทฯ จะร่วมเป็นโค้ชให้กับนักศึกษาที่เข้ารอบ โดยจะมีการประชุมออนไลน์ร่วมกัน เพื่อติดตามความคืบหน้า ให้คำปรึกษาและช่วยแก้ปัญหาให้โครงการสำเร็จตามเป้าหมาย โดยแนวคิดที่เสนอในโครงการ อาจมีโอกาสพัฒนานำไปสร้างธุรกิจ Startup ในอนาคต เพื่อเป็นการกระตุ้นและสร้างเครือข่ายธุรกิจของคนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับโปรตีนทางเลือกในเอเซีย

“ในฐานะผู้ผลิตอาหารชั้นนำ ซีพีเอฟ มีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งร่วมขับเคลื่อนศักภาพของประเทศตามหลักการ BCG Model: เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เพื่อร่วมผลักดันการส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน ในรูปแบบการพัฒนาโปรตีนทางเลือกที่หลากหลาย ทั้งโปรตีนจากสัตว์ โปรตีนทางเลือก เช่น จากพืช จากแมลง ซึ่งโปรตีนเป็นแหล่งสารอาหารที่สำคัญในทุกช่วงวัย”

ทั้งนี้ โปรเว็ก เอเซีย อ้างถึงรายงานของ World Economic Forum ว่าชนชั้นกลางในอาเซียนขยายตัวควบคู่ไปกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการดูแลสุขภาพ รวมถึงการเพิ่มความต้องการของอาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งเอเซีย-แปซิฟิค เป็นภูมิภาคที่คาดว่าจะมีสัดส่วนการตลาดของอาหารโปรตีนจากพืชใหญ่ที่สุดของโลกในอนาคต การแข่งขันฯ ในครั้งนี้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนถ่ายนวัตกรรมที่ดีที่สุด ส่งผลดีต่อผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอาหารคุณภาพดีและโปรตีนทางเลือกจากพืชอย่างยั่งยืน

AIS คว้า 2 รางวัลใหญ่ ตอกย้ำความสำเร็จด้านนวัตกรรมและการบริหารจัดการองค์ความรู้ในองค์กร

0

นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติระดับชาติและระดับโลก “Thailand  Mike Award 2020” และ “Global Mike Award 2020” ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของไทยที่สนับสนุนให้เกิดการสร้างองค์กรแห่งนวัตกรรมและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นบทพิสูจน์ว่าเอไอเอสเป็นองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และไม่หยุดยั้งในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามายกระดับการบริหารจัดการองค์กร พร้อมสร้างคุณค่าในด้านธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เมื่อเอไอเอสประกาศวิสัยทัศน์สู่การเป็น Digital Life Service Provider สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดคือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นปลูกจิตสำนึกถึงการนำนวัตกรรมมาใช้ทั้งในแง่ของการปรับรูปแบบการทำงานและวิธีคิดของพนักงาน รวมถึงการบริหารจัดการองค์ความรู้ที่จะถ่ายทอดซึ่งกันและกันผ่าน Digital Platform ก่อให้เกิดขีดความสามารถรูปแบบใหม่ที่ตอบสนองโลกในยุค Digitalization นำไปสู่ผลงานที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนในท้ายที่สุด

ตัวอย่างผลงานจากวิสัยทัศน์ดังกล่าว อาทิ การบริหารจัดการองค์ความรู้ หรือ  Knowledge Management ผ่าน Digital Platform ในชื่อ LearnDi ที่เป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดองค์ความรู้และขับเคลื่อน Innovation Culture ภายในองค์กร, การเปิดเวทีให้พนักงานได้นำเสนอ New Business ที่ใช้เทคโนโลยีมาแก้ Pain point ในลักษณะของ Internal Start Up ในชื่อ โครงการ InnoJUMP ซึ่งสามารถนำไอเดียไปสู่การสร้างธุรกิจได้จริง อาทิ โครงการรถโรงเรียนอัจฉริยะ – School Van Clever, โครงการ Academy For Thais ภารกิจคิดเผื่อเพื่อคนไทย ที่ส่งต่อแนวคิดและองค์ความรู้ไปสู่คนไทยให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงจากกระแส Digital Transformation ผ่านเวทีสัมนาและ Digital Platform รวมถึง “โครงการเรียนรู้จากเคยล้ม” ที่ส่งเสริมให้พนักงานใช้บทเรียนจากความผิดพลาดเป็นการเรียนรู้สู่ความสำเร็จ เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้นอกจากจะทำให้เกิด Economic Value แล้ว ยังก่อให้เกิดการขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรในลักษณะของ Innovation Organization อย่างชัดเจนอีกด้วย

ทิพยประกันภัย ปลื้มผลงาน กำไรปี 63 ทะลุ 2 พันล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์

