นายเจมส์ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผย ถึงภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/2565 (มกราคม-มีนาคม 2565) ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 110 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท
“แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมค้าปลีกภายในประเทศ ยังคงเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง รอบด้านจากผลกระทบของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้า และค่าครองชีพที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่จากการปรับกลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นคุมเข้มต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย พร้อมปรับ เกมการตลาดเน้นทำ Product Mix ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทสามารถเติบโตได้แข็งแกร่ง”
นอกจากนี้บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin : GP) ให้อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในไตรมาสนี้อยู่ที่ 65.3% ปรับเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 60.7% และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin : NP) อยู่ที่ 14.8% เพิ่มขึ้นจากระดับ 11.9% ในช่วงเดียวกันปีก่อน จากประสิทธิภาพการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดี โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ปรับลดลงราว 4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือ 347 ล้านบาท
ขณะที่รายได้จากการขายอยู่ที่ 738 ล้านบาท ปรับลดลงราว 5% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สาเหตุสำคัญมาจากช่องทางจำหน่ายออฟไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่มีสัดส่วนถึง 91% ของยอดขายรวม ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่ยอดขายจากช่องทางออนไลน์ ยังไม่สามารถเข้ามาชดเชยยอดขายที่หายไปได้ทั้งหมด เนื่องจากกำลังซื้อที่ถดถอย โดยช่องทางร้านค้าปลีกตัวเอง (Freestanding Shop) มียอดขายจำนวน 447 ล้านบาท, ห้างสรรพสินค้า (Department Store) จำนวน 180 ล้านบาท, ซูเปอร์สโตร์ (Superstore) จำนวน 4 ล้านบาท และช่องทางออนไลน์ (E-Commerce) จำนวน 69 ล้านบาท
นายเจมส์ริชาร์ด กล่าวว่า แนวโน้มช่วงโค้งสุดท้ายไตรมาส 4/2565 (เมษายน-มิถุนายน 2565) คาดว่าจะสดใสต่อเนื่อง หลังเปิดประเทศและรัฐกำลังประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น รวมถึงบริษัทเร่งปรับโฉมและขยาย Mc Outlet เพิ่ม ซึ่งคาดว่าสิ้นมิถุนายนนี้จะมี Mc Outlet ครบ 72 สาขา จากสิ้นเมษายน Mc Outlet มีสาขารวม 68 สาขา พร้อมเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ เพื่อกระตุ้นยอดขายต่อบิลให้เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ ฐานะการเงินของบริษัทล่าสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นทั้งหมดจำนวน 1,851 ล้านบาท และการที่บริษัทไม่มีหนี้สินในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นก็จะไม่ได้รับผลกระทบ และพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสต่อยอดธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ผลักดันภาพรวมรายได้และกำไรสุทธิงวดปี 2565 ให้เติบโตต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้