0

ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ว่า บริษัท มีกำไรสุทธิรวม 2,064.87 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.44 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปี 2562 กำไรสุทธิ 1,863.19 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.11 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 201.68 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้น 10.82%

โดยเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 25,398.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 21,846.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3,552.28 ล้านบาท คิดเป็น 16.26% ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับทุกประเภทต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน เบี้ยประกันอัคคีภัย เพิ่มขึ้น 6.53% เบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง เพิ่มขึ้น 18.34% เบี้ยประกันภัยรถยนต์ เพิ่มขึ้น 18.42% และเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด เพิ่มขึ้น 16.75%

“ปี 2563 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของ บมจ.ทิพยประกันภัย ได้เติบโตอย่างโดดเด่น แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งในด้านของรายได้จากการรับประกันภัย ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกประเภท และความสามารถการทำกำไรที่ทะลุ 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์” ดร.สมพร กล่าว

สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯขยายตัวอย่างต่อเนื่องนั้น ดร.สมพร กล่าวว่า สืบเนื่องจากบริษัทฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และพัฒนาการให้บริการ เพื่อรองรับความต้องการของประชาชน

โดยล่าสุด ทิพยประกันภัย ได้มีการออกกรมธรรม์รูปแบบใหม่ “TIP อัพทูไมล์” ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ที่ออกแบบให้สามารถเลือกจ่ายเบี้ยประกันภัยได้ตามความต้องการ หรือระยะไมล์ที่ใช้อย่างแท้จริง และยังมีกรมธรรม์ TIP Personal Cyber ประกันภัยไซเบอร์ส่วนบุคคลที่เอาใจนักช้อปออนไลน์ จากการซื้อของหรือทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมด้วย TIP SME Cyber สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงหรือความเสียหายที่เกิดจากการโจมตีตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีการจับมือกับแอปพลิเคชัน Gojek (โกเจ็ก) เปิดโครงการ “มั่นใจทุกการส่งกับ GoSend” เพื่อให้ทุกการส่งกับ GoSend ทุกชิ้นได้รับความคุ้มครอง

ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2564 นั้น ดร.สมพร กล่าวว่า นโยบายสำคัญที่ต้องเดินหน้าในปีนี้ คือ การปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการดำเนินการยกระดับเป็นบริษัทโฮลดิ้งส์ ภายใต้ชื่อบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการจัดการองค์กร

“ทิพยประกันภัย ยังคงยึดกลยุทธ์เพิ่มลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร รวมถึงสร้างแบรนด์ให้เป็นบริษัทประกันภัยในดวงใจของลูกค้า นึกถึงทิพยประกันภัยเป็นอันดับแรก (Top of Mind) ด้วยการสื่อสารถึงความเป็นตัวตนและบริการที่เป็นเลิศ ผ่านการสื่อสารอย่างครบวงจร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและประชาชนในการใช้บริการของทิพยประกันภัยมากขึ้น”

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ให้ความสำคัญเอาใจใส่กับลูกค้าและช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อาทิ น้ำท่วม เพลิงไหม้ บริษัทฯ จะส่งทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งในภูมิภาค รวมทั้งส่วนกลาง โดยเฉพาะทีม TIP Smart Assist ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนอย่างทันท่วงที เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถก้าวผ่านวิกฤตและกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้อย่างรวดเร็ว

ทิพยประกันภัย จับมือ นครหลวง แคปปิตอล และอะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ เปิดโครงการ “ทิพยนคร เงินด่วนมีประกัน”

0

รายงานข่าว​เปิดเผยว่า ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทิพยประกันภัย ดร.เทอดศักดิ์ บุญทศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.นครหลวง แคปปิตอล และ คุณจิตรา วุฒิศิริศาสตร์ กรรมการผู้จัดการ บจ.อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ ผนึกกำลัง เปิดตัวโครงการ “ทิพยนคร เงินด่วนมีประกัน

โครงการนี้เป็นความร่วมมือในการให้หลักประกันที่มั่นคงและความอุ่นใจกับลูกค้าสินเชื่อของนครหลวง แคปปิตอล ผ่านสาขาของ นครหลวง แคปปิตอลกว่า 105 สาขาที่ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคอีสาน เริ่ม 1 เมษายน 2564 นี้

FSMART อวดตัวเลขกำไรสุทธิ 464 ล.​ จ่ายปันผล 0.60 บาท​

0

นายณรงค์ศักดิ์ เลิศทรัพย์ทวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ​ FSMART​ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังของปี 2563 อีกหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายจากกำไรสุทธิงวดผลดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม ถึง 31 ธันวาคม 2563 เมื่อรวมกับงวดครึ่งแรกของปีที่จ่ายไปแล้วหุ้นละ 0.30 บาท ส่งผลให้ปี 2563 บริษัทจ่ายเงินให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเงินปันผล 8.4 % โดยล่าสุดราคาหุ้นของบริษัทซื้อขายที่ระดับ 7.10 บาทต่อหุ้น และถือว่าเป็นการจ่ายปันผลที่สูงกว่านโยบายที่กำหนดไว้ว่าจะจ่ายไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยบริษัทจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 98% ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 21 เมษายน 2564 โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 มีนาคม 2564 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 เมษายน 2564

สำหรับผลดำเนินงานปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 464.06 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.61 บาท ปรับตัวลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้ง 2 ระลอกทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมลดลงส่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และนโยบายภาครัฐช่วยเหลือค่าโทร ค่าน้ำ ค่าไฟ ฟรีในไตรมาส 2 แต่กระทบระยะสั้น จึงทำให้มูลค่าเติมเงินรวมของบริษัทลดลง

“ปี 2563 ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทยังสามารถมีกำไรต่อเนื่อง เพราะตู้บุญเติมมีบริการที่ครบวงจรทั้งเติม-จ่าย-ฝาก-โอน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ โดยปี 2563 มีปริมาณธุรกรรมในธุรกิจเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ จำนวน 1.5 ล้านรายการต่อวัน ขณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร (Banking Agent & Lending Business) ที่เป็นบริการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารยังคงมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากจำนวนรายการโอนเงินล่าสุดเพิ่มขึ้นถึง 65% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือประมาณ 1.9 ล้านรายการต่อเดือน 19 ล้านรายการต่อปี และยังคงเติบโตต่อเนื่อง”

นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า ทิศทางของ FSMART ปี 2564 บริษัทยังเดินหน้าธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก คือ 1. ธุรกิจเติมเงิน-รับชำระเงินอัตโนมัติ 2. ธุรกิจให้บริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร 3. ธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและการกระจายสินค้า โดยมีเป้าหมายเพิ่มยอดการใช้บริการผ่าน “ตู้บุญเติม” ให้มีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 20% จากสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น รวมถึงบริษัทมีการเปิดช่องทางและบริการใหม่ ภายใต้งบลงทุน 500 ล้านบาท อีกทั้งเพิ่มตู้รูปแบบใหม่อีก 5,000 ตู้ในปีนี้ เพื่อขยายส่วนแบ่งตลาดและเข้าไปทดแทนตู้ของคู่แข่งที่มีบริการน้อยกว่า และแนวโน้มจำนวนตู้ที่ลดลงในภาพรวมของอุตสาหกรรม ทั้งยังดันแคมเปญ “บุญเติม รีวอร์ด” สร้างการรับรู้ รักษาลูกค้า เพิ่มจำนวนการใช้งาน

ด้านการบริหารจัดการตู้บุญเติม เน้นทำเลคุณภาพ เพื่อเพิ่มยอดเติมเงินและชำระเงิน, ธุรกิจให้บริการทางการเงินและสินเชื่อครบวงจร​ ตั้งเป้าเปิดตัวตู้ Mini ATM ที่สามารถถอนเงินสดจากตู้ได้ อีกทั้งเดินหน้าเพิ่มบริการธุรกิจสินเชื่อด้วยการหาพันธมิตรใหม่และใช้ตู้ Mini ATM ปล่อยสินเชื่อ นอกเหนือจากบริการฝาก โอน จ่าย เปิดบัญชี และบริการพิสูจน์ตัวตนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) ที่มีอยู่แล้ว

นอกจากนี้​ บริษัทจะเข้าไปเป็นตัวแทนธนาคารเพิ่มทั้ง Bank และ Non-bank ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ทำให้ตู้บุญเติมมีบริการทางการเงินครบวงจรและเป็นธนาคารชุมชนทดแทนสาขาและตู้ ATM ที่ลดลงของธนาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งเพิ่มฐานลูกค้าชาวต่างชาติและบริการโอนเงินข้ามประเทศ ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดจะเป็นส่วนผลักดันที่สำคัญที่ช่วยเพิ่มยอดการทำรายการอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าในปีนี้ในส่วนของธุรกิจ Banking Agent & Lending Business จะเติบโตได้ประมาณ 30% จากปีก่อน และจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องจาก Ecosystem ของบริการทางการเงินที่ครบวงจร

สำหรับกลุ่มธุรกิจเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติและการกระจายสินค้า บริษัทเตรียมเปิดตัว “คาเฟ่อัตโนมัติ” ภายใต้แบรนด์ “เต่าบิน” ชูนวัตกรรมเครื่องชงเครื่องดื่มคุณภาพพรีเมี่ยมกว่า 80 เมนู ด้วยเมล็ดกาแฟและวัตถุดิบคุณภาพสูง จุดเด่นคือ สามารถควบคุมรสชาติได้มาตรฐานเดียวกันทุกแก้ว ชงได้ทั้งเครื่องดื่มร้อนหรือเย็น ในราคาที่คุ้มค่า และบริการ 24 ชม. ในทำเลคุณภาพ คาดว่าจะเปิดตัวเต็มรูปแบบในปีนี้ โดยมีเป้าหมายขยายจุดติดตั้ง 20,000 เครื่อง ภายใน 3 ปี คาดขาย 600,000 แก้วต่อวัน เสริมความแข็งแกร่งการให้บริการของบริษัทให้มากขึ้น และทุกตู้มีบริการของตู้บุญเติม ซึ่งบริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม

OR เข้า​ลงทุน​ 20% ใน “โอ้กะจู๋” ต่อยอดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

0

รายงานข่าวเปิดเผยว่า​ นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ “OR” เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น ระหว่าง บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ OR กับ บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” โดยมี นางสาวราชสุดา รังสิยากูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กร นวัตกรรมและความยั่งยืน ในฐานะกรรมการ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด และ นายชลากร เอกชัยพัฒนกุล นายจิรายุทธ ภูวพูนผล และนายวรเดช สุชัยบุญศิริ ผู้ถือหุ้นและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด พร้อมด้วย นายสุชาติ ระมาศ รองกรรมการผู้จัดการการตลาดขายปลีก OR ร่วมลงนาม

นางสาวราชสุดา เปิดเผยว่า OR ตัดสินใจเข้าลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 ในบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ผู้ดำเนินกิจการร้านอาหารเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์ “โอ้กะจู๋” ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องความสดใหม่ของผักที่ปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์ และส่งตรงจากฟาร์มผักขนาดใหญ่ที่จังหวัดเชียงใหม่

และตั้งเป้าขยายสาขาร้านโอ้กะจู๋เพิ่มเติมในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station รวมถึงการจำหน่ายอาหารแบบ Grab & Go ผ่านร้าน Café Amazonในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และภาคเหนือ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความหลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ รวมถึงมีวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและหันมาเลือกซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จพร้อมรับประทานหรืออาหารสำเร็จรูปเพื่อนำกลับไปรับประทานที่อื่น แทนที่นั่งรับประทานอาหารในร้านมากขึ้น

นอกจากนี้ การเข้าลงทุนครั้งนี้ ยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME และเกษตรกรผู้ปลูกผักในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่มีโอกาสเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านทางสถานีบริการน้ำมัน PTT Station ซึ่งมีจำนวนกว่า1,900 สาขาทั่วประเทศ และ ร้าน Café Amazon ซึ่งมีจำนวนสาขาถึงกว่า 3,000สาขา สอดคล้องกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของ OR ที่มุ่งสร้างคุณค่าร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้ผู้บริโภค พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนและสร้างผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ในการดำเนินธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกสินค้าและบริการอื่น ๆ (Non-Oil) ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชนในทุกพื้นที่ที่ OR เข้าไปดำเนินธุรกิจ สำหรับ บริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด เป็นบริษัทที่ OR จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนในธุรกิจใหม่ในประเทศไทยที่มีศักยภาพการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR

ด้ายนายชลากร เปิดเผยว่า​ เงินทุนที่ได้รับในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ อาทิ การนำเทคโนโลยี Smart Farm มาใช้ เพื่อทำให้ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพ รวมถึงการสร้างครัวกลางที่จังหวัดเชียงใหม่ การสร้างศูนย์กระจายสินค้า เพื่อรองรับการขยายสาขาไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ในส่วนของการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนนั้น ทางบริษัทฯมีโครงการที่จะทำศูนย์การเรียนรู้การปลูกผักแบบวิถีเกษตรอินทรีย์ ให้แก่นักเรียน นักศึกษาและผู้ที่สนใจ รวมถึงมีแผนการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรโดยเป็นตัวกลางที่เชื่อมระหว่างเกษตรกรที่ไม่มีช่องทางขายกับผู้บริโภคที่ต้องการผักอินทรีย์ ผ่านทางแอพพลิเคชั่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา

ทั้งนี้ บริษัทเห็นถึงวิสัยทัศน์ของ OR ที่มุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าให้กับสังคมชุมชน ผ่านการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดการดำเนินธุรกิจของแบรนด์โอ้กะจู๋ ที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม มีการช่วยเหลือเกษตรกรและชุมชนให้มีรายได้ที่มั่นคงและมีสุขภาพที่ดี โดยเปลี่ยนจากเกษตรเคมีมาสู่เกษตรอินทรีย์อย่างมั่งคงและยั่งยืน